ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

มารอฟังอีกคะ ติดตามอ่านอยู่

ขอถามหน่อยได้ไหมคะ การรับขันธ์เพื่อสะเดาะเคราะห์มีไหมคะ

 

... ขอบคุณคะ ^_^

... มีคะ ... จะใช้ในกรณีที่เราเกิดอาการเจ็บป่วยแบบไม่ทราบสาเหตู .. ดวงตกสุด ๆ แบบถึงชีวิต .. ก้จะแนะนำให้ไปสะเดาะห์เคราะห์ต่อดวงชะตา และ ก็ให้รับขันธ์หากมีเทวดาที่ประสงค์จะสร้างบารมีร่วมกับเขา คือ จะต้องมีการตรวจชะตาจากหมอดูแบบมีฌาญญาณพิเศษ หรือ พระ คะจะเป็นกรณีป่วยจนรักษาทางการแพทย์ไม่หาย และ อายุสั้น เช่น เพื่อน กาลีนะ ที่ตายไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 56

 

ขอบคุณคะ คุณกาลีนะ พอดีหลวงปู่(ร่างทรงคะ) ท่านทักแม่ว่าตาจะมีเคราะห์ ให้สะเดาะเคราะห์ด้วยการรับขันธ์ประมาณนี้คะ เลยสงสัยว่าจะอันตรายไหม จะมีผลตามมาหรือเปล่า

อนุโมทนาบุญคะ ขอบพระคุณในคำตอบนะคะ

 

..... ถ้าแค่มีเคราะห์เฉย ๆ ไม่ต้องรับหรอกคะ .. แค่ไปทำบุญสะเดาห์เคราะห์บงสุกุลตาย แล้วก็บังสุกุลเป็น อธิฐานจิตตั้งใจปฏิบัติตนเป็นคนดีนับแต่นี้ แล้วถวายสังฆทานสักชุดพร้อมพระพุทธรูปสักองค์กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรขอโอกาสเราได้ทำความดีเพื่ออุทิศบุญให้พวกเขาก็น่าจะพอคะ ... ร่างทรงไม่ได้บอกว่า แม่คุณถูกเลือกให้เป็นร่างทรงไม่ใช่เหรอคะไม่ต้องรับก็ได้คะ ..

.... แต่ถ้าอายุสั้น .. ก็ต้องเพิ่มเข้าไปว่าต้องให้พระ 4 รูป ไปทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ในพระอุโบสรถให้ แล้วก็ต้องดูชื่อพระท่านว่าเป็นมงคลเหมาะแก่การนั้น หรือ เปล่า .. พยายามเลี่ยงการเดินทางไกลในเวลาขับขันที่กำหนด และ อยุ่กับคนที่ดวงแข็ง หรือ ดวงค้ำเราได้คะ

 

ขอบคุณคะ ^_^

 

6. แล้วเวลาไหนที่องค์ลงเราจะรู้ได้ยังไง .. จะแยกได้ยังไง ว่าไหนองค์มาจริง ๆ หรือ โดนหลอก ?

.... ตอบ ... ข้อนี้ก็ยังสรุปคำตอบให้ตัวเองไม่คะ ... จากการศึกษาอ่านตามตำราบทความต่าง ๆ แล้วเอามาเทียบเคียงกับตนเอง และ คนใกล้ชิดนั้นมันก็มีที่เหมือน และ ไม่เหมือนในตำรา ตัวเราเองมีสติรู้ตัวตลอด แต่คนใกล้ชิดไม่รู้ตัวเลยอันหลังนี้บ่อยมากจนเราเองก็ชิน .. บางทีเราเองยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำ .. แต่ถ้าเริ่มรู้เราก็จะเริ่มตั้งคำถามทดสอบดู และ เวลาที่กลับเป็นปกติก็จะถามย้ำคำถามเดิม .. ส่วนมากเขาจะจำไม่ได้ว่าพูดอะไรไป หรือ ทำไรไปบ้าง

.. กาลีนะ เองมัก " มีสติ " รู้ตัวตลอดไม่เคยแบบว่าลงมาแล้วเราจำอะไรไม่ได้เลย .. หนักสุดคือ รับรุ้แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ .. เวลาเราไปตามงานไหว้ครูหลาย ๆ ที่ กาลีนะ ไม่เคยไปร่ายรำ ทำตัวสั่น ๆ กรีดร้องทำท่าแปลก ๆ เลยเท่าที่จำได้แม้แต่งานนวราตรีที่ไปก็ไม่เป็น .. มันจะเป็นอาการของความนิ่งสงบตัวเบาผิดปกติ ( เหมือนเราลอยได้ ) คือ กาลีนะจะดูเป็นคนเรียบร้อยเป็นกุลสตรีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เหมือนเวลาที่ไปบวช ฯ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับ กาลีนะ ในสายตาที่คนรู้จักกัน

... แต่ถ้าแบบได้ยินเพลงออกแนวเร้าใจแขก ๆ อันนี้ก็มีบ้างคะมันเกิดความปิติในใจ มีความสุข อยากเต้น อยากรำ หรือ เสียงเครื่องสายต่าง ๆ เสียงกระพรวน กระดิ่งเสียงใส อันนี้จะชอบมาก ๆ

... ล่าสุดไปไหว้พระที่ทางเหนือได้มีโอกาศขึ้นไปกราบหลวงตาม้าท่านเพื่อความเป็นศิริมงคล และ ได้ไปกราบขอพรพระธาตุดอยสุเทพ .. น้องที่ไปด้วยก็ทักว่าทำไมพี่ต้องพูดภาษาเหนือด้วย ( แบบคนกลางพูดเหนือ ) ก็ตอบน้องว่าไม่รู้แต่มากี่ครั้งก็จะเป็นแบบนี้และ คิดว่ามันไม่เสียหายอะไร

... สำหรับการที่เราจะแยกได้อย่างไรนั้น กาลีนะ คิดว่าเราควรมี " สติ " กับตัวเราตลอดเวลาน่าจะดีที่สุด ส่วนจะเป็นภพภูมิใดจะมาลงเรานั้นก็ต้องมาดูที่ตัวเราก่อน ทั้ง จิตใจ และ การกระทำ .. ถ้าท่านเลือกเราท่านก็จะแสดงสัญญาณให้เราทราบเองแหละคะ .. อีกอย่างถ้าระดับสูง ๆ มาเลือกเราจะสังเกตว่า กายสังขารเราจะไม่ทรมาน ไม่มีอาการสั่น (ยกเว้นกรณี บารมีไม่เสมอกัน หรือ ร่างไม่บริสุทธ์ หรือ ภพภูมิที่มาต่ำเกินไป คล้าย ๆ คลื่นมันจูนไม่ตรงกันแล้วระบบมันจะรวน ๆ หรือ เกิดการต่อต้านกันภายในเกิดขึ้น )

*** จำได้ว่าตอนที่มั่นใจว่าตัวเองต้องเป็นคนมีองค์แน่นอนละ เกิดความกลัวได้เสาะหาวิธีต่าง ๆ ( ไม่ได้ทดลองทำทุกอย่างจริงนะคะ ) จนสุดท้ายมาลองทำจริง คือ จุดธูป 16 ดอก บอกกลางแจ้ง โดยกล่าว สวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้ว ชุมนุมเทวดา อธิฐานจิตบอกกล่าวออกไป ... ( คิดเอาเองคะจะพูดอะไรกับท่านที่สำคัญพูดเพราะ ๆ ก็พอให้ท่านมาแสดงในฝัน ) แล้วปักกลางแจ้งทิ้งไว้รอให้ธูปหมดดอกเป็นอันใช้ได้ ... บางคนสงสัยว่าต้องมีดอกไม้ไหม๊ ... คือ ตอนนั้นใช้ธูปอย่างเดียวคะ สำหรับท่านอื่นจะมีก็ไม่ผิดนะคะ มันไม่ใช่การรับขันธ์นะคะ .. เป็นการเชิญท่านมาแสดงตน หรือ แสดงความประสงค์ให้เรารับทราบเพื่ออาจจะต้องใช้ตัดสินใจอะไรต่อไปคะ

 

หายไปไหนละ ยังเล่าไม่จบเลยนะ

 

รออ่านอยู่นะคะ ;k06

 

... ช่วงนี้ยุ่งคะ ทั้งที่ร้าน และ รับงานส่วนตัวมีคนมาสั่งทำผ้าพันคอกับหมวกหลายชิ้นคะเลยต้องรีบทำ ... ที่บ้านทำหลายอาชีพคะ .. แล้วก็กำลังศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ ที่สนใจคะ

 

น้ำขึ้นให้รีบตัก แต่ถ้าน้ำล้นตลิ่งเก็บของขึ้นที่สูงเลยจ้า (deejai)

 

ฮา ฮา ไม่มีใครเหมือนผมเลย นั่งดูคนแย่งอำนาจกัน
ดูเยอะ รู้เยอะ แล้วเพลีย...
ตายไป ไอ้ที่แก่งแย่งกันนะ เอาไปไม่ได้ซักอย่าง อิอิ...

ช่วงนี้เป็นไรไม่รู้ ตอนเช้าๆ จะเห็นแต่พระพุทธชินราชเข้ามาในจิตตลอดเลย

 

กลัวกระทู้จะเงียบ โพสอะไรบ้างดีกว่า

พระตรีมูรติ

คำว่า ตรีมูรติ มาจากภาษาสันสกฤต ตรี หมายถึง สาม มูรติ หมายถึง รูปแบบ ตรีมูรติ หมายถึง รูปแบบทั้งสามหรือรูปแบบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ อันประกอบไปด้วย พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เป็นหลักสำคัญในศาสนาฮินดู หากมองตามหลักปรัชญาสามารถหมายถึง พระผู้สร้าง พระผู้รักษา และพระผู้ทำลาย หรือสามารถเปรียบได้กับหลักธรรมที่ว่า เกิดขึ้น คงอยู่ และ ดับไป



จะรวมหรือแยก เมื่อครบ 3 องค์จะเรียกว่า ตรีมูรติ

แต่ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไม่ใช่เพราะมี 5 หน้า นั่นคือ พระปัญจมุขี พระศิวะ 5 หน้า

 

... สะหน่อยเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย 5555555555555

7. แล้วเรื่องแปลก ๆ ที่เรามี เราเจอ มันเกี่ยวกับการมีองค์นี้ไหม๊ ?

.... คำตอบ เกี่ยวแน่นอน .. อันนี้เอาประสบการณ์ และ การศึกษาจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ ที่มาประมวลร่วมกัน

..... เช่น การเห็นภาพขึ้นมาในสมอง เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้ว .. แต่ความจริงยังไม่เกิดขึ้น .. เช่น ตอนเราเรียนปี 3 เราทำงานพิเศษที่ห้องสมุดของมหาลัยพอตอนจะกลับบ้านเราเห็นคนที่เราไม่ค่อยชอบขับรถผ่านหน้าตึกเราไป .. ตอนเราเดินจะไปที่รถมอไซต์ที่จอดอยู่มันเป็นภาพซ้อนขึ้นมาในหัวของเราว่า " ถ้าเราเลี้ยวขวาไปเราจะเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายตามรถคันนั้นไปเราจะปลอดภัย " แต่เราไม่อยากเจอหน้าคนเหล่านั้นเลยเลี้ยวขวา .. พอเลี้ยวขวาไปได้สัก 500 เมตรเราก้เกิดอุบัติเหตุโดนรถส่งน้ำแข็งเกี่ยวเลี้ยวเข้าซอย ลากไป เราตกใจมากอีกคืบเดียวหัวเราจะชนเข้ากับฟุตบาท เหมือนมีเสียงผู้หญิงบอกเราว่ายกหัวขึ้นจากที่ตอนแรกเหมือนเราจะสลบจากแรงกระแทกกับพื้นถนน เรายกหัวขึ้นหวิดคอหักตาย ....

.... เราไม่สลบแต่ลุกขึ้นไม่ได้กระโปรงนักศึกษาของเราขาดหวิ่นไปหมดเสื้อนักศึกษาด้วย ... เจ้าของรถลงมาดุเป็นผู้หญิงเขามาขอโทษเราบอกว่ามองไม่เห็นเราที่ขับตามมา สาบานได้ว่าเราขับอยู่เลนซ้ายมือชิดเส้นถนนแต่ทำไมเขามองไม่เห็นเรา แถมไม่เปิดไฟเลี้ยวด้วย ... เรานอนอยู่แบบนั้นไม่ร้องไห้ไม่เจ็บมีแผลที่หัวเข่า ข้อศอก เลือดไหลไม่มาก แต่ของเราเสียหายรวมทั้งรถมอเตอร์ไซร์เราด้วย รถพยาบาลมารับเราไปส่งโรงพยาบาลเราก้นอนไปเฉย ๆ มันเจ็บตอนที่เขายกแค่นั้น ผลเอ็กซ์เรย์ออกมาว่าเรา "ไหปลาร้าหัก " นั้นแหละเราร้องไห้โหเลย ... เพราะสมัยนั้นบ้านเราไม่ค่อยมี และ เราต้องทำงานส่งตัวเองเรียน และ ภาระอีกหลายอย่าง

... การเจอเรื่องร้าย ๆ ครั้งนี้ทำให้เราเห็นถึงจิตใจคนหลายอย่าง.
1. หมอที่ดูแลคนไข้ไม่เต็มที่เราเข้าโรงบาลไม่ถึง 10 ช.ม ก็โดนหมอเชิญให้กลับบ้านบอกว่าอาการไม่หนักหนาอะไร

2. เราไปที่สถานีตำรวจก็เจอกับคนที่ขับรถชนเราเอากระเช้ามาไหว้สารวัตร และ ทำตัวว่าเส้นใหญ่มากมายข่มเรา กับ ยาย พร้อมกับตำรวจที่เข้าข้างคนที่ขับรถเฉี่ยวเราแบบออกนอกหน้า บอกว่าเราแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเองคุยกันได้

3. ยายที่อายุหกสิบเกือบเจ็ดสิบ ต้องมาคอยดูแลเราที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นอนนิ่งหยอดน้ำข้าวต้มเป็นอาทิตย์กว่าจะลุกนั้งได้ มันทำให้เรารักยายมาก

4. เพราะความดื้อของเราที่ไม่ฟังเสียง และ ภาพ ที่เตือนเราก่อนจะเกิดเหตุ ทั้งที่มักเกิดภาพแบบนี้บ่อย ๆ ตั้งแต่เราจำความได้ แต่เรามักบอกตัวเองว่า " คิดไปเอง "

... นี้เป็นแค่เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราเท่านั้น .. สมัยก่อนเราไม่มีคำอธิบายให้ตัวเองว่า สิ่งที่เราเห็น และ ได้ยินในบางครั้งนั้นคืออะไร เราจึงมักบอกตัวเองว่า เราคิดไปเอง และก้มักเกิดเรื่องตามมาเพราะเราไม่เชื่อ จนบางครั้งก้มักฝันว่า มี ญ ใส่ชุดโบราณหน้าตาดุดันแต่สวยมักมาบ่นว่าเรา " ดื้อ สอนไม่จำ รั้น " แต่นั้นมันก็จริงเราเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ เมื่อเห็นภาพอะไรขึ้นก็ตามเรามัก ดื้อ ฝืน หรือ ทำอะไรที่มันตรงข้ามกับภาพที่เห็นบ่อย ๆ และ ถ้าบอกใครถึงภาพที่เห็นเหตุการณ์มักเปลี่ยน หรือ บิดเบือนไป ปัจจุบันเราได้แต่รับทราบ และ รอดูผลว่าตรงกันไหม๊

 

... แต่ในความโชคร้ายก็กลับมีเรื่องดี ๆ เข้ามา คือ ผลจากการที่ไหปลาร้าหักนั้นเองทำให้เรามีเครื่องเตือนตัวเองเวลามีภัย หรือ สิ่งที่ไม่หวังดีกับเราอย่างพวกภพภูมิที่ไม่เป็นมิตร เราจะเจ็บที่ไหปลาร้าตรงที่หักขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุเหมือนโดนกดเบา ๆ ให้รู้สึกเจ็บเราจะรู้เลยว่ากำลังไม่ปลอดภัยให้ระวังตัว

... หรือ เคยมีตอนที่ไปร่วมพิธีต่อชะตาให้เพื่อน ขนาดที่ทำพิธีก็มีการรบกวนจากภพภูมิหลายอย่าง จนอาจารย์ของเราเองก้ลำบาก เรานั้งดูอยู่เกิดอาการขนลุกตั้งแต่ต้นคอขึ้นหัว ... เหมือนมีคนยืนบนหัวเราด้วยเท้าเดียว .. ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้นนะ

 

.... คุณเคยเป็นแบบนี้ไหม๊

.... ในความมืดที่อยู่รอบตัวคุณ ในห้องนอนของตัวเอง หรือ ที่ไหนก็ตามที่คุณแน่ใจว่าคุณอยู่คนเดียว หรือ ตื่นอยู่คนเดียว ... แต่กลับเหมือนมีสายตาหนึ่งคู่ หรือ หลายคู่ จับจ้องมองดูคุณอยู่ตลอดเวลา และ คุณเองก็รับรู้ว่าเจ้าของสายตาเหล่านั้นมีอยู่จริง ... เพียงแต่คุณมองไม่เห็นพวกเขานอกจากความว่างเปล่า .. แต่ในสมองของคุณกลับมีภาพของเจ้าของสายตาคู่นั้น บางครั้งเป็นเงาดำ บางครั้งเห็นเป็นเหมือนภาพคนยื่นอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้า เพศ อารมณ์พวกเขา ณ ขณะนั้น ทับซ้อนในความว่างเปล่าที่ตาเนื้อคุณมองเห็น ...

.... เพราะสำหรับเราแล้วนั้น การเห็นแบบแว๊บ ๆ เงาดำแว๊บไปมาเราไม่นับ เพราะมันอาจเป็นการตาฝาดได้ ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้เราจะจ้องจนแน่ใจว่าเงาดำนั้นไม่มีตัวตนจริง ๆ แม้ในความมืดแบบไม่มีแสงไฟก็ตาม เพราะความสามารถอีกอย่างเราคือ สามารถมองเห็นในที่มืดได้ชัดเจนมาก ... แต่ตอนนี้ถ้าเทียบกับแฟนเราคนปัจจุบันแล้วเราถือว่าเด็ก ๆ ไปเลย .. เพราะเขารับสัมผัสภพภูมิได้ไวกว่าเรามาก ..

 

... แล้วแบบนี้ละคุณเคยเป็นไหม๊ ... เวลาโกรธจัด ๆ จนแทบควบคุมความโกรธตัวเองไม่ได้ .. แล้วออกปาก " สาปแช่ง " ใครไปแล้วคนเหล่านั้นมักเป็นไปตามปากของคุณเอง แต่อาจช้าบ้างเร็วบ้างแต่สุดท้ายพวกเขาต้องเจอตามคำที่คุณเคยสาปแช่งไว้ .. หรือ ใครที่ผิดสัญญากับคุณ ( ต้องเป็นเรื่องสำคัญ ) หรือ ทำให้โทสะของคุณบังเกิดจนไม่อาจควบคุมได้ คุณจะพูดคำที่คนสมัยนี้ไม่พูดกันในการ สาปแช่งพวกเขา .. และ เมื่อคุณรู้จักสะสมบุญบารมีให้ต้นเองมากเท่าไหร่ คำพูดของคุณยิ่งมีผลเร็วมากขึ้นทุกที แบบนี้เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเรียกว่า " ได้วาจาสิทธิ์ " มาหรือไม่ หรือ เป็นเพราะมีพลังอย่างอื่นมากระทำให้ผลมันเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคุณเอง ... สำหรับ กาลีนะ เชื่อและพยายามระวังอารมณ์ และ คำพูดตัวเองมากขึ้นกว่าสมัยก่อน .. อีกทั้งคำทำนายของพระอาจารย์ที่เมตตาแนะนำไว้ให้ปฏิบัติ ท่านบอกแม้กระทั้งว่า ไม่แน่ต่อไปหากสะสมบารมีได้มากอาจต้องพกที่เก็บน้ำลายตัวเองไม่ให้บ้วนไม่เป็นที่เป็นทาง ฯ .. แต่สิ่งที่ทดลอง และ เห็นเอง สังเกต คือ ถ้าเราพูดไม่ดี โกหก ฯ จะรู้สึกได้เลยว่า " น้ำลายเรามากกว่าปกติ หรือ มีปัญหาในช่องปาก " สมัยก่อน กาลีนะ จะเป็นคนอารมณ์ร้อน พูดไม่เพราะ ชอบด่า จะมีปัญหามากคือ น้ำลายจะเยอะ มีเสลด ต้องบ้วนทิ้งบ่อยมาก ๆ จนเคยคิดว่าเราเป็นอะไร แล้วพอมาเริ่มสงบปาก พูดแต่สิ่งดี ไม่ด่า ไม่แช่ง และ จริง พยายามอดทนกับการพูดไม่ดีต่าง ๆ มา 4 ปีได้ จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องพวกนี้ อันนี้ความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ

 

เคยมีลูกน้องที่เป็นสายของฤษีตาไฟ...จะเห็นได้แว๊บๆเหมือนกัน วิเคราะห์ดูแล้ว พวกนี้จะเป็นกำลังญาณของฤษีตาไฟ ผ่านมาให้สามารถใช้งานได้ เคยถามว่าแล้วมีคนทรงฤษีตาไฟเยอะแยะ เคยป๊ะกันเข้าบ้างหรือเปล่า อันไหนจริงอันไหนปลอม ... เขาเล่าว่าจริงหมด เพราะเป็นองค์เดียวกัน สามารถส่งผ่านญาณมาเข้าร่างของคนที่เคยมีสื่อหรือสัมพันธ์กันมาก่อน อย่างฤษีตาไฟนี่มีคนที่ผ่านญาณอยู่ 6 หมื่นกว่าคน ในยุโรปก็มี (จริงป่าวมิรุ)
ส่วนผู้ชายคนนี้ที่ผ่านร่างฤษีตาไฟ อดีตเคยไปเผาอาศรม ฤษีตาไฟ มาก่อน ต้องมาทำหน้าที่ชดใช้...ส่วนที่เห็นได้นั้น ลูกน้องคนนี้เล่าว่า เวลาเห็นได้ชัดๆเหมือนตาเปล่าเห็นเนี่ย ต้องรักษาศีลเคร่งครัดมาก วันๆไม่ค่อยพูดจากกับใคร เสื้อผ้าต้องซักแยก ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้าม กินข้าวก็ต้องกินข้าวปากหม้อ ทำบุญบ่อยมาก ฯลฯ...แนวๆกับพวกที่ฝึกวิชาไสยศาสตร์มาเลยน่ะ...ซึ่งคนนี้ก็ฝึกวิชาผีมาเหมือนกัน...

แม่กาลีนะ ลองรักษาศีล+สัจจะ แบบเคร่งครัดดูสัก เดือนไหมล่ะ ว่าที่เห็นแว๊บๆน่ะ จะชัดเหมือนตาเห็นหรือเปล่า...เพราะเมื่อเทียบกับทิพยจักขุญาณแล้ว รู้สึกว่ายืมพลังเขามาเนี่ย จะเห็นชัดกว่าเยอะเลยนะ...ทิพยจักขุญาณใช้เวลาฝึกนาน เห็นไม่ค่อยชัด จะดีขึ้นถ้าอาศัยบารมีพระท่านสงเคราะห์ วันไหนร่างกายไม่ดี ก็ใช้การไม่ได้ ไปเห็นภาพโป๊เข้าทีนึงนี่ก็มืดไปเป็นเดือน...ไม่เหมือนญาณที่ผ่านจากเทพ ที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน...

อาทิตย์หน้าจะมีน้องคนนึง ผ่านญาณพระพิฆเณศ จะแวะมาขอรับ องค์ตามรูปข้างล่างนี่ไปบูชา...



ยุคเขมร ศิลปะ บายน ของเศรษฐีภูเก็ต เอามาฝากไว้...นานแล้ว ตั้งแต่ซึนามิ...

ผมรู้จักคนอินเดียหลายคนที่นับถือฮินดู บูชาพระพิฆเณศ กินมังสะวิรัต แต่ก็ไม่เห็นเขาจะพูดว่ามีใครที่พระพิฆเณศมาผ่านร่าง หรือมีญาณของพระพิฆเณศเลยนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมที่ไทยมีเยอะจัง...
น้องผู้หญิงคนนี้ ตอนเจอหน้าก็เห็นพระพิฆเณศ คุ้มครองอยู่ ก็เลยถามดูว่าเคยเกิดอาการ ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นไหม เขาก็ว่า เวลาป่วย มีอยู่ปีนึง เห็นชัดมาก เห็นตาเปล่าเลยนะ แล้วก็เห็นว่าพระพิฆเณศ มาอยู่ด้วย...
พอทักไปอย่างนี้ เลยจะไปหาที่เปิดตำหนักทรง...อิอิ บอกว่าจะช่วยเหลือคน...
ก็เลยรีบห้ามไว้ก่อน ว่าแม่กาลีนะไม่แนะนำให้รับขันธุ์ ประทับทรง แต่อย่างใด เอาแค่ผ่านญาณเฉยๆก็พอ แล้วก็ยังไม่ต้องไปช่วยคนอื่นหรอก...เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่านิ...

 

ของผมก็เป็นอย่างงั้นเลยล่ะครับ สมัยก่อนผมก็ชอบโมโหร้าย ด่านี่ไม่ค่อยมาก แต่ชอบพูดเพ้อเจ้่้อให้คนเชื่อ ก็มีเสลดเคืองอยู่ในลำคอและน้ำลายเต็มปากอย่างนั้น พอปัจจุบันพูดอะไรในทางธรรมที่เป็นจริง คนฟังมักจะไม่เชื่อ (ส่วนมากฟังแล้วไม่เข้าใจ เพิกเฉยไม่ตระหนักในสิ่งที่เราสื่อ) ชาตินี้กระแสเก่าของตัวเองออกมาเดินเพ่นพ่าน ให้มีจริยาเป็นพาล ก็ให้ผลร้ายในทันที

เรื่องแช่งคนนี่สำหรับผมเลิกขาดเลย ต่อให้แช่งแล้วเขาเป็นจริง กรรมเข้าที่เราอยู่ดี เป็นโทษในภายหน้า ไม่ใช่ว่าเราจะวิเศษวิโสมาจากไหนเลย มีแต่คนเราปรุงแต่งขึ้นว่าตนวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้กันไปเอง

เจ้าของกระทู้ไปกราบหลวงตาม้า ท่านให้โอวาสว่าอย่างไรบ้างครับ ?
แต่ตอนท่านออกอากาศเห็นท่านย้ำบ่อยเลยว่า "ให้สวดมนต์ กรรมฐาน สร้างกำลังให้ตัวเองก่อน อย่าเพิ่งไปเปิดสำนักไปสอนอะไรใคร" เห็นท่านว่าฝึกกันจริงๆจังๆเก็บตัวใช้เวลาเป็น 5 ปี 10 ปี

 

น่ากลัวจัง เคยแต่พูดเล่นๆแล้วเป็นจริง แต่ตอนนี้เป็นเหงือกบวม 4 วันละ หุหุ