หากเราอธิษฐานพุทธภูมิ ให้มากกว่าวิริยาธิกะ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ออร์แกนิค, 16 สิงหาคม 2011.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066

    [​IMG]


    หมายเหตุ.. โพสนี้ไม่เกี่ยวกับกระทู้ แต่เป็นการสื่อธรรมบางหัวข้อ
    กับคุณtjs
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • กจง.jpg
      กจง.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.3 KB
      เปิดดู:
      1,049
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2014
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066

    ผู้ใดคิดว่า ตนเองกำลังทำความดี แต่มีจิตใจเร่าร้อน หาความสงบสุขยาก ก็พึงเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า ตนมิได้กำลังทำความดี อาจเป็นเพียงกำลังคิด “แข่งดี” เท่านั้น


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ___________________________

    เมื่อความรู้สึกแข่งดีเกิดขึ้นกับผู้ใด ความรู้ถูกรู้ผิดของผู้นั้น ย่อมดับไป ปัญญาก็มิไม่พอจะพิจารณา เป็นความมืดไปหมด ความแข่งดีจะไม่เกิด ถ้าไม่มีความคิดปรุงแต่งขึ้นมาว่า

    ทำไมเขาจะต้องสำคัญกว่าเรา ใหญ่กว่าเรา ดังกว่าเรา
    เราจะต้องสำคัญกว่า ใหญ่กว่า ดังกว่าเขา เราจะต้องสำคัญกว่าใหญ่กว่า

    ดังกล่าวให้ได้ และความคิดปรุงแต่งเช่นนี้ จะประกอบพร้อมด้วยความขุ่นเคืองขัดใจ หมายมั่นจะต้องกดอีกฝ่ายหนึ่งให้ต่ำลงกว่าตนให้จงได้

    นี่คือความแข่งดีที่ไม่ใช่ความดี ก่อนถึงเวลาที่จะสมดังมั่นหมาย ซึ่งอาจไม่ถึงเวลานั้นเลยก็ได้ ความคิดปรุงแต่งเพื่อแข่งดีจะไม่หยุดยั้ง จะยังให้ร้อนระอุ ให้มืดมัวด้วยควันไฟของความมุ่งมั่นแข่งดี เป็นอีกหนึ่งของเครื่องพรางความประภัสสรแห่งจิตที่เป็นสมบัติล้ำค่าของทุกคน

    อันผู้ที่จะเกิดความคิดปรุงแต่งเพื่อแข่งดีนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่มีความมั่นใจในตนเองว่ามีความดีอยู่แล้ว เช่นคนดีทั้งหลาย ทำนองเดียวกับคนมีปมด้อย นี่มิได้หมายความว่าให้ยินดี พอใจ จะดีอยู่เท่าที่เป็นตลอดไป ความดีเป็นสิ่งควรเพิ่มพูนไม่หยุดยั้ง แต่การเพิ่มพูนความดี ยิ่งวันยิ่งทวีความเยือกเย็นเป็นสุขสว่างไสวในจิตใจ การแข่งดียิ่งวันยิ่งทวีความร้อนเล่า มืดมิด

    ผู้ใดคิดว่า ตนเองกำลังทำความดี แต่มีจิตใจเร่าร้อน หาความสงบสุขยาก ก็พึงเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า ตนมิได้กำลังทำความดี อาจเป็นเพียงกำลังคิด “แข่งดี” เท่านั้น



    พระนิพนธ์ แสงส่องใจ
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    [​IMG]
     
  3. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีอยู่ จริง ๆ
    และมีคัมภีร์ปฐมมูลรับรองพระนาม คือ " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    หอสมุดแห่งชาติ มีคัมภีร์เก่า ๆ มากมายที่ยังไม่ได้แปล และมีสุดยอดคัมภีร์อีกหลาย ๆ คัมภีร์ที่ คนไทย ยังไม่รู้ และเป็นของเถรวาทแท้ ๆ ด้วย ครับ


    พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ทรงตรัสแสดงแก่ท่าน " พระอัญญาโกณฑัญญะ"

    และ พระปฐมสาวกทุกองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะทูลถาม

    พุทธประวัติ ของ " พระพุทธเจ้าองค์ปฐม"

    พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตทุกพระองค์ก็จะทรงตรัสแสดงให้ฟังปฐมสาวกได้ฟัง

    แม้มาในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน

    คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่มาก ต้นฉบับ เป็น " ภาษล้านนา "

    คณาจารย์ของกรมศิลปากร ได้แปลรวมไว้อยู่ใน หนังสือเล่มใหญ่ ชื่อ

    " โลกุปปัตติ อรุณวดีสูตร ปฐมมูล ปฐมกัป มูลตันไตรย "


    -และถ้ามีปัญหาถามว่า " พระพุทธเจ้าองค์แรก ใน พระพุทธศาสนา ที่ตรัสรู้ก่อนพระ

    พุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงพระนามว่าอะไร ?

    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อุบัตขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

    และพระองค์ไม่เคยได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นใดมาก่อนเลย เพราะยังไม่มี

    พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่องค์เดียว

    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ใช้ระยะเวลาในการประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์เป็นเวลา

    ยาวนานกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง คือ ทรงใช้เวลา 5,000 ปีนั่ง

    ประทับตรัสรู้อยู่ใต้ต้นไม้ 25 ต้น ๆ ละ 200 ปี เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี และ

    ไม่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ในศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์มาก่อนเลย

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมูล พระองค์นั้น ทรงพระนามว่า

    " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า "

    พระองค์มีพระชนม์มายุ 100,000 ปี แล้วจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    พระองค์ได้ทรงพยากรณ์เป็นพระองค์แรก ว่า

    " ต่อไปภายภาคหน้า ตระกูลของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจะมาตรัสรู้ต่อจาก

    พระองค์ จะมี 3 ตระกูล คือ

    1. ปัญญาธิกะ

    2. สัทธาธิกะ

    3. วิริยาธิกะ

    ซึ่งมีเหตุมาจาก มานพ 3 คน ได้มีสัทธาเลื่อมใสปั้นพระพุทธรูปเหมือน " พระติกขะ"

    คนแรก มีวิริยะน้อย และต้องการจะปั้นให้เสร็จเร็ว พระรูปที่ปั้นจึงมีขนาดเล็กที่สุด

    ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภท "ปัญญาธิกะ" คือ

    ใช้เวลาในการสร้างบารมีน้อยเพื่อให้ตรัสรู้ได้เร็วที่สุด และพระวรการก็เล็ก

    เหมือนกับพระรูปที่ปั้น

    คนที่ 2 มีสัทธามาก แต่มีวิริยะน้อย ปั้นเหมือนพระติกขะ มากกว่าคนแรก พระรูปมี

    ขนาดปานกลาง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    ประเภท "สัทธาธิกะ" คือ ใช้เวลาในการสร้างพระบารมีปานกลาง

    คนที่ 3 มีวิริยะแก่กล้ามากที่สุด และต้องการจะปั้นพระพุทธรูปให้เหมือน "พระติกขะ"

    มากที่สุด จึงได้ใช้ระยะเวลาในการปั้นนานที่สุด และพระพุทธรูปที่ปั้นขนาด

    ใหญ่เท่าองค์จริง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าช้าที่สุด

    แต่ มีพระรูปกายสูงใหญ่มากที่สุด ใช้เวลาในการสร้างบารมีนานที่สุด


    นี่คือ มูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของ " พระพุทธเจ้า 3 ประเภท" ครับ



    ขอบพระคุณข้อมูลจาก : พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า คือใครครับ, พระพุทธเจ้าองค์แรกในพระพุทธศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2014
  4. VisionMind

    VisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +320
    ^
    ^
    เรื่องราวดูเป็นเรื่องแต่งมาก ไม่ค่อยสมจริง(ไม่ make sense) หลายจุด
     
  5. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    เรื่องบางอย่างก็เป็นอจินไตย...."พุทธวิสัย" ที่อาจต้องใช้เวลาหรือความเป็นจริงที่ต้องไปให้ถึงตามความมุ่งมั่น ปราถนาของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นๆ ก่อนอื่นขออนุโมธนาในมหากุศลผลบุญนั้นด้วย ทุกผู้ทุกนาม..สาธุ สาธุ สาธุ

    (อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
    พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
    กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
    โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ)

    เนื่องจากคนเรามีปฏิธาน ความปราถนา ตามที่ตนต้องเดินทางในสังสาระวัฏหรือกำลังใจที่ไม่เท่ากัน คงเป็นไปตามที่ต้องบำเพ็ญเพียรตามเส้นทางของแต่ละบุคคลไป ส่วนไปได้หรือถึงแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่บารมีของแต่ละคนไป ควรสนธนาในกลุ่มที่มีปณิภาณที่มีครัทธา วิริยะ ปัญญาฯไปในทางเดียวกันหรือใกล้เคียงกันน่าจะดีกว่าครับ เพราะผู้เดินทางอย่างที่เจ้าของกระทู้ตั้งขึ้นมายังมีหรือปรากฏอยู่มากหรือพอจะสนทนาพาทีได้อยู่ ในหลายๆสายของการปฏิบัติฯ ยังไงก็ขออนุโมทนาในมหากุศลผลบุญนั้นและยินดีด้วย ก็เป็นกำลังใจให้แก่กันครับ เส้นทางในการเดินทางยังอีกยาวนานนักเราก็อาจยังได้ต้องประสพพบเจอกันอยู่ อย่างน้อยก็มีผมเป็นคนหนึ่งในนั้นและขออนุโมทนากับมหาบุญกุศลของทุกๆคน เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066


    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="//www.youtube.com/v/BKG45weLl9I?hl=th_TH&amp;version=3&amp;rel=0"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="//www.youtube.com/v/BKG45weLl9I?hl=th_TH&amp;version=3&autoplay=1&amp;rel=0" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>


    จากคลิบวีดีโอข้างบน
    ขอบพระคุณ เทศนาธรรมของพระเทพญาณมงคล(หลวงป๋า) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด
    ผู้สืบวิชชาธรรมกายสายตรง ผ่านหลวงปู่วีระผู้ทำวิชชาทุกระดับควบคู่กับหลวงปู่สด และรวบรวมวิชชาชั้นกลาง ชั้นสูง ไว้เป็นตำรามรรคผลพิศดารตามแนววิชชาธรรมกาย
    _______________________________________________




    บทความข้างล่างนี้...

    ขอบคุณ การรวบรวมและเรียบเรียงการวิเคราะห์อย่างง่ายๆจากคุณสมถะ
    (ศิษย์สายอ.การุณ จ.จันทบุรี - ศิษย์ฆราวาสที่เรียนจากแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ,แม่ชีถนอม อาสไวย์และ ฯลฯ)


    ข้อมูลที่จะคุยสู่กันฟังนี้เป็นการรวบรวมและประมวลความแบบส่วนตัว ไม่อาจกล่าวได้ว่าครบถ้วนสมบูรณ์แต่ประการใด ถือเสียว่า เป็นการวิเคราะห์+สังเคราะห์ ใน ข้อมูล+ความรู้ เท่าที่จะพอประมวลความมาได้เท่านั้น

    ประเด็นที่เรามักสงสัยกันและอาจเรียกว่าเป็นความรู้ที่ไม่เคยได้รับรู้กันมาก่อนก็คือ เรื่องของ "ภาคปราบ กับ ภาคโปรด" เราลองมานิยามคำจำกัดความของ ๒ ประโยคนี้กันดูก่อนนะครับ

    ๑. ภาคโปรด ได้แก่ พระโพธิสัตว์ซึ่งต่อมาก็คือพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีเพื่อโปรดสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ ซึ่งเป็นการแก้ไขทุกข์ภายใน กาย ใจ จิต วิญญาณ ของพระองค์เองและของสัตว์โลกให้หมดไป

    ๒. ภาคปราบ ได้แก่ พระโพธิสัตว์ซึ่งต่อมาก็คือพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีเพื่อโปรดสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ก็ได้ และยังทำวิชชาปราบมาร กล่าวคือ ทรงแก้ไขทุกข์ภายใน กาย ใจ จิต วิญญาณ ของพระองค์เองและสัตว์โลกให้หมดไป และยังทรงแก้ไขทุกข์ภายนอกอันเป็นผลมาจากการเก็บเหตุและส่งผลกลับมายังสัตว์โลกอันเป็นธรรมของธรรมภาคมาร โดยมุ่งที่การดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งภายในและภายนอก ดับธรรมภาคมาร อำนาจปกครอง วิชชาของธรรมภาคมารไม่ให้มาปกครองใจของสัตว์โลกได้อีกด้วย

    ทีนี้เราลองมาลำดับความให้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างการสร้างบารมีในแบบ ภาคปราบ และ ภาคโปรด กันดู



    ๑. พระพุทธเจ้าภาคโปรด

    ในการสร้างบารมีนั้น ท่านแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าภาคโปรดเป็น ๓ ประเภท คือ

    - ปัญญาธิกะ สัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นบำเพ็ญพระบารมีแล้ว นึกอยู่แต่ในพระทัยว่าจะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ต้องใช้เวลาที่นึกอยู่แต่ในพระทัยนั้นนับได้ ๗ อสงไขย และออกพระโอษฐ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย จะได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าและบำเพ็ญบารมีต่อไปอีก ๔ อสงไขย กับอีกแสนกัปป์ จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมเวลาบำเพ็ญบารมี ๒๐ อสงไขย ๑ แสนกัป

    - ศรัทธาธิกะ สัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระศรัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นบำเพ็ญพระบารมีแล้ว นึกอยู่แต่ในพระทัยว่าจะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ต้องใช้เวลาที่นึกอยู่แต่ในพระทัยนั้นนับได้ ๑๔ อสงไขย และออกพระโอษฐ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๑๘ อสงไขย จะได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าและบำเพ็ญบารมีต่อไปอีก ๘ อสงไขย กับอีกแสนกัปป์ จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมเวลาบำเพ็ญบารมี ๔๐ อสงไขย ๑ แสนกัป

    - วิริยาธิกะ สัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นบำเพ็ญพระบารมีแล้ว นึกอยู่แต่ในพระทัยว่าจะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ต้องใช้เวลาที่นึกอยู่แต่ในพระทัยนั้นนับได้ ๒๘ อสงไขย และออกพระโอษฐ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๓๖ อสงไขย จะได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าและบำเพ็ญบารมีต่อไปอีก ๑๖ อสงไขย กับอีกแสนกัปป์ จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมเวลาบำเพ็ญบารมี ๘๐ อสงไขย ๑ แสนกัป


    การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าภาคโปรดนั้น สร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๓ ระดับ ดังนี้

    ๑· ทานบารมี

    ๒· ศีลบารมี

    ๓· เนกขัมมะบารมี

    ๔· ปัญญาบารมี

    ๕· วิริยะบารมี

    ๖· ขันติบารมี

    ๗· สัจจะบารมี

    ๘· อธิษฐานบารมี

    ๙· เมตตาบารมี

    ๑๐· อุเบกขาบารมี



    ทั้ง ๑๐ ประการ แบ่งเป็น ๓ ระดับ นั่นคือ

    ๑. บารมี ระดับธรรมดา

    ๒. อุปบารมี ระดับกลาง

    ๓. ปรมัตถบารมี ระดับสูง

    พระโพธิสัตว์ภาคโปรดต่างต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเพื่อสร้างบารมีให้ครบกิจเช่นนี้ทุกพระองค์

    การบรรลุมรรคผลของพระโพธิสัตว์ภาคโปรดนั้น ก็คือ การทำลายกิเลสสังโยชน์ใน กาย-ใจ-จิต-วิญญาณของพระองค์ให้หมดไป เรียกว่าจัดการกับกิเลสภายในตัวให้หมดแบบสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ตรัสรู้นับเป็นปิฎกธรรมได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ช่วยเหลือสัตว์โลกตามกำลังบารมีให้ได้สำเร็จมรรคผลในยุคศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ

    นี่คือ การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคโปรดที่มีจำนวนนับอสงไขยไม่ถ้วนในอายตนนิพพาน พระพุทธเจ้าภาคโปรดเวลาเข้านิพพานใช้กายธรรมหรือธรรมกายเข้านิพพาน ส่วนกายมนุษย์ก็สลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุรอจนกว่าจะสิ้นศาสนา

    ในวิชชาธรรมกายเรียกพระพุทธเจ้านิพพานกายธรรมคือทิ้งกายมนุษย์เอาพระธรรมกายเข้านิพพาน ว่า นิพพานถอดกาย นิพพานกายธรรม

    สำหรับในการปฏิบัติทางวิชชาธรรมกาย เราพบพระพุทธเจ้าอีกลักษณะหนึ่งก็คือ

    พระพุทธเจ้านิพพานไม่ถอดกาย กล่าวคือ พระพุทธเจ้าประเภทนี้เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ โดยทำให้กายมนุษย์ของพระองค์ใสเป็นแก้ว..พอได้เวลาปรินิพพานก็เอากายมนุษย์เข้านิพพาน เรียกว่า นิพพานไม่ถอดกาย นิพพานเป็น นิพพานกายมนุษย์

    สำหรับพระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์หรือนิพพานเป็นนี้ ไม่ทราบว่าจะจัดอยู่ในฝ่ายภาคโปรดหรือไม่ แต่เท่าที่พอมีข้อมูลก็น่าจะเป็นฝ่ายภาคโปรด เพียงแต่ระยะเวลาสร้างบารมีนั้นมากกว่าพระพุทธเจ้านิพพานถอดกาย หรือนิพพานด้วยกายธรรม

    ความแตกต่างกันก็คือ พระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์นั้นมีมาก่อนนิพพานกายธรรม เป็นยุคที่สัตว์โลกมีใจเป็น ทาน - ศีล - ภาวนา เรียกว่า ยุคไตรขันธ์ ยุคนี้ธรรมภาคมารยังไม่ปกครอง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ก้าวก่ายกัน ผู้สร้างบารมีในยุคนั้นจึงแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่

    - ฝ่ายอาณาจักร ก็คือ ฝ่ายจักรพรรดิ

    - ฝ่ายพุทธจักร ก็คือ พระพุทธเจ้า(นิพพานกายมนุษย์)

    โลกยุคนั้นอยู่เย็นเป็นสุข เพราะธรรมภาคขาว(กุศลาธัมมา)ปกครองนั่นเอง

    ต่อมาธรรมภาคมาร(อกุศลาธัมมา)ยึดอำนาจปกครองได้ เข้ามาก้าวก่ายการปกครองของพระพุทธเจ้าภาคพระ(กุศลาธัมมา)จนหมดสิ้น พระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์ก็หมดสิ้นไป เปลี่ยนระบบมรรคผลนิพพานมาเป็น พระพุทธเจ้านิพพานกายธรรม จากนั้นก็ไม่มีพระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานทั้งเป็นๆ ด้วยกายมนุษย์อีกเลย

    ตอนนี้เองที่อาจมีผู้สงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์แพ้ธรรมภาคมารได้ ถึงกับต้องเปลี่ยนแปลงการเข้านิพพานจากกายมนุษย์มาเป็นการเข้านิพพานด้วยกายธรรมซึ่งทำให้เกิดการเพลี้ยงพล้ำเสียเปรียบหนักลงเข้าไปอีก นี่คือผลของอำนาจปกครองของธรรมภาคมาร ส่งผลให้ยุคไตรขันธ์ คือ ยุค ทาน-ศีล-ภาวนา หมดสิ้นลง เปลี่ยนมาเป็น ยุคเบญจขันธ์ คือ ยุคทุกข์-สมุทัย ที่ต้องเป็นเช่นนี้ สันนิษฐานได้ว่า เพราะแต่เดิม ธรรม ๒ คือ ภาคมาร(อกุศลาธัมมา) และ ธรรมภาคพระ (กุศลาธัมมา) ต่างฝ่ายต่างไม่กระทบกระทั่งกัน ต่อเมื่อธรรมภาคมารเข้ามาก้าวก่ายอำนาจปกครองของธรรมภาคขาว พระพุทธเจ้านิพพานเป็นจึงได้รู้จักฤทธิ์พิษสงของธรรมภาคมารในตอนนี้ แต่ก็คงตั้งตัวไม่ทัน จึงเกิดการก้าวก่ายอำนาจปกครองได้สำเร็จมาถึงทุกวันนี้

    ทั้งนี้หลวงพ่อวัดปากน้ำและผู้รู้ทางวิชชาท่านอื่นเคยกล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า ธรรมภาคมาร(อกุศลาธัมมา) เกิดก่อนธรรมภาคพระ(กุศลาธัมมา) เขาจึงรู้จักเราหมด แต่เรา(ธรรมภาคพระ)ไม่รู้จักเขาเลย และโดยอุปนิสัยของธรรมภาคพระไม่คิดเบียดเบียนใครอยู่แล้ว ส่วนธรรมภาคมารคงระแวงว่าพระพุทธเจ้าภาคขาว(กายมนุษย์)มีมากขึ้น เดี๋ยวจะไปรู้เห็นเรื่องของเขาเข้าสักวัน อีกทั้งเกรงว่าวิชชาความรู้จะทันกันก็ชิงยึดอำนาจปกครองเสียก่อนจนหมดสิ้น

    ความจริงเบญจขันธ์มีมาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์แล้ว แต่เบญจขันธ์ถูกปกครองด้วย ทาน-ศีล-ภาวนา ในฝ่ายของ นิโรธ-มรรค ต่อมาเมื่อมีการยึดอำนาจปกครอง เบญจขันธ์ก็ถูกปกครองด้วย ราคะ - โทสะ - โมหะ ในฝ่ายของ ทุกข์-สมุทัย ยังผลให้ตกอยู่ในกระแสของ ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือที่มาของพระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์ของธรรมภาคขาวที่พ่ายแพ้ธรรมภาคมารจึงเปลี่ยนแปลงยุคสมัยมาเป็น พระพุทธเจ้านิพพานกายธรรม

    ข้อสันนิษฐานของผมก็คือ แต่เดิม พระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์ก็บำเพ็ญบารมีภาคโปรดเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกในยุค ทาน-ศีล-ภาวนา ให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ยังไม่ทรงทราบเรื่อง ภาคปราบ เพราะอะไร ก็เพราะยังไม่มีการยึดปกครองของธรรมภาคมาร ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่ก้าวก่ายกัน ภาคปราบจึงยังไม่มี

    ต่อมาเมื่อถูกยึดอำนาจปกครอง ธรรมภาคขาว(กุศลาธัมมา)จึงต้องหาวิธีแก้ไขให้ธาตุธรรมเกิดเอกราชให้ได้ ภาคปราบจึงเกิดขึ้น และเท่าที่ทราบพระพุทธเจ้าภาคปราบหาไม่พบเลย ตลอดธาตุตลอดธรรมเห็นมีอยู่องค์เดียว ก็คือหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    เรามาสรุปความให้ชัดเจนกันก่อน กล่าวคือ

    พระพุทธเจ้ามี ๒ แบบใหญ่ๆ (เรียงลำดับตามยุคสมัย)

    ยุคแรก คือ พระพุทธเจ้านิพพานเป็น หรือพระพุทธเจ้านิพพานกายมนุษย์ นิพพานไม่ถอดกาย เกิดขึ้นใน ยุคทาน-ศีล-ภาวนา

    ยุคต่อมา คือ พระพุทธเจ้านิพพานกายธรรม หรือพระพุทธเจ้านิพพานถอดกาย คือกายมนุษย์ตาย(ปรินิพพาน)ก่อนแล้วเอาธรรมกายเข้านิพพาน เรียกว่า ยุคทุกข์-สมุทัย

    ยุคนี้เองที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าภาคโปรด หรือเราอาจเหมารวมได้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งนิพพานกายมนุษย์และนิพพานกายธรรม น่าจะล้วนแต่เป็นภาคโปรด

    มีพบเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นภาคปราบ นั่นคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ

    ต่อไปเราจะมาวิเคราะห์กันว่า พระพุทธเจ้าภาคปราบนั้น จะบังเกิดขึ้นได้อย่างไร พระโพธิสัตว์ที่ประสงค์จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าภาคปราบนั้น จะต้องสร้างบารมีอย่างไร...



    ๒. พระพุทธเจ้าภาคปราบ

    พระโพธิสัตว์ที่ประสงค์จะบำเพ็ญบารมี ภาคปราบ ท่านจะสร้างบารมีอย่างไร...?

    นี่คือคำถามที่...ต้องร่วมกันหาคำตอบ เพราะเป็นเรื่องที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ไหนมาก่อน แต่ต้องกล่าวก่อนว่า เป็นการประเมินตามสถานการณ์ปัจจุบัน ณ ขณะนี้เท่านั้น เพราะอะไรจึงกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะยุคนี้ สมัยนี้ ช่วงนี้ การทำวิชชาปราบมารดำเนินมาถึงจุดที่จะต้องปฏิวัติให้เกิดการสร้างบารมีที่จะทำให้ธรรมภาคมารเข้ามาก้าวก่ายการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ไม่ได้อีก โดยเฉพาะในช่วงที่พระโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในโลก พระโพธิสัตว์ในยุคต่อไปนี้ จะต้องสร้างบารมีทั้งภาคปราบและภาคโปรดไปพร้อมๆ กัน การจะสร้างบารมีเช่นนี้ได้ ต้องกระทำให้เกิดวิชชาความรู้ภาคปราบไปทุกภพทุกชาติของการสร้างบารมีกันเลยทีเดียว...

    ยุคพระพุทธเจ้าภาคปราบนิพพานกายมนุษย์ การสร้างบารมีเท่าที่พอประมวลรวมความมาได้ก็คือ ท่านต้องเป็นธรรมกายและทำวิชชารบได้ด้วย ต้องมีประวัติว่าสอนผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมกายได้ แก้โรคแก้ทุกข์ร้อนให้ผู้อื่นได้ ต้องทำวิชชาปราบมารได้ เพราะนี่คือบารมีรวบยอด ที่สำคัญก็คือ ท่านต้องดำเนินการสร้างบารมีตามแบบอย่างของธรรมภาคขาว(กุศลาธัมมา) ท่านต้องรู้จักและเข้าถึงผู้ปกครองหรือ ต้นธาตุต้นธรรม ทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น

    การสร้างบารมีนั้น ท่านต้องค้นวิชชาภาคปราบไปทุกภพทุกชาติ ต้องมีประวัติว่ารบชนะ ต้องเรียนรู้วิชชาธรรมกายและแตกฉานโดยเฉพาะการสอนเบื้องต้นต้องเฉียบคม และจับหลักวิชชาจนได้เหตุได้ผลทางวิชชา เพื่อรักษาความรู้ไม่ให้ผิดเพี้ยน เพื่อไม่ให้วิชชาของธรรมภาคมาร(อกุศลาธัมมา)เข้ามาสอดแทรก-ปนเป็น ในวิชชาของธรรมภาคขาว(กุศลาธัมมา) ได้

    บารมีพื้นฐานก็คือ การสอนให้ผู้อื่นเข้าถึงธรรมกายได้ ต้องเดินวิชชา ๑๘ กายได้ ต้องเรียนรู้วิชชาธรรมกายเบื้องต้น-เบื้องกลาง-เบื้องสูง ได้ตามกำลังแห่งความเพียรชอบ ไม่ทอดทิ้งงานทางวิชชา จนกระทั่งจับหลักวิชชาได้ เป็นการสร้างรอยใจของธรรมภาคขาว ชนิดที่เรียกว่า ธาตุขาวธรรมขาว ธาตุใสธรรมใส ธาตุชนะธรรมชนะ ธรรมภาคอื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาปนเป็นใน เห็น-จำ-คิด-รู้ ของท่านได้

    ต้องหมั่นประกอบเหตุ-สังเกตผล ใน ๒ ระดับ

    ๑. ในระดับส่วนตัว ต้องพัฒนาที่ผลของการเดินวิชชา โดยเฉพาะวิชชา ๑๘ กาย และผลสัมฤทธิ์ของการสอนให้ผู้อื่นเข้าถึงธรรมกาย

    ๒. ในระดับส่วนรวม ต้องแก้ทุกข์ร้อนด้วยความรู้ทางวิชชาให้ผู้อื่นได้ แก้โรคได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชชา สอนให้ผู้อื่นเข้าถึงธรรมกายได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน ตรวจสอบ วัดผลได้

    นี่คือการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคขาว(กุศลาธัมมา)ผู้มุ่งสู่การสร้างบารมีพระพุทธเจ้าภาคปราบนิพพานกายมนุษย์

    สรุปก็คือ ท่านต้องให้ความสำคัญที่ ตัวหลักวิชชา ซึ่งถือเป็นแก่นของพระศาสนา ไม่ใช่ไปเน้นที่พิธีกรรม ซึ่งถือเป็นเพียงเปลือกของพระศาสนา ถ้าเพียงเริ่มสร้างบารมีท่านก็ไม่ยึดที่แก่น คือ ความรู้ หลักวิชชา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอน แต่กลับไปยึดที่เปลือก คือ พิธีกรรม งานก่อสร้าง วัตถุภายนอก แปลว่าผิดทางมรรคผลของธรรมภาคขาว ไม่ใช่วิถีทางของพระพุทธเจ้าภาคปราบนิพพานกายมนุษย์เสียแล้วนั่นเอง




    ในประเด็นต่อไปเราลองมาวิเคราะห์ถึงการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคปราบและภาคโปรดกันดูนะครับ

    ก่อนอื่น...เมื่อเรากล่าวถึง พระพุทธเจ้า เราย่อมทราบชัดตรงกันว่า ผู้ที่บำเพ็ญบารมีจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นถือว่า เป็นผู้เลิศประเสริฐคุณกว่าสัตว์โลกใดๆ

    ในยุคพระพุทธเจ้าภาคโปรดนั้น เมื่อเราลองมาพิจารณาถึงวิธีการสร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๓ ระดับ อันได้แก่...

    ๑· ทานบารมี ๖· ขันติบารมี

    ๒· ศีลบารมี ๗. สัจจะบารมี

    ๓· เนกขัมมะบารมี ๘· อธิษฐานบารมี

    ๔· ปัญญาบารมี ๙· เมตตาบารมี

    ๕· วิริยะบารมี ๑๐· อุเบกขาบารมี



    ทั้ง ๑๐ ทัศ มี ๓ ระดับ ก็คือ บารมีเบื้องต้นระดับธรรมดา ,บารมีระดับกลางเรียกว่า อุปบารมี และบารมีระดับสูง เรียกว่า ปรมัตถบารมี

    จะเห็นได้ว่าบารมีเหล่านี้ ก็คือคุณธรรมที่จะเป็นรอยใจของธรรมภาคขาวเจริญขึ้นในใจ(เห็น-จำ-คิด-รู้) ของพระโพธิสัตว์ท่านนั้น ๆ การสร้างบารมีเช่นนี้เป็นการพัฒนาคุณธรรมให้เข้มแข็งขึ้นมานั่นเอง และต้องเป็นคุณธรรมที่ทำแก่ผู้อื่นหรือปรารถนาให้เกิดประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นด้วย

    แต่ทั้งหมดนี้ ก็อยู่ในขอบข่ายของการสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นอย่างเข้มแข็งในใจของพระโพธิสัตว์นั่นเอง

    เมื่อบารมีแก่รอบแล้ว จึงลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็พบปฏิปทาสายกลาง จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย(รวมกายในกายทั้ง ๑๘ กาย) ธรรมกายเป็นผู้เห็นปิฎกวิชชา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์แล้วจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นี่คือวิธีการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคโปรดในอดีต

    ทีนี้เมื่อเรากล่าวถึงพระโพธิสัตว์ภาคปราบ มีบางประเด็นที่แตกต่างกับภาคโปรด กล่าวคือ...

    - ภาคโปรดนั้นต้องมีบารมีแก่รอบจึงจะเข้าถึงธรรมกาย(และเห็นกายในกายทั้ง ๑๘ กายด้วย)

    - แต่พระโพธิสัตว์ภาคปราบต้องเข้าถึงธรรมกาย(วิชชา ๑๘ กาย)ในขณะกำลังสร้างบารมีไปทุกภพทุกชาติ และยังต้องเข้าถึงวิชชาภาคปราบไปทุกภพทุกชาติ ถ้าชาตินี้ดับมารได้ไม่หมดก็ต้องลงมาสร้างบารมีเติมเต็มและค้นวิชชาภาคปราบเรื่อยไปด้วย

    คุณธรรมของภาคโปรดก็คือบารมี ๑๐ ทัศ ๓ ระดับ ก็จะเจริญขึ้นตามกำลังแห่งการเห็นวิชชาภาคปราบ นี่คือบารมีรวบยอดและจะเห็นได้ว่า เมื่อเราเป็นธรรมกายแล้วการสร้างบารมีจะเป็นระบบระเบียบและมีประสิทธิภาพมาก โดยเฉพาะเมื่อเราเข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมหรือผู้ปกครองของวงศ์สายขาว(กุศลาธัมมา)ได้จริง เราก็จะสร้างบารมีได้อย่างถูกตรงยิ่งขึ้น บารมีที่ได้ก็จะเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะธาตุธรรมภาคขาวคอยดูแลให้

    สรุป การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคโปรดจนกระทั่งบารมีแก่รอบจึงเข้าถึงธรรมกาย แต่การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ภาคปราบต้องเข้าถึงธรรมกายตั้งแต่แรกสร้างบารมี และต้องเข้าถึงวิชชาภาคปราบทำวิชชารบไปทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งบารมีแก่รอบจึงจะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าภาคปราบและต้องทำวิชชาให้เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ได้อีกด้วย

    ดังนั้น...จะเห็นได้ว่าการสร้างบารมีของภาคปราบต้องใช้หลักความรู้ หลักวิชชาเป็นพื้นฐานในการบำเพ็ญบารมี จะมานั่งสร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๓ ระดับแบบก่อนเก่าย่อมไม่เพียงพอ ต้องอาศัยการเข้าวิชชาธรรมกายด้วยการทำวิชชารบไปด้วยนั่นเอง ดังนั้น ความรู้ทางวิชชาจึงสำคัญยิ่ง

    ดังที่ได้กล่าวแสดงชี้แจงเหตุผลมานี้ ท่านผู้อ่านพอจับจุดและทำความเข้าใจได้หรือไม่ ท่านใดมีประวัติว่าเกิดมาพบวิชชาธรรมกาย เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกายและเดินวิชชาได้อย่างถูกต้อง ท่านต้องทราบนโยบายการสร้างบารมีภาคปราบกายมนุษย์ของธาตุธรรมภาคขาว(กุศลาธัมมา) เช่นนี้ แล้วท่านจะได้ลงมือสร้างบารมีโดยยึดแก่นหรือหลักวิชชา ไม่ใช่ไปยึดเปลือกคือพิธีกรรม จำนวนวัตถุ ปริมาณของผู้คนมาอ้างในการสร้างบารมี เพราะนั่นไม่ใช่หลักวิชชาที่จะทำให้ท่านสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าภาคปราบกายมนุษย์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2014
  7. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... วิชชาธรรมกายของท่านพระเดชพระคุณหลวงปู่สด ท่านสอนเอาไว้ดีมากๆ เป็นพุทธานุสสติบวกอาโลกกสิน

    ... แต่ศิษย์รุ่นหลังๆ เอาไปใช้ไม่ถูกทาง จนเลยเถิดไปกันใหญ่ ไม่รู้อะไรต่ออะไร น่าสงสารท่านหลวงปู่สอนไว้อย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ตีความไปอย่างหนึ่ง

    ... แต่ท่านหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ศิษย์หลวงปู่สดอีกองค์หนึ่ง องค์นี้ท่านสอนดีผมยกใส่หัวใส่เกล้าเลยครับ
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066

    จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อฤษีฯ พระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง




    ..........อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน

    แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว

    แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)

    ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่
    ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อ สดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก

    รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์........ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้
    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด


    ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์์.........
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066




    มีหลักฐาน พยาน ทั้งด้าน
    ปริยัติ ปฏิบัติ เอกสารวิชาการ เอกสารอ้างอิงถึงพระไตรปิฏก ตามทีึ่คณะศิษย์วัดปากน้ำภาษีเจริญ และวัดหลวงพ่อสด ฯราชบุรี หรือ สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
    ได้ชี้แจงไว้

    วิชชาธรรมกาย ไม่ใช่วัดที่ปทมธานี

    วิชชาธรรมกาย ไม่ได้กำเนิดที่วัดที่ปทุมธานี





    **********************************





    [​IMG]



    แรงบันดาลใจเกี่ยวกับการพิทักษ์รักษาวิชชาธรรมกายที่บริสุทธิ์



    ในข้อนี้มีความสำคัญอยู่ถึง 2 ประการด้วยกัน

    1. ประการแรก:ก็คือว่า หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร(ปัจจุบัน พระราชพรหมเถระ) รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของอาตมภาพนี้ ท่านได้เป็นศิษย์ผู้หนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกาย ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และวิชชาธรรมกายชั้นสูง จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) มาเองโดยตรง ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถรยังเป็นฆราวาส แล้วภายหลังต่อมา ก็ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นองค์อุปัชฌาย์ และก็ได้รับการฝึกทำวิชชาธรรมกายชั้นสูงกับหลวงพ่อมาอย่างใกล้ชิดโดยตลอด จนกระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มรณภาพลง แล้วภายหลังจากนั้น ก็ได้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชชาธรรมกายนี้แก่ศิษยานุศิษย์ สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าหลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร เป็นศูนย์รวมหรือคลังแห่งวิชชาธรรมกาย ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรง และยังเป็นที่รวมวิชชาธรรมกายชั้นสูง ที่ศิษย์ในพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่เป็นพระเถระรุ่นพี่ ได้จดทำบันทึกไว้ ก็ยังได้มารวมตกแก่หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร องค์ปัจจุบันนี้อีกด้วย

    จึงเห็นว่าวิชชาธรรมกายทุกระดับทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และวิชชาธรรมกายชั้นสูง ควรจะต้องมีการรวบรวมขึ้น เป็นหลักฐานอ้างอิงที่สำคัญต่อไป เพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง จะได้ศึกษาและปฏิบัติต่อไปอย่างถูกทางและสมบูรณ์ ตามที่พระเดช พระคุณหลวงพ่อได้ถ่ายทอดไว้

    2.ในประการที่สอง: หากจะพิจารณาในเหตุผลและจากประสบการณ์ที่อาตมาเคยได้รับได้รู้เห็นมากพอสมควรแล้ว ก็จะพบว่า อาจจะมีผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายในสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ที่มีภูมิรู้ไม่เท่ากัน และทั้งอาจได้ยินได้ฟังมาไม่เท่ากัน ก็ย่อมจะได้รับวิชชาความรู้ไปได้ไม่เท่ากัน และอาจจะมีบางท่านที่สำคัญผิดและรับรู้ไปผิดเพี้ยนบ้างก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่มีพื้นความรู้ทางปริยัติมาน้อย ก็อาจจะมีความสำคัญในธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมาผิดๆ และก็อาจถ่ายทอดสืบต่อๆ กันไปผิดๆ ได้ นอกจากนี้ยังอาจจะมีผู้ที่ค้นคว้าวิชชาไปเอง โดยที่ยังมิได้ผ่านการกลั่นกรองและอนุมัติจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสียก่อน แล้วนำออกใช้และเผยแพร่สืบทอดต่อๆ กัน ไปอย่างผิดๆ เพี้ยนๆ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปบ้าง ซึ่งก็อาจจะมีได้เป็นได้ ตราบใดที่อวิชชายังไม่หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน ก็ยังอาจจะถูกอภิสังขารมาร ได้แก่ ลาภสักการะและฐานะอันสูงส่ง หรือแม้โลกิยวิชชานั้นเองหลอกลวงได้โดยง่าย ผู้ที่มีสมาธิดีที่มิใช่พระอริยะ ซึ่งสามารถเจริญโลกิยวิชชาที่อาจจะใช้ได้ผลดีในบางครั้งบางคราว ก็ยังอาจจะหลง เพราะถูกมารเขาหลอกให้เห็นผิดเป็นชอบได้ อย่างเช่นพระเทวทัต ซึ่งเคยมีโลกิยวิชชา ถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อกิเลสคือ โลภะ โทสะ และโมหะเข้าครอบงำ ก็ถึงกับทำสังฆเภท ยุยงพระสงฆ์ให้แตกแยกกัน และกระทำโลหิตุปบาทแก่พระพุทธเจ้า เป็นอนันตริยกรรมได้ จึงต้องไปเสวยวิบากกรรมในอเวจีมหานรก นั่นแหละ เพราะอย่างนี้ผู้ที่มิใช่อริยบุคคลแต่เจริญโลกิยวิชชาได้ หากหลงในอภิสังขารมารหรือโลกิยวิชชาเมื่อใด ก็อาจจะถูกมารเขาหลอกให้เห็นผิด จึงรู้ผิดคิดผิด พูดผิดทำผิดและแนะนำผู้อื่นผิดๆ ต่อไปเป็นโทษทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นได้มาก

    หลักการศึกษาและปฏิบัติธรรมของอาตมาและศิษยานุศิษย์ ในสำนักนี้ จึงต้องอิงหลักปริยัติตำรับตำรา และครูอาจารย์ที่เชื่อถือได้ และที่เป็นกัลยาณมิตรจริงๆ จนกว่าจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว นั่นแหละจึงจะวางใจได้ ความจำเป็นที่จะต้องรวบรวมวิชชาธรรมกายทุกระดับ ออกมาเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่เชื่อถือได้ เพื่อไว้อ้างอิงเป็นตำรับตำราแก่อนุชนรุ่นหลัง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คณะผู้บริหาร โครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และ โครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ได้จัดตั้งสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกายแห่งนี้ขึ้น เพื่อให้เป็นองค์กร หรือ แหล่งที่รวบรวมสรรพตำราตามแนววิชชาธรรมกาย ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ โดยคณะบุคคลผู้ซึ่งได้รับถ่ายทอดวิชชาธรรมกาย จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรงที่เชื่อถือได้ และศิษยานุศิษย์ผู้มีทั้งในหลักธรรมปฏิบัติและในหลักปริยัติสัทธรรมมาดีพอสมควร เพื่อพิทักษ์รักษาวิชชาธรรมกายอันบริสุทธิ์นี้ไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ได้รู้จักวิชชาธรรมกายที่ถูกต้องตรงตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้ถ่ายทอดเอาไว้ และก็เหตุนี้แหละที่องค์กรนี้ได้ชื่อว่า “สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย”(วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม)




    พระเทพญาณมงคล(หลวงป๋า)




    ********************************************************



    [​IMG]






    พบใครได้ดวงหรือแช่อิ่มองค์พระ(มองเฉยๆ โดยไม่เจริญวิชชาสะสางธาตุธรรม)

    ช่วยกันแนะนำให้ต่อวิชชานะครับ


    เพระการเห็นองค์พระ เป็นเพียงแค่ " ฌาณ " เท่านั้นเอง
    ( และ ยังสามารถทำอกุศลกรรมได้ ถ้าไม่อาศัย
    ญาณพระธรรมกายเพื่อสะสางกิเลส ตัณหา และดับอวิชชา ตัดสังโยชน์ )

    " ธรรมกายของแท้ 1 คน ช่วยคนได้ครึ่งเมือง "







    [​IMG]




    ทุก1-14 พฤษภาคม กลางปี

    และ 1-14 ธันวาคม



    อบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นกลางปี (ฆราวาสเข้าร่วมอบรมได้)

    ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชุบรี

    - ขั้นพื้นฐาน เพื่อให้จิตสงบ พบดวงใส
    - ขั้นกลาง เพื่อต่อจากดวงใส เป็น 18 กาย และต่อไปถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจ้า
    - ขั้นสูง เพื่อตรวจภพตรวจจักรวาล เจริญวิชชา และละกิเลสในใจตน
    นำโดย พระเทพญาณมงคล วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล, ป.ธ.6) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม พระวิทยากร และอุบาสก อุบาสิกาวิทยากร ที่ครูบาอาจารย์คัดเลือกให้สอนสมาธิได้

    - ปฏิบัติธรรมรวมกลุ่มใหญ่
    - ปฏิบัติธรรมแยกกลุ่มย่อยกับวิทยากร
    - ฟังธรรมจากพระมหาเถระ




    หรือใครที่ได้ดวงธรรมเบื้องต้นแล้ว......ขอเชิญ



    [​IMG]




    หมายเลขโทรศัพท์ ที่วัดหลวงพ่อสดฯ รับรอง สำหรับการใช้ติดต่อ


    090-595-5162 ปชส.1
    090-595-5164 ปชส.2
    081-586-8685 ปชส.1 (พระมหาสมชาติ สุชาโต)
    090-595-5166 ปชส.1 (พระมหาพร้อมไพบูลย์)
    090-595-9562, 083-032-8907 ปชส.1 (พระมหาอธิโชค)
    086-660-4140 พระมหาธีรชัย ธีรชโย
    086-604-3665 พระมหาอนุชา จนฺทปภาโส



    ***************************************************



    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เป็นคนละสำนักปฏิบัติธรรม - คนละคณะบริหาร - คนละนโยบายวัตถุประสงค์ - คนละกิจกรรม กับ วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี
    ไม่ใช่สาขาของวัดพระธรรมกาย







    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เป็นสายเดียวกับวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หรือไม่ ?
    ตอบ หลวงพ่อ พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.6) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เป็นศิษย์ของพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาสและอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    พระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) นั้นท่านเป็นศิษย์โดยตรง และสืบทอดวิชชาธรรมกายทั้งหมด จากพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)*

    ส่วนเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (วรปุญฺญมหาเถร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน ก็เป็น พระอนุสาวนาจารย์ ของหลวงพ่อ พระเทพญาณมงคล และท่านยังเป็นรองประธานสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย แห่งนี้ด้วย

    ดูเพิ่มเติมที่ ประวัติสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย และ ประวัติวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม











    **********************************************************

    คำถามที่ถามบ่อย (FAQ)

    คำถามทั่วไป
    1. วัดนี้ (วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม) เป็นวัดเดียวกันกับ วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี หรือไม่ ?
    2. วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เป็นสาขาของวัดพระธรรมกาย หรือไม่ ?
    3. วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เป็นสายเดียวกับวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หรือไม่ ?
    4. เนื่องจาก มีท่านผู้สอนวิชชาธรรมกายหลายท่าน เช่น ที่ราชบุรี มีสำนักสวนแก้วที่แม่ชีหวานใจเป็นผู้สอน, ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี, อ.การุณย์ บุญมานุช จ.จันทบุรี, วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ. ดังนั้นหากต้องการฝึกฝน จะพิจารณาอย่างไรว่าควรฝึกในที่ใด ?
    การเข้ารับการอบรม/ปฏิบัติธรรม
    1. ในวันอุโบสถ ฆราวาสสามารถไปอยู่ปฏิบัติธรรมและพักที่วัดได้หรือไม่ ?
    2. ถ้าประสงค์จะไปพักและปฏิบัติธรรมที่วัดในช่วงระยะ ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน จะได้หรือไม่ ? และจะต้องขออนุญาตอย่างไร ? ขอทราบรายละเอียดด้วย
    3. การอบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นกลางปี และปลายปี ฆราวาสจะมาเข้ารับการอบรมด้วยได้หรือไม่ ? ในรูปเห็นมีแต่พระภิกษุเต็มไปหมด ?
    4. ในการอบรมพระกัมมัฏฐานประจำปี ฆราวาสจะมาเข้าอบรมในช่วงสั้นๆ เช่น ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน จะได้หรือไม่ ?
    5. มาอบรมที่วัดหลวงพ่อสดฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ?
    6. การมาเข้ารับการอบรม ต้องเตรียมอะไรมาบ้าง ?
    การบรรพชาอุปสมบท
    1. การติดต่อเพื่อขอบวชที่วัดนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง ?
    การติดต่อกับวัด
    1. ถ้าจะส่งเงินมาที่วัด จะทำอย่างไร ?
    2. เดินทางมาที่วัดได้อย่างไร ?
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066


    ควรจะฟังจากหลวงปู่สดท่านเอง ในพระธรรมเทศนากว่า 90 กัณฑ์ ทางวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้ทำการบันทึกการสอนสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งสอนโดยหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก่อนปี พ.ศ. 2500 ซึ่งในสมัยนั้นเครื่องบันทึกเสียงเข้ามาในเมืองไทยเป็นครั้งแรกจำนวน 8 เครื่อง เครื่องในจำนวนนั้นมาอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญยี่ห้อ Reverse ผู้บันทึกการสอนฯ ของหลวงพ่อในครั้งนั้นคือ พระปลัดธนิต สมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็นพระพิพัฒธรรมคณี

    พระธรรมเทศนาเรื่องสติปัฏฐานสูตร เมื่อตุลาคม 2497


    "นี่เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา
    เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม
    เห็นจริงๆ อย่างนี้ อุเทศทวารก็เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ
    เห็นเข้าไปตั้ง 18 กายนั่นแน่ะ

    เห็นเข้าไปอย่างนี้แหละ 18 กาย
    ชัดๆ ใช้ได้ทีเดียว ไม่ใช่พอดีพอร้ายล่ะ
    ถ้าสนใจจริงๆ ก็เห็นจริงๆ อย่างนี้"

    ฟังจากหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรง ท่านบอกไว้ชัดทีเดียวครับ

    จากหลักฐานพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำในทุกปี ก่อนปีพ.ศ. 2498 ในปี พ.ศ. 2498 และหลังปี พ.ศ. 2498 ไม่ปรากฎว่าท่านสอนแบบอื่นๆ หลวงพ่อสอนวิชชาธรรมกายโดยเน้นย้ำว่าต้องเดินทางนี้ทางเดียว และแบบนี้แบบเดียวตลอดชีวิตของท่านครับ
    เรื่องนี้ควรฟังคนใกล้ชิด ไม่ใช่ฟังจากคนอื่น มีชีวิตอยู่หลายคนที่วัดปากน้ำ หลวงพ่อสดจะทิ้งท่านคงจะบอกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อาจารย์ตรีธา เนียมขำ ซึ่งเปรียบดังบุตร บุตรีของท่าน ยังมีพระราชพรหมเถรอีก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ท่านยังมาควบคุมการปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายอยู่ มีการสอนทุกวันที่วัดปากน้ำ



    *********************************************************


    สิ่งหนึ่งที่สำคัญและยืนยันได้ว่าท่านไม่ได้ล่ะทิ้งวิชาธรรมกาย ก็ตอนท่านใกล้ล่ะสังขาร ท่านก็ยังสั่งลูกศิษย์เผยแพร่วิชาธรรมกายต่อไป และหลังจากท่านได้พบท่านเจ้าคุณโชดก หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้กลับลำให้พระและลูกศิษย์ในวัดปากน้ำมาใช้ ยุบหนอ พองหนอ ในการฝึกเลย สิ่งนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ดีมากๆ

    1. ข้อโต้แย้งกันคือ ท่านเจ้าคุณเดินทางมาสอนที่วัดปากน้ำในโบสน์ และหลายๆตำราบอกว่า หลวงพ่อเดินทางไปขอเรียนที่วัดมหาธาตุ

    2. หลวงพ่อวัดปากน้ำได้เล่าให้ศิษย์บรรพชิตท่านฟังว่า ท่านปฏิบัติบรรลุญาณ ๑๖ มาเป็นสิบๆปีแล้ว ก่อนที่กรรมฐานแบบวัดมหาธาตุจะเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะวิชชาธรรมกายก็มีการพิจารณาไตรลักษณ์ และพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ คือพิจารณากายในกาย เวทนาใน้เวทนา จิตในจิต และพิจารณาธรรมในธรรม และท่านยังได้บอกศิษย์ว่า สามเณรที่ทางวัดมหาธาตุรับรองว่าบรรลุญาณ๑๖แล้ว(เข้าใจว่าเป็นรูปแรก) ที่บอกใครๆว่าสามารถเข้าสมาบัตินั่งตัวแข็งได้ทุกที่นั้น ซึ่งโด่งดังมากในสมัยนั้น จะไม่สามารถเข้าสมาบัตินั่งตัวแข็งได้ที่วัดปากน้ำ และเป็นจริงตามที่หลวงพ่อพูด ต่อมาสามเณรรูปนั้นสึกแล้วเป็นหัวขโมย [หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน มหาวีระ ถาวโร) , ......, เรื่องจริงอิงนิทานเล่ม๑, น.๑๖๙- ๑๗๒. ]

    3. “ให้สำนักวิปัสสนา ในการที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามแบบวัดมหาธาตุสอนอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่าการปฏิบัติแบบนี้ ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ” พระภาวนาโกศล วัดปากน้ำ ธนบุรี ๒๐ เมษายน ๒๔๙๘

    นี่คือประโยคที่ หลวงพ่อท่านเขียนให้แก่สำนักวัดมหาธาตุ ขอถามว่ามีประโยคไหนว่า วิชาธรรมกายไม่ถูกต้อง ตามข้อความข้างบน

    4. จึงเป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อวิชชาธรรมกายนำไปบิดเบือน คือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว แต่อีกครึ่งไม่ยอมบอกใครๆว่า ที่หลวงพ่อยอมเขียนรับรองให้นั้นเป็นการเขียนรับรองตามคำขอ เพราะเจ้าประคุณพระพิมลธรรม(อาสภเถร)สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองนั้นใหญ่มาก มีอำนาจมาก เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่เสียชีวิตไปแล้วเล่าให้ฟัง

    5. อันนี้เด็ดกว่าลบคำกล่าวอ้าง .. หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านบอกว่า “ต้นธาตุสั่งให้ท่านมาเกิดเพื่อปราบมาร” เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ (นางแฉล้ม อุศุภรัตน์, ๒๔๙๙, โอวาทเจ้าคุณพ่อ, ใน เรื่องธรรมกาย ของพระมงคลราชมุนี, วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ไทยพณิชยการ,หน้าธ–ป.) ซึ่งหลวงพ่อสดเทศน์ภายหลังจากที่ท่านเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุฯในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วประมาณ ๕ เดือนครึ่ง นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าหลวงพ่อเชื่อมั่นในวิชชาธรรมกาย แม้แต่การเดินจงกรม ในเรื่องสติ ถ้าให้พูดถึงและดังมากๆ คนฝึกนิยมกัน ก็ต้องของคุณแม่สิริ ส่วนของหลวงพ่อจรัญ เดินจงกรม 6 ระยะ (คงไม่มีใคร ไปนั่งแบ่งแยก สายนี้ผิด สายนี้ถูก น่ะครับ) ที่พูดเพื่อต้องการบอกว่า ทุกอย่างก็มีการปรับเปลี่ยนไป ตามแล้วแต่จริตคน ชอบแนวทางสายไหนก็ฝึกสายนั้นครับ


    _________________________________________________________

    โอวาทของหลวงพ่อวัดปากน้ำ






    ผู้เทศน์เกิดวันศุกร์ ปีวอก บวชมา 50 พรรษา ค้นคว้าธรรมะเรื่อยมา

    การออกธุดงค์ ใจเป็นมรรคผล สงบ สมาธิ เป็นทาง รู้ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญา [ไม่ใช่ธรรม]

    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพุทธรัตนะ ผู้เทศน์รู้จักเกือบ 50 ปี [ตำราไม่มี] โดยการค้นคว้าทางปฏิบัติ

    ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า

    ชั่วที่สุด คือ มาร




    ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้วว่า ต้นธาตุ [คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก ขณะนี้อยู่บนพระนิพพาน] ใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร [ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย] ถ้ามารไม่แพ้ ผู้เทศน์ยอมตายอยู่วัดปากน้ำ
    มารปล่อยสายมาปกครองมนุษย์ มนุษย์ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของโลภะ โทสะ โมหะ [ผลคือ ความเสียหาย] มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เช่นสงครามที่แล้วมา เกิดจาก โลภะ คือความโลภ เป็นเหตุให้คนเจ็บ คนตาย ลูกชายลูกหญิงมีความหลง โมหะ ว่าตัวเก่งแล้ว พ่อแม่ว่าไม่ได้ มี โทสะ โมโหโต้เถียง ไม่กลัวเกรง

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาย โลภะ โทสะ โมหะ เขาปกครอง เขาสั่งให้ทำเช่นนั้น เอาบ้านเมืองมาล่อ เอาความเจ็บความตายมาให้ ปราบมารเหล่านี้ลงเสียได้ มนุษย์จะได้อยู่เป็นสุข เจ้าตัวมารเหมือนผีเที่ยวสิงบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งของเขา

    เราต้องเข้าวิชชาธรรมกายจึงรู้ เห็นหมด เพราะธาตุธรรมไม่เหมือนกัน

    วัดปากน้ำช่วยเหลือแก้คนป่วยไข้ ให้หายไม่ต้องกินยา มารมันยอมให้คนไข้หาย แต่มันไม่ยอมแพ้ มันแพ้หลอก ๆ [ตามวิสัยของมาร]

    มนุษย์ชายหญิง เป็นพระก็มาก เป็นมารก็มาก

    เป็นธรรมกาย ดูเป็น รักษาตัวได้ เราจับสายธรรมะเสีย เขาก็ไม่รบกัน เก็บสมบัติให้หมด เก็บอาวุธให้หมดตามจุด เขาก็ไม่รบกัน [จับ หรือ เก็บ ในที่นี้ หมายความว่า จัดหรือเก็บ ในทางปฏิบัติธรรมะ]

    กวดขันอย่างนี้ 25 ปีแล้ว แยกพระ แยกมาร ไม่ให้ปนกัน ไม่ให้กระทบกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นสุข [เหมือนรัฐกันกระทบในมนุษยโลก]

    จะให้สัญญา ไม่รังแกกัน ถ้าไม่ยอมก็เก็บฤทธิ์เสีย ที่ไม่ตกลงกัน เพราะเขาลองฤทธิ์กัน

    ผู้เทศน์ปล่อยชีวิต [ยอมตายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า] ถึง 2 คราว จึงได้พบ “ธรรมกาย” [พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ]

    ชายหญิงผู้ปฏิบัติธรรมะ ถึง "ธรรมกายโคตรภู" เท่ากับได้บวชข้างใน เป็นหญิงถือว่าได้บวชข้างใน หากเป็นชายที่บวชพระ ถือว่าบวชทั้งนอกและข้างใน เป็น 2 ชั้น

    ความอยากเป็นเหตุให้เกิด เกิดเป็นผล

    หยาบดับได้ ดับเป็นชั้นๆ ดับตั้งแต่กายมนุษย์หยาบจนถึงธรรมกาย ความเกิดเป็นของจริง ละได้ก็เห็นดับ ดับนั้นเป็นนิโรธ นิโรธมีขึ้นได้เพราะศีล สมาธิ ปัญญา

    ดับหยาบไปหาละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไป จนเป็นพระโสดา ตาดีก็เห็น ญาณดีก็รู้ มีบาลีรับรอง

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย “ธรรมกาย” นั่นแหละเป็นผู้รักษาความสงบ



    --------------------------------------------------------------------------------

    * โอวาทของเจ้าคุณพ่อ บันทึกโดย นางแฉล้ม อุศภรัตน์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งคล้ายกับวันเกิดของเจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณพ่อเทศน์เป็นการให้โอวาทและสั่งสอนลูกๆ ตีพิมพ์ในหนังสือ เรื่องธรรมกาย ของพระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พ.ศ.2499.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066


    ศิษย์ที่ได้เรียนระดับไหน

    เบื้องต้น18กายผ่านถึงตรงไหน

    ถ้าได้18กายแล้ว ไม่ได้เจริญวิชชาฯในส่วนรายละเอียด ที่เป็นสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกายจนถึงพระนิพพาน แล้วทิ้ง ไปเจริญในกรรมฐานสายอื่นต่อ
    นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นความพอใจส่วนบุคคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    http://palungjit.org/posts/7902528
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    [​IMG]





    ใจความที่คัดจากหนังสืออิทธิปาฏิหาริย์ เกจิอาจารย์ ของดวงธรรม โชนเชิดประทีป, ๒๕๐๗, กรุงเทพฯ: บรรณาคาร, หน้า ๓ –๖ มีความว่าดังนี้ :



    “ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้า( พระอริยคุณาธาร ปุสฺโสเส็ง ) ได้มีโอกาสเข้าไปในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีผู้สงสัยกันมาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่ก็สงสัย บางท่านทำทีจะโต้แย้งคัดค้าน และได้ปรึกษาเรื่องนี้กะข้าพเจ้า



    ข้าพเจ้าแนะนำว่าควรจะสืบสวนให้รู้ถ่องแท้ก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ลึกซึ้ง อันยากแก่การพิสูจน์อิทธิวิสัย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง และอภิญญาเป็นวิชชาชั้นสูงในพระพุทธศาสนา ถ้าเรารู้ไม่ถึงแล้วด่วนคัดค้านโต้แย้ง อาจได้รับความอับอายภายหลัง ท่านผู้นั้นขอร้องข้าพเจ้าให้เป็นผู้สืบสวน ข้าพเจ้ารับภาระนั้นด้วยเห็นแก่ความสวัสดีของพระพุทธศาสนา



    วันหนึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสดี ให้คนไปพบปะสนทนากับหลวงพ่อ ท่านนัด ๑๖. ๐๐ น. ข้าพเจ้าไปวัดปากน้ำตามเวลานัด ขณะนั้นหลวงพ่อยังอยู่ในที่ฝึกภาวนาแก่ภิกษุสามเณร อุบาสก-อุบาสิกา ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ที่รับแขกราวครึ่งชั่วโมง มีคนไปบอกหลวงพ่อ ท่านออกมาปฏิสันถารเมื่อรู้ว่าเป็นบุคคลที่นัดไว้ จึงนำไปที่กุฏิของท่าน เพื่อมีโอกาสสนทนาโดยเฉพาะ เมื่อผ่านการปราศัยไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามตำแหน่งแห่งที่พอรู้เรื่องแล้ว หลวงพ่อพูดถึงแนวการปฏิบัติและแนวการสอนของท่าน พร้อมกับเล่าเรื่องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ฟัง



    ข้าพเจ้าสอบถามพระพุทธลักษณะกับหลวงพ่อเล็กน้อย ท่านชี้ให้ดูพระพุทธรูปว่ามีลักษณะอย่างนั้น และมีพระเกตุมาลายอดแหลม เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หลวงพ่อให้หนังสือ “ธรรมกาย” แก่ข้าพเจ้า ๑ เล่ม ส่วนข้าพเจ้าได้ตอบแทนท่านด้วยหนังสือ “สีลวัต” ๑ เล่ม



    พอท่านเห็นหนังสือของข้าพเจ้า ท่านแสดงอาการปลื้มปีติระคนความดีใจ เอ่ยชวนข้าพเจ้าปราบมารทันที ท่านว่าเวลานี้มารกำแหงนัก มันทำพระเณรให้เสียความเป็นพระเณรไปมากแล้ว เรามาช่วยกันเก็บมารขังกันเถอะ



    ข้าพเจ้าติงว่ามารมีจำนวนมากหมาย เราจะจับขังที่ไหน จึงจะหมด หลวงพ่อว่า มีซิที่ขังมาร เราขังแต่ตัวโต ๆ เท่านั้น ตัวเล็กตัวน้อยมันก็หมดฤทธิ์ไปเอง การสนทนาหยุดชะงักลง ด้วยมีแขกพิเศษมาหาหลวงพ่อในขณะนั้น ข้าพเจ้าจึงลากลับ”




    หมายเหตุ อดีตพระอริยคุณาธารเส็งนี้เป็นผู้ที่มีภูมิธรรมสูงมากรูปหนึ่ง

    ขนาดพระหลวงปู่ครูอาจารยหลายรูปศิษย์หลวงปู่มั่นยังเคารพท่าน

    ดูอย่างหลวงพ่อพุธ ฐานิโยศิษรูปหนึ่งของหลวงปู่มั่นซึ่งปัจจุบันมรณภาพแล้วอัฐิได้กลายเป็นพระธาตุแล้วอันแสดงถึงภูมิธรรมขั้นอริยของท่าน

    หลวงพ่อพุธท่านยังเคารพยกย่องอดีตพระอริยคุณาธาร เส็งปุสโส เป็นอาจารย์คนสำคัญของท่านรูปหนึ่งเลยทีเดียว

    ได้ยินมาว่าท่านพระอริยคุณาธารเส็งท่านนี้เป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณหวังเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตครับ


    แม้บั้นปลายอายุท่านสึกออกมา ท่านสึกออกมาเพื่อรักษาโรคกระเพาะ ที่ต้องสึกเพราะจะสะดวกแก่การรักษามากกว่าการอยู่ในสมณเพศเนื่องจากอาการค่อนข้างหนัก มิได้เป็นเรื่องมัวหมองอยากที่ใครกล่าวหาแต่อย่างใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    พระธรรมเทศนาของพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส)วัดป่าเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น



    เราควรศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างไรดี

    มีคำเปรียบพระพุทธศาสนาเหมือนมหาสมุทร ซึ่งค่อยลึกลงไปโดยลำดับ ใจกลางของมหาสมุทรนั้นลึกล้ำ ยากที่จะหยั่งถึง พระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน ส่วนที่ลึกซึ้งที่สุดคือพระปรมัตถธรรม

    เพียงแต่ความรู้อันได้จากการศึกษาทางพระปริยัติธรรมหาพอเพียงที่จะเป็นเครื่องมือให้หยั่งรู้พระปรมัตถธรรมได้ไม่
    เพราะความรู้ชั้นนั้นเป็นเพียงสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา

    พระปรมัตถธรรม เป็นวิสัย แห่งการภาวนามยปัญญาจะพึงหยั่งรู้ได้การศึกษาพระปริยัติธรรมต้องดำเนินตามลำดับขั้น คือ



    ๑) ธตา ท่องจำ
    ๒) วจสา ปริจิตา ทำให้คล่องปาก
    ๓) มนสานุเปกขิตา ทำให้ขึ้นใจ คือเพ่งด้วยใจและการคิดอ่านทำตาม
    ๔) ทิฏจิยา สุปฏิวิทฺธา ให้เห็นเหตุผล หรือความหมายทะลุปรุโปร่ง



    การคิดอ่านธรรมะตามที่ศึกษาเล่าเรียนมา ก็อยู่ในลำดับขั้นการศึกษาพระปริยัติธรรม ขั้น ๓-๔ เท่านั้น ยังไม่จัดว่าก้าวขึ้นสู่ขั้นปฏิบัติ ที่เรียกว่า "ภาวนา" อันเป็นทางให้เกิดสติปัญญาแหลมคม เมื่อเรายังศึกษาอยู่แค่ชั้นปริยัติ ๔ ขั้นดังกล่าวนั้น เราก็ยังไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะหยั่งรู้พระปรมัตถธรรมถูกต้อง เพียงแต่พูดได้ตามหลักพระปริยัติธรรมเท่านั้น ครั้นพูดออกนอกหลักพระปริยัติธรรมเมื่อไร ความผิดพลาดก็มักเกิดขึ้นเมื่อนั้น แทนที่จะเป็นการบำรุงพระพุทธศาสนา ก็กลายเป็นทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว


    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้แสดงให้ผิดเพี้ยนไปจากที่ทรงแสดงไว้เป็นบาปหนัก เขาเป็นผู้ทำลายพระศาสนาของพระองค์ จักต้องเสวยทุกข์ไปนาน ฉะนั้นเราจึงควรสังวรในเรื่องนี้ให้มาก

    เมื่อเรายังรู้ไม่ทั่วถึงพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นพระศาสนาของพระบรมศาสดาแล้ว อย่าอวดรู้แสดงออกนอกหลักพระปริยัติธรรมดีกว่า


    การอวดรู้ อวดฉลาด แสดงความหมายของพระพุทธศาสนาให้ผิดไปจากหลักพระปริยัติธรรมไม่ดีเลย

    ถ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แสดงแล้ว ผู้น้อยก็จะแสดงตาม เลยผิดตามกันไปเป็นแถว หากมีใครทัดทานการแสดงธรรมผิดๆ ของผู้ใหญ่เช่นนั้นขึ้น ก็อาจถูกรุมตบตีด้วยวาทะอันหยาบช้า หาว่ารู้ดีกว่าผู้ใหญ่ เด็กวานซืนนี้แท้ๆ แต่หาสำนึกไม่ว่าสติปัญญาของคนนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับร่างกายใหญ่หรือเล็ก


    เด็กๆ ที่เจริญภาวนา อาจมีสติปัญญายิ่งกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งมีวัยตั้ง ๑๐๐ ปีก็ได้

    สมัยพุทธกาล ปรากฏว่ามีเด็กอายุ ๗ ขวบบรรลุพระอรหัตตผลก็มี ทางที่ดีควรศึกษาพระพุทธศาสนาให้ตลอดทั้งทางปริยัติทั้งทางปฏิบัติ คือการเจริญภาวนาด้วย ความรู้ดีซึ่งถูกต้องตรงตามหลักพระพุทธศาสนาก็จะเกิดขึ้น ความเห็นผิดๆ ซึ่งคัดค้านหลักพระพุทธศาสนาก็จะไม่มี
    ข้าพเจ้าเคยสลดใจที่ได้เห็นพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิทางพระปริยัติธรรม กล่าวธรรมะผิดๆ โดยไม่รู้ตัว แถมยังอวดฉลาด ดูหมิ่นผู้เจริญภาวนาด้วย ถ้าภิกษุเช่นนี้ยังมีอยู่ในพระพุทธศาสนามากๆ แล้ว น่ากลัวว่า พระพุทธศาสนาจะถูกเปลี่ยนรูปโฉมไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น


    ๑.หลักพระนิพพาน ซึ่งมีความหมาย "ดับทุกข์ดับร้อน" ก็ถูกแปรความหมายไปว่า "ดับมอดหมดทุกสิ่งเหมือนไฟดับ" ซึ่งไปเข้ากับทฤษฎีสังสารสุทธิของพราหมณ์บางพวก ทฤษฎีนี้ถือว่า สัตว์เกิดมาเสวยสังสารทุกข์ไปตามกฎหมุนเวียนของโลก ๓ ประการ คือพระพรหมผู้สร้างโลก ซึ่งกำหนดอวสานของโลกไว้แล้วกำหนดขีดขั้นชีวิตของสัตว์ไว้ตายตัว และกำหนดเวลาสร้างโลก ซึ่งเรียกว่า "ประลัยกัลป์" ไว้แล้ว เมื่อถึงกำหนดแล้วทุกตัวสัตว์ก็พ้นสังขารทุกข์ไปเอง ทฤษฎีนี้ไม่นิยมความพากเพียรแก้ทุกข์ ไม่ยอมรับรู้กฎแห่งกรรม เขาเปรียบการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ เหมือนการคลี่ด้ายกลุ่ม เมื่อคลี่ไปจนหมดกลุ่มแล้ว ก็หมดการหมุนดับแค่นั้น
    ทฤษฎีนี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเพราะขัดแย้งหลักธรรม และความพากเพียรเพื่อพ้นทุกข์ที่พระองค์ตรัสรู้และสั่งสอน ถ้าเราพุทธศาสนารับเอาทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายความหมายของพระนิพพานแล้ว เราก็กลายเป็นคนนอกครูไป จะชื่อว่าพุทธศาสนิกอย่างไรได้ เพราะเราดีดตัวของเราออกไปจากพระพุทธศาสนาเอง
    ๒.หลักอนัตตา ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับอัตตาตัวตน แต่แปรความหมายไปตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ได้ในหลักพุทธศาสตร์โดยที่เขาทำการพิสูจน์ธาตุของโลกที่รวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มก้อน ด้วยการแยกออกเป็นอย่างๆ ไปตามลักษณะธาตุนั้นๆ ครั้นแล้วก็ไม่มีอะรเหลืออยู่เป็นแก่นสารพอจะเรียกได้ว่าเป็นตัวตน เช่น ร่างกายของสัตว์ นักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แต่ในด้านรูปธรรมที่สัมผัสถูกต้องได้ หาได้พิสูจน์อรูปธรรมไม่ นักศึกษาพุทธศาสตร์ไม่ทันพิจารณาให้ตระหนัก ก็นำทฤษฎีนั้นมาใช้หมายครอบจักรวาลไปถึงพระนิพพานด้วย
    ความจริงนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหลักอนัตตาไว้จำกัดวงแค่สังขารโลก สังขารธรรมเท่านั้น มิได้ครอบไปถึงพระนิพพาน แม้จะมีพระพุทธภาษิตว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาก็ตาม พระพุทธภาษิตนั้นจำกัดความแค่สังขารโลก - สังขารธรรมเท่านั้น ส่วนพระนิพพานอยู่นอกไตรลักษณ์ เพราะคำสรรเสริญพระนิพพานที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ล้วนแต่ตรงข้ามกับพระไตรลักษณ์ทั้งนั้น ถ้าพระนิพพานตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระไตรลักษณ์แล้ว พระนิพพานก็ไม่ควรจะเรียกว่า "วิสังขาร" ควรจะเรียกว่า "สังขาร" เหมือนสังขารโลก สังขารธรรมทั้งหลาย การที่เรียกว่า "วิสังขาร" ก็เพราะพ้นจากความเป็นสังขารแล้ว หรือปราศจากสังขารซึ่งเป็นเปลือกเป็นกระพี้แล้ว เหลือแต่แก่นสารจึงเป็นพระนิพพาน หมดกิริยาเกิดตาย หมดกิริยาเสวยทุกข์ เป็นสุขล้วนๆ ตลอดกาลนิรันดร


    อนัตตาบังอัตตา ตราบใดที่ยังไม่รู้จักอนัตตาแจ่มแจ้ง ตราบนั้นยังไม่รู้จักอัตตาตัวจริง จึงมีอุปาทานยึดถือเอาขันธ์ ส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นอัตตาร่ำไป โดยความสำคัญผิด


    ครั้นเจริญภาวนาพิจารณาดูธรรมทั้งหลายที่ปรากฏแก่ญาณอย่างถี่ถ้วน เห็นธรรมที่อยู่ใต้อำนาจไตรลักษณ์และนอกอำนาจไตรลักษณ์แล้ว ก็รู้จักอนัตาตัวจริง แต่นั้นก็รู้จักอัตตาตัวจริงด้วย อุปาทานที่ยึดถือขันธ์เป็นอัตตาก็หลุดไป


    ภูมิรู้ชั้นนี้เป็นชั้นสูง ซึ่งมีกำลังเพียงพอที่จะทำลายภพชาติได้ถ้าต้องการ เว้นแต่ผู้เจริญภาวนานั้นได้ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้แล้ว ทั้งได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนในอนาคต เมื่อญาณขั้นสูงถึงขั้นรู้จักอนัตตาได้แล้ว ความปรารถนาพ้นจะลงมาขัดขวางได้มิให้ญาณก้าวไปสู่ขั้นตัดสินใจสละโลก ให้บังเกิดความห่วงใยในพระโพธิญาณในความเป็นพระบรมครูของโลกในอนาคต ญาณก็หยุดชะงัก ไม่ก้าวหน้าต่อไป คงยังอยู่เพียงแค่นั้น บุคคลผู้เช่นนั้น ท่านว่า ดำรงอยู่ในอรหัตตภูมิ แต่มิใช่พระอรหันต์ มีความรู้เท่าเทียมพระอรหันต์ กำลังจิตก็เข้มแข็ง อาจหาญและอดทนดียิ่ง


    คล้ายๆ พระอรหันต์เหมือนกัน บุคคลประเภทนี้มีได้แต่บรมโพธิสัตว์เท่านั้น เพราะมีบารมีแก่กล้า ควรแก่การบรรลุพระอรหัตตผลได้แล้ว พระบรมโพธิสัตว์ประเภทนี้ แม้ยังเป็นปุถุชนก็สามารถทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา ให้คงความบริสุทธิ์สะอาดได้ พระบรมโพธิสัตว์จึงได้เอาธุระทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนาเสมอมา ตามคราวที่พระพุทธศาสนามัวหมอง
    ๓.หลักสังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ พระบรมศาสดาทรงตรัสรู้หลักสังสารวัฏ ด้วยพระปุพเพนิวาสานุสติญาณ
    ๔.หลักกรรม - กฎแห่งกรรม พระบรมศาสดาตรัสรู้หลักกรรมด้วยจุตูปปาตญาณว่า สัตว์ดีเลวด้วยอำนาจกรรมของตนเอง มิใช่ด้วยสิ่งอื่นดลบันดาล
    ๕.หลักอริยบุคคล พระบรมครูทรงบัญญัติบุคคลผู้บรรลุธรรมด้วยวิวัฏคามีกุศลว่า พระอริยบุคคล คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ในบรรดาพระอริยบุคคล ๔ จำพวกนี้ พระอรหันต์เป็นชั้นสูงสุด พ้นทุกข์โดยประการทั้งปวงแล้ว ท่านเรียกว่า ปรินิพพาน คือหมดทุกข์โดยครบถ้วน หมดภาระหนักที่ต้องบริหารแล้ว
    ไม่เคยมีพระดำรัสไว้ที่ไหนว่า พระอรหันต์นิพพานดับสูญไปเลย แต่ปัจจุบันได้มีผู้เข้าใจและอธิบายการปรินิพพานของพระอรหันต์ไปในทำนองดับสูญไป เช่นเดียวกับความเห็นของพระยมกะเถระ เมื่อยังไม่บรรลุพระอรหัตตผล ร้อนถึงพระสารีบุตรเถระต้องเอาธุระไล่เลียง จนพระยมกะเถระสละความเห็นผิดเช่นนั้นได้



    ถ้าพระอรหันต์ตายสูญ พระนิพพานก็ไร้ค่า ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วไม่สูญล่ะ เป็นอย่างไรต่อไป พระอรหันต์เป็นวิสทธิเทพ* แล้ว เมื่อสังขารทั้งหลายซึ่งเกิดแต่เหตุปัจจัยสลายไปตามเหตุปัจจัยแล้ว วิสุทธิเทพซึ่งมิใช่สังขารก็ออกจากสังขารไป ไปอยู่ในสภาพอย่างไรนั้นสุดวิสัยที่จะบัญญัติ ท่านจึงเปรียบเหมือน เปลวไฟดับ ไฟไปอยู่ที่ไหนก็บอกไม่ได้ เพราะเกินวิสัยปัญญาของสามัญชนฉันใด พระอรหันต์นิพพานแล้วก็ฉันนั้น แต่ผู้มีปรีชาญาณชั้นสูงสุดย่อมรู้สภาพอันบริสุทธิ์นั้นว่า อยู่อย่างไร ณ ที่ไหน
    วิสุทธิเทพแม้ปรินิพพานแล้วก็ย่มสามารถบำเพ็ญประโยชน์แก่เวไนยและพระโพธิสัตว์ได้ ผู้มีภูมิทางจิตใจพอ ย่อมได้รับการสงเคราะห์จากวิสุทธิเทพ คนสามัญทั้งหลายแม้กระทั่งเทวดาสามัญ พรหมสามัญ ก็ไม่อาจรู้เห็นวิสุทธิเทพ มีพระพุทธดำรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก ถึงเรื่องนี้เป็นหลักฐาน
    อนึ่งในปารายวรรค ขุททกนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระบรมศาสดาตอบปัญหาของมาณพหนึ่งในจำนวน ๑๖ มาณพ ก็ว่า "วิโมกฺโข ตสฺส นาปโร ความพ้นของเรา (พระอรหันต์) ไม่เป็นอย่างอื่น" หมายความว่า ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น คงเป็นความพ้นตลอดไป ทั้งนี้เพราะมาณพคนนั้นสงสัยตามทฤษฎีของพราหมณ์พวกหนึ่งว่า อาตมัน (อัตตา) บรรลุถึงความบริสุทธิ์ เป็นมหาตมัน (มหัตตา) แล้วเข้ารวมกับ ปรมาตมัน (ปรมัตตา) ภายหลัง เมื่อพระพรหมสร้างโลกใหม่แล้วก็แบ่งปรมาตมันนั้นลงมาสิงอยู่ในธาตุของโลก ท่องเที่ยวไปในโลก ทำดีทำชั่ว ได้เสวยสังสารทุกข์ ครั้นเกิดญาณตรัสรู้แล้วก็เป็นมหาตมันเข้ารวมกับปรมาตมันอีก เช่นนีไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ดูไม่แปลกจากสัตว์โลกสามัญ ไม่พ้นสังสารทุกข์จริง มาณพนั้นจึงทูลถามพระบรมศาสดาเช่นนั้น
    เมื่อพระพุทธองค์ตรัสตอบยืนยันว่า ความพ้นของพระอรหันต์ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น มาณพนั้นก็พอใจ และปฏิบัติตาม ได้บรรลุถึงความพ้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้ ควรหรือที่เราจะเข้าใจไปว่า พระอรหันต์ปรินิพพานแล้วสูญหมด (ตายสูญ) ไม่มีอะไรเหลืออยู่โปรดสัตว์โลกได้อีก
    คัดลอกจากหนังสือวิปัสสนาบันเทิงสาร
    ปีที่ ๒ เล่ม ๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ หน้า ๙-๑๔

    * วิสุทธิเทพ หมายถึง เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย
    (ขุ.จู.๓๐/๖๕๔/๓๑๒ ; ขุทฺทก.อ.๑๓๕.)

    -----------------------------------------------------------------



    อินทรีย์แก้ว



    ปกรณ์ของฝ่ายทักษิณนิกาย หรือเถรวาท (คือฝ่ายเรา) ท่านโบราณาจารย์ แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาค เช่นเดียวกันกับปกรณ์ของฝ่ายมหายาน แต่เรียงลำดับจากต่ำไปหาสูง เมื่อเทียบดูแล้วก็จะเห็นว่าคล้ายคลึงกัน คือ
    ๑.พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งเอากำเนิดจาก พระพุทธบิดา พระพุทธมารดาที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เหมือนกายของสามัญมนุษย์ เป็นแต่บริสุทธิ์สะอาดสวยงาม พระฉวีวรรณ เปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลากว่ากายของมนุษย์สามัญ เป็นวิบากขันธ์ สำเร็จมาแต่พระบุญญาบารมี
    ๒.พระนามกาย ได้แก่กายชั้นใน ปราชญ์บางท่านเรียกว่ากายทิพย์ และว่าเป็นกายที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนกายชั้นนอก เป็นแต่ว่องไวกว่า และสามารถกว่ากายชั้นนอกหลายร้อยเท่า สามารถออกจากร่างกายไปในที่ไหนๆ ได้ตามต้องการ เมื่อกายหยาบสลาย กายชั้นนี้ยังไม่สลายจึงออกจากร่างไปหาที่เกิดใหม่ต่อไป นามกายเป็นของมีทั่วไปแม้แต่สามัญมนุษย์ แต่ดีเลวกว่ากันด้วยอำนาจกุศล อกุศลที่ตนทำไว้แต่ก่อน ส่วนพระนามกายของพระพุทธเจ้า ท่านว่าดีวิเศษยิ่งกว่าของสามัญมนุษย์ ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัลป์
    ๓.พระธรรมกาย ได้แก่ พระกายธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวาและมนุษย์ หมายถึงพระจิตที่พ้นจากกิเลสอาสวะแล้ว เป็นพระจิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีพระรัศมีแจ่มจ้า เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์อุทัยไขแสงในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนี้เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เป็นพระกายที่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์โศกทั้งหลายได้จริง เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่สูญสลายเป็นอยู่ชั่วนิรันดร แต่ท่านมิได้บอกให้แจ้งชัดว่า พระธรรมกายนี้มีรูปพรรณสัณฐานเช่นไรหรือไม่ เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง ความเชื่อว่าพระอรหันต์นิพพานแล้ว ยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นพระอรหันต์แท้ไม่สลายตามกาย คือความเป็นพระอรหันต์ไม่สูญ ความเป็นพระอรหันต์นี้ท่านก็จัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า อัญญาตาอินทรีย์ พระผู้มรพระภาคเจ้าคงหมายเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า วิสุทธิเทพ เป็นสภาพที่คล้ายคลึงวิสุทธาพรหมในสุทธาวาสชั้นสูงเป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น เมื่อมีอินทรีย์อยู่ก็ย่อมจะบำเพ็ญประโยชน์ได้ แต่ผู้จะรับประโยชน์จากท่านได้ก็จะต้องมีอินทรีย์ผ่องแผ้วเพียงพอที่จะรับรู้รับเห็นเท่าท่านได้ เพราะอินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุมที่สุด แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็นมนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบๆ จะเห็นได้อย่างไร อินทรีย์ของพระอรหันต์นั่นแหละเรียกว่าอินทรีย์แก้ว หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้วย่อมสามารถพบเห็นพระแก้ว คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้

    คัดลอกจากหนังสือวิปัสสนาบันเทิงสาร
    ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๑ หน้า ๒๐-๒๑
     
  15. rabbit45

    rabbit45 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +20
    ผมขอสนับสนุนการสร้างบารมีที่เป็นกุศลทั้งปวง
    การอธิษฐานเพื่อเป้าหมายเช่นใดนั้นเป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ
    ยังมีอีกหลายสิ่งที่คัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้
    จิตนี้มีความวิจิตรมาก มากซะจนเราคาดไม่ถึง
    เป้าหมายที่ผู้ใดตั้งไว้และพยายามเดินไปไม่ย่อท้อย่อมสำ้เร็จได้ด้วยดี
    เส้นทางหลัก 3 สายของโพธิญาณนั้นมิใช่มีไว้ให้เลือก
    แต่มีไว้เพื่อรองรับจริตของแต่บุคคล
     

แชร์หน้านี้

Loading...