กรรมจากการพูดทะลุกลางปล้อง และกรรมต่อเนื่อง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย solardust, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    คุณมีสิทธิที่จะอ่านตรรกะของผมแล้วตีความด้วยตรรกะของคุณได้ครับ
    แต่ได้คำตอบในใจ จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ จะใช่หรือไม่ใช่
    เราก็ชี้แนะหรือแสดงความคิดเห็นต่อกันได้
    แต่ไม่ควรกล่าวหากันว่าทำลายศาสนาหรือกล่าววาจาข่มกันอย่างโพสที่ผ่าน
    เราตั้งกระทู้เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผมเข้ามาอ่านมาเพื่อโมทนา
    ไม่ควรจะกลายเป็นเรื่องต่อล้อต่อเถียงเลยด้วยซ้ำ
    ผมไม่ใช่ไม่เคยประสบกับทุกข์ยากหรือลำบาก
    และผมเองก็เป็นผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง
    และก็ไม่ได้คิดทำลายพุทธศาสนาหรือจะศาสนาใดๆก็ตาม

    เพียงแต่ข้อความที่โพสไปคุณอาจตีความไปอย่างนั้น
    แต่สำหรับผม ความต่างของศาสนาพุทธกับศาสนาหรือลัทธิอื่นๆ
    คือ ยังมีความเป็นเหตุเป็นผลอยู่มาก
    ถ้าเรานั้นไม่เข้าใจสิ่งใดๆ และไม่ยอมทำความเข้าใจกับมัน
    ก็จะกลายเป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่ต่างจากศาสนาอื่นเลย
    ฉะนั้น
    ผมจึงเลือกเชื่อธรรมของพุทธองค์เฉพาะที่เราประจักต่อเหตุและผลแล้ว
    และธรรมที่ยังไม่ประจัก ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธ และก็พยามทำความเข้าใจอยู่
    เพื่อให้รู้แจ้งในปัจจัยแห่งธรรมนั้นๆ เรียกว่า ฟังหูไว้หู น่าจะดีกว่า



    สำหรับธรรมของพุทธองค์ที่คุณยกมานั้นถูกต้อง แต่ต้องตีความให้หมด
    ยกเอามาให้ครบ ทั้งส่วนต้นและส่วนขยาย อย่าเพิ่งตีความว่าเป็นอจินไตย
    ผู้มีปัญญาได้อบรมแล้ว มีคุณความดีมาก เป็นมหาตมะ (ผู้มีใจกว้างขวาง
    ใจบุญ ใจสูง) เป็นอัปปมาณวิหารี (มีปกติอยู่ด้วยธรรมอันหาประมาณมิได้
    คือเป็นคนไม่มีหรือไม่แสดงกิเลส ซึ่งจะเป็นเหตุให้เขาประมาณได้ว่าเป็นคน
    แค่ไหน) บาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บุคคลชนิดนี้ทำแล้ว
    กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมากต่อไปเลย

    เมื่ออย่างนี้แล้วก็ต้องทำความเข้าใจต่อไปว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
    พิจารณาต่อมาที่ส่วนขยาย คือ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่างว่าคนใส่เกลือลงไปในถ้วยน้ำเล็กๆหนึ่งก้อน
    ท่านทั้งหลายจะสำคัญว่ากระไร น้ำอันน้อยในถ้วยน้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำเค็ม
    ไม่น่าดื่มไปเพราะเกลือก้อนนั้นใช่ไหม.
    ภิ. เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เพราะเหตุไร.
    ภิ. เพราะเหตุว่า น้ำในถ้วยน้ำนั้นมีน้อย มันจึงเค็มได้...เพราะเกลือ
    ก้อนนั้น.
    พ. ต่างว่า คนใส่เกลือก้อนขนาดเดียวกันนั้น ลงไปในแม่น้ำคงคา
    ท่านทั้งหลายจะสำคัญว่ากระไร น้ำในแม่น้ำคงคานั้นจะกลายเป็นน้ำเค็ม ดื่ม
    ไม่ได้เพราะเกลือก้อนนั้นหรือ.
    ภิ. หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เพราะเหตุอะไร.
    ภิ. เพราะเหตุว่า น้ำในแม่น้ำคงคามีมาก น้ำนั้นจึงไม่เค็ม...เพราะ
    เกลือก้อนนั้น.
    พ. ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคล
    ลางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำไปนรกได้ ส่วนบาปกรรมประมาณน้อย
    อย่างเดียวกันนั้น ลางคนทำแล้ว กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่
    ปรากฏผลมากต่อไปเลย...

    ก็จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่มีความดีมาก บาปกรรมชั่วน้อยนิด จึงไม่ยังผลให้ไปสู่นรกได้
    แต่ก็ยังไม่ตอบคำถามให้เข้าใจได้ถึงแก่น จึงตามพิจารณาต่อไป
    ภิกษุทั้งหลาย คนลางคนย่อมผูกพันเพราะทรัพย์ แม้กึ่งกหาปณะ...
    แม้ ๑ กหาปณะ... แม้ ๑๐๐ กหาปณะ ส่วนลางคนไม่ผูกพันเพราะทรัพย์
    เพียงเท่านั้น
    คนอย่างไร จึงผูกพันเพราะทรัพย์แม้กึ่งกหาปณะ ฯลฯ คนลางคน
    ในโลกนี้เป็นคนจน มีสมบัติน้อย มีโภคะน้อย คนอย่างนี้ย่อมผูกพันเพราะ
    ทรัพย์แม้กึ่งกหาปณะ. ฯลฯ
    คนอย่างไร ไม่ผูกพันเพราะทรัพย์เพียงเท่านั้น ? คนลางคนในโลกนี้
    เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก คนอย่างนี้ ย่อมไม่ผูกพันเพราะทรัพย์
    เพียงเท่านั้น
    ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคล
    ลางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้ ส่วนบาปกรรมประมาณ
    น้อยอย่างเดียวกันนั้น บุคคลลางคนทำแล้ว กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนีย-
    กรรม ไม่ปรากฏผลมากต่อไปเลย...

    พออ่านมาถึงตรงนี้ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า
    กรรมเล็กๆน้อยๆ ที่ทำให้คนตกนรกได้นั้น
    มันก็มีอิทธิพลมาจากความยึดมั่น ความผูกพันธ์ที่มีในทรัพย์นั้นๆที่ไม่จบสิ้น
    เท่ากับเป็นการสร้างชาติสร้างภพ กรรมชั่วเล็กๆซึ่งเรายึดไว้ มันจึงมีไม่จบเสียที
    ก็เพราะจิตที่เป็นอกุศลหม่นหมอง หวงแหน ตระหนี่ ในทรัพย์เหล่าันั้นแลที่เป็นปัจจัย
    สำหรับผู้อบรมจิตมาดีแล้ว
    ไม่มีความคิดตระหนี่หวงแหนผูกพันธ์ในทรัพย์นั้นๆ
    จึงไม่มีผลต่อไปในภพชาติหน้า
    และชดใช้เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น(สำหรับกรรมนั้น)
    แต่ไม่ได้หมายความว่า
    กรรมนั้นจะโผล่ออกมาทันทีเพราะผ่านการอบรมจิตอย่างที่คุณเข้าใจ
    แต่กรรมจะปรากฏออกมาให้ผลตามเหตุปัจจัยและวาระของกรรมนั้นๆ


    อย่างนี้ ถึงเรียกว่าปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพุทธองค์จริงๆ
    คือการพิจารณาและทำความเข้าใจอย่างมีเหตุมีผลก่อน เห็นว่าถูกต้องแล้วจึงเชื่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2013
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
  3. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414

    ถ้าใครฝึกการเจริญสติ ในอริยาบทต่างๆ (ในชีวิตประจำวัน) จะเข้าใจ
    ที่คุณSolardust เล่า..สำหรับบทเรียนต่างๆที่คุณ Solardust เล่า
    ให้ฟัง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง..ให้ระมัดระวังและสำรวมในวาจา เพื่อ
    ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อคนรอบข้าง และการเผลอปรามาสพระรัตนตรัย
    โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์..

    ทุกอย่างเป็นวิบากกรรมทั้งสิ้น และจะต้องได้รับผลแห่งวิบากนั้น ตามกรรม
    ที่ได้กระทำลงไป ..เป็นบทเรียนให้กับหลายๆท่านเป็นอย่างดี..

    ขอโมทนาสาธุในการปฏิบัติด้วยครับ..
     
  4. Penty

    Penty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2014
    โพสต์:
    475
    ค่าพลัง:
    +1,580
    ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วให้ข้อคิด และเป็นการเตือนสติดีมาก
     
  5. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    เนื่องด้วยมีคนเข้ามาอ่าน 1000 อัพ แล้ว และน่าจะมีผู้ที่กำลังอบรมตนอยู่เข้ามาอ่านด้วย
    ก็ขออนุญาตออกความเห็นส่วนตัวของเจ้าของกระทู้หน่อยนะครับ
    ถ้าปล่อยไว้ เกรงว่าเดี๋ยวจะโดนเล่นงานเอาอีก ข้อหาไม่อธิบายให้ชัด

    -----------------------------------------------------------------------------

    เกี่ยวกับเรื่องข้อความเปรียบเทียบในพระไตรปิฏก เรื่องกรรมชั่วที่ให้ผลทันที (โลณกสูตร)

    สูตรนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนนะครับ
    ส่วนแรก พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า

    -บุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ
    บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก

    -บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    บุคคลเช่นนี้ทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปนั้นให้ผลแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบัน แล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป

    ที่จริงอันนี้ชัดในตัวอยู่แล้วนะครับ ไม่ต้องแปล
    ถ้าแปล ที่แปลออกมาก็ต้องตรงตามนี้ ไม่เป็นอื่นไป

    บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    แปลว่า บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    ถ้าแปลแล้ว ตีความแล้ว บุคคลตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มีความหมายเคลื่อนไปจากนี้ ก็ผิดนะครับ

    --------------------------------------------------------------------------------

    ส่วนที่สอง ท่านยกตัวอย่างของ เกลือกับน้ำขึ้นมา ว่า

    -เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในขันใบน้อย น้ำในขันเพียงเล็กน้อยนั้นพึงเค็มดื่มกินไม่ได้
    -เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในแม่น้ำคงคา แม่น้ำคงคานั้น มีห้วงน้ำใหญ่ ฉะนั้น ห้วงน้ำใหญ่นั้นจึงไม่เค็ม ดื่มได้

    แล้วท่านก็วกกลับไปย้ำที่คำสอนตอนแรกอีกที
    ไม่ได้หมายความว่า
    บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    เป็นเกลือ หรือคนเค็มๆนะครับ เป็นอุปมาอุปมัย เฉยๆ

    บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    ก็ยังคงเป็น บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้ ตามนั้นอยู่เหมือนเดิมนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2014
  6. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ส่วนที่สาม ท่านยกตัวอย่างของ บุคคลกับทรัพย์ขึ้นมา ว่า

    -บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนขัดสน มีสิ่งของของตนน้อย มีโภคทรัพย์น้อย
    บุคคลเช่นนี้ย่อมถูกจองจำเพราะทรัพย์กึ่งกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์หนึ่งกหาปณะบ้าง ถูกจองจำเพราะทรัพย์ร้อยกหาปณะบ้าง

    -บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์เหลือเฟือ มีโภคะมากมาย
    บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่ถูกจองจำแม้เพราะทรัพย์กึ่งกหาปณะ ไม่ถูกจองจำแม้เพราะทรัพย์หนึ่งกหาปณะ ไม่ถูกจองจำแม้เพราะทรัพย์ร้อยกหาปณะ

    แล้วท่านก็วกกลับไปย้ำที่คำสอนตอนแรกอีกทีเหมือนเดิม
    ไม่ได้หมายความว่า
    บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    คิอคนมีทรัพย์ หรือคนไม่มีทรัพย์นะครับ คนละเรื่อง ท่านยกตัวอย่างเฉยๆ

    ไม่ถูกจองจำในที่นี้ ก็ไม่ได้แปลว่าติดคุกนะครับ แปลว่าไม่ยึดติด ไม่สนใจ
    คือท่านบอกว่า อุปมาเหมือน
    คนรวยไม่สนใจเงินแค่เล็กน้อย ทิ้งได้(ไม่ถูกจองจำ)นะครับ
    แต่สำหรับคนจนเงินแค่เล็กน้อยก็มีความสำคัญมาก ทิ้งไม่ได้ต้องเก็บ ต้องรักษาไว้ (ถูกจองจำด้วยเงินเพียงเล็กน้อย)

    -------------------------------------------------------------------------------------

    ส่วนที่สี่ ท่านยกตัวอย่างของ เจ้าของแกะกับคนที่มาขโมยแกะ ว่า

    -เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะบางคนในโลกนี้ เป็นคนขัดสน มีสิ่งของของตนน้อย มีโภคทรัพย์น้อย
    เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะเช่นนี้ สามารถที่จะฆ่า หรือจองจำคนลักแกะ หรือเอาไฟเผา หรือทำตามที่ตนปรารถนา

    -เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะบางคนในโลกนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะเหลือเฟือ เป็นพระราชา หรือมหาอำมาตย์ของพระราชา
    เจ้าของแกะหรือคนฆ่าแกะเช่นนี้ ไม่สามารถที่จะฆ่า หรือจองจำคนลักแกะ หรือเอาไฟเผา หรือทำตามที่ตนปรารถนา

    แล้วท่านก็วกกลับไปย้ำที่คำสอนตอนแรกอีกทีเหมือนเดิม
    ไม่ได้หมายความว่า
    บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้
    คิอเจ้าของแกะ หรือ คนขโมยแกะนะครับ คนละเรื่อง ท่านยกตัวอย่างเฉยๆเหมือนกัน

    ตัวอย่างนี้ท่านก็ไม่ได้บอกว่า คนเลี้ยงแกะจนๆจะเล่นงานหัวขโมยได้ตามใจชอบนะครับ
    คือท่านบอกว่า
    คนเลี้ยงแกะรวยๆเนี่ย ไม่ได้ยึดติดกับแกะ ไม่จำเป็นต้องขโมยด้วย แค่เอ่ยปากขอก็ได้แกะมาง่ายๆแล้ว
    คนเลี้ยงแกะจนๆ จะปกป้องแกะของตัวเองสุดชีวิต อาจทำได้แม้กระทั่งฆ่า หรือเอาไฟเผาหัวขโมยนั้นก็ได้

    -------------------------------------------------------------------------------------

    ท้ายสุดพระองค์ท่านตรัสสอนว่า

    ผู้ใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ทำกรรมไว้อย่างไรๆ เขาจะต้องเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ
    เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของผู้นั้นย่อมมีไม่ได้ โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมไม่ปรากฏ

    ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ทำกรรมที่จะต้องเสวยผลไว้ด้วยอาการใดๆ เขาจะต้องเสวยวิบากของกรรมนั้นด้วยอาการนั้นๆ
    เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของผู้นั้นย่อมมีได้ โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมปรากฏ ฯ

    ส่วนนี้เป็นเรื่องของกรรมที่สนองกลับมานะครับ
    ก่อกรรมอะไรไว้แล้ว ไม่ได้แปลว่าต้องรับกรรมแบบเดียวกันนั้นกลับ
    แต่ก่อกรรมนั้นๆไว้ด้วยอาการไหน ต้องรับกรรมด้วยอาการนั้นๆ

    เช่น เอามีดไปฆ่าคนตาย ไม่ได้หมายความว่า เวลากรรมตามทันต้องโดนมีดแทงตาย
    แต่ต้องตายแน่เพราะไปทำคนอื่นให้เข้าถึงอาการตายไว้ อาจจะโดนมะเร็งเล่นงานจนตาย หรืออาจจะตายด้วยอาการอื่นก็ได้ เช่น รถชนตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2014
  7. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    สรุปนะครับ
    เรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับ เกลือ น้ำ คนรวย คนจน ทรัพย์ แกะ เจ้าของแกะ คนขโมยแกะ
    ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับความตระหนี่ ความใจกว้างด้วย
    ทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างที่พระพุทธองค์ท่านยกตัวอย่างเปรียบเทียบขึ้นมาเฉยๆ

    เกี่ยวแค่ว่า
    บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้นั้น

    บาปกรรมอันเล็กน้อยที่ทำไว้จะให้ผลทันทีในชาตินั้นๆ (เหมือนเกลือละลายในแม่น้ำ ไม่ให้รสเค็ม ยังสามารถดื่มได้)
    ไม่ลากเขาลงนรกไป (เหมือนเกลือละลายในถ้วยน้ำ ให้รสเค็มจัด)

    และเขาย่อมไม่เป็นผู้ที่พากรรมชั่วอันเล็กน้อย ติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป
    อุปมาเหมือนดัง ผู้มั่งคั่งไม่ติดในทรัพย์ หรือไม่ติดในแกะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2014
  8. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    มาเล่าต่อ ประสบการณ์อื่นๆ อีกน่ะค่ะ:cool:
     
  9. รุ้งกินน้ำ

    รุ้งกินน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +328
    เป็นประสบการณ์ที่ดี ให้ข้อคิดดีมาก หลายคนปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว มีผู้หวังดีเตือนก็ยังไม่หยุด คุณ จขกท.ใช้คำได้น่าอ่าน อ่านแล้วสนุก บางตอนผมอดขำไม่ได้ โมทนาครับ มีเรื่องอื่นนำมาเล่าอีก คอยอ่านครับ
     
  10. ปราบปลิง

    ปราบปลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +180
    นี่แค่เท่านี้ยังขนาดนี้นะเนี่ย ผมอ่านเรื่องของคุณจบผมอุทานออกมาเลยว่า "นี่กุทำอะไรลงไป" แทบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยแน่ๆ ทำไปเยอะมากจนน่าสยอง ผมขอขมาไปแล้วไม่รู้จะหายมั้ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...