จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    องค์สำคัญยิ่งในการปฏิบัติ

    อุเบกขา ที่จะกล่าวในเบื้องต้น ณ บัดนี้ คือ อุเบกขาในโพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้
    ส่วนอุเบกขาในความหมายหรือนัยยะอื่นๆ เช่น อุเบกขาในฌาน, อุเบกขาเวทนา และอุเบกขาในพรหมวิหาร ๔

    สารบัญ
    อุเบกขาในโพชฌงค์ ที่หมายถึง การมีจิตหรือก็คือการมีสติเป็นกลางวางทีเฉย ที่หมายถึง การมีสติโดยการไม่เข้าไปแทรกแซง ด้วยการสำรวม กล่าวคือระวังไม่เอนเอียงเข้าไปแทรกแซงด้วยความคิดนึก ด้วยความชอบหรือชัง หรือด้วยความยินดีหรือยินร้าย หรือด้วยอาการของการคิดนึกปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆ ที่สติไประลึกรู้เท่าทันนั้นๆ ที่ปัญญาพิจารณาเห็นแล้วว่าจักก่อให้เกิดทุกข์
    (ดังเช่น การเห็น หรือเห็นเหล่า ที่เป็นโทษดังเช่นที่แสดงในสติปัฏฐาน๔ ) หรือผลอันเกิดขึ้นนั้นๆสมควรแก่เหตุ และพึงปฏิบัติตามธรรมหรือตามควรแก่เหตุนั้นๆแล้ว, เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความเพียรยิ่ง และเป็นหลักสำคัญยิ่งในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันในทุกขณะจิตที่รู้เท่าทัน ไม่ใช่การปฏิบัติเฉพาะเวลาปฏิบัติพระกรรมฐานเท่านั้น ต้องปฏิบัติให้เป็นประจำสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน จวบจนเป็นมหาสติ อันเกิดขึ้นและเป็นไปดังสังขารที่เกิดจากการสั่งสมในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่ไม่ได้เกิดแต่อวิชชา แต่กลับเกิดขึ้นมาจากวิชชาโดยตรง หรืออุปมาได้ดั่งเป็นมหาสติ ดังเช่นเมื่อตากระทบตัวอักษร จิตก็มีสติทำงานรู้เข้าใจในความหมายของอักษรในบันดลนั่นเอง ลองพิจารณาดูโดยอาศัยกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ แล้วจะพบว่าการอ่านหนังสือออกนั้นเป็นอาการของมหาสติ เพียงแต่เป็นไปในทางโลก ไม่ได้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ที่สามารถทำงานหรือมันเป็นไปของมันเองด้วยความชำนาญยิ่งหรือโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดการผัสสะกล่าวคือเมื่อตากระทบเห็นอักษรในทันที กล่าวคือ ต้องฝึกสติให้เชี่ยวชาญชำนาญยิ่งในการเห็นจิต ดุจเดียวกับการที่ตาเห็นอักษรนั่นเองที่พึงเกิดขึ้นได้จากการที่ฝึกฝนปฏิบัติเล่าเรียน(สั่งสม)มาเป็นอย่างดีแต่อดีตนั่นเอง


    fb:
    https://www.facebook.com/pages/พุทโธอัปปมาโณ/100274516842177
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    เหตุเพราะ..จิตตัวเดียว

    อย่าพยายามเข้าใจธรรมต่างๆอันใดเลย
    ถ้าเรายังทำจิตใจตนเองนิ่งสงบไม่เป็น หรือไม่ได้

    ถึงอ่านธรรมะ ฟังธรรมะ ก็ไม่ถึงจิต ถึงใจของตน
    เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เลยผ่านไปเฉยๆ ไม่ค่อยมีความหมายอะไรนัก

    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติเข้าหาจิตตนเองได้ รู้วิธีทำจิตตนนิ่งสงบได้
    คำว่า ธรรมะ จะมีความหมายมากทีเดียว ยิ่งกว่าฟังเพลงทั่วๆไป

    สำหรับผู้ปฎิบัติไม่ค่อยจะเจริญในธรรมเท่าที่ควร ก็เพราะว่า ยังคลำหาจิตตนเองไม่เจอ
    ก็เหมือนผู้ที่คลำหาทางออกหรือประตูทุกข์ของตนไม่เจอ เป็นต้น
    ตราบใดจิตไม่นิ่ง ยังแกว่งไปมา หารู้ไม่ กิเลสหรือทุกข์นั้นก็อยู่รอบๆตัวจิตนั่นเอง
    เมื่อเราหาจิตตนไม่พบ ก็เท่ากับหากิเลส หาทุกข์ของตนไม่พบเจอ นั่นเอง

    สำหรับผู้ที่ออกจากทุกข์ของตนเองได้นั้น เพราะว่าหาจิตหรือดวงจิตของตนพบแล้ว นั่นเอง

    ภูทยานฌาน
     
  3. Maneetree

    Maneetree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +122
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข
    ย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้น
    สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
    สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิ สัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์
    ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

    ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได ้เป็นอย่างดี ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้ว เช่นนั้นได้ เป็นอย่างดี
    ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมัยนั้น

    อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ฯ

     
  4. Maneetree

    Maneetree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +122
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อม มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้

    ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้

    ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คำสอน สมเด็จองค์ปฐม

    "ให้ดู ทุกคนต่างมีลีลาชีวิตต่างๆ กันไปตามกฎของกรรม
    ทุกอย่างเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
    อย่าถืออะไรมาเป็นสาระที่จริงจังของชีวิต
    ยามมีชีวิตก็เกื้อหนุนกันไปตามพรหมวิหาร ๔
    แต่จงอย่าเบียดเบียนตนเองให้มากเกินไป
    ทุกอย่างให้อยู่ในมัชฌิมาปฎิปทา"

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๖
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความศรัทธานั้น เป็นอุปกรณ์ สำคัญในการทำความเพียร

    และเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เมื่อเรามีความศรัทธาเกิดขึ้นกับจิตใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นใน

    ด้านไหน ถ้าเรามีใจศรัทธาเป็นอันดับแรก สิ่งจะตามมานั้น คือ ความสำเร็จ สิ่งใดก็ตาม

    ถ้าเรามีความมีความตั้งมั่น และทำสิ่งนั้นด้วยความเพียร ก็จะเกิดประโยชน์กับตัวเราเอง

    ถ้าเป็นการงานๆที่ทำก็จะออกมาได้ดีสมดังที่ตั้งใจ ถ้าเป็นทางด้านการปฏิบัติถ้าเราทำ

    ด้วยความศรัทธา ทำด้วยความเพียร ทำด้วยความมานะ ก็จะทำประโยชน์ให้กับเราทั้งโลก

    นี้ และโลกหน้า คือที่ผู้เขียนกล่าวแบบนี้เพราะว่าผู้เขียนได้รู้ถึงคำว่าศรัทธา เพราะความ

    ศรัทธาของผู้เขียนที่ปฏิบัติมา ทำให้ผู้อื่นที่เขาได้มารู้จักเราให้ความเชื่อถือและศรัทธาเรา

    นี่ คือ ได้รับแล้วในโลกนี้ และที่กล่าวถึงโลกหน้าก็มีความมั่นใจว่า ถ้าเราทำในสิ่งที่มีประ

    โยชน์ทำในสิ่งที่ถูกต้องปฏิบัติตัวตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ประโยชน์ที่ทำทั้งหมด

    คือ ประโยชน์อย่างสุดยอด คือนิพพาน ที่ได้พ้นจากทุกข์ นำมาเล่าสู่กันฟังถึงความรู้สึกที่

    เกิดขึ้นกับผู้เขียน คือได้รับความสุข ความปิติกับบุญที่ได้สระสมมา. มีความศรัทธา ทาน

    ศีล ภาวนา บุญที่เราได้กระทำมานั้นจะติดตามส่งผลเองเมื่อเวลานั้นมาถึง...สาธุค่ะ
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    " พระอรหันต์ คือ ผู้สิ้นกิเลส"

    สัตว์ทั้งหลายนั้นไม่ยกเว้นประเภทใดๆ ที่กิเลสจะเข้าทำลายไม่ได้ ยกเว้นเฉพาะ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี้กิเลสเรียบหมดภายในจิตใจ

    ไม่มีอะไรเข้าไปรบกวน ก็คือ จิตของท่านผู้บริสุทธิ์โดยแท้เท่านั้น...

    ผู้สำเร็จพระอรหันต์แล้วเป็นผู้รบป่าช้าเท่านั้น ไม่มีป่าช้าใดที่จะปีนขึ้นมาได้เลย

    พระอรหันต์ สิ้นซากของกิเลสทั้งหลาย พระอรหันต์จึงไม่มีป่าช้าหมดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่

    กิเลสซึ่งเป็นตัวสร้างป่าช้าดับภายในจิตใจ ป่าช้าก็ดับในเวลานั้น...จ้าขึ้นมาแล้ว...

    ...อาโลโก อุทปาทิ สว่างกระจ่างแจ้งทั้งวันทั้งคืน ไม่มีอะไรเหลือเลยภายในจิตใจของ

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์...

    พระอรหันต์ในครั้งนั้น...กับ พระอรหันต์ในครั้งนี้ ต่างกันอย่างไรพระอรหันต์ก็คือ

    กิเลสสิ้นไปจากใจ เวลากิเลสมีอยู่มันทุกข์ด้วยกันทั้งครั้งนั้นครั้งนี้ พอกิเลสขาดสะบั้นลง

    ไปจากใจแล้ว...ครั้งนั้นครั้งนี้เป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบด้วยกันหมด เป็นบรมสุขด้วยกัน

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี...

    ...น้อมกราบองค์หลวงตามหาบัวด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...
     
  8. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    บุญคุณพ่อแม่ และการตอบแทนบุญคุณท่านที่ดีที่สุด

    ◆◇◣◢◥▲▼△▽⊿◤ ◥ค่อยๆอ่านเอาความเข้าใจเป็นหลัก หากช่วยแชร์เพื่อเผยแผ่เป็นธรรมทาน จักเป็นกุศลยิ่งนัก หนึ่งแชร์ ๑ ธรรมทานครับ◆◇◣◢◥▲▼△▽⊿◤ ◥

    หากมีบุรุษ หาบบิดาด้วยไหล่ซ้าย หาบมารดาด้วยไหล่ขวา ...
    แบกหามหาบนั้นจนผิวหนังแตกทะลุถึงกระดูก ...
    จากกระดูกถึงไขกระดูก ...
    หาบวนรอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลาผ่านไปนับ แสนกัป ...
    โลหิตไหลท่วม ข้อเท้า ...
    ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้ ...


    หากบุรุษ ปรารถนาให้บิดามารดาพ้นจากทุพภิกขภัย ...
    แล่เนื้อตนเอง และบดให้ละเอียด ให้บิดามารดาเป็นอาหาร ...
    แม้จักกระทำถึง แสนกัป ...
    ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้ ...


    หากมีบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
    ใช้มีดคว้านควักดวงตาของตน ออกมาถวายบูชาแด่พระตถาคต ...
    แม้จะกระทำนับ แสนกัป ...
    ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้...


    หากมีบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
    ใช้มีดอันคมควักหัวใจของตน โลหิตไหลทั่วพื้นปฐพี ...
    มิหวั่นต่อความเจ็บปวด ...
    แม้จักกระทำนับ แสนกัป ...
    ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้...

    หากมีบุรุษ เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
    ใช้มีดง้าวศาตราวุธนับแสน เสียบทิ่มแทงจนทะลุปรุพรุนไปทั่วร่าง ...
    แม้จักกระทำนับ แสนกัป
    ก็มิ อาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่งใหญ่ของบิดามารดาได้....


    หากบุรุษ. เพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ...
    ทุบกระดูกตน รีดไขกระดูกเ็ป็นเชื้อไฟจุดประทีปถวายเบื้องหน้าพระตถาคต...
    แม้จักกระทำนับ แสนกัป ...
    ก็มิอาจตอบแทนพระคุณอันล้ำลึกยิ่ง ใหญ่ของบิดามารดาได้ ...


    ปวงชนทั้งหลาย เมื่อได้สดับรับฟังพระพุทธดำรัสถึงความยิ่งใหญ่ ของพระคุณบิดามารดาเช่นนั้น ...ต่างหลั่งน้ำตาด้วยความปวดร้าวใจ ดุจดังมีดกรีด ด้วยมิอาจคิดหาวิธีได้ ...
    ต่างพร้อมเพรียงกันกราบทูล พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความละอายและเกรงกลัวต่อบาปในสังสารวัฎ ว่า....
    " ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้บาปยิ่งนัก จักกระทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ลึกซึ้งของ บิดามารดาได้ ? "

    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่สาวกทั้งหลายว่า...
    "หากปรารถนาจักตอบแทนพระคุณบิดามารดา....
    พึงเขียนแสดงพระสูตรนี้ ... (บอกกล่าวและเผยแผ่)
    สวดท่องพระสูตรนี้ขอขมากรรมเพื่อบิดามารดา ...
    ถวายสักการะแด่พระรัตนตรัยเพื่อบิดามารดา ...

    พึงรักษาศีลอุโบสถเพื่อบิดามารดา ...
    พึงบำเพ็ญทานเพื่อบิดามารดา ...
    พึงชี้แนะธรรมะแด่บิดามารดา ...

    หากประพฤติปฏิบัติได้เยี่ยงนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นบุตรกตัญญู...
    หากไม่ประพฤติเยี่ยงนี้ ย่อมไม่อาจพ้นนรกโลกันต์ " ...


    "การให้ธรรมะพ่อแม่เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด"
    (สมเด็จโต พรหมรังสี)

    ลูกเอ๋ย...ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่
    เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด
    เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย !...


    พระพุทธองค์ตรัสสอนพระมหาคุณอันยิ่งใหญ่ของบุพการีผู้ให้กำเนิดอุ้มชูเลี้ยงดูฟูมฟักจนเติบใหญ่ ...
    เราผู้เป็นลูกพึงรู้สำนึกในความกตัญญูกตเวทีที่ทดแทนพระคุณในขณะที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่...
    มิใช่ทรัพย์สินเงินทอง..มิใช่ความเก่งกาจทรนง ...
    หรือแม้เราจะควานหาทุกสิ่งจนเจนจบใต้หล้าทั่วแผ่นพื้นปฐพีนี้...
    พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า...ไม่อาจที่จะนำมาทดแทนคุณบุพการีได้เลย ...
    แล้วมีสิ่งไหนเล่าที่จะทดแทนได้ ?...

    ในกาลนั้น พระตถาคตเจ้าได้เปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ๘ ประการ ของพรหม ตรัสแด่ปวงชนทั้งหลายว่า.... "เธอทั้งหลายพึงสำเหนียก เราจักแสดงแก่เธอ.....



    ๏ คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
    เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
    คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
    ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง

    ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ

    ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก

    ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน

    ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้

    ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่

    เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

    เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา

    เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นผู้รับผลบุญ ที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง

    เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง

    การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้

    ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้

    ๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี

    ๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้

    ๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน

    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้

    ที่มา
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันหนึ่ง หลวงปู่ดู่ท่านมองไปที่ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า

    "ข้าตายแล้วต้องลงนรก"

    พอลูกศิษย์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเรียนถามท่านในทันทีว่า
    "หลวงปู่จะตกนรกได้อย่างไร ในเมื่อหลวงปู่บำเพ็ญคุณงามความดีมามากออกอย่างนี้"

    หลวงปู่ตอบกลับไปว่า "ข้าก็จะลงนรก เพื่อไปเตะพวกแกขึ้นมาน่ะสิ"

    คำเตือนของหลวงปู่นั้น ชวนให้ศิษย์ทั้งหลายต้องมานึกทบทวนตัวเองว่าการที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ครูบา อาจารย์นั้นก็มิใช่เป็นหลักประกันว่าจะไม่ลงนรก ตรงกันข้าม หลวงปู่ท่านได้พูดเตือนทำนองเดียวกันนี้หลายครั้งหลายหน เพราะช่องทางทำบาปของคนเรามีมากเหลือเกิน จนท่านเอ่ยว่า คนเราเป็นอยู่โดยบาปทั้งนั้น เพียงแต่ผู้ที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ก็บาปน้อยหน่อย

    หลวงปู่ท่านเป็นแบบอย่างที่หาได้ยากในเรื่องความระมัดระวัง ไม่ให้เป็นหนี้สงฆ์ ถึงขนาดว่าก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่กี่วัน ท่านได้บอกช่องลับกับโยมอุปัฏฐากให้ทราบ เพื่อว่าจะได้สามารถเปิดประตูเข้ากุฏิท่านในกรณีฉุกเฉินได้ โดยไม่ต้องไปงัดประตู อันเป็นการทำลายของสงฆ์ ซึ่งในที่สุดก็มีเหตุให้ได้เปิดประตูกุฏิท่านผ่านทางช่องลับนั้นจริงๆ ในเช้าตรู่ของวันอังคารที่ 17 มกราคม 2533 อันเป็นวันที่ท่านละสังขาร

    นอกจากนี้ ท่านยังได้พูดเตือนอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราอาจมองข้าม เป็นต้นว่า เอ่ยปากใช้พระหยิบโน่นหยิบนี่ ไม่ยกเว้นแม้กรณีขอให้พระท่านหยิบซองให้เพื่อจะใส่ปัจจัยถวาย การหยิบฉวยของสงฆ์ไปใช้ส่วนตัว การพูดชักไปในทางโลกในขณะที่ผู้อื่นกำลังสนทนาธรรม การส่งเสียงรบกวนผู้ที่กำลังปฏิบัติภาวนา การขายพระกิน ซึ่งเรื่องหลังนี้ ท่านพูดเอาไว้ค่อยข้างรุนแรงว่า ใครขายพระกิน จะฉิบหาย สมัยท่านยังมีชีวิต ท่านจะพูดกระหนาบบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหาร ทานไม่ให้พูดคุยกัน จะทำกิจอันใดอยู่ ก็ให้มีสติ พยายามบริกรรมภาวนาไว้เรื่อยๆ เรียกว่าเกลี่ยจิตไว้ให้ได้ทั้งวัน เมื่อถึงคราวนั่งภาวนา จิตจะได้เป็นสมาธิได้เร็ว เวลาจิตจะโลภ จะโกรธ จะหลง ก็จะได้รู้ได้เท่าทัน

    ดังที่หลวงปู่สอนว่า การตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้น จึงจะช่วยให้เราห่างจากนรกได้ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องคอยสอบทานตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าเราเข้าวัดเพื่ออะไร เพื่อความเด่นความดัง หวังลาภสักการะ หวังเป็นผู้จัดการพระ ผู้จัดการวัด ฯลฯ หรือเพื่อมุ่งละโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์ก่อโทษข้ามภพข้ามชาติไม่รู้จักจบจักสิ้นที่มีอยู่ในใจ เรานี้

    ปฏิปทาที่จะช่วยให้เราปลอดภัย และห่างไกลจากนรกคือ การเกรงกลัวและละอายใจในการทำบาปกรรม หรือสิ่งที่จะทำจิตใจเราให้เศร้าหมองขุ่นมัว ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับหมู่คณะโดยไม่จำเป็น หากแต่ควรมุ่งเน้นการปฏิบัติภาวนาเป็นหลัก เป็นผู้พร้อมรับฟับคำตักเตือนของผู้อื่น โดยเฉพาะคำตักเตือนจากครูบาอาจารย์ อย่างที่ทางพระท่านสอนว่า ให้อดทนในคำสั่งสอน คิดเสียว่าท่านกำลังดุด่ากิเลสของเราอยู่

    ท่อนซุงทั้งท่อน ถ้าไม่ได้ขวานช่วยสับช่วยบาก ไม่ได้กบไสไม้ ช่วยทำพื้นไม้หยาบๆ ให้เกลี้ยงเกลาขึ้น ไม่ได้กระดาษทรายช่วยขัดให้ไม้เรียบเนียน ไม่ถูกดัดถูกประกอบ ก็คงไม่กลายมาเป็นเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่มีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจของเราที่หยาบอยู่ หากไม่ได้รับการขัดเกลาหรืออบรมจากครูอาจารย์ไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมของ พระพุทธเจ้า จิตใจนั้นก็ย่อมเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้

    ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ได้โอกาสเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงพ่อครับ ที่ว่าธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมนั้น ธรรมที่ว่านั้นท่านหมายถึงธรรมเรื่องใดครับ" เมื่อสิ้นเสียงคำถาม หลวงพ่อท่านก็ตอบในทันทีว่า "กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต"

    ซึ่งคำสอนของท่านข้างต้น ก็เป็นการตอบให้ชัดอีกครั้วว่า อานิสงส์แห่งการประพฤติความดีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจนี้แหละ จะกลับมารักษาเราไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว จึงเป็นหลักประกันที่ช่วยให้เราห่างไกลจากนรก อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถเข้าใกล้หลวงพ่อด้วยการเพิ่มพูนคุณธรรมความดีให้ ยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อว่าในที่สุดจะได้ไม่ต้องรบกวนหลวงปู่ให้ต้องลำบากลงนรกมาสงเคราะห์ ศิษย์ ดังที่ท่านปรารภด้วยความห่วงใย ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่.)


    fb: Nok Nokmam and โมกขทรัพย์ ลูกหลวงพ่อฤาษี พุทธบุตร shared Jetovimut เจโตวิมุตติ's photo.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2013
  10. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    ห ล ว ง ต า สอน คุ ณ แ ม่ จั น ดี


    พระหลวงตามหาบัว เมตตาแนะนำจี้สอนตลอด 
    การแนะของพระหลวงตา ท่านจะไม่พูดบอกเป็นการชี้นำ 
    คุณแม่บอกส่วยมากท่านแนะจะขังข้อไว้เสมอ (สอนบอกไม่หมด)
    ให้ลูกศิษย์ได้ใช้ปัญญาพิจารณาเอง
    ถ้ามีแต่คอยฟังจากท่านอย่างเดียวจะไม่เกิดปัญญา

    ครั้งหนึ่งท่านถามจิตเป็นไง ได้กราบเรียนท่านว่า 
    "จิตตอนนี้ เกิด ดับ เร็วมากเหมือนฟ้าแลบ จิตกล้ามากไม่กลัวตาย" 

    พระหลวงตาร้องขึ้น "โอ้ ! เร่งเลยๆ อีกไม่นานๆเดี๋ยวก็เจอ จิตว่าง" 
    ท่านบอก ท่านงงมาก ได้แต่คิดในใจ เอ๊ะ ตอนนี้ จิตเราก็ว่าง อยู่แล้ว 
    ยังจะมีว่างอีกเหรอ ทำไมพระหลวงตาบอก เดี๋ยวจะเจอจิตว่างอีก 
    ตั้งแต่ท่านสอนเรามา พระหลวงตาไม่เคยบอกว่าจะเจออะไรล่วงหน้า 
    แต่คราวนี้ทำไม ท่านหลุดปากออกมา 
    เอาละถ้าพระหลวงตาพูดแล้ว หนึ่งไม่มีสอง
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    น้อมกราบหลวงปู่แหวนด้วยเศียรเก้ลาค่ะ และขออนุโมทนากับครูแนทที่

    นำพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่แหวนมาให้ได้รับรู้ถึงข้อปฏิบัติขององค์ท่านมา

    ลงในกระทู้ เพราะว่าพระธรรมคำสอนของหลวงท่านได้ฝากไว้ให้พวกเราได้นำ

    มาปฏิบัติ พระธรรมคำสอนของท่านที่ครูแนทได้นำมาเป็นธรรมทานนี้ ท่านฝาก

    ไว้ทุกสิ่งทุกอย่างเราสมารถเลือกที่จะนำมาปฏิบัติได้ตามแต่ว่าผู้ใดถนัดแบบ

    ไหนก็เลือกเอามาปฏิบัติเพราะท่านได้สอนไว้มากมาย ผู้เขียนไปกราบองค์

    ท่านเมื่อปี ๒๕๒๘ ไปกราบท่านครั้งแรกหลวงปู่ท่านเมตตาให้ข้าวก้นบาตมา

    ทานหลวงปู่ชอบทานน้ำพริกผักนึ้งค่ะ พวกเราทานข้าวก้นบาตหลวงปู่อร่อยมาก

    ...ตอนนั้นพึ่งจะเริ่มปฏิบัติ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าได้ทานข้าวก้นบาตหลวงปู่

    แล้วจะได้เป็นลูกศิษขององค์ท่านตอนนี้รู้แล้ว สมัยก่อนแม่เคยบอกว่าถ้าเมื่อไร

    ฝนฟ้าคะนองคลื้มๆ นั่นแหละหลวงปู่กำลังสนทนาธรรมกับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน คือพ่อหลวงภูมิพล

    แล้วก็มีผู้เฒ้าผู้แก่เห็นทั้งสองพระองค์สนทนาธรรมกันทางอากาศ เป็นภาพของหลวงปู่กับพระเจ้าอยู่หัว

    และถ้าวันไหนอากาศคลื้มฟ้าคลื้มฝน นั่นแหละผู้เฒ้าผู้แก่คนเชียงใหม่เตรียมตัวปฏิบัติธรรมกันด้วยความสงบ

    ...ที่ผู้เขียนทราบอย่างนี้เพราะเห็นแม่ปฏิบัติอยู่ ผู้เขียนจึงนำมาเล่าสู่กันฟัง ถึงความมหัศจรรย์ของหลวงปู่แหวนค่ะ

    ...ที่ผู้เขียนได้ทราบมาจากคุณแม่ไม่นึกเลยว่าจะได้นำมาเล่าในกระทู้วันนี้ ถึงวันนี้แล้วทำให้ผู้เขียนยิ่งมั่นใจ

    ร้อยเปอรเซนเลยว่าตัวเองคือลูกหลานของหลวงปู่แหวน...กราบแทบเท้าหลวงปู่เจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2013
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    คุณแม่ จันดี โลหิตดี
    ร่างของแม่ สลาย เมื่อถึงกาล
    คงได้รู้ ก็เมื่อสาย หายเห็นผิด
    ถึงจะคิด อยากให้ฝื้น ฝืนไม่ได้
    โลกไม่เที่ยง ความพลัดพราก จากเจ้าไป
    ฝากธรรมไว้ ในใจ ให้พิจารณา
    อย่าได้ท้อ ไม่มีแม่ ชะแง้หา
    สุดอ้างว้าง ไม่ห่างทาง แม่นําพา
    คอยลูกมา ยื่นมือไว้ ให้ลูกดึ่ง

    ที่มา หนังสือ ประวัติคติธรรมคําสอน ของคุณแม่จันดี โลหิตดี
    ลูกขอน้อมคุณแม่ด้วยความเคารพค่ะ
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    น้อมกราบคุณแม่จันดีด้วยความเคารพเจ้าค่ะ และขออนุโมทนากับดาวนะคะ

    คุณแม่จันดี ท่านกล่าวไว้ว่า "อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย...

    ...รอดตายจึงได้ธรรม...มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย

    -มีแต่กิเลสนั่นแหละจะตายจากหัวใจ"

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของคุณแม่จันดี เพื่อนำมาปฏิบัติตาม

    เจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ.....
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรอบอุ่นมากกว่า ธรรม กับ ใจ เป็นอันเดียวกันอยู่ด้วยกัน

    ไม่ต้องการอะไรเป็นเพื่อนเป็นฝูง สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นเพื่อนเป็นฝูง ไม่สนิท

    กับอะไรเลย มี ธรรม กับ จิต เป็นอันเดียวกันเท่านั้น...หมายถึงพระอรหันต์ท่านเป็นอย่าง

    นั้น ท่านไม่ได้คุ้นอะไรกับใคร สามแดนโลกธาตุนี่ท่านไม่ได้ถือใครเป็นมิตรเป็นศัตรู...

    ...ท่านอยู่ตรงกลางนั้น...เราจะคาดก็คาดไม่ถูก...คิดไม่ถูก เดาไม่ได้...คือ

    -ไม่เหมือนอะไร...นอกโลกแล้วว่างั้นเถอะ.........

    ...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดร.

    ...๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ น้อมกราบองค์หลวงตาด้วเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ.
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    แบ่งปันธรรมปฏิบัติ
    โดย...
    ผู้ใช้นามปากกา ว่า "ลูกสมเด็จพ่อ องค์ปฐม"


    ธาตุรู้ สู่พระนิพพาน

    การที่จะไปเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนก็ต้องเข้าใจในสิ่งง่ายๆ ก่อน เมื่อเข้าใจไปจนถึงที่สุด แม้แต่ตัวตนก็ไม่มี เขาถึงเรียกว่าอนัตตา
    ในที่สุดจิตมันถอดถอนตัวเองออกมาจากความคิดหมดแล้ว จิตมันก็จะมาดูตัวมันเอง พอมาดูตัวเองแล้วจะรู้ว่าแม้แต่ตัวจิตเองก็ไม่มี
    มันถอดถอนความเป็นเจ้าของจิตออกเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีตัวตน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้เปล่าๆ ทีนี้ธาตุรู้ที่มันรู้ว่าจิตของเรา วิญญาณของเรา
    เพราะเราไปคิดว่ามันเป็นของของเรา ยังไปแสดงความเป็นเจ้าของนี้อยู่ต่อเมื่อถึงที่สุด เราถอดความเป็นเจ้าของออก ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมัน
    ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ต่อไปเราไม่เป็นเจ้าของนี้ เจ้าจิตของเรา วิญญาณของเรา มันเริ่มไม่มีเจ้าของ มันเป็นจิตเฉยๆ มันก็กลับไปรวมกับมโนธาตุ มโนวิญญาณแบบเดิมๆ กรรมต่างๆ ที่จิตดวงนี้คิดว่าเป็นของตนก็หมดไปด้วย เพราะว่ามันไม่มีเจ้าของ มันกลายเป็นของกลางๆ เป็นมโนธาตุเฉยๆ สิ่งนี้จะซับซ้อน แต่ก็ไม่ถึงกับยาก

    ภาวะพระนิพพานนั้น ถ้ารู้และเข้าใจธาตุรู้อย่างถ่องแท้แล้ว เกิดปัญญาจากธาตุรู้ และถอนความเป็นตัวตนเจ้าข้าวเจ้าของธาตุรู้ได้
    ธาตุรู้นั้นก็สอนเราให้รู้จักพระนิพพาน เพราะในที่สุดเราได้คืนธาตุรู้นี้กลับไปสู่ความเป็นเดิมแท้ของมัน เพราะตอนแรกธาตุรู้ก็เป็นความเดิมแท้ แต่ต่อมาเกิดเป็นอวิชชาขึ้น เกิดมีเจ้าของขึ้นมา คิดว่าเป็นของของมัน ก็เลยเริ่มมีจิตของเรา วิญญาณของเรา หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเราที่ไปครอบครองธาตุรู้ ก็เริ่มสะสมกรรมต่างๆ ต่อจิตเมื่อเท่าทันถึงที่สุดก็จะรู้ว่าธาตุรู้นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่เราเองที่หลงผิดคิดว่ามันเป็นของของเรา ต่อเมื่อความรู้สูงสุดตรงนี้ แล้วมันปล่อยวางธาตุรู้นี้ไป เพราะธาตุรู้ไม่ใช่ของมัน ไม่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ของของมัน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้ ไม่มีเจ้าของ เมื่อปล่อยธาตุรู้อันนั้นไปซะ ความเป็นเจ้าของธาตุรู้ไม่มีเมื่อไหร่
    ธาตุรู้นั้นก็เป็นปัญญาพระนิพพาน

    การเจริญสติจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไรนั้น มาจากการเจริญสติจนมีกำลังสติมาก เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน จะมีกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งมหาสติมันก็ดำเนินไปใน 4 อย่างนี้ ...กาย คือการรู้ทางกายทั้งหมด ถ้าสติแข็งแรงจนเป็นอภิมหาสติแล้วนอกจากกายหยาบแล้ว มันยังรู้ไปถึงกายละเอียดที่ละเอียดลงไปอีกเพราะเป็นการตั้งมั่นมาก มันก็จะรู้ลึกลงไปเกินกว่าที่กายปกติ คือจะไปรู้ถึงกายละเอียดด้วย รู้ในเวทนานอกจากเป็นเวทนาที่จิตปกติจะรู้แล้ว พอจิตที่เป็นมหาสติมันก็จะรู้เวทนาที่ละเอียด เป็นเวทนาที่สูงขึ้นไปอีก และจิตก็เหมือนกัน จิตที่เป็นมหาสติก็เท่าทันจิตทุกอย่าง ก็เป็นจิตที่ละเอียดเข้าไปในจิตอันเป็นนามธรรม

    และข้อสำคัญที่สุดก็คือตอนที่มันเวียนไปเกิดความรู้ในธรรม มันจะไปรู้ธรรมที่สูงขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก คือธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ
    อันนี้ก็เป็นการเข้าถึงพระนิพพานด้วยการเจริญสติ อันเป็นสติปัฏฐาน 4 คือจะรู้ละเอียดลงไป คือนอกจากในธรรมที่เวียนไปเกิดความรู้ในธรรมแล้ว มันยังไปรู้ถึงว่ามันยังไม่มีรูป เรียกว่าธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันเป็นธรรมหลุดพ้น สามารถยึดจับสติเข้าไปถึงภูมิธรรมในแก่นของมันด้วยวิธีการนี้ก็ได้ เมื่อจิตตั้งมั่นสูงสุดแล้ว เพราะสติปัฏฐานสติมันจะเวียนไป 4 อย่าง เช่น รู้ว่าทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน สติปัฏฐานจะรู้ในนี้ แต่พอมันเป็น มหาสติปัฏฐานขึ้นมา นอกจากกายที่รู้ในสิ่งที่กายกระทำ มันยังรู้ไปถึงกายละเอียด คือมันตั้งมั่นแล้วมันเลยไป ทีนี้มันเวียนไปที่จิต มันก็จะไปรู้จิตในจิต ซึ่งมันก็สูงกว่าจิตปกติ พอไปธรรมมันก็ไปรู้ธรรมในธรรม คือนอกจากการพิจารณาธรรมนี้แล้ว
    มหาสติปัฏฐาน ยังไปรู้ธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรธรรม คือธรรมที่ไม่มีสมมติบัญญัติ มันก็เลยไปถึงแก่นของแก่นที่เป็นธรรมที่สูงสุดได้เช่นกัน
    วิธีนี้ก็ไปบรรจบกันกับการถอดความคิดออกเป็นส่วนๆ และจิตพรากออกจากความคิด จนเข้าสู่จิตเดิมแท้.
    -----------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อั่ยตัวดี!

    วันนี้จะขอเผยโฉมหน้า ผู้เขียนขอใช้คำว่า อั่ยตัวดี!
    ตัวดีนี้ก็คือ ผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลาย

    ตัวดีในที่นี้หมายถึง จิตผู้รู้ มิใช่จิตประภัสสร หรือจิตที่ยังไม่มีปัญญา
    ตัวดีหมายถึง จิตปัญญาของนักภาวนานี่เอง

    ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา วานบอก...
    จิตปัญญาหรือจิตผู้รู้รู้นี้ว่า เจ้าตัวปัญหาสำหรับคนเราให้ต้องรับรู้หรือรู้สึกว่าเป็นทุกข์ เป็นสุข หรือดีใจ เสียใจ เป็นต้น
    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ ต้นสายต้นเหตุ ส่วนปลายสายปลายเหตุนั้นก็คือ ตัวเจตสิกหรือธรรมารมณ์ของเราั้น
    เพราะตัวเจตสิก(อาการจิตหรือธรรมารมณ์)นี้ มักเกิดพร้อมกับตัวจิต และก็ดับพร้อมกับตัวจิต

    เมื่อผู้ปฎิบัติทำจิตให้กลายเป็นตัวปัญญาแล้ว เราก็จะรู้นู้นนี่ แต่สิ่งสำคัญ ถ้าจิตรู้แล้วก็ต้องวาง
    แต่ถ้ารู้เห็นแล้วไม่วางหรือวางไม่เป็น เดี๋ยวปัญหาก็เกิดอีก
    เมื่อผู้ปฎิบัติไม่วางหรือวางไม่เป็นก็จะกลายเป็นว่า วางแต่ของหยาบ ของละเอียดวางไม่เป็น ไปสร้างอัตตาตัวละเอียดขึ้นมาอีก
    รู้แล้ววางนะครับ เพราะจิตเขาจะต้องไปต่อ หยุดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผู้ปฎิบัติจะรู้สึกตนเองว่า ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    เพราะจิตยังไปยึดหรือไปสนใจอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่
    ให้รู้สภาวะธรรมหรือจิตตนเองแค่นั้น แต่มิให้ไปยุ่งหรือพยายามจะเข้าไปเปลี่ยนแปลง
    เพราะจุดมุ่งหมายของการปฎิบัติธรรมจริงๆแล้ว ก็คือ ความหลุดพ้น การละปล่อยวาง ทั้งรูป ทั้งนาม

    สำหรับผู้ที่ยังละปล่อยวาง หรือทิ้งตัวรู้ที่ว่านี้ยังไม่ได้ ย่อมรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ดี
    แต่ความทุกข์นั้น น้อยนิดเหลือเกิน ถ้าจะเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ปฎิบัติเลย ก็เพราะว่า เรายังไม่รู้วิธีทิ้งตัวรู้
    ก่อนที่เราจะทิ้งตัวรู้ของเรานี้ได้ เราต้องทิ้งตัวที่จิตเขาไปรู้หรือเห็นมาเสียก่อน
    ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะมองไม่เห็นชัดกับตัวรู้ของเรา

    แต่ถ้ายังทิ้งไม่ได้ เราก็จะรู้สึกว่า ทำไมบางครั้งยังรู้สึกเป็นทุกข์แป๊บๆ หรือจิตว่างเป็นบางวัน เพราะจิตยังเข้าไม่ถึงความว่างจริงๆ
    อีกการนึงก็คือ บางครั้งมองเห็นสภาวะธรรมหรือจิตว่า...
    การมองเห็นเกิดดับพร้อมกัน บางครั้งมองเห็นสภาวะเกิดแล้ว แต่ดับช้า
    แต่ถ้าเป็นสภาวะอย่างหลังนี้ ก็เป็นเพราะว่าในขณะนั้น เราเจริญปัญญาไม่ต่อเนื่อง

    แต่ถ้าสภาวะการมองเห็นเกิดดับในเวลาไล่เรี่ยกัน นั่นแสดงว่า ปัญญาเต็มเปี่ยม
    จิตหลุดพ้น จิตย่อมไม่สนใจ จิตปล่อยวาง จิตยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้สนิทใจ
    จิตเข้าถึงอนัตตา จะเห็นการเกิดดับเรียกว่าพร้อมๆกันเลย
    เมื่อมาถึงตรงนี้ คำว่า วิปัสสนาก็ไม่มีความหมายอันใด
    เพราะจิตที่จะยอมรับหรือจิตเป็นกลางย่อมไม่ต้องรอตัวปัญญาหรือกำลังใจในการปล่อยวาง
    ถึงจะมีสิ่งมากระทบจิต ทั้งภายนอกหรือภายในจิต ก็ไม่มีผล มีผลแต่กายหยาบเท่านั้น แต่ไม่มีผลต่อจิตใจ

    ผู้ปฎิบัติจะต้องสนใจจิตตนเองมากๆ โดยเฉพาะสภาวะธรรมหรือจิตตนในปัจจุบัน(เท่านั้น)
    จึงจะมองเห็นคำว่าเกิดดับชัดเจนและปล่อยวางมันได้

    พอดีวันนี้ มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับผู้หญิงท่านนึงในประเทศอังกฤษ
    แต่เธอคนนี้มิได้ปฎิบัติธรรมในแนวจิตเกาะพระ
    เพราะเมื่อก่อน มีผู้แนะนำมาให้ปฎิบัติธรรมแนวจิตเกาะพระ แต่เธอแรงมากๆ แสดงอัตตาตัวตนออกมาเด่นชัด
    เธอบอกว่า ผมไม่ใช่พระ จะมาสอนกรรมฐานหรือวิปัสสนาอย่างพระได้ไง
    (ประมาณนั้น ถ้าจำไม่ผิด)
    แต่ผมก็มิได้ว่าอะไร เข้าใจเหตุปัจจัยเธอทุกอย่าง แล้วก็หายไปเป็นเป็นปีเลย
    แต่วันนี้ก้ได้มีโอกาสกลับมาพูดจาภาษาธรรมะกัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนละคนเลย
    ร่างเดิม แต่จิตใหม่ เธอปฎิบัติเก่งมาก อยู่แต่ปัจจุบัน โดยมิได้สนใจผู้อื่น ดูจิต ดูสภาวะธรรมหรือจิตตนอย่างเดียวเลย
    มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เจริญปัญญาอย่างต่อเนื่อง จิตเธอก็เลยไปไวมาก
    หาผู้ปฎิบัติแบบเธอผู้นี้ยาก รู้วางก็เก่ง เจริญในธรรมมาก ฟังเธอพูดคุยก็รู้แล้ว ยิ่งผู้ปฎิบัติเหมือนกัน
    ยิ่งมีิระดับจิตใกล้เคียงกันก็จะรู้ได้ทันทีเลย ยิ่งคุยก็ยิ่งเพลิน ยิ่งสนทนาธรรมหรือแลกเปลี่ยนธรรมะกันก็ยิ่งมันส์ใหญ่เลย
    คนแบบนี้อย่าให้ได้พบเจอกันนะ เพราะคำว่าดึกมันจะไม่มีความหมายเสียแล้ว

    โมทนาสาธุกับคุณดาวด้วยครับ ที่ทำให้เราสองคนมาพบเจอกันอีกคราว
    และดาวนี่แหล่ะ จำได้ว่าพามาหาพี่ภู แต่แล้ว ด้วยเรามิใช่สายบุญเดียวกัน ในที่สุดก็ต้องจากกันไป
    ต่างคนต่างปฎิบัติ เมื่อวันนึงหรือเวลาอันสมควร ก็ต้องมาพบเจอกันอีกจนได้
    นี่แหล่ะ ถึงเรียกว่า พระจัดสรร ธรรมะจัดให้

    ครูหรือผู้ให้ จำไว้นะ ถ้าพบศิษย์หรือผู้รับ ไม่ศรัทธาก็อย่าไปสอนเขา เพราะจบยาก
    แต่ก็อย่าไปตำหนิกัน เพราะว่ามิใช่สายบุญเดียวกัน หรือดื้อเพราะผู้นั้นมีปัญญามาก


    ปล.อ่านสนุกๆ อย่าคิดมาก นึกว่าสนทนาธรรมด้วยกัน
    การปฎิบัติธรรม หรือเดินมรรค ให้มุ่งดูที่จิต ละกิเลส ละทุกข์ที่จิตตนเอง
    มิใช่ปฎิบัติเพื่อเอาอัตตาละเอียดเข้ามาใหม่ หรือสนใจสิ่งลี้ลับ หรืออภิญญา บ้าๆบอๆ
    นั่นมิใช่ทางหลุดพ้น มิใช่โลกุตตระ ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้กับพวกเรา
    พระพุทธเจ้าสอนละอะไรก็ให้ละ ว่านอนสอนง่ายจบง่าย สอนยากหลงมากจบยาก

    สิ่งใดพระุพุทธเจ้ามิได้สอนอย่าไปสนใจ เพราะไม่มีประโยชน์ มิใช่ทางหลุดพ้น แต่จะหลุดโลกแทน
    ปฎิบัติธรรมก็อย่าหลงเพ้อฝัน ต้องมีอภิญญา ต้องเห็นนู้นนี่ แต่ถ้าผู้ใดเห็นเพราะมีของเก่า
    ก็ขอให้มีสติคอยระลึกรู้ตัวอยู่แต่ปัจจุบันและความจริง เท่านั้น

    พระสกิดในใจว่า...ปัญญากรองใน สติกรองนอก

    (คาถากันบ้าๆบอๆ เป็นอย่างดีเลย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กันยายน 2013
  17. klaichid

    klaichid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +807
    อั่ยตัวดี!

    วันนี้จะขอเผยโฉมหน้า ผู้เขียนขอใช้คำว่า อั่ยตัวดี!
    ตัวดีนี้ก็คือ ผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลาย

    ตัวดีในที่นี้หมายถึง จิตผู้รู้ มิใช่จิตประภัสสร หรือจิตที่ยังไม่มีปัญญา
    ตัวดีหมายถึง จิตปัญญาของนักภาวนานี่เอง

    ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา วานบอก...
    จิตปัญญาหรือจิตผู้รู้รู้นี้ว่า เจ้าตัวปัญหาสำหรับคนเราให้ต้องรับรู้หรือรู้สึกว่าเป็นทุกข์ เป็นสุข หรือดีใจ เสียใจ เป็นต้น
    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ ต้นสายต้นเหตุ ส่วนปลายสายปลายเหตุนั้นก็คือ ตัวเจตสิกหรือธรรมารมณ์ของเราั้น
    เพราะตัวเจตสิก(อาการจิตหรือธรรมารมณ์)นี้ มักเกิดพร้อมกับตัวจิต และก็ดับพร้อมกับตัวจิต

    เมื่อผู้ปฎิบัติทำจิตให้กลายเป็นตัวปัญญาแล้ว เราก็จะรู้นู้นนี่ แต่สิ่งสำคัญ ถ้าจิตรู้แล้วก็ต้องวาง
    แต่ถ้ารู้เห็นแล้วไม่วางหรือวางไม่เป็น เดี๋ยวปัญหาก็เกิดอีก
    เมื่อผู้ปฎิบัติไม่วางหรือวางไม่เป็นก็จะกลายเป็นว่า วางแต่ของหยาบ ของละเอียดวางไม่เป็น ไปสร้างอัตตาตัวละเอียดขึ้นมาอีก นั่นเอง
    รู้แล้ววางนะครับ เพราะจิตเขาจะต้องไปต่อ หยุดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผู้ปฎิบัติจะรู้สึกตนเองว่า ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    เพราะจิตยังไปยึดหรือไปสนใจอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่
    ให้รู้สภาวะธรรมหรือจิตตนเองแค่นั้น แต่มิให้ไปยุ่งหรือพยายามจะเข้าไปเปลี่ยนแปลง
    เพราะจุดมุ่งหมายของการปฎิบัติธรรมจริงๆแล้ว ก็คือ ความหลุดพ้น การละปล่อยวาง ทั้งรูป ทั้งนาม

    สำหรับผู้ที่ยังละปล่อยวาง หรือทิ้งตัวรู้ที่ว่านี้ยังไม่ได้ ย่อมรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ดี
    แต่ความทุกข์นั้น น้อยนิดเหลือเกิน ถ้าจะเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ปฎิบัติเลย ก็เพราะว่า เรายังไม่รู้วิธีทิ้งตัวรู้
    ก่อนที่เราจะทิ้งตัวรู้ของเรานี้ได้ เราต้องทิ้งตัวที่จิตเขาไปรู้หรือเห็นมาเสียก่อน
    ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะมองไม่เห็นชัดกับตัวรู้ของเรา

    แต่ถ้ายังทิ้งไม่ได้ เราก็จะรู้สึกว่า ทำไมบางครั้งยังรู้สึกเป็นทุกข์แป๊บๆ หรือจิตว่างเป็นบางวัน เพราะจิตยังเข้าไม่ถึงความว่างจริงๆ
    อีกการนึงก็คือ บางครั้งมองเห็นสภาวะธรรมหรือจิตว่า...
    การมองเห็นเกิดดับพร้อมกัน บางครั้งมองเห็นสภาวะเกิดแล้ว แต่ดับช้า
    แต่ถ้าเป็นสภาวะอย่างหลังนี้ ก็เป็นเพราะว่าในขณะนั้น เราเจริญปัญญาไม่ต่อเนื่อง

    แต่ถ้าสภาวะการมองเห็นเกิดดับในเวลาไล่เรี่ยกัน นั่นแสดงว่า ปัญญาเต็มเปี่ยม
    จิตหลุดพ้น จิตย่อมไม่สนใจ จิตปล่อยวาง จิตยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้สนิทใจ
    จิตเข้าถึงอนัตตา จะเห็นการเกิดดับเรียกว่าพร้อมๆกันเลย
    เมื่อมาถึงตรงนี้ คำว่า วิปัสสนาก็ไม่มีความหมายอันใด เพราะจิตที่จะยอมรับหรือจิตเป็นกลางย่อมไม่ต้องรอตัวปัญญาหรือกำลังใจในการปล่อยวาง
    ถึงจะมีสิ่งมากระทบจิต ทั้งภายนอกหรือภายในจิต ก็ไม่มีผล มีผลแต่กายหยาบเท่านั้น แต่ไม่มีผลต่อจิตใจ

    ผู้ปฎิบัติจะต้องสนใจจิตตนเองมากๆ โดยเฉพาะสภาวะธรรมหรือจิตตนในปัจจุบัน(เท่านั้น)
    จึงจะมองเห็นคำว่าเกิดดับชัดเจนและปล่อยวางมันได้

    พอดีวันนี้ มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับผู้หญิงท่านนึงในประเทศอังกฤษ
    แต่เธอคนนี้มิได้ปฎิบัติธรรมในแนวจิตเกาะพระ
    เพราะเมื่อก่อน มีผู้แนะนำมาให้ปฎิบัติธรรมแนวจิตเกาะพระ แต่เธอแรงมากๆ แสดงอัตตาตัวตนออกมาเด่นชัด
    เธอบอกว่า ผมไม่ใช่พระ จะมาสอนกรรมฐานหรือวิปัสสนาอย่างพระได้ไง
    (ประมาณนั้น ถ้าจำไม่ผิด)
    แต่ผมก็มิได้ว่าอะไร เข้าใจเหตุปัจจัยเธอทุกอย่าง แล้วก็หายไปเป็นเป็นปีเลย
    แต่วันนี้ก้ได้มีโอกาสกลับมาพูดจาภาษาธรรมะกัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนละคนเลย
    ร่างเดิม แต่จิตใหม่ เธอปฎิบัติเก่งมาก อยู่แต่ปัจจุบัน โดยมิได้สนใจผู้อื่น ดูจิต ดูสภาวะธรรมหรือจิตตนอย่างเดียวเลย
    มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เจริญปัญญาอย่างต่อเนื่อง จิตเธอก็เลยไปไวมาก
    หาผู้ปฎิบัติแบบเธอผู้นี้ยาก รู้วางก็เก่ง เจริญในธรรมมาก ฟังเธอพูดคุยก็รู้แล้ว ยิ่งผู้ปฎิบัติเหมือนกัน ยิ่งมีิระดับจิตใกล้เคียงกันก็จะรู้ได้ทันทีเลย
    ยิ่งคุยก็ยิ่งเพลิน ยิ่งสนทนาธรรมหรือแลกเปลี่ยนธรรมะกันก็ยิ่งมันส์ใหญ่เลย
    คนแบบนี้อย่าให้ได้พบเจอกันนะ เพราะคำว่าดึกมันจะไม่มีความหมายเสียแล้ว

    โมทนาสาธุกับคุณดาวด้วยครับ ที่ทำให้เราสองคนมาพบเจอกันอีกคราว
    และดาวนี่แหล่ะ จำได้ว่าพามาหาพี่ภู แต่แล้ว ด้วยเรามิใช่สายบุญเดียวกัน ในที่สุดก็ต้องจากกันไป
    ต่างคนต่างปฎิบัติ เมื่อวันนึงหรือเวลาอันสมควร ก็ต้องมาพบเจอกันอีกจนได้
    นี่แหล่ะ ถึงเรียกว่า พระจัดสรร ธรรมะจัดให้

    ครูหรือผู้ให้ จำไว้นะ ถ้าพบศิษย์หรือผู้รับ ไม่ศรัทธาก็อย่าไปสอนเขา เพราะจบยาก
    แต่ก็อย่าไปตำหนิกัน เพราะว่ามิใช่สายบุญเดียวกัน หรือดื้อเพราะผู้นั้นมีปัญญามาก

    ปล.อ่านสนุกๆ อย่าคิดมาก นึกว่าสนทนาธรรมด้วยกัน
    การปฎิบัติธรรม หรือเดินมรรค ให้มุ่งดูที่จิต ละกิเลส ละทุกข์ที่จิตตนเอง
    มิใช่ปฎิบัติเพื่อเอาอัตตาละเอียดเข้ามาใหม่ หรือสนใจสิ่งลี้ลับ หรืออภิญญา บ้าๆบอๆ
    นั่นมิใช่ทางหลุดพ้น มิใช่โลกุตตระ ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้กับพวกเรา
    พระพุทธเจ้าสอนละอะไรก็ให้ละ ว่านอนสอนง่ายจบง่าย สอนยากหลงมากจบยาก

    สิ่งใดพระุพุทธเจ้ามิได้สอนอย่าไปสนใจ เพราะไม่มีประโยชน์ มิใช่ทางหลุดพ้น แต่จะหลุดโลกแทน
    ปฎิบัติธรรมก็อย่าหลงเพ้อฝัน ต้องมีอภิญญา ต้องเห็นนู้นนี่ แต่ถ้าผู้ใดเห็นเพราะมีของเก่า
    ก็ขอให้มีสติคอยระลึกรู้ตัวอยู่แต่ปัจจุบันและความจริง เท่านั้น

    พระสกิดในใจว่า...ปัญญากรองใน สติกรองนอก

    (ถาคากันบ้าๆบอๆ เป็นอย่างดีเลย)


    สาธุ สาธุ สาธุ
    คุณ ภู อธิบายได้ตรงความรู้สึก มากเลย
    บางครั้ง เราเหมือนรู้และเข้าใจ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเช่นไร
    ได้อ่านแล้ว ใช่เลย !
    ด้วยผลบุญกุศลที่คุณทำให้แก่ญาติธรรม ทั้งหลายขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นค่ะ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะง่ายๆที่คนส่วนใหญ่มองข้าม

    ชอบทำแต่ในสิ่งที่ยากกว่า นึกว่าเป็นสิ่งง่าย แต่มันยากก็ยังทำ
    รู้ก็เหมือนไม่รู้ ทุกข์ก็บอกว่าสุข สุขปนทุกข์ ก็ยังจะเอากัน

    เรื่องของโลกมนุษย์นี้ แท้ที่จริงแล้วก็แค่เป็นส่วนหนึ่ง เป็นเสี้ยวหนึ่งของจิตเดินทาง
    โลกนี้ ร่างกายนี้ เสมือนเป็นที่พักริมทางของคนเรา ที่หลงมาเกิดชาติหนึ่งเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น เราก็อย่าไปจริงจังอะไรมากนักกับร่างกายหรือสิ่งสมมุติทั้งหลายทั้งปวง
    ร่างกายมนุษย์ก็เป็นแค่ที่อยู่ เป็นที่อาศัย เป็นที่พักพิงของจิตเพียงชั่วครู่ ชั่วคราวเท่านั้น
    เมื่อถึงเวลาอันสมควร(ตาย) จิตเขาก็ต้องเดินทางไปยังภพภูมิหรือชาติต่อๆไป ตามวาระกรรม
    แต่ขอให้เอาจริง เอาจังกับจิตของตน เพราะนี่คือ ธรรมของแท้ของตน

    เพราะฉะนั้น โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมดาหรือกฎไตรลักษณ์
    การปฎิบัติก็เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น ก็คือ การยอมรับกฎธรรมดา กฎธรรมชาติ หรือกฎไตรลักษณ์ นั่นเอง

    แต่ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับหรือวิ่งตาม เห็นมีแต่จะทุกข์ เป็นธรรมดา
    ส่วนผู้ที่ยอมรับกฎธรรมดานี้ได้ ก็จะไม่ทุกข์เท่านั้นเอง

    เมื่อเข้าใจธรรมย่อมเข้าใจธรรมชาติ เมื่อเข้าถึงตัวธรรมรรมะก็ย่อมยอมรับกฎแห่งกรรมกันได้

    มิใช่มีแค่โลกมนุษย์นี้เท่านั้น แต่ยังมีโลกทิพย์หรือโลกวิญญาณ ทุกคนต้องเจอแน่
    กายตาย แต่จิตไม่ตาย ต้องไปต่อนั่นเอง
    เพราะฉะนั้น จิตต้องรู้ล่วงหน้าก่อนว่าจะไปไหน เราเท่านั้นเป็นผู้กำหนดเอง
    แต่ถ้าใครไม่กำหนดก็ต้องไปตามตารางกฎแห่งกรรมเท่านั้นเอง
    กรรมที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดจะไปเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่กรรมอนาคตจะดีหรือไม่ก็อยู่ที่เรากระทำในปัจจุบัน

    นับจากลมหายใจนี้เป็นต้นไป จะกำหนดการไปของเรา(จิต)เอง หรือปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมก็ตามใจแล้ว
    ไม่ต้องห่วงเรื่องอดีต ไม่ต้องพูดถึงอนาคต จงทำปัจจุบันให้เป็นบุญ เป็นกุศลก็แล้วกัน
    นี่เป็นวิธีหนีจากอบายภูมิแบบง่ายที่สุด เนียนที่สุด

    จิตธรรมดา หรือจิตที่มิได้ฝึกฝนมาดีย่อมไม่ไกล ต้องเป็นจิตปัญญาจึงจะรอด
    ยิ่งจิตถึงธรรมก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะไม่หลง เพราะออกจากอวิชชาองตนเองได้
    เพราะฉะนั้น จิตไม่หลง จิตจะปล่อยวางทุกสิ่งได้ด้วยปัญญา
    เมื่อจิตเขาปล่อยวางได้ เราก็หมดทุกข์เมื่อนั้น ความสุขก็เข้ามาแทนที่

    ก่อนเราจะหมดลมหายใจ อย่างน้อยที่สุด จะต้องออกจากทุกข์ของตนให้ได้ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
    เอาจิตให้รอดก่อน ส่วนร่างกายอย่าไปเน้น อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก
    เพราะทุกคนย่อมรู้ว่า..สุดท้ายจะต้องคืนธรรมชาติเขาไป

    พยายามสร้างอริยทรัพย์ภายในของตนให้มากเข้าไว้
    เพราะมีอยู่สิ่งเดียวที่จะติดตามดวงจิตหรือวิญญาณ เป็นเสบียงอย่างดีสำหรับโลกทิพย์ของตน
    อย่าลืม โลกทิพย์หรือโลกแห่งวิญญาณนั้นยาวนานกว่าโลกที่เรากำลังหายใจอยู่นี้ (หมั่นเตือนสติตนบ่อย)
    สาธุ..ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
     
  19. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ความสำคัญของศีล
    "ศีล เราต้องรักษาให้เท่ากับหัวของเรา
    ศีลขาดก็ต้องเท่ากับคอขาด
    ศีลขาด ดีกว่าไม่มีศีลเลย
    เพราะคนนุ่งผ้าขาด ย่อมดีกว่าคนเปลือยกาย
    ความดี เป็นของผู้ทำ
    ไม่ใช่ของคนโง่ คนฉลาด คนมี หรือคนจน"


    พระธรรมคำสอน...ท่านพ่อลี ธัมมธโร
    วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ตรัสรู้ธรรม

    -อย่าเข้าใจว่าธรรมเป็นของผู้นั้นผู้นี้--

    ...ให้นึกว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วลงมือปฏิบัติตาม...

    ...พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า...

    "ท่านทั้งหลายพึงทำความเพียร เครื่องเผากิเลส

    -พระคถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้บอก-

    ...ชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกของมาร"

    ...หมายความว่า พระพุทธองค์เป็นผู้บอกหนทางเท่านั้น...

    ...สวนการเดินทางตามนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งหลาย...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่ทอง สิริมังคโล วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่เพื่อนำมาปฏิบัติตามเจ้าค่ะกราบๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...