จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    (หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)


    ...ตา หู จมูก เป็นเหตุ...

    ภาวนา กำหนดใจ ถ้ากำหนดใจได้แล้ว
    มันจึงรู้ พุทโธ เป็นมรรคของใจ ถ้าภาวนา
    กำหนดจิตยังไม่ได้ มันก็แพ้กิเลส กิเลสมันอยู่ก่อน


    ต้องมีสติรักษาใจจึงจะดี ถ้าไม่มีสติ
    จิตก็จะไปเกาะเกี่ยวอันนั้นอันนี้ทั่วไป
    พาให้หลงไป เวลาหลงไป เช่นหลงอะไร
    ให้ยกอันนั้น ขึ้นสู่การพิจารณา
    ตัวอย่างกาย ให้เพ่งแยกส่วนของกายออก
    แต่ละส่วนเต็มไปด้วยของไม่สะอาด
    ไหลเข้าไหลออกตลอดอยู่ทุกขณะ
    การที่พิจารณาแยกแยะ
    จนเห็นเป็นของไม่งาม ไม่ใช่ของง่าย
    ในเมื่อจิตยังแส่ส่ายหาอารมณ์อยู่


    ต้องอาศัยความพากเพียรอดทน
    เมื่อจิตมีกำลังมันจึงสงบ ถ้ามัวเกียจคร้านอยู่
    จิตมันก็ไม่เป็นไป ตัวขี้เกียจขี้คร้านนี้แหละ
    เป็นตัวทำให้เสีย เป็นตัวกิเลส
    เวลานั่งประเดี๋ยวหนาว ประเดี๋ยวหาว
    พวกนี้เป็นกิเลสทั้งนั้นแหละ
    ถ้าพร้อมด้วยการกระทำจึงจะได้กำลัง
    ถ้าไม่พร้อมมันก็ไม่มีกำลัง


    ร่างกายของเรานั้นที่เราเห็นว่างาม
    ก็เพราะมีของไม่สะอาดเต็มท้องเต็มไส้อยู่
    ถ้าในท้องในไส้ไม่มีอะไรเลย ลองดูซิมันจะงามไหม
    ถ้าของในท้องในไส้ไหลออกหมด มันก็เหี่ยวแห้ง
    เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
    ถ้าพูดกับความจริงแล้ว
    ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยของเสียทั้งหมด
    ถึงอย่างนั้นก็ยังหลงไปว่าเป็นของสวยงาม
    แต่ใจมันไม่ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดหนา
    เราต้องภาวนาพิจารณากลับไปกลับมา
    ทบไปทวนมาอยู่นั้นแหละ เราไปหลงของไม่งาม
    จับอันนั้นต่ออันนี้เลยเห็นว่างามจนติดจนหลง



    การภาวนาถ้านอนภาวนา มันเป็นภาวนอนไปเสีย
    การฉันอาหารถ้าฉันมากเกินไป
    เวลาภาวนาก็นั่งหลับไปเสีย
    มันหลายเรื่องหลายราว ถ้าอะไรมันมากไป
    จิตมันไม่สงบ ห้ามมันไม่ฟัง อาหารมันทับ


    พวกเรานอนกันอยู่ในท้องของมารดา
    ตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน จึงจะออกมาพ้น
    ร้องไห้ อุแว้ ๆ ได้ ถ้าดีใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้...
    กามนี้เราเคยติดมาแล้วนับอเนกอนันต์
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระองค์เร่งความเพียรจนรู้แจ้งเห็นจริง


    กามตัวเดียวที่ทำให้สัตว์ตาย
    กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
    เอาเข้ากลายเป็น
    กามตันหน้า ภวตันตา วิภวตันใจ


    เมื่อกามเหล่านี้เข้าไปอุดไปตัน หน้า ตา ใจ
    แล้วก็เกิดความหลง ความรัก ความชัง
    ความพอใจ ก็เพราะกาม
    ความไม่พอใจก็เพราะกาม มันเกิดขึ้นกับใจ


    ตา เป็นเหตุ หู เป็นเหตุ จมูก เป็นเหตุ
    เป็นเหตุแห่งความรักความชัง ตา เป็นเหตุ
    เมื่อได้เห็นรูปสวย รูปงาม รูปอัปลักษณ์
    น่าเกลียดน่าชัง หู เป็นเหตุ ได้ยินเสียง
    การประโคมขับร้องอันไพเราะ หรือเสียงน่ารำคาญ
    จมูกและใจก็เหมือนกัน ถ้าดีเป็นน่ารัก มันก็ติดก็หลง
    ถ้าตรงกันข้าม มันก็เกลียดก็ชัง จึงว่ามันเป็นเหตุ


    การฆ่ากันก็เพราะกาม รักกันก็เพราะกาม
    ทั่วอากาศ ทั่วพื้นน้ำและบนบกเต็มไปด้วยกาม
    กามตันหน้า ภวตันหู วิภวตันใจ
    ถ้าจะขยายออกไป มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกกาม
    เพราะความพอใจและไม่พอใจก็เกิดจากกามทั้งสิ้น



    พิจารณาให้ดีๆ เป็นอย่างไรมันจึงหลงไป
    จนกลายเป็นบ๋อยรับใช้ไป



    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว
    วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๕
    คัดลอกมาจาก http://loungpu.th.gs/
    ประตูสู่ธรรม


    น้อมรับพระธรรมคำสอน ของหลวงปู่ มาปฏิบัติตามด้วยความเคารพยิ่ง เจ้าค่ะ ...
    ขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้า หลวงปู่แหวน ด้วยเศียรเกล้า เจ้าค่ะ
    กราบ กราบ กราบ

     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตราบใดยังมีขันธ์๕..อย่าประมาท

    เมื่อจิตเข้าถึงธรรมชาติ ก็เหมือนเรือแล่นถึงฝั่งอย่างปลอดภัย
    ธรรมชาติแห่งจิต อยากรู้ อยากเห็น หรือมีความลังเล ความสงสัยเป็นธรรมดา

    เรือที่เจอคลื่นก็เหมือนจิตเจอสิ่งกระทบ
    เมื่อเรือเจอคลื่น ย่อมไหวหรือเอนเอียงไปตามแรงคลื่นลม
    จิตก็เช่นกัน ย่อมสั่นสะเทือนหรืออ่อนไหวไปตามแรงสิ่งกระทบ เป็นธรรมดา

    จิตที่เข้าถึงหรือเข้าใจธรรมชาติ ถึงจะมีสิ่งมากระทบจิตมากน้อย จึงไม่มีผล
    จิตที่เข้าถึงธรรม ย่อมยอมรับกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เสมอ โดยไม่ต้องวิปัสสนาให้เสียเวลา
    ถึงวิปัสสนาก็ไม่ทัน ถ้าจิตมันไหลไปเรียบร้อยแล้ว

    จิตที่เข้าถึงธรรมย่อมนิ่งสงบสงัด จิตจึงจะสำรวมได้
    เมื่อจิตเดินมรรคสุดทาง อย่าเพิ่งเข้าใจว่าบรรลุมรรคผล ตามดูจนกว่าขันธ์จะแตกดับ
    ตราบใดยังมีขันธ์๕ เราประมาทไม่ได้ พยายามเน้นเรื่องจิตให้มาก
    เพราะกายหยาบเป็นสิ่งสมมุติ เมื่อถึงแวลาแตกดับก็ตกเป็นสมบัติของโลก
    เพราะฉะนั้น ตายแต่กาย แต่จิตไม่ตาย ต้องเดินทางต่อยังภพภูมิต่างๆไปตามวาระกรรม
    ถ้าเรายังเกิดมีกายหยาบ ก็จมปักอยู่กองทุกข์กันต่อไปฯ
    ทุกข์เพราะมีร่างกาย โลกใบนี้ล้วนอนิจจังหรือไม่เที่ยง
    นอกจากไม่เที่ยงแล้ว ก็ยังบังคับบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามใจตนก็ไม่ได้

    ผู้้ที่ไม่เคยฝึกจิต จึงไม่มีโอกาสรู้ รู้ก็เหมือนไม่รู้ เหมือนอยู่คนละมิติ พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ
    เมื่อไม่เข้าใจภาษาจิต ฉะนั้น ก็ยากจะเข้าใจภาษาธรรม

    ถึงว่าทำไม พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเป็นธรรมสุดท้าย ก่อนถึงกาลดับขันธปรินิพพาน

    ...สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กันยายน 2013
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_6YJcII1G9Y]ธรรมะสุดท้ายก่อน ดับขันธปรินิพพาน - YouTube[/ame]​
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=PnuZjPwXTXw]พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน - YouTube[/ame]​

    อยากให้ฟัง...
    ฟังด้วยจิตสงบจึงจะได้อานิสงส์จากการฟังธรรม​
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระธรรมคำสอนของ พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. (หลวงปู่ทอง สิริมังคโล)

    น้ำไม่ติดใบบัวฉันใด เราอยู่ในโลกนี้ ถ้าเรามีสติแล้ว เราก็ไม่ติดในโลก...

    ...ท่านกล่าวไว้ว่าดินแดนที่พ้นจากกรรมนั้นไม่มี...

    -จะอยู่ในอากาศ ในช่องเขาทะเล หรือที่ไหน ที่ๆคนพ้นจากกรรมนั้นไม่มี

    ...ถ้าเราทำกรรมอะไร เราก็จะได้จะได้รับกรรมอันนั้น...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่เจ้าค่ะ และกราบขอบพระคุณในพระธรรมคำสั่งสอนค่ะ.
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก
    ( พระครูญาณทัสสี หลวงปู่คำดี ปภาโส )

    ความจริง “จิตใจ” ของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์
    สังเกตได้จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
    เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครองรักษาใจท่านดีแล้ว
    ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ
    เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ
    ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน
    ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์

    ไม่ใช่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ
    ที่จะได้มาเผาเราให้ร้อน เป็นทุกข์
    ตัวของเราเองที่เป็นไฟมาคอยเผาตัวเอง

    บุคคลที่มีทาน มีศีล แต่ขาดการภาวนานั้น
    เปรียบเหมือนบุคคลที่มีเสบียงพร้อมแล้ว มีร่างกายที่สมบูรณ์
    มีกำลังวังชาที่ดี แต่บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่ตาบอด
    เขาย่อมไม่สามารถจะเดินทางไปสู่พระนิพพานได้

    เมื่อจิตใจรวมลงได้ละเอียดเป็นหนึ่ง
    ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาอยู่บ้างก็ตาม ให้เรากำหนดนิ่งเฉย
    คำว่า “นิ่งเฉย” เปรียบเหมือนกับนายพรานดักเนื้อ
    เขาจะนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว
    แต่ตาของเขาจะมองดูสัตว์ต่างๆ ที่จะดักฉันใด
    การตั้งสติกำหนดจิตก็ฉันนั้น

    ให้พากันสนใจเรื่องการภาวนา
    เราบังคับจิตใจไว้เป็นของง่าย เพราะเป็นของมีอยู่กับตัว
    ไม่ต้องซื้อไม่ต้องขอ ไม่ต้องแลกเปลี่ยน เป็นสิ่งมีประโยชน์มาก

    ถ้าเราบำเพ็ญความสงบได้แล้ว
    มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม

    เรื่องของนิมิตนี้จะเกิดหรือไม่เกิดไม่สำคัญ
    เพราะว่าการที่เราทำสมาธิภาวนา
    ก็เพื่อมุ่งให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น

    ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเป็นอารมณ์เดียวได้แล้ว
    ก็พอเท่านั้น ไม่มีนิมิตเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นไร
    การภาวนาท่านต้องการให้เราปราบกิเลสของเราเท่านั้น
    คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน
    เห็นความหลงของตน เห็นราคะของตน เห็นมานะทิฐิของตน

    ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตาม
    หรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม ถ้า “ไตรลักษณญาณ” ยังไม่เกิดแล้ว
    ก็ยังนับว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ยังผิด ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด

    บางคนภาวนาไม่อยากเห็นภาพต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ เทวดา เป็นต้น
    การที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรแปลก
    ที่ว่าไม่แปลกก็เพราะว่า เมื่อเราเห็นแล้ว กิเลสของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม
    บางคนแถมยังทำให้เกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้นอีกเสียด้วย

    คือถือว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้
    เลยไม่ยอมกราบไหว้ใครทั้งสิ้น จนกลายเป็น สัคคาวรณ์ มัคคาวรณ์
    ปิดกั้นทางมรรค ทางผล ทางนิพพาน ไปโดยปริยาย
    เป็นความเห็นที่ผิดจากหลักศาสนา
    พวกเราท่านพากันฝึกหัดสติลูบๆ คลำๆ กันอยู่อย่างไรเล่า
    จึงมิรู้ช่องแนวทางพ้นทุกข์เสียที

    ด้วยเหตุนี้ ขอให้พากันยึดหลักสติปัฏฐาน ๔
    เป็นหลักฝึกสติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
    นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมุติที่เราไปยึดถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น
    ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา หรือสมบัติต่างๆ
    เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้
    เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้
    ตรงกับคำว่า “สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก”


    เครดิต; Natcha@uk
    https://www.facebook.com/natcha.savill
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2013
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ~พวกใจร้อน มีโทสะจริตเป็นใหญ่ ชอบเอากิเลสของตนไปชนกับกิเลสของผู้อื่น ชอบชนะความชั่วของผู้อื่นซึ่งทำไม่ได้ เพราะความชั่วของตนเองก็เอาชนะไม่ได้ แล้วจะชนะความชั่วของผู้อื่นได้อย่างไร ถึงแม้บางครั้งอาจจะชนะได้ก็แค่ชั่วคราว ประเดี๋ยวก็ต้องแพ้ความชั่วของตนเองอีก เป็นการชนะไม่เด็ดขาด จะชนะมันได้เด็ดขาดจะต้องชนะใจตนเอง หรือพ้นภัยตนเองให้ได้ก่อน แต่ภัยที่ร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรมก็คือ ภัยที่เกิดจากอารมณ์จิตของเราเอง ทำร้ายจิตเราเอง จุดนี้ต้องอาศัยพรหมวิหาร ๔ เต็มระดับทั้ง ๔ ข้อ "...๒ ข้อแรกคือเมตตา-กรุณา ก็แสนยากที่จะผ่านจุดนี้ไปได้ "...๒ ข้อหลังจึงยังไม่ต้องพูดถึง ถ้า ๒ ข้อแรกยังไม่ผ่าน "สรุปว่าบุคคลใดมีพรหมวิหาร ๔ เต็มระดับและทรงตัว บุคคลนั้นก็จบกิจเป็นอรหันต์~

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘ หน้า ๗๑
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    [หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี]


    เครดิต; Natcha@UK
    https://www.facebook.com/natcha.savill
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    "ชีวิตมีค่าทุกวัน ทำน้อยได้น้อย ทำมากก็ได้มาก สตินี่ทำได้ทุกระยะ รู้นี่ สติพร้อม ไม่มีทุกข์ เป็นบุญพร้อม เป็นปัญญาพร้อม จิตผ่องใส จิตก้าวหน้าพร้อม จะไปมีปัญหาในชีวิตได้อย่างไร ไม่ต้องถามว่าจะอยู่ไปทำไมทุกวันๆ ก็มันแจ่มแจ้งแล้วนี่ จิตอยู่ในพุทธธรรม อยู่ในแสงสว่าง จิตมุ่งสู่นิพพาน ธรรมอะไรมันไม่สูงไปกว่านี้หรอก"

    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต


    ที่มาธรรมาทาน
    https://www.facebook.com/natcha.savill
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มรณานุสติ มาย้ำเตือน…
    รีบเร่งสร้างอริยทรัพย์ภายในเสียเถิด ก่อนจะหมดเวลา

    **..เห็นคนที่ยังสาวๆ อยู่แล้วต้องตายก่อนเวลาอันควร..**

    ทำให้จิตใจเราสงบ เย็น อย่างบอกไม่ถูกหนอ...
    เราจองมองเขาด้วยจิตที่สงบของเรา...ว่าเขาผู้นี้คือครู คืออาจารย์ สอนเรา เพื่อไม่ให้เราประมาทในชวิต
    เร่งรัด เร่งรีบ เร่งด่วน เพื่อสะสมอริยทรัพย์ภายใน อันประเสริฐเลิศล้ำ ไว้ในจิตเพื่อเดินทางข้ามภพ ข้ามชาติไปกับเรา
    ขนาดเขายังสาวๆ ก็ยังตายเลยหนอ

    ขอขอบคุณภาพจริงๆ ที่ญาติพี่น้องของผู้ตาย อนุญาตให้นำมาลง เป็นเครื่องสอนใจ
    ขออนุโมทนาในครั้งนี้

    ธรรมะดีๆ จาก..
    https://www.facebook.com/natcha.savill
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lady.jpg
      lady.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.5 KB
      เปิดดู:
      53
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนเราเกิดมา...
    เมื่อมีร่างกาย ก็ต้องมีแขนมีขา มีอวัยวะต่างๆ
    จิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีจิต ก็ต้องมีเจตสิก หรือธรรมารมณ์ต่างๆ

    เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มีดวงตาเห็นธรรม จึงเป็นทุกข์มาก เป็นธรรมดา

    ชวนกันมาบวชจิต ชวนกันมาปฎิบัติธรรม เพื่อค้นหาความจริงของชีวิตกัน
    เรื่องยากๆกว่านี้ พวกเราก็เคยทำกันมามากแล้ว
    เพราะฉะนั้น เราจะทำดวงตาของตนเห็นธรรม ไม่ได้เชียวหรือ
    คนอื่นยังทำได้เลย มีกาย มีจิตเหมือนกันแท้ๆ มิได้มีอะไรแตกต่างกันเลย
    ความศรัทธาก็เหมือนๆกัน อาจจะต่างกันตรงที่ความเพียรเท่านั้นเอง

    พูดถึงความเพียรของคนเราทั่วๆไป มันก็เกิดยากแล้ว
    โดยเฉพาะ ความเพียรเพื่อปฎิบัติ ก็ยิ่งยากเป็นเท่าตัว
    ความเพียรเพื่อนำมาซึ่งการปฎิบัตินั้นเกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่พยายามสะสมบุญหรือบันไดบุญ
    ก็ขึ้นอยู่กับทาน ศีล บารมี หรือศีล สมาธิ ปัญญาของตนเอง
    กว่าผู้ปฎิบัติจะมาถึงตัวปัญญา เรา(จิต)ต้องผ่านสมาธิและก็ศีลก่อน เป็นต้น

    อยากแนะให้ทำบุญภายในกันเยอะๆ เพราะในขณะที่จิตเป็นสมาธิหรือนิ่งสงบนั้น ถือเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง
    ตรงนี้นี่ไง ถึงได้ชื่อว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงยิ่งนัก เพราะถ้าผู้ใดสำรวมจิตได้แบบนี้มาก หรือตลอดเวลา
    นิวรณ์หรือกิเลส ก็จะไม่มารบกวนจิต จิตจึงตั้งมั่น อยู่แต่ฝ่ายบุญกุศลตลอดเวลา

    ขอให้ผู้ที่มีปัญญา จงสนใจดูกาย ดูจิตของตนมากๆ
    ทั้งความสุข ความทุกข์ ความดีใจ ความเสียใจนั้นอยู่ที่ไหน ถ้ามิใช่จิตใจของเรา
    พยายามทำจิตให้ผ่องใสเข้าไว้ ไม่ว่ากายหรือสิ่งภายนอก จะเป็นเช่นไร พยายามแยกจิตออกมาอย่างเดียวพอ

    รู้เห็นอะไร..ก็ไม่เท่าจิตของตนไปรู้หรือไปเห็น มันเทียบกันไม่ได้เลย กับความรู้จากสมอง

    ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุขกาย สบายใจไปตลอดกาลนานด้วยเทอญ..สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2013
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ครูเกษคนไหนเอ่ย? ช่วยปรากฎกายหน่อยค่ะ.
     
  13. katoonuk

    katoonuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีคะพี่่ชาวจิตบุญทุกๆท่่าน ขอโทษด้วนนะคที่ตูนน้อยนั้นหายตัว (อุ้ป) หายหน้าไปนานนะคะ พอดีช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอมนะคะ เลยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยมานะค และก่อนหน้านี้ตูนได้ติดต่อกับครูเกษด้วยนะคะ ตูนคิดว่าพวกพีี่ชาวจิตบุญถามหาคุณคูรเกษนั้นคุณครูเกษยังคงยุ่งอยู่นะคะ ส่วนวันนี้ที่ตูนเข้ามาเขียนในกระทู้นั้น ตูนมีเรื่องมาเล่าให้พี่ชาวจิตบุญและเพื่อนๆทั้งหลายให้ได้ฟังกันนะคะ เรื่อวที่เล่านั้นอาจจะดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่สำหรับตูนนั้นมันมีค่ามากมายเลยคะ ก่อนหน้าที่ตูนเข้ามาศึกษาธรรมและเข้ามาเรียนรู้วิชาจิตเกาะพระ นั้นตูนเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นตัวเองมากๆ และกับคนในครอบครัวด้วยนะคะ ตั้งแต่จิตตูนยกตูนรู้ตัวเองว่าตูนเปลี่ยนไป(คนรอบๆข้างที่อยู่รอบตัว และเคยรู้จักตูนนะคะ) ส่วนตูนนั้นไม่คิดเช่นนั้นนะคะ หลังจากจิตยกนั้นตูนก็หมันเพียร อย่างที่คุณครูเกษและคุณท่านพี่ภูได้แนะนำอย่างเคร่วครัดนะคะ และวันนี้ที่ตูนเดินทางกลับบ้านที่เมืองไทยนั้นจุดประสงค์หลักคือตั้งใจจะไปบวชถือศีล8ที่วัดแห่งหนึ่งในสระบุรี และจุดประสงค์ที่สองตูนเคยพูดกับตัวเองเสมอว่าถ้ามีโอกาสตูนขอได้ไปกราบท่านพ่อฤาษีลิงดำที่วัดท่าซุงซักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะถ้าไม่มีท่านพ่อฤาษีลิงดำและเสด็จพ่อองค์ปฐม คงไม่มีตูนน้อยในวันนี้หรอกคะ การเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้ตูนได้แจ้งให้คุณครูเกษทราบถึงจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ที่ตูนอยากกลับบ้านที่เมืองไทยในครั้งนี้ เพราะคุณครูเกษก็ถือว่าเป็นแรงจูงใจให้ตูนมีความรู้สึกที่จะทำอย่างที่ตูนได้คิดไว้นะคะ ตูนขอจบเรื่องเล่าของตูนแคร่นี้ก่อนนะคะ แล้วตูนจะมาเล่าตอนต่อไปให้พี่ๆได้ฟังนะคะ ตอนนี้ต้องขอตัวไปอยู่ทางโลกก่อนนะคะ
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
    ธรรมะย่อมชนะอธรรม ไม่ใช่มุ่งหวังชนะความชั่วของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นอธรรมภายนอก ให้มุ่งหวังชนะความชั่วของตนเอง ซึ่งเป็นอธรรมภายใน

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    fb BuddhaSattha
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง การตายครั้งที่ ๖

    การตายครั้งที่ ๖ เป็นปี พ.ศ.๒๕๑๑ ตอนนี้มาอยู่ที่วัดท่าซุงเป็นปีแรก สถานที่อยู่ซึ่งท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มาบอกว่าจะสร้างกุฏิให้หนึ่งหลัง ไปๆมาๆกุฏิของท่านมีแต่พื้นกับหลังคา ก็ต้องมาทำเอง เป็นกระต๊อบเพิงหมาแหงน กุฏิเวลานี้นำมาสร้างอยู่ในสระข้างโบสถ์ แต่ขยายกว้างออกไปและสวยกว่าเก่า เดิมทีเดียวทำแค่ปุๆปะๆ แค่พออยู่ได้ยาวแค่ ๖ ศอก กว้าง ๔ ศอก

    วันนั้นฉันก็นอนอยู่ที่กระต๊อบโคนโพธิ์ ตอนนั้นมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ก็นอนตะแคงขวา กำลังทางร่างกายก็น้อยลงไปทีละนิดๆ ในที่สุดก็ใกล้จะหมดแรง สายตาที่มองยาวออกไปมันก็เริ่มสั้นเข้ามาทีละน้อยๆ จนกระทั่งเห็นสั้นเข้ามา ห่างจากร่างกายไปประมาณสัก ๒ วา

    อาการอย่างนี้มันเคยมีมากับฉันคืออาการเพลีย แต่ว่าอาการป่วยคราวนี้ของฉันไม่ได้ยั้งตัว หมายความว่าฉันเผลอไปเมื่ออายุ ๑๒ ปีมาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะต้องถูกจับไปสอบสวนที่สำนักของท่านพระยายมราช ฉะนั้น การภาวนาฉันไม่มีหยุด การพิจารณาก็ดี ถือเป็นปกติ เวลาไหนต้องการภาวนาก็ภาวนา เวลาไหนต้องการพิจารณาก็พิจารณา

    เมื่ออาการไม่ดีเกิดขึ้น ฉันก็นึกถึงร่างกายว่า ดีไม่ดีมันก็ตายวันนี้แหละ มันจะตายเมื่อไรก็ช่าง เราเตรียมพร้อมไว้เพื่อจิตเป็นสุข มีความรู้สึกว่าร่างกายเราประคบประหงมมันเท่าไร มันก็ดีไม่ได้ เลิกกันเสียทีนะ เอ็งจะตายก็ตายเถอะ ก็เลยบอกว่า

    “มึงพังเสียได้ก็ดี กูจะได้มีความสุข เจ้าตัณหาเอ๋ย ฉันเป็นทาสแกมา ๕๐ ปีแล้ว ความดีนิดหนึ่งของแกไม่มีสำหรับฉันเลย ไอ้ร่างกายนี่แกให้ข้ามา และเวลานี้ข้าก็มีความเบื่อหน่ายร่างกายที่แกให้ แกจะต้องการร่างกายของแกคืนไป ก็เชิญ ฉันไม่มีความปรารถนาร่างกายเลวๆ อย่างนี้”

    พอจิตคิดเท่านี้ ไอ้ตัวสั้นของสายตามันก็หยุด มันไม่สั้นเข้ามาอีก กายมันเพลีย แต่ใจไม่ได้เพลียไปด้วย กายยิ่งเพลียเพียงใด จิตใจยิ่งแจ่มใสมากขึ้น ความสว่างไสวของจิตมากขึ้นกว่าเก่า แพรวพราวเป็นระยับ
    แต่ก็มีแปลกอย่างหนึ่ง ในอากาศไม่เห็นใครเลย ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นพรหม ไม่เห็นใครทั้งหมด ก็มีความรู้สึกว่าถ้าอาการอย่างนี้ มันคงไม่เอาจริง แต่ในใจนั้นอยากให้มันเอาจริง เมื่อสายตายาวออกไป ร่างกายก็เริ่มมีกำลัง จึงคิดในใจว่า

    “ตัณหาเอ๋ย เจ้าทำไมถึงหลอกเราอย่างนี้ เจ้าคิดหรือว่าเราต้องการเจ้า เราเบื่อเจ้า เราเกิดมาหลายอสงไขยกัป เพราะเป็นทาสของเจ้า ไม่มีความดีสำหรับเราเลย ความจริงเราไม่ต้องการร่างกายเลวๆ ของเจ้า เมื่อไรเจ้าจะมาทวงเจ้าร่างกายของเจ้าตัวนี้ไป”

    มันนึกอยู่คนเดียว พอนึกๆ ไปก็เลยทำใจหยุด จะนึกไปทำไม มันจะอยู่ก็อยู่ มันจะตายก็ตาย มันตายเมื่อไร ไปบ้านของเราเมื่อนั้น ใจฉันก็จับอยู่ที่บ้าน สวยแจ๋ว มีความสวยงามมาก มีความสุข

    ในระหว่างนั้นเอง ก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระวรกายใหญ่มาก ถ้าพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ต้องถึง ๑๐ องค์ ถึงจะเท่าพระวรกายของพระองค์ เวลานั้นเห็นชัดเจนแจ่มใสแพรวพราวเป็นระยับ ลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากฉันนัก

    ท่านลอยตํ่ากว่าหลังคากระต๊อบหลังนั้น แต่เวลานั้นภาพหลังคาไม่ปรากฏ เห็นแต่พระพุทธเจ้า ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตรัสว่า “สัมพเกษี อาการเพียงเท่านี้ เธอเป็นทุกข์มากหรือ”

    ก็ตอบพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์พระพุทธเจ้าข้า”

    ท่านตรัสว่า “ไม่ทุกข์ ทำไมจึงมีการท้าทายกับตัณหา”

    ตอบพระองค์ว่า “การท้าทายตัณหา ก็เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการตัณหา และก็ไม่ต้องการสมบัติของตัณหา เวลานี้สมบัติของตัณหาแต่ละชิ้นไม่ต้องการเลย มีความต้องการอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้น”

    พระองค์ก็ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า อาการป่วยเท่านี้ อาการทุกขเวทนาเพียงเท่านี้ จงอย่าบ่นนะ ทำใจให้สบาย จิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด สลัดทุกอย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สลัดให้หมด จงเข้าใจในทุกข์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก ใครก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม ก็ป่วยเหมือนกัน ร่างกายของพระพุทธเจ้าก็ป่วย ร่างกายของพระอรหันต์ก็ป่วย ร่างกายของเธอจะไม่ป่วยไม่ได้

    หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “เธอจงรักษากำลังใจอย่างนี้ให้ปกติ เป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์อันเดียวที่เราต้องการอย่างนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงอบายภูมิ เจ้าหนี้ของเธอที่ยังไม่ได้ชำระหนี้ เฉพาะคน สัตว์ไม่คิด เท่านี้เธอดู” ท่านชี้ไป


    ฉันก็เห็นหัวคน เขาตัดเฉพาะหัววางเรียงพื้นที่จากแนวของคลอง วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย จนสุดของพื้นที่ของวัดท่าซุงด้านเหนือสุดเลย และก็ไม่ได้วางชั้นเดียว เต็มพื้นที่หมด กุฏิอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เห็นแต่หัวคนวางเรียงเป็นระเบียบ สูงกว่ายอดโพธิ์หนึ่งเท่า หรืออาจจะเป็นหนึ่งเท่าเศษ

    ท่านบอกว่า “คนทั้งหมดนี้เธอฆ่ามาในอดีต และเวลานี้กรรมที่เธอทำกับเขาทุกคน เธอยังไม่ได้ใช้หนี้ เวลานี้เธอกำลังใช้หนี้เศษกรรมส่วนอื่น ส่วนใหญ่นี่ยังไม่ได้ใช้”

    จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “การสร้างบาปขนาดนั้น ทำไมไม่ไปอบายภูมิ”

    ท่านก็ตรัสว่า “ทุกชาติหลังจากนั้นมาพันชาติเศษ เธอเป็นนักรบก็จริงแหล่ แต่ทว่าก็เป็นนักบุญด้วย”

    นักรบก็เป็น นักบุญก็เป็น ดังนั้นเวลายามว่างก่อนรบก็ทำบุญ เวลาไปรบ จิตใจก็นึกถึงพระเป็นที่พึ่ง กลับมาจากการรบก็ทำบุญ และก็ชอบเจริญสมาธิ นักรบต้องใช้อาวุธฟาดฟันกัน โดยเฉพาะใช้มีดใช้ดาบใช้หอก ต้องหนังเหนียวทุกคน จะหนังเหนียวได้เพราะอาศัยคุณพระคุ้มครอง

    ฉะนั้นจิตใจจึงนึกถึงพระเป็นปกติ และเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงพระเป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์ฌาน อาศัยกำลังของฌานก็หนีบาปไปทุกครั้ง พันชาติเศษ แล้วสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็ทรงให้โอวาทว่า

    “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจสังขารุเปกขาญาณเป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็ถือว่าเฉยไว้ เขาจะชมก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบาย ก็ทำใจสบายๆ เฉย ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดา เท่านี้อารมณ์จิตของเธอจะเป็นสุข

    หัวคนที่ปรากฏทั้งหมดนี่นับแสน กรรมอันนี้ไม่สามารถจะตามเธอทัน เธอมีโอกาสจะไป บ้านของเธอตามความประสงค์”

    fb BuddhaSattha
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สำหรับผู้ที่จะร่วมทำบุญ และร่วมถวายไทยทาน
    (กับคณะจิตเกาะพระ)

    เนื่องในงานบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๒๑ ปี การมรณภาพของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ในวันอาทิตย์ ที่ 29 กันยายน 2556 เวลา 12.30 น. ณ วิหารร้อยเมตร วัดท่าซุง

    ตามที่เคยแจ้งไปก่อนหน้านี้แล้ว(ตามลิ้งค์ข้างล่าง)
    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-706

    ชื่อบัญชี นางสาว มณีเกษ สุทธิโพธิ์
    ธนาคาร ไทยพาณิชย์
    สาขา ศูนย์การค้า เอ็น อาร์ คอมเพล็กซ์ (บ้านผือ)
    เลขที่บัญชี 404 485317-6
    บัญชีเงินฝาก ออมทรัพย์

    พี่ภูรอไม่ไหว ก็เลยลงให้เองเลยดีกว่า
    ครูเกษ มีปัญหาเรื่องสัญญาณเน็ต(เมืองไทย)

    ติดต่อครูเกษ ทางสไกป์(ผ่านมือถือ) หรือ 095-631-1783
    (พี่ภูขออนุญาตให้เบอร์มือถือครูเกษ)


    ขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
    ภูทยานฌาน ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2013
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444


    ขออนุโมทนาสาธุ กับท่านผู้มีจิตศรัทธาที่ประสงค์ จะร่วมทำบุญกับ พวกเราชาวสมาคมจิตเกาะพระ มา ณ ที่นี้ ด้วยนะคะ...สาธุค่ะ

    ทางสมาคมจิตเกาะพระ สาย UK ขอร่วมบุญในงานสำคัญนี้ด้วยค่ะ
    ขณะนี้ กำลังรอรวบรวมปัจจัย จากจิตบุญ และจิตเกาะพระ อยู่นะคะ
    คาดว่าคงจะเรียบร้อย ภายในอาทิตย์หน้า นี้ ค่ะ ครูเกษ...
    เพื่องานบำเพ็ญกุศลครบรอบมรณภาพ หลวงพ่อฯ ปีที่21 ...พวกเราทุกคนที่อังกฤษนี่ ขอส่งจิตไปร่วมงานนี้ด้วยค่ะ


    ขอเชิญชวน จิตบุญ และ เพื่อนๆ พี่น้องที่เมืองไทย ท่านใดที่ศรัทธา หลวงพ่อ ประสงค์ จะไปร่วมงานบุญนี้ เชิญนะคะ ...
    สามารถเดินทางไปกับ คณะของสมาคมจิตเกาะพระ ได้ค่ะ ขณะนี้ ทราบว่า น่าจะมี ที่นั่งว่างอีกประมาณ 5-6 ที่ มั้งค่ะ...
    เดี่ยวรอ น้องลูกหว้าและ พี่ปรเมศ มาลงรายละเอียด การเดินทางอีกทีค่ะ
    (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ นะคะ ฟรี ทุกอย่างค่ะ ไปถึงที่วัด หลวงพ่อก็มีอาหารเลี้ยง ลูกหลานอีกด้วยนะคะ)
    งานนี้ ท่านจะได้ทำบุญ กับ พระสุปฏิปันโน ที่เป็นลูกศิษย์ที่เคารพรัก
    หลวงพ่อฯ ก็จะเดินทางมาจากทั่วประเทศไทย เลยค่ะ ...


    ทุกกระแสจิต ต่างมุ่งตรงส่งไปร่วมงานนี้ ที่วัดท่าซุง ค่ะ
     
  18. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]


    สมาคมจิตเกาะพระ ขอเชิญร่วม
    “งานบำเพ็ญกุศลครบรอบ 21 ปี แห่งการมรณภาพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน”

    ในวันอาทิตย์ ที่ 29 กันยายน 2556
    โดยทางสมาคมจิตเกาะพระร่วมเป็นเจ้าภาพถวายสังฆทานและไทยทาน
    เวลา 12.30 น. ณ วิหารร้อยเมตร วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) จ.อุทัยธานี


    รายการทำบุญ ก็คือ
    ....ถวายไทยทาน 1 ชุด
    ....ถวายสังฆทาน 2 ชุด
    ....ปัจจัยทีเหลือ รวมทำบุญทุกอย่าง กับ วัดท่าซุง


    ฟรี! ค่าเดินทาง และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
    ยกเว้นอาหารที่ต้องการทานตามอัธยาศัย
    (ทางวัดมีโรงทานต้อนรับญาติธรรมทุกท่าน)


    >>ติดต่อร่วมบุญกับสมาคมจิตเกาะพระ ได้ที่
    คุณเกษ 095-631-1783
    หรือโอนเงินทำบุญผ่านบัญชีธนาคารมายัง
    ชื่อบัญชี : นางสาว มณีเกษ สุทธิโพธิ์
    ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
    บัญชีเงินฝาก : ออมทรัพย์
    สาขา : ศูนย์การค้า เอ็น อาร์ คอมเพล็กซ์ (บ้านผือ)
    เลขที่บัญชี : 404 485317-6
    *กรุณาโทรแจ้งคุณเกษก่อนและหลังโอนเงิน



    >>สำรองที่นั่งรถตู้ ติดต่อได้ที่
    คุณปาราเมศ 081-823-7335
    ออกเดินทางเวลา 05.30 น.
    จากถนอมมิตรพาร์ค คอนโดมิเนียม ตึก 8
    ถนนวัชรพล รามอินทรา กม.5
    ***ด่วน!!! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
    (กรุณาโทรสำรองที่นั่งก่อนวันที่ 23 กันยายน 2556)



    >>สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
    และสามารถติดต่อคุณปาราเมศได้ทางเฟซบุค
    "กลุ่มสมาคมจิตเกาะพระ"

    https://www.facebook.com/groups/222448861205893
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน

    ภาวะทางปัญญา ผู้บรรลุนิพพาน มองเห็นทั้งหลายตามที่มันเป็น เห็นตามความจริง ตั้งแต่การ รับรู้อารมณ์ด้วยจิตใจที่เป็นกล
    าง และมีสติ ไม่หวั่นไหว หรือถูกชักจูงไปตามความชอบใจไม่ชอบใจ สามารถตามดูรู้ เห็นอารมณ์นั้นๆ ไปตามสภาวะของมันตั้งแต่ตันจนตลอดสาย ไม่ถูกความติดพัน ความข้องขัดขุ่นมัว หรือความกระทบ กระแทกอันเนื่องมาจากอารมณ์นั้นๆ มาฉุดรั้งหรือสะดดุเอาไว้ให้เขวไปเสียก่อน
    ที่ลึกลงไปอีกคือ ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้เท่าทัน สมมุติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกลวงให้หลงไปตามรูปลักษณะภายนอก ของสิ่งทั้งหลาย และยอมรับความจริงทุกด้าน มิใช่ติด อยู่เพี่ยงแง่ใดแง่หนึ่ง
    ภาวะทางจิต ผู้บรรลุนิพพาน จะมีความเป็นอิสระหรือที่เรียกว่า หลุดพ้น อันมีผลสืบเนื่องมา จากปัญญา คือเห็นตามความเป็นจริง รู้เท่าทันสังขารแล้ว จิตจึงหลุดพ้นจากอำนาจการครอบงำของกิเลส
    เมื่อไม่ถูกกิเลสครอบงำ ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่เย้ายวน ยั่วยุ อารมณ์ไม่เป็นที่ตั้งของราคะ โลภะ โมสะ โมหะ นอกจากไม่มีเหตุที่จะทำให้ความชั่วหรือเสียหายในทางที่ร้ายแรงแล้ว ยังมีหลักประกันความสุจริต ในการงานด้วย เป็นผู้ที่มีสติควบคุมตัวเองได้ เป็นผู้ที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ผู้ชนะตนเองได้ ถือว่าเป็นที่สุดแห่งชัยชนะทั้งปวง
    ภาวะทางความประพฤติและการดำเนินชีวิต ผู้บรรลุนิพพานนั้นจะมีพฤติกรรมหรือดำเนิน ชีวิตในลักษณะที่จะไม่ถูกชักจูงได้โดยอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน คือไม่ทำการด้วยความยึดมั่นในความดีความชั่ว ที่เกี่ยวกับตัวเองและของตัวเอง หรือผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีความปรารถนา เพื่อตัวตนแฝงอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในรูป หยาบหรือละเอียด คือทำไปตามวัตถุประสงค์ของกิจการนั้นๆ ตามเหตุผลของเรื่องนั้นๆ ตามที่มันควรจะเป็นของมัน ล้วนๆ เป็นการกระทำถึงขั้นที่ลอยพ้นเหนือกรรมดีขึ้นไปอีก ส่วนกรรมชั่วนั้นเป็นอันไม่ต้องกล่าวถึง เพราะหมดสิ้น โลภะ โทสะ โมหะ ที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ทำความชั่วเสียแล้ว.

    fb: Nat Natcha shared พุทโธอัปปมาโณ's photo.

    ข้าพเจ้าขออนุญาตเพิ่มเติม...

    สิ่งที่อยู่ภายนอกจิตนั้น ไม่มีอะไรสำคัญยิ่ง หรือเป็นสาระธรรมเท่ากับภายในจิตของตนเองเลย
    กำลังจิต กำลังใจของตนก็อยู่ ณ ที่นี่ อย่าไปตามหาความสุขภายนอกจิตเลย

    ผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ที่มีสติปัญญาทั้งหลาย ลองพิจารณาในสิ่งที่กล่าวมานั้นให้ถี่ถ้วน
    เราก็จะรู้เอง เข้าใจเอง และในที่สุดย่อมยอมรับกฎแห่งกรรมเอง
    สาธุ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาจิตบุญ โดยเฉพาะมรรคผลของเธอด้วยครับ
    ผู้ปฎิบัติจริงย่อมได้รับผลจริง รู้เห็นปัจจัตตังของตน
    ก็คือ ลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง รู้เอง เห็นเองและก็ชอบเอง เพราะปฎิบัติได้ผล

    แต่จริงๆแล้ว วิธีทำให้จิตคนเรานิ่งสงบได้นั้น ก็มีกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง เลือกมาปฎิบัติสักหนึ่งกองและก็ให้ถูกจริตของตนด้วย จึงจะได้ผล

    แต่ผู้ที่ปฎิบัติในแนวจิตเกาัะ มิใช่จะปฎิบัติตามได้ทุกท่านเสมอไป
    บางท่านเข้าไม่ถึง อาจไม่ถูกจริตของตน หรือไม่ปฎิบัติตามครูผู้สอน
    ครูหรือผู้สอนก็แค่เป็นผู้ชี้แนะแนวทาง หรือบอกทางให้เท่านั้น ส่วนที่เหลือผู้ปฎิบัตจักต้องนำจิตตนมาเดินเอง
    และจะต้องจดจำคำๆนี้เลยว่า..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน..ดีที่สุด
    เพราะการปฎิบัติมรรคผลหรือนิพพานนั้น นอกจากมีความศรัทธาแล้วยังต้องมีความเพียรมากด้วย
    สิ่งสำคัญอีกอย่างนึงก็คือ ความต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำลังใจ เวลาปฎิบัติ ไม่หมั่นสร้างกำลังใจก็อย่าให้กำลังใจตก
    แต่ถ้าผู้ใดมีความตั้งใจปฎิบัติจริงๆ ไม่ต้องกลัวอุปสรรคใดๆจะมาขวางกั้น เพราะเบื้องบมองเห็นหมด และพร้อมจะช่วยเหลือทุกคน
    อย่าคิดว่าสิ่งที่เรากำลังปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบกันอยู่นี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเบื้องบนจะมองไม่เห็น
    แต่ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่าน จงมั่นใจในพระรัตนตรัย โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติ อย่านำจิตห่างก็แล้วกัน
    พยายามคอยหมั่นระลึกนึกถึงบ่อยๆ เดี๋ยวทั้งศีลหรือสติ สมาธิ ปัญญาก็จะตามมาเอง
    เดี๋ยวเราก็จะรู้เองว่า มาได้อย่างไร

    ***เดี๋ยวรอคุณอุ๋ยUK ออกมาแชร์(บางเรื่อง)***
    ให้พวกเราได้รับรู้หรือฟังกัน จะได้เป็นแรงใจให้กับผู้ปฎิบัติธรรมท่านอื่นๆด้วย
    ขอบอก...น่าสนใจมาก

    *กำลังใจอาจจะตกลงไปบ้างในขณะปฎิบัติ เพราะด้วยกรรมของแต่ละบุคคลนั้นต่างกัน*


    ข้าพเจ้าไม่อยากออกความคิดเห็นมาก แต่อยากให้ผู้ปฎิบัติ หรือผู้ประสบพบเห็นเอง เจอเองมาเล่าสู่กันฟังจะดีกว่า
    เป็นเรื่องพุทโธอัปปมาโณ..คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้
    เพราะบางอย่างอยู่เหนือเหตุผล เหนือความเข้าใจของมนุษย์ทั่วๆไป
    นอกเสียจาก ผู้นั้นจะพบเจอด้วยตนเอง

    ขอโมทนาบุญอีกสักครั้ง สำหรับจิตคุณตูนUK และคุณอุ๋ยUK

    คุณอุ๋ยUK จดจำภาพนี้ให้ดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...