จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ใครเคยสงสัยจิตตนเองบ้าง
    ...ว่าทำไม..ถึงอยากรู้ อยากเห็นสิ่งต่างๆนัก
    พวกเราสงสัยแต่เรื่องอื่น ที่มิใช่จิตตนเอง..ใช่ไหม

    อั่ยที่มันยุ่งเหยิงทุกวันนี้ ก็มิใช่เรื่องของความรู้สึก+นึกคิดของตนหรอกหรือ
    หรืออยากให้ทุกคนตระหนักเรื่อง เจตสิก(สังขารขันธ์) และตัวจิตที่เต็มไปด้วยกิเลส(วิญญาณขันธ์)
    อั่ยสองตัวนี้นี่เองก็คือ คราบมนุษย์ ที่เหล่านักภาวนามักจะพากันออกให้ได้นี่แหล่ะ
    อย่าไปหลงดูผู้อื่นหรือสิ่งอื่นมันยุ่งเหยิง มันวุ่นวายเลย
    ตราบใดจิตพวกเรายังนิ่งสงบไม่เป็นก็ยังมองไม่เห็นหนทางสว่างที่แท้จริงได้
    เพราะวันๆนึง หลงไปดูคนอื่นหรือสิ่งอื่น
    แม้นกระทั่งภัยธรรมชาติเอง แต่ถ้าใครรู้และเข้าใจ คำว่า ไตรลักษณ์ ย่อมไม่ไปสนใจอย่างอื่นแล้ว
    เพราะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้หนีคำว่าไม่เที่ยงไปได้เลย บังคับก็ไม่ได้
    ยิ่งผู้ปฎิบัติที่แยกจิตออกมาจากขันธ์๕ หรือนำจิตอยู่เหนือขันธ์๕ด้วยแล้ว
    คำว่า กลัวตายหรือความตายนั้นย่อมไม่มีในเรา
    เพราะเราไม่มีความกลัว ส่วนความตายนั้นเป็นเรื่องขันธ์๕ มิใช่เรื่องจิต
    ถ้าดับขันธ์(ตาย)ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่จิตเรานั้นต้องเดินทางไปต่อ ไปจุติที่แห่งใหม่
    มิใช่อยู่กันแค่ขันธ์นี้ หรือชาตินี้ชาติเดียว
    ระวังนะ จิตผู้ใดที่ไปปักอยู่กับสิ่งนั้นๆมาก จิตมักจะเคลื่อนไปตามวาระกรรมนั้น
    จิตรักหรืออยู่ทำหรือสนใจอะไรย่อมมักไปจุตินิมิตนั้นๆ
    เพราะฉะนั้น นิมิตหมายของจิต พวกเราต้องตระหนักให้ดี
    ฝึกอย่างไหนมักได้อย่างนั้น เพราะกรรมเป็นผู้กำหนด มิใช่ฟ้ากำหนด หรือเรากำหนด

    คอยหมั่นระลึกถึงความตายของตนให้บ่อย เพราะจะได้เรียกสติของเราเป็นอย่างดี
    จะได้ไม่หลงอีก อย่าให้กิเลสมันนำหน้า พยายามให้ธรรมะนำหน้า จิตใจจะได้เป็นสุข
    สำหรับผู้ที่จิตยังไม่มีธรรม ก็ให้มีสติคือความรู้สึกตัวตนบ่อยๆก็แล้วกัน ปัญญาจะได้เกิด
    ถึงจะเป็นปัญญาไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่า ไม่มีปัญญาเลย
    ผู้ที่ไม่มีปัญญาก็เหมือนคนเดินทางข้างแรม หรือไม่มีแสงไฟนำหน้านั่นเอง
    จะก้าวหน้าก็กลัว จะอยู่ที่เดิมก็กลัว ชีวิตมีแต่ความกลัว สติก็ดันไม่มีก็แย่
    สติเราต้องทำให้เกิดบ่อยๆหน่อย เพราะจะรอให้สติมาแบบธรรมชาติ เผลอๆเราตายก่อนทำไง
    อย่าลืมนะ โลกหลังความตายนั้นมันยาวนานเหลือเกิน ไปก็ต้องไปคนเดียวอีก เพราะไม่มีใครไปกับเราหรอก

    ลืมกันหรือยัง?
    มามืดไปมืด มามืดไปสว่าง มาสว่างไปมืด มาสว่างไปสว่าง
    อั่ยมาจะมืดหรือสว่างก็ไม่สำคัญเท่ากับไปสว่าง
    สุดท้ายก็ขอให้ทุกๆท่าน..ตอนจะไปก็ขอให้ไปแต่ทางสว่าง(สุคติภูมิ)
    สาธุ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
    จำพวกเป็นไฉน

    คือ ผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑ ผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อ
    ไปจำพวก ๑ ผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑ ผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไป
    จำพวก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร
    (อ่านต่อฯ)

    ����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� ��
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    "เขาพูดว่าเราดี เราก็ไม่ดีเหมือนคำเขาพูด
    เขาพูดว่าเราชั่ว เราก็ไม่ชั่วเหมือนคำเขาพูด
    ถ้าเราไม่ยึด เราไม่มี จะเอาอะไรไปดีไปชั่ว"


    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

    Credit: Natcha@UK

    ลูกขอนมัสการหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงปู่ แทนเหล่าจิตบุญ ผู้เจริญและลูกหลานทุกคนขององค์หลวงปู่ ด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ

    ปล.จิตบุญทั้งหลาย ควรทำจิตให้ว่าง นี่คืออาหารหลักของผู้เจริญ
    แต่ถ้ามั่นใจว่าจิตว่างดีแล้วก็ลองหัดเอาจิตไปรับสื่อกับครูบาอาจารย์ หรือคิดว่าองค์ไหนที่เป็นสายบุญของตนดูนะ...ปัจจัตตังจ้า ปัจจัตตัง
    อย่าเพิ่งประมาทตนว่า..ทำไม่ได้ ต้องลองทำดูก่อน ส่วนจะได้หรือไม่นั้น ก็ไม่เป็นไร
    อย่าไปคาดหวังใดๆ เพราะผู้ปฎิบัติจริงแท้ย่อมมิได้หวังอะไรหรือสิ่งใด

    แยกให้ออกกันนะระหว่างจิตกับร่างกายตน อย่านำมาปะปนกัน อยู่ให้ได้เหมือนดั่งน้ำบนใบบัว
    ขอฝากจิตบุญและผู้เจริญทั้งหลายอีกนิดนึงว่า อย่าลืมการสำรวมจิต เพราะสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
    แต่ถ้าจิตไม่สำรวมเสียอย่างเดียวแล้ว อย่างอื่นเราก็จะควบคุมยาก นอกเสียจากความนุ่มลึกหรือความสงบภายในจิตตนเท่านั้น

    ดั่งคำว่า "ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว" อันนี้เป็นจริง
    เพราะตราบใดจิตยิ่งนิ่งมากเท่าใด เราย่อมจะมองเห็นความเคลื่อนไหวทุกสิ่ง ทุกอย่าง
    หรือมองเห็นทั้งภายนอกและภายในของกายของจิตตนและผู้อื่น เพียงแต่ไม่สนใจเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น ผู้ใดอยากมองเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้อย่างชัดเจน ก็ลองฝึกจิตให้นิ่งสงบกันดู
    แล้วท่านจะรู้ว่า การนำจิตมาตั้งอยู่แต่ฝ่ายบุญกุศลที่แท้จริงนั้นมันเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร
    และในขณะที่จิตกำลังตั้งมั่น ตั้งบนความสงบสงัดนี้นี่ก็ถือว่า เป็นการสะสมหรือสร้างบุญภายในแห่งตน
    ซึ่งเป็นบุญอันใหญ่หลวง
    อยากให้ทุกท่านลองมาทำบุญแบบง่ายที่สุด และไม่ต้องเสียตังสักบาทเดียว
    แล้วท่านจะติดใจ เพราะมันสงบมาก จิตยิ่งนิ่งสงบมากเพียงใด เราย่อมได้รับบุญกุศลมากเท่านั้น
    แต่ถ้าผู้ใดทำอยู่หรือทำได้แล้ว ขอกล่าวคำโมนทนาจิตบุญด้วย ผลย่อมเกิดผลตามที่บอกกล่าวไปแล้วนั้นจริง
    และอย่าลืมทำให้ต่อเนื่องก้แล้วกัน ทำบุญภายในควบคู่กันไปกับทำงานทางโลกไป
    เพราะเรารู้แค่วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย เพราะฉะนั้น อย่าประมาท
    อย่าไปรอว่าให้ว่างจากการงานทางโลกก่อนแล้วค่อยปฎิบัติ ค่อยทำ เพราะมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็เป็นได้
    อย่าลืม โลกหลังความตายนั้น เราไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลยสักอย่างเดียว
    นอกเสียจาก คำว่า บุญ-บาป หรือกุศล-อกุศลเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น ที่พวกเรากำลังดำเนิน กำลังทำหรือกำลังมีคนรักอยู่เนี๊ย ไม่มีใครหรือสิ่งใดไปกับเราเลย มีสติให้มากแล้วลองคิดให้ดีๆ

    ขอให้ผู้เจริญทุกท่าน จงเอาสติกับจิตของตนตั้งอยู่แต่ฝ่ายบุญกุศล หรือธรรมะกันด้วยเถิด
    โมทนาสาธุ

    Ps.จะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ตนเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรือสิ่งอื่น
    เพราะฉะนั้น อย่าไปเสียเวลามัวแต่โทษผู้อื่นเขาทำให้เราทุกข์อยู่เลย
    เมื่อท่านมีสติปัญญากันแล้วย่อมรู้และเข้าใจ คำว่า ทุกข์นั้นคืออะไร มาจากไหน
    แล้วท่านจะมองเห็นหนทางดับทุกข์ได้เอง เมื่อจิตของท่านมีปัญญาเพรียบพร้อม


    **จิตผู้ใดอยู่กับธรรมะได้ ก็จะรู้สึกเย็นกาย เย็นใจเมื่อนั้น เพราะธรรมะเป็นของเย็น มิใช่ของร้อน**
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2013
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    เคล็ดในการใช้คาถา " มงกุฎพระพุทธเจ้า "

    เนื่องจากตอนนี้ หลาย ๆ คนถูกรบกวนจากเจ้ากรรมนายเวรกัน มีหลายรูปแบบ
    ซึ่งก็ปรากฏว่า ได้ใช้คาถาบทนี้กัน โดยอัตโนมัติ และ ได้ผลครับ

    คาถามีอยู่ว่า . . .

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิอิโสตัง พุทธปิติอิ "

    ว่า 3 จบ 9 จบ สำหรับอานิสงค์ของคาถานี้เป็น คาถาครอบจักรวาล เรานำไปใช้ในทางกุศลได้
    ทุก ๆ เรื่อง โดยมีประวัติ ของการใช้คาถานี้มายาวนาน ส่วนใหญ่ในราชสำนัก แม้ พระบาทสมเด็จ
    พระจุลจอมเกล้า รัชกาลที่ 5 ท่านก็ทรงพระคาถานี้เป็นประจำมีที่ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์ ก็ครั้งที่
    ถูกทูตต่างประเทศนำม้าเทศตัวใหญ่แต่เป็นม้าพยศ มาท้าให้ท่านทรงพระองค์ท่านได้ใช้พระคาถานี้
    เสกหญ้าให้ม้ากินก่อนม้าตัวนั้นก็กลับเชื่องให้พระองค์ทรงม้า แต่โดยดีเรื่องนี้ทำให้รัชกาลที่ 6

    ผู้ทรงสร้างพระบรมรูปทรงม้าถวายเสด็จพ่อของท่าน
    ได้ทรงแฝงนัยยะแห่งกฤษดาอภินิหารนี้เพื่อเทิดทูนพระคุณท่านเอาไว้

    คราวนี้เรามาดูว่าเคล็ดในการว่าคาถาบทนี้กัน

    หลักในการว่าคาถาให้มีความศักดิ์สิทธิ์นั้น มีพื้นฐานจาก " จิต " เป็นสำคัญ


    หากจิตมีสมาธิสูง ตั้งมั่นคาถาก็ยิ่งทรงความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นระหว่างที่ว่าคาถาให้ จับลมหายใจสบายพร้อม ๆ กับ
    การภาวนาคาถาบทนี้ เป็นขั้นที่ 1 ระดับสูงกว่านี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านใช้คาถาบทนี้
    โดยมีนิมิต กำกับคาถา โดยทรงพุทธนิมิต ไว้ดังนี้ โดยตั้งกำลังใจว่าเรา ขอกราบอาธารณาบารมี
    พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเหนือเศียรเกล้าของข้าพเจ้าเพื่อ.......ปกปักรักษาคุ้มครองข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    จากนั้นทำตามได้เลยครับ

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ "
    เมื่อว่าคาถาจบ คาบที่ 1 ก็กำหนดอาราธณาพุทธนิมิต
    อยู่เบื้องหน้าของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตนี้เอาไว้

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิอิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ "
    ว่าคาถาจบที่ 2 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์หนึ่ง อยู่เบื้องขวา
    ของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตทั้งหมดเอาไว้



    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ "
    ว่าคาถาจบที่ 3 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านหลังของศีรษะเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

    " อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ "
    ว่าคาถาจบที่ 4 ก็กำหนดพุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านซ้าย และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 5 ก็กำหนด
    พุทธนิมิตอีกพระองค์อยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

    " อิงติปิโสวิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 6 ก็กำหนด
    พุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 7 ก็กำหนด
    พุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิตเอาไว้

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนาพุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ " ว่าคาถาจบที่ 8 ก็กำหนด
    พุทธนิมิตอีกพระองค์ อยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของศีรษะของเรา และ ทรงพุทธนิมิต
    เอาไว้ทั้ง 8 พระองค์เรียงวนรอบศีรษะของเรา

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ "ว่าคาถาจบที่ 9 กำหนด
    พุทธนิมิตพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่เสด็จประทับกึ่งกลางศีรษะเป็นยอดมงกุฎเปล่งประกายพรึก
    ทุกๆพระองค์เป็น มงกุฎเพชรพระพุทธเจ้าทั้งเก้าพระองค์บนเศียรเกล้าของเรา

    เมื่อทำได้แล้วจะเข้าใจได้ทันทีว่าคาถานี้ทำไมจึงมีชื่อว่า คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า และ ให้ทรง
    มงกุฎพระพุทธเจ้านี้เอาไว้ตลอดเวลาเป็นการทรงอารมณ์ในพุทธานุสตกรรมฐาน
    คืนเดียวเห็นผลมีความก้าวหน้ามาเล่าให้เพื่อนๆท่านอื่นฟังด้วยครับ

    พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ
    มีคุณพระรัตนตรัยเป็น สรณะที่พึ่ง ที่ระลึก ที่ประเสริฐสุด สูงสุด

    �����㹡������Ҷ� ���خ��оط�����
    เผยแพร่เป็นธรรมทาน โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976

    ขอกล่าวอนุโมทนาสาธุ กับครูพี่ภู ที่ท่านได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้ง ท่านได้ชี้บอกถึงปัญญาที่แท้จริง ที่ได้จากการปฏิบัตินั้นต่างจากทางโลกอย่างสิ้นเชิ้ง เช่นคํากล่าวที่ว่า

    "รู้ที่เกิดจากจิต คือ รู้จริง"
    รู้ที่เกิดจากสมอง คือ รู้หลอก"
    "พุทโธ" คือ "ยาชะลอความหลง"
    "ธรรม" คือ ธรรมชาติ ไม่มีที่หมาย
    "กาย" คือ "ลายแทง" จิต" "เป็นขุมทรัพย์"
    สาธุขออนุโมทนาค่ะ
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "เตือนตนเอง"

    "เขาร้ายมา...อย่าร้ายตอบ

    -เขาไม่ดีมา จงใช้ความดีเข้าแก้ไข

    ...คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ

    -คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจเข้าสนทนา"

    "อยากอายุยืน อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าบังอาจกับพ่อกับแม่

    -ให้หมั่นสวดมนต์ทำกรรมฐานเข้าไว้ จะต่ออายุตนเองได้"

    "คนด่าเราเป็นบาป เราโดนด่าเป็นบุญ เราอย่าไปโกรธตอบคนโกรธตอบ

    -เป็นบาปมากกว่าคนด่า คนด่าบาป ๕๐ เปอร์เซน เราโกรธแล้วด่าตอบ เราบาป

    -๑๐๐ เปอรเซน นี่แหละบุญทางกายอย่างนี้"

    "เช้าแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ก่อนนอนแผ่เมตตาใหสรรพสัตว์

    ...ตื่นก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข"

    "สวดมนต์เป็นนิจ อธิฐานจิตเป็นประจำ

    ...อโหสิกรรมก่อน แล้วค่อยแผ่เมตตา"

    "สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทั้งกินทั้งทาท่านจะมีความสุข

    -สบายมากมายหลายประการ...มีความสุขถึงลูกถึงหลานของท่านทั้งหลาย...

    ...จะทำกิจการอะไรก็สำเร็จเสร็จทันเวลา"

    "สวดมนต์ต้องสวดทุกวัน มันจะต้องมีซักวันที่จิตเราเป็นสมาธิ คิดดีกับ

    -กับคนอื่น ไม่คิดโกรธเกลียดใคร นั่นเป็นการอโหสิกรรมไปในตัว แล้วการ

    ...แผ่เมตตาจะได้ผล แต่ถ้ายังคิดไม่ดีกับเขาอยู่ แผ่ไปก็ไม่ได้ผล...

    -ดังนั้นจึงต้องสวดมนต์ทุกวัน"

    ...ตอนต้นสู้ทนทุกข์ จะได้สุขเมื่ตอนปลาย

    ...ตอนต้นชอบสบาย จะได้ร้ายเมื่อปลายมือ...

    "อาตมาสอนเด็ก เวลาครูอาจารย์สอนให้ส่งกระแสจิตทางหน้าผาก...

    ...จุดประสาทอยู่ตรงนี้ เพ่งไปเลยดูที่ครูสอน จำแม่นไม่ลืม จะไม่เสียสมาธิด้วย"

    ...หลวงพ่อจรัญท่านสอนให้เราเตือนตนเอง.....

    ...กราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ และกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ...
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลักแห่งการท่องเที่ยวในวัฏสงสาร คือ ในภพชาติต่างๆ นั้น

    จิตเป็นหลัก...จิตเป็นตัวสำคัญ...จิตเป็นตัวการ ท่านจึงเรียกว่า สังสารจักรก็คือหมายความ

    ว่า...ความเปลี่ยนไปตามกฏแห่งกรรม เพราะจิตอยู่ใต้อำนาจของกฏแห่งกรรม กรรมพา

    หมุนไปอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามกฏแห่งกรรมนั้นๆ เนื่องจากจิตยังไม่พ้นวิสัยแห่งกรรม

    นอกจากจิตพระขีณาสพเท่านั้น นั่นท่านพ้นแล้ว ขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย

    ไม่ว่าสมมุติดี สมมุติชั่ว สมมุติประเภทใด ท่านอยู่เหนือสมมุติ คำว่าเหนือก็คือว่าไม่มี

    อะไรเข้าไปเกี่ยวข้องได้ จิตนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับอะไร เป็นความรู้โดยหลักธรรมชาติของ

    ตนอยู่เช่นนั้นเมื่อบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว นี่เป็นที่สุดของจิต สุดที่ตรงนี้ สุดที่ตรงบริสุทธิ์...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี

    ...๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑.น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียเก้ลาเจ้าค่ะ...
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "]
    ขอน้อมกราบหลวงปู่สังวาลย์ โดยความระลึกถึงเจ้าค่ะ เพราะภาพนี้ที่

    ท่านพระอาจารย์อ้อดท่านพาหลวงปู่ออกมา เพราะว่าเป็นวันฝั่งลูกนิมิตอุโบสถ

    แก้วที่วัดสังฆทานนนทบุรี วันนั้นผู้เขียนได้ไปร่วมงานด้วย เพื่อเป็นตัวแทนของ

    ญาตโยมประเทศอังกฤษตัดลูกนิมิต ไม่นึกเหมือนกันว่าภาพของหลวงปู่ในวัน

    นั้นจะได้มาปรากฏอยู่ในกระทู้นี้ กราบขอบพระคุณท่านพระอาจารย์อ้อด และ

    ขออนุโมทนากับคุณเพ็ญ ๒ ด้วยค่ะที่นำมาลงในกระทู้ และขออนุโมทนาในธรรมะธรรมทานของทุกๆท่านค่ะสาธุ สาธุ สาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สนทนาธรรมรายวัน

    ถ้าพวกเราคิดว่า หรือเข้าใจว่า..ธรรมะนั้นมีอยู่ที่วัดหรือพระอย่างเดียว
    ได้โปรดเข้าใจเสียใหม่ แต่ก็จริงอยู่ หรือเป็นจริงสำหรับผู้ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรมด้วยตนเองสักทีนึงเท่านั้น

    เพราะพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะอยู่ต่อไปได้ก็เพราะพุทธบริษัท ๔ เหล่า
    ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แล้วนั้น
    อันได้แก่ พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา เป็นต้น
    เหตุผลที่พระธรรมอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะว่าพุทธบริษัททั้ง๔ น้อมใจกันปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง

    อย่าลืม พระพุทธศานาของพวกเราชาวพุทธทั้งหลายนั้น
    เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ มาพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
    มิใช่เป็นไสยศาสตร์ มิใช่เป็นศาสตร์แห่งเชื่อ หรือต้องให้เชื่ออย่างงมงาย
    เป็นศาสตร์ว่าด้วยสติปัญญาล้วนๆ เพราะเมื่อไหร่จิตของผู้ปฎิบัติเกิดปัญญาย่อมเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ได้แน่
    เพราะสติทำให้จิตเกิดปัญญา แต่จะต้องผ่านกระบวนการเจริญสติภาวนา(กรรมฐานทั้ง๔๐กอง)
    และตัวปัญญาก็จะนำพาจิตไปพบธรรมหรือความจริงแท้ แล้วธรรมนี้ก็จะกลับมาสอนจิตตนเอง
    และในที่สุด เราก็จะพบธรรมภายใน(จิตในจิต) และจิตกลายเป็นธรรมแล้วย่อมกลับมาสอนเราเอง
    ให้เรามีความประพฤติดี ปฎิบัติดีในภายนอก อันได้แก่ คำพูดหรือการกระทำ เป็นต้น
    เมื่อภายในของเรามันดีซะอย่าง หมายถึงจิตของเราเอง ภายนอกย่อมดีตามไปด้วย

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้นถึงจะเข้าถึงธรรม รู้และเข้าใจในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    ผู้ที่ปฎิบัติ ปฎิบัติชอบเท่านั้น ถึงจะรู้คุณค่าพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    หรือมีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้
    และก็น้อมจิตลงมาปฎิบัติธรรม หรือประพฤติ ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    โดยมิต้องมีความลังเลหรือสงสัยใด
    สรุปก็คือ ให้ปฎิบัตินำความลังเลหรือความสงสัยของตนเองก่อน ถึงจะได้ผลดี
    ข้อดีจิตก็มี ข้อเสียจิตก็มี ส่วนข้อเสียของจิตนั้นก็คือ จิตเขาอบเรียนรู้ทีละหนึ่งอย่างเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น จงเข้าใจซะทีว่า..ทำไมเราจึงไม่เจริญในธรรมสักทีนึง เป็นต้น แต่จริงๆแล้วก็มีอยู่หลายสาเหตุเหมือนกัน

    เช่น เรามีแต่ความศรัทธาอย่างเดียว แต่ไม่มีความเพียร เมื่อไร้ความเพียรก็ไม่ต่างกับคนงมงาย(ใครพูดอะไรเชื่อหมด)
    ต่อไป ผู้ที่มีความศรัทธา แต่มีความเพียรไม่มาก สติก็จะผลุบๆโผล่ อันเป็นผลทำให้จิตไม่เกิดสมาธิ(จิตไม่นิ่ง)
    หรือเกิดแต่ยังไม่ต่อเนื่อง จึงมีผลทำให้ปัญญาของเราติดๆดับๆนั่นเอง
    (พูดแค่นี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว) เพราะฉะนั้น คำว่า อินทรีย์๕นั้น สำคัญมากสำหรับผู้ปฎิบัติ
    และผู้ปฎิบัติจะต้องทำอินทรีย์ทั้ง๕นี้ให้เกิดสมดุลย์ให้ได้ อย่าไปหนักหรือหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
    ถ้าใครนึกไม่ออก ก็ขอให้นึกถึงการตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติรักที่จะเิดินเส้นทางนี้
    นั่นก็คือ มัชฌิมาปฎิปทา หรือทางสายกลาง มิฉะนั้นแล้ว ท่านก็จะเดินไปไม่ถึงไหน เพราะมัวแต่แวะข้างทาง(ซ่อมจิต)

    สำหรับคำว่าสติและศีลนั้นจำเป็นมากๆสำหรับผู้ปฎิบัติ ถ้ามีสติไม่พอ จิตก็ไม่นิ่ง เป็นเหตุไม่มีปัญญาตามไปด้วย
    ถ้าผู้ปฎิบัติไม่พยายามรักษาศีล อย่างน้อยศีลหยาบ(ศีล๕)ตนเอง นิวรณ์หรือกิเลสต่างๆก็มักจะไปรบกวนจิตมิให้เราเข้าถึงความดี
    ก็คือจิตไม่เป็นสมาธิ เมื่อจิตไม่มีสมาธิ ตัวปัญญาก็จะไม่เกิดอีก ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นี่ก็คือสิ่งที่ตามมา

    วันนี้ขอกล่าวธรรมะไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพราะเริ่มออกทะเลไปแล้ว
    บอกไปแล้วว่า ถ้าเรามีปัญญาหรือปัญญาญาณเป็นของตนเอง ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปถามใคร
    สติถามจิต เดี๋ยวจิตก็จะไปถามธรรมในจิตตนให้อีกทีนึง
    แต่ถ้าจิตกลายเป็นธรรมซะเอง ต่อไปทั้งสติทั้งจิตไม่ต้องไม่ถามอะไรแล้ว
    เพราะทั้งสติก็เรา ทั้งจิตก็เรา เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกันได้ ก็จะกลายเป็นตัวปัญญาซะแล้ว
    มันรู้แล้ว มันเข้าใจเองหมด จิตผู้ใดเดินทางมาถึงจุดนี้
    ย่อมรู้และเข้าใจ จึงหมดสิ้นคำว่า ความลังเลและความสงสัยตั้งแต่ครั้งแรก คือก่อนปฎิบัติ
    เรียนธรมะต้องให้จิตไปรู้เอง เห็นเอง เพราะการปล่อยวางเป็นหน้าที่โดยตรงของจิต
    เมื่อจิตเขาปล่อยวางได้แล้ว เราถึงพ้นทุกข์ตอนนั้น ทุกข์มิได้หายหรือจากเราไปไหน
    เพราะตัวทุกข์จริงๆนั้นก็คือ ขันธ์๕ หรือร่างกายของเรานี่เอง
    จิตจะปล่อยวางได้ก็เพราะปัญญา(เท่านั้น)
    แต่จิตที่ยังไม่ปล่อยวางนั้นก็เป็นเพราะว่าเราไม่หมั่นสร้างสติของตนบ่อยๆ และต้องสร้างให้ต่อเนื่องด้วย
    แต่ถ้าไม่ต่อเนื่อง อาการเกิดๆดับๆ หรือบางทีรู้บ้าง ไม่รู้บ้างนั่นเอง

    ทำไปๆ ปฎิบัติไป เดี๋ยวก็รู้มากเอง แต่ต้องขยันดูจิตตนมากๆนะ ไม่ใช่ปฎิบัติแบบไร้ทิศทาง
    เหมือนคนพายเรือไม่เป็น อีกเมื่อไหร่จะพายถึงฝั่งสักทีนึงนั่นเอง

    ยังไม่พอแค่นี้ เดี๋ยวมีภาค ๒ เป็นภาคสำหรับผู้ปฎิบัติที่ได้ตัวปัญญาแล้ว
    อาจจะนำมาลงที่นี่ก็เป็นได้ เพราะมีคนสุ่มปฎิบัติก็เยอะ ไม่น้อยทีเดียว
    จะบอกใบ้ให้ก่อนก็ได้ว่า เมื่อได้ตัวปัญญาหรือตัวรู้แล้ว
    เดี๋ยวจะแนะให้วางตัวรู้และตัวถูกรู้ ด้วยอะไร...
    แต่การวางตัวถูกรู้และตัวรู้นี้ มิใช่ง่ายๆ แต่มีวิธี
    กำลังใจของผู้ปฎิบัติก็มีอยู่เท่านี้ มันไม่พอแก่การละปล่อยวาง โดยเฉพาะนามอันละเอียด
    (สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์)
    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติจำเป็นจะต้องอาศัยพลังพุทธะในการตัดนามสองตัวสุดท้ายนี้ได้
    ไม่อย่างนั้น ไม่มีทาง
    แต่พลังพุทธะนั้นท่านใดแต่ใดมา มีที่มาที่ไปหมด รับเฉพาะผู้ที่สนใจจริงๆถึงจะพูด
    ปล.บอกไปแล้วว่า..มิได้มีเจตนามาสอนสั่งผู้ใด นึกเสียว่า มาสนทนาธรรมรายวัน

    ขอประชาสัมพันธ์นิดนึง ข่าวดี! สำหรับผู้ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ละทุกข์ได้จริงๆ
    ปฎิบัติมาหลายแนว ปฎิบัติกรรมฐานมาก็หลายกอง แต่ไม่ค่อยเจริญในธรรมเท่าที่ควร
    ขอแนะนำการปฎิบัติธรรม แนวจิตเกาะพระ เงินทองไม่ต้องเตรียม เตรียมสติกับจิตเท่านั้นก็พอ
    แต่ขอบอกซะก่อนนะว่า ถ้าท่านปฎิบัติแนวเก่าไม่ได้ผล ก็ให้วางก่อน อันนี้พูดจริงๆ ซีเรียส
    เดี๋ยวจะหาว่าปฎิบัติไม่ได้ผล เพราะส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ที่ตัวผู้ปฎิบัติเองเท่านั้น
    ส่วนครูเป็นแค่ผู้แนะนำเท่านั้น ส่วนเรื่องการปฎิบัตินั้น ผู้ปฎิบัติจะต้องเดินเอง หรือทำตามที่ครูแนะ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เตรียมจิตดีกว่า..เตรียมกาย

    เพราะการเตรียมกายนั้น บางครั้งเราก็ทำตามผู้อื่นไม่ได้
    เพราะมีขีดจำกัดไม่เท่ากัน โดยเฉพาะเรื่องเงิน เรื่องทอง ไม่พอที่จะไปสร้างนู้นนี่เหมือนกับคนอื่นเขา
    ขอให้พวกเราหยุดพินิจ พิจารณาธรรมกันตรงนี้สักหน่อย นั่นก็คือ ...
    พระอริยเจ้าเตรียมจิตพร้อม(ไม่ประมาท)
    แต่ปุถุชนมักเตรียมกายพร้อม(ถือว่ายังประมาทอยู่)
    เพราะหารู้ไม่ สิ่งที่กำลังเตรียมพร้อมกันอยู่นั่นก็คือ สิ่งสมมุติ

    ปล.มิได้มีเจตนาไปล่วงเกินจิตผู้ที่กำลังเตรียมกายพร้อม เข้าใจบนความไม่เข้าใจผู้อื่นเสมอ
    ข้าพเจ้าเองก็เตรียมพร้อมเรื่องกายเหมือนกัน แต่จะเน้นเรื่องจิตเป็นหลักมากกว่า
    ส่วนร่างกายก็ต้องดูแล มิใช่ไม่ดูแล ก็แค่...
    ถึงเวลากินก็ต้องกิน ถึงเวลานอนก็ต้องนอน ถึงเวลาถ่ายก็ต้องถ่าย
    ถึงเวลาชำระล้างหรือทำความสอาดร่างกาย ก็ต้องทำความสอาด
    ....มีอยู่เท่านี้จริงๆ คนเรา...
    แต่ถ้าหากผู้ใดไม่ทำก็จะเกิดทุกข์ขึ้นมาซ้ำอีก

    ทุกคนก็รู้แก่ใจตนว่า ขันธ์๕ หรือร่างกายนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวของจิตเท่านั้น(((จริงๆ)))

    ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงคนที่เรารักและทรัพย์สินสาธุ

     
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    [​IMG]

    ข้าพพุทธเจ้า ขอน้อมกราบแทบเท้ารอยพระบาทของ
    พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ และขอกราบระลึกถึงคุณของท่าน ที่ได้โปรดเมตตาสัพสัตว์ทั้งหลายได้นําธรรมของท่านมาปฏิบัติตาม ด้วยอนุภาพของ พระพุทธเจ้า พระธรรมคําสั่งสอน และพระสงฆ์สาวก ข้าพเจ้าขออาราชธนาบารมีคุณพระพุทธเจ้า ทั้ง ๔ พระองค์ จงมาปกป้องคุ้มครองทุกๆท่านให้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ และบรรลุมรรคผล นิพพาน ทุกๆท่านเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน(ดีที่สุด)

    ชีวิตของคนเราก็ไม่ต่างกับนางงามในตู้กระจก คือโลกวัฎฎสงสาร
    เพราะต้องรอคนมาเลือก หรือต้องไปตามวาระกรรมของตน

    เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ก็จะเต้นไปตามบทบาทของตนเอง คือเต้นไปตามกรรมของตน
    เมื่อมีกายหยาบ ก็มีความรู้สึก+นึกคิดหรือมีจิตใจ
    โดยมิรู้เลยว่า นับต่อจากนี้ไป ชีวิตจะเป็นเช่นไร
    มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป สำหรับผู้ที่ยังแยกภาระหน้าที่ระหว่างทางโลกกับทางธรรมยังไม่ชัดเจน
    จึงยังมีชีวิตก็สารพัดจะหลงกันไป คือหลงไปตามกิเลสของตน ของโลก
    เรียกได้ว่ากิเลสนำพาเราไป
    เมื่อกิเลสมาครอบงำจิตใจของคนเราเสียแล้ว จึงไม่ต่างกับคนหน้ามืดตามัว
    คือยังควำหาทางออกหรือประตูออกยังไม่เจอ
    เพราะฉะนั้นแล้ว จึงเสมือนจะต้องจมปักอยู่แต่กองทุกข์ไปจนวันตาย
    ถึงตายไปแล้ว นึกว่าจะหนีพ้น ยิ่งกลับหนักกว่าเดิม

    สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง หรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด
    สัตว์ก็รักตัวกลัวตายเหมือนกับผู้ฆ่าเขานั่นเหมือนกัน
    ยิ่งผู้ที่จะคิดฆ่าตัวตาย หรือฆ่าผู้ที่มีพระคุณ อย่าคิดและก็อย่าทำ เพราะวิบากกรรมมันหนัก
    การเกิดของแต่ละชาตินั้น มิใช่เรื่องง่าย ยิ่งเกิดเป็นสัตว์มนุษย์ยิ่งแล้วใหญ่
    เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิืหรือธรรมชาติให้โอกาสกระทำความดีหรือความชั่วเท่าเทียมกัน
    สัตว์มนุษย์นี้เสมือนเป็นแกนกลางของสิ่งมีชีวิต เพราะมีโอกาสสะสมหรือสร้างบุญบารมีของตน
    แต่หากถ้าไม่สร้างบุญบารมี กลับไปสร้างตรงกันข้ามกับคำว่า บุญบารมี
    แล้วอีกเมื่อไหร่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
    ถ้าวันนี้เรายังมีชีวิตแบบหลงทางกันอยู่แบบนี้ ไม่กระตือรือร้น คือไม่รีบสร้างบุญบารมีของตน
    ถ้าเราหมดลมหายใจทุกอย่างก็หยุดหมด หรือหมดโอกาสทำความดีหรือความชั่ว
    ครั้งยังมีชีวิตหรือตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรมอยู่ดี
    กฎแห่งกรรมเป็นกฎแห่งความยุติธรรม คือใครทำดีย่อมได้รับผลดี มีสวรรค์ พรหมหรือนิพพานเป็นที่ไปหรือเรียกว่า สุคติภูมิ
    แต่ถ้าใครทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลชั่ว อันมีนรกภูมิหรือทุคติภูมิเป็นที่ไป
    เรื่องนี้ทุกท่านรู้และเข้าใจหมดแล้ว เพียงแต่เมื่อไหร่จะทำให้เป็นรูปธรรมเท่านั้นเอง

    เตือนสติตนอย่าได้ประมาท อย่ามัวหลงทำอะไรจนเพลิน จนลืมอีกฉากนึงของชีวิตนั่นคือจิตตนเอง
    งานทางธรรมจะต้องทำควบคู่ไปกับทางโลก เวลาจะทำงานทางโลกก็อย่าไปอ้างว่าไม่มีเวลาปฎิบัติ
    ลองนับเวลาดูนะว่า เวลาของเรามันไปกับทางโลกมาก หรือทางธรรมมาก
    โดยเฉพาะผู้ที่ปฎิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานด้วยแล้ว ถ้าอยู่ทางโลกมากกว่า..ก็เสร็จแน่

    จะรอให้สิ้นลมจริงๆก่อนใช่ไหม ถึงจะขยับทำหน้าที่ในทางธรรม(เจริญกรรมฐานหรือดูจิต)
    ภาระหน้าที่ทางธรรมก็คือ นำจิตหรือฝึกจิตให้สงบนิ่งอยู่เสมอ จะได้แยกจิตออกมาจากกองกิเลส กองทุกข์ของตนได้
    เมื่อจิตเขารอดพ้นจากกอต่างๆงเหล่านี้ เราจึงจะเลิกทุกข์ได้เมื่อนั้น

    อย่าลืม สิ่งภายนอกจิตนั้น มันมีแต่ความทุกข์แทบทั้งสิ้น อย่าออกไปเลย
    นอกจากไม่เที่ยงแล้วยังบังคับบัญชาให้เป็นตามที่ใจเราก็ไม่ได้
    เพราะฉะนั้น เลิกคิดจะไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น สิ่งอื่น โดยเฉพาะธรรมชาติ เห็นมีแค่เกิด-ดับเท่านั้น
    นอกนั้น ไม่มี ลองนั่งพินิจ พิจารณากันให้ดี มีสติเยอะๆ มีปัญยาเยอะๆ เดี๋ยวก็รู้เอง
    เมื่อจิตของคนเราไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะหมดความหมาย
    คำว่าไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็นนี้ มิใช่ไม่รู้ ไม่เห็นนะ เมื่อไหร่จิตพบปัญญาหรือพบธรรม
    จิตย่อมละปล่อยวางง่าย
    คำว่า ความลังเลหรือความสงสัยของตนนั้นย่อมยุติลง
    เพราะจิตเขาปล่อยวางในความลังเลหรือความสงสัยของตนองได้

    ขอให้จิตพวกเราพบปัญญา ขอให้จิตพวกเราอยู่กับธรรม
    ยิ่งจิตอยู่กับปัจจับัน ยิ่งอยู่กับพระรัตนตรัย โดยเฉพาะพระพุทธคุณ ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น
    ชีวิตของคนเราดูๆไป ยิ่งถ้าไม่ฝึกจิตให้ดี ก็เสมือนเรากำลังเดินลงหุบเหวหรือกำลังเดินใกล้หุบเหว
    เพราะชีวิตเรากำลังตกอยู่ที่นั่งลำบากจะรู้ตัวกันบ้างไหม ทุกข์กำลังมาเยือนจะรู้ตัวกันบ้างไหม
    เมื่อไหร่ทุกข์มาเยือนเรามากๆ เห็นจะเป็นจะตายแทบทุกรายไป ยามดีๆมีความสุขในทางโลก
    ไม่ฝึกจิต ไม่แยกกายแยกจิต แล้วจะไปรู้ไหม
    คนนะ ไม่ใช่ค้างคก เลือตกยางออกถึงจะรู้สึกตัว เกรงว่าไม่ทันรู้สึกตัวคือตายก่อน
    สาธุ มิได้มีเจตนาล่วงเกินจิตผู้ใด แต่กลับเป็นห่วงหรือเมตตากันเฉยๆ
    พร่ำธรรมะไปก็สอนตนเองด้วย อิทธิบาทครบก็ตรงนี้แหล่ะ ครูสอนจิตเกาัะก็เช่นกัน
    ที่ครูพร่ำสอนะรรมะกันอยู่นั้น ครูเขาก็ได้มีโอกาสทรงอิทธิบาทตนเองไปในตัวเสร็จสรรพเลย
    ครูที่มีหน้าที่เปลี่ยนดวงตาให้เห็นธรรมหรือความจริงนั้น มีอานิสงส์มากนัก
    เพราะการสร้างบารมีไม่เหมือนกับการสร้างบุญกุศลทั่วไป เพราะการสร้างบารมีนั้นต้องทำเพื่อคนอื่น มิใช่ตน

    แต่ครูจะต้องมีกำลังใจมาก หรือมีปัญญามากเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นก็ไปไม่รอด
    เปิดตำราไม่ทัน ต้องควัก ต้องถามธรรมในจิตตนเท่านั้น ถึงจะเอาอยู่
    ยิ่งเป็นครูสอนรรมะหรือกรรมฐาน จิตครูเองก็ต้องพร้อม แต่ถ้าไม่พร้อมก็ตกม้าตาย
    รุ่นนี้สติไม่ต้องพูดถึงให้ละอยู่ในฐานที่เข้าใจ สิ่งที่เน้นก็คือตัวปัญญา ยิ่งปัญญามากกำลังใจก็มาก สังเกตดู
    ส่วนผู้ที่จะไปช่วยผู้อื่นได้นั้น เราต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้เสียก่อน
    จะคิดเป็นผู้ให้ก็ต้องมีกำลังใจมากกว่าผู้รับ เป็นต้น
     
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ใจที่ยังมองไม่เห็นสภาพความจริงของทุกข์ ก็เหมือนกับเราเห็นวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    ในครั้งแรก เราย่อมจะมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัดเจนดีต่อเมื่อได้จับต้องวัตถุนั้นๆ
    มาวินิจฉัยดูนานๆอย่างใกล้ชิด เราจึงจะมีความรู้ในสิ่งนั้นๆและคลายความสนใจในรักชังฉันใด

    เมื่อได้วินิจฉัยร่างกายของเราดูอย่างจริงจังด้วยสมาธิ และปัญญาแล้ว
    ก็จะเป็นหนทางคลี่คลายจิตใจของเราให้เบื่อหน่ายจือจางต่อความทุกข์-สุขดี-ชั่ว ทั้งหลายลงได้...

    ที่มาธรรมะองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มีเราศึกษาพระธรรมวินัยกัน
    ปฏิบัติวิปัสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือ การตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น
    อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดาคือยอมรับนับถือกฏของธรรมดา
    อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้มากนัก ไอ้เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มี...ถ้าใจเราเลว
    แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมัน
    ไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่า ....เราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา.
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อุบาสก อุบาสิกา ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว

    ก็มีความขยัน มีการรักษาทรัพย์ มีกัลยาณมิตร

    -มีเพื่อนที่ดีงาม มีความสัตย์ มีความข่มใจ

    ...มีความอดทน มีความเสียสละ...

    ...และมีการวางตัวที่เหมาะสมกับสังคม...

    -รักษาวัฒนธรรมอันดีงามของบ้านเมือง...

    "พระธรรมคำสอนของพระธรรมมังคลาจารย์ หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง

    ...กราบนมัสการ และน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2013
  15. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ... "อัศจรรย์จริงๆหนอ อัศจรรย์จริงๆ" ...
    พิจารณาแล้วชุ่มเย็นทุกครั้ง บรรเทาความทุกข์ได้เห็นผล ทั้งวางมันลงได้ด้วยความเข้าใจ

    อนุโมทนาครับ เอาธรรมะมาให้อ่าน"ดีมากๆครับ ดีที่สุดครับ"

    "ความร้อน(ใจ)เกิดตรงไหนก็ดับมันตรงนั้น เดี๋ยวความเย็น(ใจ)ก็ตามมา ให้เราซึมซับเอาใว้ สุดท้ายวางหมด"

    ^__^
    _/|\_

    .......... .......... ..........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2013
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    หลวงพ่อให้พร ลูกหลานทุกคน...
    ตั้งจิตรับพรกันดีๆ จะได้ยินเสียงหลวงพ่อเองเลยนะคะ...สาธุค่ะ...


    ใกล้ถึง วันครบรอบมรณภาพ หลวงพ่อฤๅษี ปีนี้ ครบ 21 ปี ที่ท่านทิ้งกายหยาบขันธ์5 ไว้บนโลกนี้
    ให้ลูกหลานดู เป็น มรณานุสสติ ...แต่จิตของท่าน ไม่ได้ห่างจาก ลูกๆหลานๆพุทธบริษัทของท่านเลย
    ท่านยังคงคอยดูแล สั่งสอน ตามช่วยเหลือตลอด...
    ลูกคนนี้ สำนึกในพระคุณในความเมตตาอันหาประมาณมิได้ ของท่าน
    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบ แทบเท้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ด้วยเศียรเกล้า เจ้าค่ะ
    กราบ กราบ กราบ
     
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "พระอรหันต์ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน"

    อยู่ด้วยกันจำนวนมากน้อย ต่างคนต่างถือหลักศาสดา คือ พระธรรมวินัยเป็น

    แบบเป็นฉบับเป็นหัวใจ เป็นกิริยาแห่งความเคลื่อนไหวแล้วจะเป็นความร่มเย็นเป็นสุขด้วย

    กัน...ดังพระสาวกท่านมีจำนวนร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ องค์ ก็ไม่เคยได้ยินเลยว่า พระ

    อรหันต์เหล่านั้นมีความทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแย้งกันเรื่องความรู้ความเห็นไม่ลงรอยกัน...

    อย่างนี้ไม่ปรากฏแม้รายหนึ่งเลยในตำหรับตำรา...

    -นี่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ธรรมแท้นี้เมื่อได้เข้าถึงใจแล้ว...

    ย่อมเป็นความแท้จริงอยู่ตลอดเวลา...ย่อมเป็นความแท้จริงอยู่ตลอดเวลา ไม่เคลื่อนไหว

    จากนั้นสู่ความจอมปลอมแม้แต่น้อยเลย พอที่จะให้เกิดความทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้ง

    กัน...ในเรื่องหลักธรรมหลักวินัย หรือความประพฤติต่างๆ...

    -บรรดาพระอรหันต์อยู่ด้วยกันมีจำนวนมากเพียงไร ย่อมมีธรรมของแท้ของ

    จริงประจักษ์ใจของท่านเป็นหลักใหญ่...ไมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นอย่างใดเลย

    ...การอยู่ด้วยกันจึงอยู่ด้วยกันจึงอยู่ด้วยกันเป็นธรรมแท้ หาที่จะระแวงแคลงใจต่อกัน

    แม้นิดหนึ่งไม่มีเลย...นี่แหละธรรมแท้เมื่อได้เข้าสู่จิตใจ...

    ...ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วย่อมเป็นเช่นนั้น...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนขององค์ท่านเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตแจ้งข่าว
    งานบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๒๑ ปี
    แห่งการมรณภาพของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ


    [​IMG][​IMG][​IMG]

    รายนามเจ้าภาพถวายไทยธรรม แด่พระเถรานุเถระ
    วันอาทิตย์ ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๒.๓๐ น.


    **** 52. สมาคมจิตเกาะพระ *****


    53. คุณชินโชติ สีสุธรรม
    54.คุณกนก-นุชนารถ เอมอินทร์
    55.คุณชัชช์-คุณณณัฐ วันไพศาขมาส
    56.คณะสาวจันทร์

    ที่มา
    �Ѵ�ѹ����� (��ҫا) - ��¹������Ҿ�����¸��� 㹧ҹ���筡��Ťú�ͺ �� �� ��觡���ó�Ҿ�ͧ ���പ��Фس��ǧ����

    เหตุผลที่อยากเชิญชวนทุกคนทำบุญนี้ ก็เพื่อเป็น การแสดง ความกตัญญู ต่อหลวงพ่อฤๅษี ฯ ที่ ท่านมีเมตตา ต่อพวกเรา ....

    สมาคมจิตเกาะพระ จะเป็นเจ้าภาพ ถวายไทยทาน ในงานบำเพ็ญกุศลครบรอบวันมรณภาพหลวงพ่อ ครบ 21 ปี
    ในวันอาทิตย์ ที่ 29 กันยายน นี้ ถวายไทยทาน เวลา 12.30 น. ณ วิหารร้อยเมตร วัดท่าซุง
    โดย ครูเกษ จะเป็นตัวแทนพวกเราทุกคน ไปถวายไทยทานและทำบุญ ในครั้งนี้

    จิตบุญในประเทศไทย ท่านใด สนใจ ที่จะเดินทางไป ร่วมทำบุญที่วัดท่าซุง ในครั้งนี้ด้วย ก็ขอเชิญนะครับ

    ครูแนท จะเป็น สปอนเซอร์ เรื่อง พาหนะเดินทางให้.. จัดรถตู้ บริการไว้ 1 คัน (คุณปรเมศ จัดการเรื่องรถตู้)

    นอกจาก ที่เราจะถวายไทยทาน แล้ว เราจะถวาย สังฆทาน ชุดใหญ่ ทำบุญอุทิศถวายกุศล แด่ หลวงพ่อฯ ด้วย1ชุด
    และ ถวายสังฆทานชุดใหญ่ อีก 1 ชุด แด่ท่านผู้มีพระคุณ ทุกท่าน ตั้งแต่ สมเด็จฯพ่อองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    จนถึง สมเด็จฯองค์ปัจจุบัน ... ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ทั้ง3 พรหม และเทวดา ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ทุกสาย ด้วยอีก 1 ชุด

    รายการทำบุญ ก็คือ ....ถวายไทยทาน 1ชุด
    ....ถวายสังฆทาน 2 ชุด
    ....ปัจจัยทีเหลือ รวมทำบุญทุกอย่าง กับ วัดท่าซุง

    ส่วนจิตบุญท่านใด จิตผู้ศรัทธาหรือลูกหลานของหลวงพ่อท่านใด มีประสงค์จะร่วมทำบุญด้วย
    ก็ขอเชิญติดต่อ ครูเกษ หลังไมค์...จะแจ้งหมายเลขบัญชี ...
    ไม่อยากให้ เป็นลักษณะ เรี่ยราย

    ขอโมทนาบุญล่วงหน้ากับทุกท่าน มา ณ.โอกาสนี้ด้วยนะครับ
    ภูทยานฌาน ๒

    ปล. ถ้าผู้ใดคิดว่า เราคือลูกหลานของหลวงพ่อฯ ก็น่าจะหาโอกาสไปกราบนมัสการสักครั้งนึง
    เพื่อแสดงความกตัญญูต่อหลวงพ่อ คือผู้ที่มีพระคุณของพวกเราทุกคน
    เพราะหลวงพ่อเป็นที่มาของสมเด็จงค์ปฐม
    และสมเด็จองค์ปฐมก็เป็นที่มาของการปฎิบัติในแนวจิตเกาะพระ
    โดยเฉพาะ ชาวจิตเกาะพระ จำเป็นจะต้องเข้าร่วม หรือมีส่วนร่วมงานนี้ด้วย
    โมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กันยายน 2013
  19. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ครูน้องเกษ รบกวนปรากฎตัวสักนิดจ้ะ ไม่รู้จะติดต่อได้งั ยหาไม่เจอ...งึมงัมๆ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำไม..จิตถึงอยากอยู่แต่ธรรมะ

    ก็เพราะว่า..จิตเขาพบแต่ความจริง
    ความจริงก็คือ..ความจริงแท้ๆ แน่นอน จะเป็นอื่นมิได้
    และทุกธรรมเป็นไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์หรือสาวกของพระพุทธเจ้าแทบทั้งสิ้น


    พอจิตพบธรรมภายในจิต ต่อมาจิตก็จะกลายเป็นธรรมมาสั่งสอน ตักเตือนภายนอกของตนเอง
    อย่างเช่น คำพูดและการกระทำ เป็นต้น
    เมื่อจิตถึงธรรมเสมือนคนที่เดินทางมาไกลแล้วถึงที่พักปลอดภัยและร่มเย็น มิมีสิ่งใดมาเสมอเสมือนอีกแล้ว
    ถึงพบความสุขในทางโลกก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดตอนนี้ก็คือ ธรรมะ(เท่านั้น)
    ธรรมะเป็นของเย็นจริง กิเลสเป็นของร้อนจริง
    ถ้าจิตละกิเลสได้มากเท่าไหร่ จิตใจเราก็ยิ่งสุขหรือเยือกเย็นใจมากเท่านั้น
    ต่อให้มีเวทนามากแค่ไหน อย่างมากก็มีแต่เวทนาทางกายอย่างเดียว แต่ไม่มีเวทนาทางจิต

    สติปัญญานั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก โดยเแพาะนักภาวนา
    ปัญญาจะเกิดไม่ได้ ถ้าหากเผลอสติบ่อย

    ถ้าพูดภาษามรรคก็คือ ศีลเป็นบาทฐานของสมาธิ
    เพราะถ้านักภาวนาไม่รักษาศีลตน นิวรณ์หรือกิเลสต่างๆก็จะมารบกวนจิตไม่ให้ถึงความสงบ(จิตไม่นิ่ง ไม่เป็นสมาธิ)
    หรือไม่ให้เราเข้าถึงความดี(บุญกุศล) เพราะการเจริญสติภาวนา(ทำสมาธิ)ถือว่าเป็นการทำบุญภายใน ซึ่งเป็นบุญใหญ่หลวง
    ส่วนสมาธิก็เป็นบาทฐานของปัญญา เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ(จิตนิ่ง)

    สำหรับนักภาวนาที่ยังค้นหาดวงจิตตนยังไม่พบ หรือยังเข้าไม่ถึงธรรม
    หรือตราบใด ที่จิตเรายังเข้าไม่เขตคำว่า วิมุตติ จะต้องหมั่นเร่งสร้างกำลังใจตนอยู่เสมอ
    เพราะถ้าเราเผลอสติเมื่อไหร่ เป็นอันว่าจิตจะต้องไหลไปกับทางโลกอย่างแน่นอน
    ยกเว้น พระอรหันต์ ถือว่าจิตถึงซึ่งความเป็นวิมุตติแล้ว ถึงเผลอสติไปก้ไม่มีผล เพราะจิตเป็นธรรมหรือธรรมเป็นจิตซะแล้ว
    รุ่นนี้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งวิปัสสนาอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะความอัศจรรย์แห่งจิตที่ถึงธรรมย่อมรู้เข้าใจและวางใจเป็นได้สนิท(อุเบกขาญาณ)
    คำว่าการวางเฉยของพระอรหันตืนั้น มิใช่การทำใจหรือเอาธรรมเข้าข่มใจ คนละเรื่อง
    เมื่อจิตเขาปล่อยวางได้ก่อนแล้ว ที่จะมาพบะรรมหรือสิ่งกระทบจิตนั้น จึงไม่มีผล เพราะจิตพร้อมรับทุกธรรม ทุกสิ่งแล้วนั่นเอง
    ตรงนี้นี่แหล่ะ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสก่อนดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน เตือนกับพวกเราชาวพุทธบริษัทว่า...
    ตราบใดที่เรายังครองหรือมีขันธ์นี้อยู่ อย่าได้ประมาท เพราะขันธ์หรือร่างกายนี้มีแต่ความเสื่อมเป็นธรรมดา และต้องดับสูญไปอย่างแน่นอนที่สุด
    จงทำความพร้อมให้ถึงที่ โดยการไม่ประมาท จงระลึกหรือมีสติอยู่กับตัวให้ตลอดเวลา
    หรือสำรวมจิตก็จะยิ่งดีมาก
    เพราะถ้าเราเผลอสติเมื่อไหร่ กิเลสก็จะมาดึงจิตให้ลงต่ำทุกครั้งไป และก็พบเจอแค่ความทุกข์อยู่ร่ำไป
    ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ตราบที่เรายังมีขันธ์๕ หรือร่างกาย
    เพราะขันธ์๕หรือร่างกายเป็นตัวทุกข์ เป็นแหล่งรวมความทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง
    ถึงเราจะหนีก็หนีไม่พ้น ตายไปก้ยังไม่พ้น เพราะเรามีขันธ์๕เป็นตัวทุกข์ซะแล้ว
    แต่จะหนีหรือพ้นทุกขืได้นั้น มีทางเดียวนั่นก็คือ แยกจิตออกมาจากขันธ์๕ให้เด็ดขาดเสีย
    เมื่อไหร่เรานำจิตออกมาจากขันธ์๕ หรือยกจิตใอยู่เหนือขันธ์๕เสียแล้ว ก็หมดเรื่องทุกข์ใจไป
    ต่อไป กายกับจิตก็อยู่ด้วยกันได้ตามปกติ จะได้ไม่ต้องมีความรู้สึกว่าตนเองทุกข์อีกต่อไป
    แต่ถ้าผู้ใดยังนึกไม่ออก ก็ขอให้นึกถึงน้ำที่อยู่บนใบบัว คือต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกัน
    น้ำไม่ติดใบบัว ใบบัวก้ไม่ติดน้ำ นั่นเอง

    สำหรับนักภาวนาที่ยังแยกกาย แยกจิตยังไม่เด็ดขาด ยังไงๆก็ต้องมีความทุกข์อยู่ดี
    แต่ก็เป็นทุกข์แค่เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ไม่ได้ปฎิบัติธรรมมาเลย
    สำหรับคนหลังนี้ น่าเป็นห่วงมาก เหมือนเรายืนอยู่ใกล้หุบเหวก็มิปาน

    เพราะฉะนั้น นักภาวนาที่อยู่ใกล้กับคำว่า วิมุตติ พยายามเร่งความเพียรให้มาก
    โดยเฉพาะเจริญตัวปัญญาให้ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะญาณใกล้จะคลอดแล้ว
    คำว่าปัญญาจะแปลว่า ออ คือตูรู้แล้ว แต่ญาณนั้น ไม่ต้องร้องออ มันเฉยเพราะจิตมันยิ่งกว่ารู้
    ภาษาสมมุติเขาเรียกว่าไรไม่รู้ แต่ภาษาจิต คือวางตัวรู้อย่างเดียวเลย หรืออยู่เหนือตัวรู้อีกทีนึง
    เพราะฉะนั้น คำว่า วิจิกิจฉา หรือความลังเลสงสัยย่อมหายไป
    เนื่องด้วยเพราะว่า จิตเขารู้แล้ว วางแล้ว อยู่เฉยๆ คือสงบแต่ภายในลึกๆ อันนี้ไม่ใช่ฌานนะ
    ไม่เกี่ยวกัน คล้ายๆกับจิตอิสระก็มิปาน

    แยกกาย แยกจิตไวๆ และต้องแยกให้เด็ดขาดด้วย จะได้แยกย้ายไปช่วยกันทำหน้า
    ทุกท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่าตัวของผู้ปฎิบัติก็ยังมีความทุกข์อยู่เลย ถึงจะเป็นทุกข์แค่เล็กน้อย เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์
    คำว่าทุกข์นั้น ไม่มีผู้ใดต้องการหรอก แต่จะทำอย่างไร ให้ตนเองพ้นทุกข์ได้ อันนี้น่าคิด
    เมื่อคิดว่าตนเองรอดแล้ว ก็ขอให้กลับไปช่วยผู้อื่นด้วย ช่วยกันๆ เมตตากันเยอะ
    เพราะในอดีต เราเองก็เคยอยู่กองทุกข์มาก่อน จึงรู้และเข้าใจกันดี ถึงได้มีวันนี้นี่ไง
    อยากจะบอก อยากจะแนะแนวทางให้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเลย ถ้าเรานำจิตเดินมรรคให้ถูก+ตรง
    จิตบุญทั้งหลาย จงอย่าติดสุขแต่เพียงผู้เดียว อย่านิ่งดูดาย ช่วยท่านพ่อ หลวงพ่อทำงาน
    ช่วยกันสืบสานพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันด้วยเทอญ

    มองเห็นคุณค่าคำสอนให้มาก ระลึกนึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าให้มากๆ
    แล้วท่านจะเข้าใจคำนี้ดีว่า..ตอนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ เวลามันเหลือน้อยเข้าไปทุกทีๆแล้ว
    รีบเร่งนำจิตตนออกมาจากขันธ์๕ให้ไวที่สุด เพราะถ้าหมดลมเท่ากับหมดโอกาสสร้างบุญกุศลของตนแล้ว
    พวกท่านมั่นใจไหมว่า ชาติหน้าเราจะเกิดมาเป็นคนอีก แต่ถ้าไม่ใช่แล้วจะทำอย่างไรดี
    จงใช้สติปัญญาของตนที่มีอยู่ทบทวนตนเองให้ดี
    ด้วยความปรารถนาดี...จิตเกาะพระ
    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ

    ปล.บุญกุศลภายนอก เมื่อมีเวลาและโอกาสก็ทำไป อย่าได้ขาด
    เพราะจะเป็นบันไดบุญในขั้นต่อๆไป บุญกุศลภายนอก เมื่อมีเวลาและโอกาสก็ทำไป อย่าได้ขาด
    เพราะจะเป็นบันไดบุญในขั้นต่อๆไป โดยเฉพาะ อยากมีกำลังใจปฎิบัติธรรมเหมือนกับผู้อื่น หรือพระอริยสงฆ์
    แต่บุญภายในก็อย่ามองข้าม(เด็ดขาด) เพราะเป็นบุญกุศลใหญ่หลวงยิ่งนัก
    เพียงแต่ว่าผู้ปฎิบัติจำเป็นจะต้องอาศัยกำลังใจมากเท่านั้นเอง
    แต่บุญภายในก็อย่ามองข้าม(เด็ดขาด) เพราะเป็นบุญกุศลใหญ่หลวงยิ่งนัก
    เพียงแต่ว่าผู้ปฎิบัติจำเป็นจะต้องอาศัยกำลังใจมากเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...