จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    กมฺมุนา วตฺตตีโลโก
     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ประโยชน์จากการฝึกจิต​


    ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่
    เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น
    ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ
    ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิต
    ตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิต

    แล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย
    เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว
    ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุ
    ในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรง
    กระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น
    ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลาย
    เป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะ ผู้ที่ป่วย
    เป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิต
    และเดินจงกรม​

    ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี​


    Cr..FB...Bhuddhasattha​
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    หลวงปู่เทพโลกอุดรสอนว่า " จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูละคร "

    การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต

    จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท
    เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต
    จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละคร
    ด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต
    จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน
    แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้
    ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวจิต อย่ากลัวอารมณ์
    เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต

    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต
    แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์
    คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น
    ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์
    และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ
    เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย
    เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง )
    เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จิตยิ่งใหญ่
    ธรรมชาติของจิตมีทั้งสงบและทุกข์ แต่สิ่งที่ทําลายจิต"คือทุกข์"
    เมือจิตทุกข์ แล้วความเจ็บป่วยของจิตย่อมเกิดขึ้นตามมา คือ ความเศร้า ความกังวล
    และความละอาย ความคิดอยากทําลายตนเอง นั้นคือ "สัญญาณบอกว่าจิตกําลังไม่สบาย"

    "หยุดคิด คือหยุดทุกข์" เพราะทุกข์คือโรคร้ายของจิต หากไม่หยุดคิดวุ่นวาย
    ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นอยู่รํ่าไป เมื่อประสบกับปัญหา เราต้องหารักษาจิต ซึ่งมีอยูชนิดเดียวไม่เคยล้าสมัยได้ผลยอดเยี่ยมคือ"พุทโธ" เมื่อคิดพุทโธ แทนความทุกข์
    จิตที่วุ่นวายก็จะเริ่มอยู่นิ่ง และสัมผัสกับความสงบได้ ความคิดต่างๆที่รุ่มเร้าก็ผ่อนคลายลง

    รักษาทุกข์ด้วยยาคือ"พุทโธ"ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ทุกๆคนสามารถพิสูจน์และทดลองได้ด้วยตนเอง ผู้ที่ยอมกินยานี้ ย่อมสงบในจิตและหยุดความทุกข์ จากความคิดทั้งปวงได้ และเห็นผลอย่างแน่นอน เพราะโรคทุกข์ก็คือ "โรคที่มีอยู่ในใจของเราๆท่านๆนั้นเอง...
    ที่มา ธรรมะขององค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ทุกข์ เพราะไม่ได้ตามความอยาก
    สุข เพราะคิดว่า สําเร็จ สมหวัง
    แต่ทั้งสองอย่างไม่ได้ตั้งอยู่นาน และตลอดไป
    ความผิดหวังจึงมาเยีอน
    ทุกๆอย่างจําต้องเปลี่ยนไปมา สลับเปลี่ยน หมุนเวียน
    เป็นความจริงที่ลบออกไม่ได้...

    ที่มา ธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  6. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า: “โย ภิกขเว มํ อุปฏฐเหยย โส คิลานํ อุปฏฐเหยย”
    "ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้"

    การให้การพยาบาลหรือบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของพระสงฆ์ เท่ากับการได้อุปัฏฐากพระพุทธองค์เลยทีเดียว
    ตามความเชื่อผู้คนส่วนมากแล้วมึความเชื่อและศรัทธาว่า " ถ้าหากผู้ใดที่ได้ถวายอาหารหรือสิ่งของต่อพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญที่เกิดจากการถวายทานนั้น มีอานิสสงส์มากจริงๆ ถึงขนาดผู้นั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้เป็นสาวก หรือ อัครสาวก หรือ ปราถนาพุทธภูมิ ก็ได้สมดังใจปรารถนาเลย"

    ตามพระพุทธดำรัสที่กล่าวมาข้างต้นนั้น การที่เราดูแลช่วยเหลือปรนิบัติต่อพระภิกษุผู้อาพาธ เท่ากับว่าเราได้สร้างกุศลต่อพระพุทธองค์โดยตรงเลยทีเดียว ดังนี้ ผลบุญมหาศาลจักบังเกิดขึ้นแก่เราผู้ได้ปรนนิบัติอุปัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ผู้อาพาธ เปรียบเสมือนเราได้ถวายทานต่อพระพุทธเจ้านั่นเอง

    ดังนั้น การที่เรามีโอกาสหรือตั้งใจที่จะปรนิบัติดูแลช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์ที่ป่วยไข้ อาพาธ แล้วเราน้อมจิตของเราระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะส่งผลต่อจิตใจอันเป็นกุศลเป็นอย่างมาก และอานิสสงส์ดังกล่าวนั้น บุญจากการอุปัฏฐากพระพุทธองค์ย่อมมีกำลังกุศลมหาศาล หากตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เราเจริญในธรรมในพระศาสนาของพระพุทธองค์แล้ว กำลังแห่งความตั้งใจนั้นก็ย่อมมีมากมาย และส่งผลให้เราก้าวหน้าในธรรม มีพละและอินทรีย์ เพื่อความหลุดพ้นในโอกาสภายหน้าได้เป็นแน่แท้ เหตุดังนั้น พวกเราอย่ามัวประมาทอยู่เลย พึงกระทำมหากุศลดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ครอบครัว และสหธรรมิกของเราโดยพลัน ฯ
    อานิสงส์การบริจาคเงินบำรุงภิกษุสามเณรอาพาธ

    ๑. ชื่อว่าเสมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด"
    ๒. อกุศลกรรมในอดีตชาติ จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ถือเป็นการสเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งได้
    ๓. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ เมื่อได้รับส่วนบุญนี้จะเลิกจองเวรจองกรรม ช่วยให้พ้นเวรพ้นกรรม
    ๔. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เทวดารักษา สรรพวิญญาณเมตตาปราณี
    ๕. เหล่าวิญญาณร้ายไม่อาจเบียดเบียนบีฑาได้
    ๖. จิตใจสงบร่มเย็น ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี มีสง่าราศีผ่องใส สุขภาพเเข็งเเรง กิจการงานเป็นมงคลแก่ ตัว อายุยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
    ๗. คุณธรรมเจริญมั่นคง ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปัญญาเกิด
    ๘. ไม่พลัดพรากจากคนรัก ของรัก ก่อนเวลาอันควร
    ๙. ชื่อว่าได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน
    ๑๐. ถือเป็นการทำสังฆทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการถวายการอุปัฏฐากบำรุงแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก
    ๑๑. จะไม่ไร้ญาติขาดมิตร เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคนคอยดูเเล ไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว
    ๑๒. มีเดชบารมีมาก มียศวาสนา เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครข่มขี่เบียดเบียนได้
    ๑๓. จะเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง ไปที่ใดจะมีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ไม่ถูกปล่อยให้ขัดข้องในเรื่องทั้งปวง
    ๑๔. จะมีสมบัติมาก และสมบัติจะไม่ถูกทำลายโดยราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ
    ๑๕. จะได้พบพระอริยสงฆ์ ได้พบพระอรหันต์ ได้พบพระดี ได้พบพระเครื่องพระบูชาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เจอพระปลอม ไม่เจอพระเก๊ พระทุศีล
    ๑๖. จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า และเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายดาย
    ๑๗. จะได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ทรงคุณธรรม
    ๑๘. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้จะเป็นปัจจัยแก่สวรรค์และนิพพาน
    ๑๙. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้ สามารถอธิษฐานให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระมหาสาวก พระอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้

    ที่มาfb ธรรมะเป็นธรรมทานโดยพระอาจารย์พระอ๊อด วัดสันติวงศาราม เบอร์บิ่งแฮม
    ขอน้อมกราบพระอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ
     
  7. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    ปรารถนาให้สังคมไทยมีวัดในพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลาง
    ไม่ใช่มีfacebookเป็นศูนย์กลาง
     
  8. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937







    สาธุ... ลูกกราบหลวงพ่อโตและหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
    เมื่อหลายวันก่อนฝันเป็นปกติ
    ฝันได้ทุกแบบ ทุกเรื่อง
    แต่มีอย่างนึงที่เกิดมาไม่เคยฝันเห็นเลยคือ ฝันเห็นพระ
    ฝันว่าหนีคนไม่ดีที่มาทำร้ายเรา และมีคนมาช่วย
    จากนั้นคนที่ช่วยเขาขับรถมารับเรา
    เราเลยบอกให้ไปที่ที่แห่งหนึ่ง จำไม่ได้ว่าที่ไหน
    แต่น่าจะเป็นศาลาหรืออาศรม
    เราอยู่กันที่นั่นสองคน และเดินเข้าไปในศาลา
    เห็นภาพถ่ายพระอริยสงฆ์ ๕ รูป
    มีหลวงปู่ทวด หลวงพ่อโต หลวงพ่อฤาษีฯ หลวงปู่เทพโลกอุดร และหลวงพ่อสด
    ภาพนั้นเป็นภาพวาด เก่ามาก เราก็กำหนดจิตระลึกถึงท่านตามที่ได้ฝึกมา
    (จิตเกาะพระ)
    ก็มองผ่านภาพวาดนั้นไป เหมือนเห็นเป็นภาพกายเนื้อของท่านจริงๆ
    จนมาหยุดที่ภาพหลวงพ่อสด มองภาพท่านก็เหมือนตัวท่านออกมาจากภาพนั้นจริงๆ
    แล้วก็เป็นจริงๆ หลวงพ่อออกมายิ้มให้ หลวงพ่อสอนเราและผู้ที่มาช่วยเราหลายๆ อย่าง
    โดยเฉพาะเรื่องสติและอริยสัจ ... จนเราตื่น..

    ที่เล่าให้อ่านนี่...พอดีเห็นภาพหลวงพ่อท่านในฝันค่ะ
    นึกขึ้นได้เลยแวะมาเล่านิดหน่อย
    ปกติไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ก็นับว่าเป็นกำลังใจที่ดีพอควร
    ที่เรายังได้ฝันถึงพระอยู่บ้าง เรายังอยู่ในความดีอยู่บ้าง
    เลยได้อาราธนาพระอริยสงฆ์ทั้ง ๕ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา...

    "มาคิดถึงพระกันนะคะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013
  9. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ช่วงนี้พี่น้องทั้งหลายก็ได้เจอข้อสอบกันเยอะ ทั้งข้อสอบย่อย ข้อสอบใหญ่
    อย่างไรก็ขอให้ตั้งสติ อยู่ในไตรลักษณ์ และอริยสัจ เป็นเบื้องต้นให้ได้กันนะคะ
    โดยเฉพาะสติ ถ้าหลุดเมื่อไร ก็รีบวางเรื่องราวทั้งหลายลงก่อน
    หายใจเข้าลึกๆ แล้วนับหนึ่งใหม่ กลับมาตั้งสติใหม่อีกครั้ง


    สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราล้วนมีที่มาค่ะ อย่าสงสัยว่ามาได้ยังไง
    เพราะถ้าเราเกิดอยูในสามโลกนี้ ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องกรรม ... ฮ่าๆ
    กรรมดี กรรมเลว กรรมน้อย กรรมใหญ่ ฯลฯ
    สารพัดจะมีมา... หลายภพชาติ


    ขอให้เรารักษากำลังใจและนึกถึงเป้าหมายในชีวิตของเราไว้
    คิดถึงพระ อยู่กับพระ ตั้งสติ และดูเหตุแห่งกรรมนั้นให้ชัดกันนะคะ
    ชัดที่เรา เห็นที่เรา แล้วก็จบที่เรา
    กรรมทั้งหลายที่ผ่านมานั้น สามารถจบได้ที่ตัวเราตั้งแต่ตอน
    อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ตัวเรานั้นขอให้เป็นผู้วาง ผู้จบลงให้ได้เสียก่อน
    ใจเรา จิตเราวางลง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ
    แต่ถ้าใจทุกข์ไปตามกระแส ก็มีแต่จะแย่ลง


    ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ
    ความพยายามอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นได้ที่ใจเรา
    เรามีทุกวันนี้ก็ด้วยตัวเราเอง จะเดินหน้าหรือถอยหลัง
    เราเท่านั้นที่กำหนดทางเป็นไปของเรา
    ด้วย "ศีล สมาธิ ปัญญา"ของเรานั้นเอง


    และแม้ว่า "กรรม" อาจจะทำให้เกิด "ภัยพิบัติ" ทางใจได้
    ก็ขอให้เราได้ยอมรับหรือเข้าใจในกฏธรรมชาติสักหนึ่งข้อ
    ว่าตอนนี้เราเป็นคน อย่างไรก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของกรรม
    กรรมที่เกิดมานี้เป็นธรรมดาของโลก
    อยู่กับโลก ก็ต้องเข้าใจโลกแล้วปล่อยวาง
    ส่วนจิตเรานั้นพยายามให้ออกห่างจากกระแสโลก
    คิดถึงพระกันเถอะค่ะ...



    คิดถึงพระวันละนึดจิตแจ่มใส
    คิดถึงสิ่งดีดี จะไร้ภัย
    คิดถึงใดใด ในโลก ล้วนทุกข์ทน


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    บุคลมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นประเสริฐ

    -สำเร็จแล้วด้วยใจ บุคคลอยู่ได้ด้วยพลังจิต

    ...ซึ่งเกิดจากพลังศรัทธา...พลังปัญญา พลังวิริยะ พลังสมาธิ พลังสติ...

    -คนที่ออดๆ แอดๆ ขาดกำลังใจ ขาดกำลังภายใน

    ...เราควรปลุกตัวศรัทธาให้เกิดขึ้น...

    ...ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...

    ...ศรัทธาในการปฏิบัติธรรม สร้างวิริยะ...

    ...ควรหวัง ควรมองเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ คือ "ความหลุดพ้นจากทุกข์"...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของพระธรรมมังคลาจารย์ หลวงปู่ทอง ...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "..เรามาคนเดียว ไปคนเดียว ทั้งสากลโลก
    คนทั้งหลาย ไปคนเดียวทั้งนั้น ไม่มีคู่ ๒ เลย
    จะเห็นว่า ลูกสักคนหนึ่ง ก็ไม่มี
    สามีสักคนหนึ่ง ก็ไม่มี
    ภรรยาสักคนหนึ่ง ก็ไม่มี

    ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป
    ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด

    ขอให้ไป อย่างได้ "กำไร"
    หมั่นเพียร บำเพ็ญภาวนา
    ต้องทำเสมอ ทำเนืองๆ ในทุกอิริยาบถ
    อย่าทอดทิ้ง อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าไปเรื่อยไป
    "ผล" จะเกิดวันหนึ่ง ไม่ต้องสงสัย
    ผลเกิดอย่างไร ท่านรู้ได้ ตัวของท่านเอง.."


    ((พระธรรมคำสอน…หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ)
    )​
     
  12. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "ทาน ศีล ภาวนา"


    เมื่อเดินทางสายกลางแล้วเราควรทำทุกอย่างให้พอดี หรือเสมอกัน
    ไม่เน้นอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เช่น
    เน้นทำทานมาก มีงานบุญที่ไหนร่วมบุญด้วยหมด แม้เล็กน้อยก็ยังดี
    ตรงนี้ที่มีจิตใจมีเมตตา มีทานบารมี
    แต่...ใจเรานั้นก็ย่อมต้องมี "ศีล" และมีการ "ภาวนา" ด้วยเช่นกัน


    หรือบางคนเคร่งเรื่องศีลมาก ระวังทุกอย่าง แต่ไม่เคยให้ทานใคร
    หรือให้ก็น้อยครั้ง นี่ก็ยังถือว่าขาดอย่าง เกินอย่าง
    หรือแม้กระทั่งมากที่สุด คือ เรามักจะเน้นให้ทานและถือศีลมาก
    แต่ไม่มีการภาวนา ซึ่งการภาวนานี้ก็ย่อมต้องอยู่ในกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เอาไว้
    ภาวนาอย่างไร ก้าวหน้ากันไหมก็ขอให้ดูที่จิตตนเอง ว่าจิตตนเองทุกวันนี้เป็นอย่างไร


    บัดนี้เราเองก็รู้มาพอสมควรแล้ว เรารู้จักศีลมาตั้งแต่เด็กว่ามีกี่ข้อ
    เรารู้หลักหลายๆ อย่างในพระพุทธศาสนา
    แต่เรายังทำได้ไม่ครบ หรือทำไม่ได้ ไม่สำเร็จ ฯลฯ
    แล้วเมื่อไรจะถึงเวลา?
    ก็ต่อเมื่อกำลังใจเราพร้อม ถ้าเราตั้งใจดูจิต มีศีล มีสมาธิ เพื่อให้ได้มีปัญญา
    ทุกสิ่งทุกอย่างจิตก็จะค่อยๆ เรียนรู้ไปเอง แต่ขออย่าออกห่างความดีเป็นพอ
    และที่สำคัญคือ "สติ" เพื่อนยากของจิตที่ขาดไม่ได้


    มีทาน ศีล ภาวนา
    มีศีล สมาธิ ปัญญา
    แล้วมีอะไรอีก??


    "ปริยัติ (อ่าน-รู้ หลักมาพอสมควร),
    ปฏิบัติ (ลงมือ),
    ปฏิเวธ (ผลการปฏิบัตินั้น)"


    ถามตัวเองว่าเบื่อทุกข์หรือยัง
    ลองพยายามดูกันสักตั้งนะคะ
    ลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้
    มีศีลอยู่ในใจ (ไม่ใช่แค่กายนะ!) ก็เท่ากับถือศีลนั้นด้วยกายและใจ
    มีพระอยู่ในใจ - ก็เท่ากับภาวนาทั้งกายและใจ ไปไหนก็คิดถึงพระ
    และก็สร้างทานบารมีบ่อยๆ ... อย่างการแผ่เมตตาก็เหมือนกันการให้ทานนะคะ
    ไม่ใช่แค่ทำทานด้วยทรัพย์ อภัยทานก็มี เมตตาทานก็มี
    วันไหนเราไม่พร้อมเรื่องทรัพย์ ไม่มีเวลาทำบุญให้ใคร หรือเห็นขอทานที่ไหน เราไม่มีอะไรให้
    ก็ขอให้นึกถึงบุญบารมีที่เราได้เคยทำทุกภพชาตินั้น นำโดยบารมีของพระส่งไปให้เขาแทนได้เช่นกัน นี่ก็ถือว่าเป็นทาน
    การทำทานต้อง "สำเร็จที่ใจ" ก่อน อย่าสักแต่ว่าให้
    ต้องสุขใจตอนก่อนทำ-ขณะทำ-หลังทำทานนั้นแล้ว
    นี่ถือว่าสำเร็จไปอีกก้าว...



    "รักษาศีล รักษาใจเราไว้ให้ได้นะคะ
    ทาน ศีล ภาวนา ก็พยายามเจริญให้ครบองก์"






    อ่านธรรมทาน "ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี" คลิกที่นี่ ​




    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013
  13. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]


    ข้างในก็ร้อน ข้างนอกก็ร้อน
    นอกประเทศก็ร้อน ในไทยก็ร้อน
    แต่จะร้อนหรือหนาวนั้นก็เป็นธรรมดาของโลก
    จะสงบสุข หรือจะเกิดภัยก็เป็นธรรมดาของโลก
    แม้แต่ "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ก็ย่อมเป็นธรรมดาของโลก
    ไม่มีใครหนีอะไรพ้น ทุกอย่างจะเข้ามาและผ่านไป
    ทุกอย่างจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามกาลเวลา


    ดับช้า ดับเร็วก็ต้องดับ
    ร้อนช้า ร้อนแล้วก็ต้องร้อน
    พอร้อนแล้วก็จะเย็น พอเย็นแล้วก็จะร้อนต่อไปไม่รู้จบเป็นวัฏจักร
    เหมือนกรรมของเรา เหมือนจิตของเราที่เกิด-ดับ, เกิด-ดับ ตลอดเวลา
    แต่จะมีใครมาดู "ความเกิด-ดับในจิตตนเองบ้าง?"
    อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะหันมาสนใจกันให้มาก
    บ้านเมืองเขาจะเป็นอย่างไร รักษาใจเราเอาไว้ให้ได้ก่อน



    การรักษาศีลก็มีหลายขั้น ถึงขั้นต้น กลาง สูง
    รักษาทั้งในกายและใจของเรา
    จะคิดสิ่งใด จะทำสิ่งใดจึงจะต้องดูใจตนให้มาก
    ระวังศีลของเราให้มาก
    อย่าเพิ่งไปเรียกร้องให้โลกเป็นไปอย่างไร
    เพราะหากตัวเราเองยังไม่เข้าใจความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติของโลก
    เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไร หรือสั่งอะไรให้เป็นไปตามใจเราได้


    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนได้คือใจเรา
    จิตของเรามันเปลี่ยนได้
    จะเลือกร้อน เลือกหนาว ก็เลือกไป
    แต่จะให้ดีก็สงบเข้าไว้ก็เป็นดีที่สุด
    ข่าวสารบ้านเมือง มีภัยจากมนุษย์ ภัยจากธรรมชาติทั้งหลายมีเข้ามาก็ผ่านไป
    ขอให้เราทำใจนิ่งๆ สงบๆ ไว้ แม้มีปัญหาเข้ามาในชีวิตก็จะผ่านได้ในที่สุด
    "เมื่อใจเราสงบ ก็สยบทุกปัญหา
    แต่ถ้าใจเราเมื่อยล้า ปัญหาก็เข้ามาสิงใจ"



    แยก (หน้าที่) กาย - แยก (หน้าที่) จิต
    ให้ดีว่าสิ่งใดควรทำอะไร อย่างไร





    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    การบวชชีพราหมณ์ ....
    โดย
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

    ผู้ถาม :- "ลูกได้บวชชีพราหมณ์มา ๗ ครั้ง ๆ ละ ๓ วัน
    พระท่านเทศน์ว่าการบวชชีพราหมณ์จะได้อานิสงส์มาก
    อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า อานิสงส์จะได้สักประมาณเท่าไรเจ้าคะ...?"

    หลวงพ่อ :- "บวชชีพราหมณ์ บวชชีพุทธ บวชชีเจ๊ก ก็เหมือนกันแหละ
    มันอยู่ที่เรารักษาศีลบริสุทธิ์ไหม...
    เขาให้ชื่อว่าบวชชีพราหมณ์ ก็หมายความว่าไม่ต้องโกนหัว
    ศัพท์นี้ท่านวิริยังค์ท่านตั้งขึ้น ไม่ผิดอะไรหรอก

    คือว่าในอันดับแรก เรารักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ รักษาได้ดีขนาดไหน...
    ถ้ารักษาได้ดี ถือว่าเป็นผู้ทรงสีลานุสสติกรรมฐาน ได้เป็นอันดับหนึ่ง

    และประการที่ ๒ ขณะที่บวชชีพราหมณ์ เราสามารถระงับ "นิวรณ์"
    ไหวไหม...เรากังวลใจมากหรือเปล่า…
    บางขณะไม่กวนใจเลย ขณะนั้นเป็นปฐมฌาน
    และหลังจากนั้นมีปีติ มีความเอิบอิ่มก็เป็นทุติยฌาน คือ ฌาน ๒
    ต่อไปถ้าจิตสงัดดีมาก เวลาภาวนาอยู่ได้ยินเสียงภายนอกเบา
    จิตทรงอารมณ์ดี เวลานั้นเป็นฌานที่ ๓
    ต่อไปไม่รู้ลมหายใจเข้าออก จิตโพรงสว่างเป็นฌานที่ ๔
    แบบนี้เป็นฌานสมาบัติ

    เวลาที่บวชชีพราหมณ์ บวชมาแล้วกี่ครั้งก็ตาม
    ถ้าจิตสามารถทรงอารมณ์ได้ ๓ ประการ คือ
    ๑.เห็นว่าร่างกายจะต้องตาย
    ๒.เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓.ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์
    และแถมอีกนิดหนึ่ง "มีนิพพานเป็นอารมณ์" อย่างนี้เขาเรียก "พระโสดาบัน"


    ผู้ถาม :- "อย่างนี้ถ้าไม่ไปวัด จะบวชที่บ้านได้ไหมครับ?"

    หลวงพ่อ :- "ได้"

    ผู้ถาม :- "ไม่ต้องนุ่งขาว ห่มขาว หรือครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "นุ่งเขียวได้ ใส่แดงได้ คือว่ามันอยู่ที่การรักษาศีล
    เป็นอันดับแรกนะ รักษาศีล ก็ได้อานิสงส์ของศีล

    ๑. สีเลนะ สุคติง ยันติ เรามีศีล ใจเราก็เป็นสุขในปัจจุบัน ตายแล้วเราก็เป็นสุข
    ๒.สีเลนะ โภคสัมปทา ถ้ามีศีลแล้ว ทรัพย์มันไม่เปลือง
    ๓.สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลทำให้อารมณ์สงบ คือดับจากกิเลสชั่วคราวนะ


    นี่อานิสงส์ของศีลนะ แล้วมีสมาธิไหมล่ะ...?
    ถ้ามีสมาธิตัดอารมณ์นิวรณ์ได้ ก็มีอานิสงส์สูงขึ้นไป
    ถ้าเป็นฌานสมาบัติก็เป็นขั้นของพรหม
    ถ้าหากว่าเรามีจิตนิยมการตัดสังโยชน์ เป็นพระอริยเจ้าเป็นขั้นๆ อยู่วัดก็ได้
    ถ้าไปอยู่วัดออกมาด่ามากกว่าเก่าก็ลงนรก"

    ผู้ถาม :- "เพิ่ม ๒ เท่าหรือครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "หลายเท่า มีโยมคนหนึ่ง แกไปประชุมพุทธสมาคมที่วัด
    เสร็จแล้วแกยังไม่กลับ แกบอกว่าเคยเข้ากุฏิกับเขา
    เขาเข้ากัน ๑ เดือน แกเข้า ๑๓ เดือน
    กลับออกมาแกบอกว่ากิเลสมากขึ้นกว่าเดิม ถามว่าทำไมล่ะ... แกบอกว่ากลุ้ม

    "แต่นี่อยู่ที่ใจนะ คือว่าจะบวชที่บ้านหรือที่วัดก็ได้
    ถือการรักษาศีลดีกว่านะ ถ้าที่บ้านรักษาแค่ศีล ๕ ก็พอ
    เมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ทรงสมาธิ สมาธิก็อย่าเคี่ยวเข็ญให้มันมาก
    เอาแค่จิตสบาย ข้อสำคัญ สังโยชน์ ๓ ละให้ได้
    "

    Cr...FB Bhuddhasattha​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013
  15. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]


    ฝากภาพพระสำหรับพุทธานุสสติ + กสิณให้ทุกท่านได้ระลึกกันค่ะ
     
  16. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    จะเช้าแล้ว ขอเสิร์ฟอาหารเช้าทุกท่านเลยแล้วกันนะคะ
    เลือกทานตามใจกายได้เลยค่ะ ... คิคิ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]










    หมูขอตัวไปนอนก่อนนะคะ... ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
    เมี๊ยวววว...


    [​IMG]
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444


    Welcome back ...Kim_UoonSo....​



    มาคราวนี้ จัดเต็ม ดูเข้มจัง ...
    มาพร้อมคำคม ภิรมย์จิต
    ชวนให้คิดพิศวงปนสงสัย ?????
    ไม่เป็นไร...เรา.. เตรียมจิตพร้อมฯ รับภัยเสมอจ้า...

    น้อง ลูกหว้า....
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    "กมฺมุนา วตฺตตีโลโก"
    ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


    ธรรม หรือคำกล่าวนี้เป็นจริงทุกประการ ไม่มีผู้ใดเถียงสักคำเดียว
    นี่ก็คือ..ผลแห่งกรรม
    แต่ขอให้มองย้อนกลับไปก่อนที่เราจะต้องเป็นไปตามวาระกรรมนั้นๆ
    นั่นก็คือ..เหตุแห่งกรรม
    ตรงนี้แหล่ะสำคัญกว่าผล ถึงอยากให้มองลึกๆลงไปที่เหตุ

    แล้วใครเป็นผู้ที่สั่งให้ตนเองทำ พูดหรือคิด ถ้ามิใช่จิต
    แล้วอะไรไปสั่งจิต ถ้ามิใช่กิเลสตน
    อย่าลืม ถ้าผู้ใดมิได้ฝึกจิตมาดี อาทิเช่น พระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ จิตย่อมกลายเป็นกิเลสแน่
    เหมือนเนื้อเหล็กกับสนิม ใหม่ๆก็พอจะแยกแยะออกว่า..อันไหนเนื้อเหล็ก อันไหนสนิม
    แต่ถ้าสนิมกัดกินเนื้อเหล็กไปนานเข้า จากเนื้อเหล็กก็จะกลายเป็นสนิมทั้งหมดได้
    จิตใจของคนเราก็เช่นกัน ถึงใครๆว่าธรรมชาติแห่งจิตนั้นมันดีก็จริงอยู่
    แต่ถ้าปล่อยให้กิเลสกัดกินจิตเหมือนดั่งสนิมกินเนื้อเหล็กไปนานๆเข้า
    จิตก็จะกลายเป็นกิเลสดีๆนี่เอง

    จริงอยู่ จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ความสำเร็จก็ขึ้นอยู่กับจิตตนทั้งนั้น
    เมื่อจิตผู้ใดกลายเป็นกิเลสเต็มตัวเสียแล้วจะให้ผลของกรรมมันออกมาดีได้อย่างไร

    ก่อนหน้านี้ เป็นจิตประภัสสรก็จริง แต่จิตประภัสสรนั้นก็เปรียบเสมือนเด็กดีๆนี่เอง
    จิตประภัสสร แปลว่า จิตบริสุทธิ์ แต่มิได้หมายความว่า จิตหลุดพ้นหรือวิมุตติ
    ขออนุญาตยกตัวอย่าง มิได้ตั้งใจจะเปรียบเทียบจิตผู้ใด
    ถามว่า..จิตปุถุชนกับจิตอริยบุคคล จิตไหนมีวิชั่นไกลกว่ากัน หรือมีสติปัญญามากกว่ากัน
    ทุกท่านก็ตอบได้หมด
    เพราะจิตมีปัญญาแค่ไหน ย่อมรู้เท่านั้น นี่คือความจริง

    ปล. ปัญญาทางธรรม มิใช่ปัญญาทางโลก
    ปัญญาทางโลกมักถกเถียงกัน หาข้อสรุปมิได้ ปลายทางเห็นมีแต่ทุกข์อย่างเดียว
    เพราะไปสร้างกรรมเพิ่ม หรือสร้างกรรมต่อเนื่องซึ่งกันและกันโดยมิรู้ตัว
    แต่ปัญญาทางธรรมนั้น จบที่ตนเอง จิตรู้และเข้าใจโดยมิต้องหาเหตุผลมาธิบายให้เมื่อย
    ภาษาจิต มิใช่ภาษาสมมุติ ถ้าจิตมีปัญญาแล้วย่อมรู้ด้วยเฉพาะตน ไม่ต้องไปถามผู้ใด ไม่ต้องไปตามหาเหตุผล
    ภาษาจิต เป็นภาษารู้ลึก รู้กว้าง รู้หลายมิติ มิใช่รู้แค่อายตนะเท่านั้น
    แต่เรื่องปัจจัตตัง หรืออกาลิโกมากเกินไป เล่าให้กันฟังทั่วไปก็ไม่ได้อีก
    มาให้ถึง จิตใกล้เคียงกันถึงจะรู้กันหรือสื่อเข้าใจกันได้ โดยมิต้องใช้ภาษาสมมุติหรือใช้เครื่องสื่อสารทางโลก
    จ้างก็ไม่บอกว่า รู้แค่ไหน ถึงจะรู้หรือสื่อสารทางจิตกันได้ ทำไป ปฎิบัติไป ดูจิตตนให้มากเข้าไว้

    ขอยกความหมายของว่า...นิพพาน
    คำว่า นิพพาน มิใช่ภาษาสมมุติ ถึงพยายามจะพูดให้เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
    เพราะคำว่านิพพานนั้น เป็นภาษาจิต หรือภาษาปฎิบัติจนหลุดพ้นจึงจะเข้าใจความหมายหรือรสชาดของมันดี
    ถามว่า..เราจะรู้ได้ตอนไหน เมื่อไหร่ รู้มากหรือรู้น้อย
    ตอบว่า..เมื่อจิตของเรามีปัญญา ปัญญามากก็รู้มาก ปัญญาน้อยก็รู้น้อย

    เพราะฉะนั้น ผู้เจริญทั้งหลายย่อมไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมแน่
    แต่กรรมที่กำลังส่งผลในปัจจุบันนี้ มิใช่กรรมครั้งในอดีตหรอกหรือ
    แต่กรรมในปัจจุบันไม่มีผู้ใดจะไปเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
    โดยเฉพาะกรรมไม่ดี อย่านำจิตไปปักเด็ดขาด ให้อภัยตนก่อนหมดลมหายใจ เพราะเกิดหลายชาติก็ผิดพลาดนับชาติไม่ถ้วน
    ขอให้ทำใจสงบนิ่งและยอมรับกรรมในปัจจุบันให้ได้ อย่าพยายามหลบหนี ถึงหนีก็ไม่พ้น ตั้งหน้ารับกรรม ตั้งใจรับกรรมไปเดี๋ยวก็ดีเอง
    เพราะอย่างน้อยเราก็จะได้ชดใช้กรรมเขาไป มันจะได้จบสิ้นกันไวๆ

    อดีตสำคัญกว่าอนาคตอย่างนั้นหรือ?
    อดีตปล่อยทิ้งไป สนใจแต่อนาคต
    แต่กรรมหรือสิ่งที่ตนกำลังคิดพูดทำในปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด เพราะนั่นหมายถึงอนาคตของตนจะดีหรือไม่
    จบ...
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติไม่เที่ยง
    ตัวจิตเองก็ยังไม่เที่ยง

    ยกเว้น จิตพระอรหันต์ หรือจิตที่หนีเข้าวิมุุตติไปแล้ว

    เมื่อก่อน..จิตใจเราก็ไม่ต่างกับบุคคลทั่วๆไป ที่เขาเรียกว่า คนทางโลก
    ตอนนี้..เข้าใจแล้ว รู้แล้ว เงียบไปเลย รู้ เข้าใจและยอมรับโดยไม่ต้องการเหตุผลมาอ้างอิง
    ขอให้จิตเราเข้าถึงตัวปัญญาให้ได้ก็แล้วกัน

    เมื่อก่อน..คิดตนเองดี หลงไปสอนผู้อื่น หลงไปด่าว่าหรือตำหนิผู้อื่น
    ตอนนี้ เห็นมีแค่พระกรรมฐานเท่านั้น ที่พอจะเปลี่ยนจิตใจตนเองได้
    นอกนั้นไม่มี

    เดี๋ยวนี้เลิกดูผู้อื่น เลิกสนใจสิ่งอื่น เลิกว่าหรือตำหนิผู้อื่น
    หันกลับมาดูจิตตนให้มาก พยายามตำหนิตนอยู่เสมอ
    ตราบใดที่เรายังมีขันธ์๕ ยังไงๆก็ถือว่ายังเลว ยังไม่บริสุทธิ์อยู่
    อย่าไปคิดตนเองดีเสมอ คิดเมื่อไหร่ เราก็เลวเมื่อนั้น
    คอยเตือนจิตตนบ่อยๆ ส่วนผู้ใดจะดีหรือชั่วก็ไม่เกี่ยวกับมรรคผลของตน

    ตราบใดจิตคนเรายังไม่เข้าวิมุตติ เผลอสติเมื่อไหร่ กิเลสก็พาจิตลงต่ำเมื่อนั้น
    ก็ลองเผลอสติกันบ่อยๆดูสิ
    เมื่อสติไม่มี ปัญญาก็ไม่มี ปัญญาหมดก็ไม่ต่างกับคนโง่เขลา
    จิตมีปัญญาเมื่อไหร่ เราก็รู้หรือถึงบางอ้อกันเมื่อนั้น

    สตินี่เผลอไม่ได้ จิตก็เผลอไม่ได้เช่นกัน
    โดยเฉพาะนักภาวนา ถ้าสติไปทางนึง จิตไปทางนึง ก็เสร็จเมื่อนั้น
    นักภาวนาที่ดีย่อมต้องทรงอารมณ์เดียว หรือการสำรวมจิต
    คอยสังเกตให้ดี ในขณะที่จิตรวม(สำรวมจิต) ทั้งสติ ทั้งศีลก็มีอยู่กันครบถ้วนเลย

    ขอฝากของดีสำหรับผู้ที่ยังมีทุกข์ วุ่นวาย หรือหาความสุขไม่ได้เลย
    อานิสงส์ทำจิตตนนิ่งได้นั่นก็คือ ความสุขภายใน หรือความสุขที่แท้จริง
    ที่ใครๆก็ตามหากัน พบเจอบ้าง ไม่พบเจอบ้าง เหมือนมีอะไรบางสิ่งบดบังตาหรือใจตน
    มีความศรัทธาเพียงอย่างเดียวก็ไปไม่รอด ต้องมีความเพียรด้วยจึงจะพบความสุขที่ว่านี้ได้
    หาจิต หาดวงจิตตนให้พบเจอก่อน จิตนิ่งนั่นก็แสดงว่า มองเห็นจิตตนรำไรๆแล้ว
    หาจิตตนเจอเมื่อไหร่ ก็หาผงเข้าตาพบเมื่อนั้น หรือมองเห็นทุกข์ของตนมีอยู่จริงๆ
    เมื่อจิตนิ่งมาก จิตก็จะมีปัญญา เมื่อจิตมีปัญญาหรือตัวรู้เมื่อใด จิตก็จะมองเห็นตัวทุกข์ตนชัดเจนเมื่อนั้น
    เมื่อจิตพบเจอกับความทุกข์แล้ว เดี๋ยวจิตก็จะรู้หรือหาวิธีออกจากทุกข์ตนได้เอง
    เมื่อจิตปัญญาปลอยวางทุกข์ซะได้ เราก็จะเบาหรือสบายใจเมื่อนั้นแหล่ะ


    ปล.ขอให้ทุกท่านพบเจอตัวปัญญาของตนเองไวๆด้วยเทอญ...สาธุ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถามว่า...
    ทำไมต้องปฎิบัติธรรม
    หรือเจริญพระกรรมฐาน..ทำไม


    ตอบว่า...จะได้รู้ความเป็นไป-มาของตนหรือจิตตนเอง แล้วจะทำอะไร อย่างไรต่อไป
    อยากไร้ทุกข์เติมสุขกันไหมหล่ะ ก็รีบลงมือปฎิบัติไวๆ
    อยู่กับตัวทุกข์ก็คือขันธ์๕ หรือร่างกายเรา แบบสบายๆ โดยมิต้องไปแบกทุกข์อีกต่อไป
    การปฎิบัติธรรมถือเป็นบุญใหญ่หลวง

    ที่เหลือ..ก็ให้คนอื่นช่วยกันคิด ช่วยกันตอบบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าเราเก่งอยู่คนเดียว
    เกิดเป็นคนเหมือนกันก็เก่งเท่ากันหมด อย่าไปเก่งกว่ากันเลย แต่ขอให้เก่งออกจากทุกข์ตนเองให้ได้ดีกว่า
    โดยเฉพาะ แยกจิตออกมาจากขันธ์๕ ของตนเอง
    (ที่เมื่อก่อนคิดว่าขันธ์๕นี้เป็นเรา เป็นของเรา)

    อยากให้พวกเรา โดยเฉพาะคนไทย ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา
    หรือใช้ธรรมะนำหน้ามากกว่าใช้อารมณ์ เพราะหาที่หยุดมิได้ ปลายทางมีแต่ทุกข์ยากเข้าไปอีก
    เพราะทุกคนไม่รู้หรอกว่า ตนเองกำลังตกเป็นเหยื่อกิเลสแห่งตนโดยมิรู้ตัว

    ท่านเคยเห็นพระอรหันต์ทะเราะกันไหม เคยเห็นแต่ไม่หันทะเราะกันใช่ไหม
    นี่ไง สิ่งที่อยู่ข้างนอกจิตตนนั้น ไม่ดีเลย เพราะมันยุ่งดูวุ่นวายใจเหลือเกิน
    แต่ถ้าผู้ที่มีจิตถึงธรรมแล้วย่อมไม่ไปเดือดร้อนกับผู้ใดเป็นแน่
    เหตุที่พร่ำก็เพราะว่า อยากให้ทุกท่านแก้ปัญหาต่างๆด้วยสติและปัญญา
    เพราะผู้ใดที่เดินตามหลังพระพุทธเจ้า หรือปฎิบัติตามคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าย่อมพบแต่ความสุข
    พระธรรมหรือตัวแทนของพระศาสดาของพวกเราชาวพุทธทุกท่าน ไม่มีวันล่าสมัย
    ใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย ทุกเพศ ทุกวัย

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...