พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    คุณพันวฤทธิ์ครับ

    ผมจะฝากพระพิมพ์และเงินไปร่วมทำบุญด้วย ผมจะโทร.ไปหาอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ร่วมบุญบูชาผ้ายันต์และวัตถุมงคลแห่งวัดป่าโนนจ่าหอมเพื่อสร้างโบสถ์

    http://palungjit.org/showthread.php?t=69601&page=33


    <TABLE class=tborder id=post823779 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">20-11-2007, 11:31 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#643 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>นักเดินทาง<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_823779", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 09:25 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2005
    อายุ: 39 ปี
    ข้อความ: 1,146 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,519 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 8,556 ครั้ง ใน 1,073 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1095 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_823779 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->โมทนาสาธุกับทุกท่านที่เมตตาเกื้อกูลวัดป่าโนนจ่าหอมมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ขอบุญนั้นจงกลับคืนไปหาท่านเป็นร้อยเท่าพันทวี การก่อสร้างโบสถ์และสิ่งก่อสร้างภายในวัดยังต้องใช้เวลาและปัจจัยอีกมาก ขอท่านทั้งหลายโปรดสนับสนุนต่อไปจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ด้วย

    ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ผมบังเอิญผ่านเข้ามา ได้มีโอกาสช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ โดยสมัครใจ ตามกำลังของตัวเอง บุญใดที่เกิดขึ้นมานี้ขอจงไปถึงเทวดาที่ปกปักรักษาท่านและนายเวรของท่านทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายเมื่อรับบุญนี้ไปแล้ว ขอจงปกปักรักษาและช่วยเหลือเกื้อกูลท่านเหล่านั้นให้เจริญรุ่งเรือง ส่วนนายเวรของท่านทั้งหลายเมื่อรับบุญแล้ว ขอจงวางความโกรธ ความขุ่นเคือง ความแค้นทั้งหลายไปเถิด แล้วไปสู่ที่ ๆ ดีกว่า อย่าทรมานตัวเองเพราะเพราะความโกรธแค้นนั้นเลย การอโหสิกรรมเท่านั้นที่จะปลดปล่อยท่านได้

    แม้ตัวผมเอง หากได้เคยล่วงเกินท่านใด้ไว้ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ดี โดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอท่านทั้งหลายโปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วย หนทางนี้ยังอีกยาวไกลยิ่งนัก โชคดีครับทุกท่าน บ๊ายบาย
    <!-- / message --><!-- sig -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post825201 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 09:08 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#645 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>นักเดินทาง<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_825201", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 09:25 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2005
    อายุ: 39 ปี
    ข้อความ: 1,146 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,519 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 8,556 ครั้ง ใน 1,073 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1095 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_825201 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นักเดินทาง [​IMG]
    โมทนาสาธุกับทุกท่านที่เมตตาเกื้อกูลวัดป่าโนนจ่าหอมมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ขอบุญนั้นจงกลับคืนไปหาท่านเป็นร้อยเท่าพันทวี การก่อสร้างโบสถ์และสิ่งก่อสร้างภายในวัดยังต้องใช้เวลาและปัจจัยอีกมาก ขอท่านทั้งหลายโปรดสนับสนุนต่อไปจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ด้วย

    ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ผมบังเอิญผ่านเข้ามา ได้มีโอกาสช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ โดยสมัครใจ ตามกำลังของตัวเอง บุญใดที่เกิดขึ้นมานี้ขอจงไปถึงเทวดาที่ปกปักรักษาท่านและนายเวรของท่านทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายเมื่อรับบุญนี้ไปแล้ว ขอจงปกปักรักษาและช่วยเหลือเกื้อกูลท่านเหล่านั้นให้เจริญรุ่งเรือง ส่วนนายเวรของท่านทั้งหลายเมื่อรับบุญแล้ว ขอจงวางความโกรธ ความขุ่นเคือง ความแค้นทั้งหลายไปเถิด แล้วไปสู่ที่ ๆ ดีกว่า อย่าทรมานตัวเองเพราะเพราะความโกรธแค้นนั้นเลย การอโหสิกรรมเท่านั้นที่จะปลดปล่อยท่านได้

    แม้ตัวผมเอง หากได้เคยล่วงเกินท่านใด้ไว้ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ดี โดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอท่านทั้งหลายโปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วย หนทางนี้ยังอีกยาวไกลยิ่งนัก โชคดีครับทุกท่าน บ๊ายบาย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมหมายถึงบ๊ายบายจริง ๆ นะครับ ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เมตตาผมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน รวมถึงกระทู้อื่น ๆ งานบุญอื่น ๆ ที่ผ่านมาด้วยนะครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ ผมจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ แม้ชาติต่อ ๆ ไป จะไม่ลืมครับ(ถ้าทำได้) หากมีโอกาสคงได้เจอกันอีก โชคดีครับ ขอลาตรงนี้เลยครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขอนำบทความที่ "สันยาสี" เป็นผู้เขียน นำมาลงในกระทู้นี้ครับ

    http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=3&Id=509164

    พระสมเด็จวังหน้า ยอดพระเครื่องแผ่นดินสยาม

    คำนำ
    พระสมเด็จที่หลวงปู่โตปลุกเสก เป็นที่ใฝ่ฝันของนักสะสมพระหรือผู้ที่มุ่งหวังหาของศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองตัวเอง นึกแล้วก็จนใจ เพราะรู้ว่าพระสมเด็จเขาเช่ากันราคาหลายแสนหลายล้าน ใครจะมีปัญญาหามาครอบครองได้ แต่ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะรู้ว่า มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก พระสมเด็จที่หลวงปู่โตปลุกเสกอาจหาได้ยากจริง แต่มันไม่ได้แพงขนาดนั้น ถูกกว่าเครื่องรางของขลังของพระเกจิยุคปัจจุบันเสียอีก (ถ้าไม่เชื่อลองไปหานิตยสารพระเครื่องมาเปิดดูราคาเทียบดูได้) คนไหนมีบุญบารมี และตาถึงก็มักหาได้ง่าย ๆ ราคาถูก
    การเขียนหนังสือเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดเผยความลี้ลับดำมืดเกี่ยวกับพระสมเด็จวังหน้า ซึ่งคนนิยมพระยังคลางแคลงใจในกันอยู่ หรือบางท่านอาจไม่ทราบเลย ได้ยินแต่พระสมเด็จ ๆ ก็เลยนึกว่ามีแต่สมเด็จวัดระฆัง วัดบางขุนพรหม วัดใหม่อมตรส วัดศรีสุดาราม และวัดไชโย ที่มีราคาหลายแสนหลายล้านเท่านั้น ที่หลวงปู่โตได้ปลุกเสก

    ขอบพระคุณเป็นอย่างมากที่เจ้าของหนังสือที่ข้าพเจ้าเขียนดัชนีไว้ท้ายเล่มได้ลงแรงสติปัญญาและเวลาค้นคว้าเขียนไว้ ทำให้ข้าพเจ้าสะดวกต่อการค้นคว้า
    สันยาสี.
    ๖ กันยายน ๒๕๔๙
    sanyasi99@hotmail.com
    [​IMG]


    เรื่องของพระสมเด็จ

    โดยปกติผมไม่ใช่คนสนใจเครื่องรางของขลังมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่เคยแสวงหาสิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ต่อมายิ่งได้ฟังพระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล วัดป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ. เพชรบูรณ์ สอนเรื่องทำบุญให้เทวดา และภูตผีปีศาจ ยักษ์ ครุฑ นาค คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ และปีศาจเปรตทั้งหลาย ที่อยู่รอบตัวชิดใกล้กับเรา เมื่อเขาได้ดีมีสุข มีภพภูมิที่สูงขึ้น มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช เขาจะช่วยปกป้องคุ้มครองเราเอง ผมจึงรวบรวมและเรียบเรียงคำสอนของท่านพิมพ์ออกเผยแพร่ไปทั่วทุกหัวระแหง จนคนอื่น ๆ ได้รับแล้วก็พิมพ์แจกสืบ ๆ กันไป ขณะเดียวกันผมก็บันทึกซีดีและวีซีดี การแสดงธรรมของท่านแจกจ่ายไปไม่น้อยกว่าพันแผ่น คนฟังก็ชอบใจ บางคนนำไปปฏิบัติได้ผลก็บันทึกแจกต่อ ๆ กันไป ผมก็เป็นปลื้ม เพราะได้ทำให้คนตาสว่างขึ้น

    ต่อมา ผมมาเขียนบทความให้นิตยสารพุทธมหาเวท และหลาย ๆ ครั้งก็ติดตามเพื่อนไปวัดนั้นวัดนี้ และได้อ่านจดหมายที่คนเขียนเข้ามาที่สำนักพิมพ์ ทำให้ทราบว่า แท้จริงแล้ว คนที่แสวงหาเครื่องรางของขลังเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวมีมากมายเกินจะบรรยาย เครื่องรางบางชิ้นของอาจารย์ยุคปัจจุบันราคาหมื่นสองหมื่นเขาก็แสวงหากัน ทำให้ผมคิดอยากหาของดีที่สุดให้เขาในราคาถูกและดีที่สุดในแผ่นดิน ดีกว่าปล่อยให้เขาลุ่มหลงไปแสวงหาตามคำโฆษณาในหนังสือต่าง ๆ

    พอดีที่สำนักพิมพ์ของเพื่อนช่วงหนึ่งมีพระสมเด็จเบญจรงค์ เป็นพระสมเด็จจากกรุเจดีย์ทองวัดพระแก้ว วางอยู่ในตู้หลายสิบองค์ ผมเห็นก็รู้จัก เพราะเป็นสมบัติที่ติดตัวอยู่ 2-3 องค์ เพราะพ่อตาให้มา เมื่อสอบถามได้ความว่าพระท่านฝากให้คนบูชาเพื่อเอาเงินไปซื้อที่ดินสร้างสำนักสงฆ์ ผมจึงเขียนประวัติความเป็นมาลงนิตยสารของเพื่อน ผลตอบกลับ ทำให้พระที่มีอยู่หมดไปภายในหนึ่งเดือนหลังหนังสือออก ทำให้ผมทราบว่า แท้จริงแล้วคนอยากได้ของดี แต่เขาไม่รู้ว่าของอันไหนดี แต่เพราะความที่คนส่วนมากเคารพเลื่อมใสหลวงปู่โต และแสวงหาพระสมเด็จ พอผมบอกว่าพระรุ่นนี้สมเด็จโตเป็นผู้ปลุกเสก เท่านั้นทำให้ผู้อ่านอยากได้พระสมเด็จชุดนี้มาก แต่ก็ยังมีอีกมากที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากเซียนพระ หรือคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพระเครื่องพูดว่าพระปลอม เรื่องไม่จริง เขาเขียนเพื่อจะขายสมบัติที่เขาครอบครองอยู่ พระวังหน้าไม่มีหรอก พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วไม่มีหรอก ทำให้ผมฮึดขึ้นมาว่าต้องเปิดเผยเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียแล้ว

    ความจริงผมก็ไม่มีพื้นรู้อะไรมากไปกว่าที่พ่อตาบอกว่า พระชุดนี้มาจากกรุเจดีย์ทองวัดพระแก้ว ก่อนที่จะฉลองกรุงครบ ๒๐๐ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ มีการบูรณะใหญ่ พวกคนงานที่รื้อเจดีย์ไปพบกรุพระอยู่ในเจดีย์มากมาย ส่วนมากเป็นพระสมเด็จหลากสี จึงแอบนำออกมาตะเวนขายแถวท่าพระจันทร์ พ่อตาพบเข้าจึงเอากล้องส่องดู เห็นเป็นของเก่าแก่จริง ๆ และไม่เคยพบเห็นมาก่อน ราคาองค์ละ ๓๐ -๔๐ บาท ท่านจึงเหมาซื้อเก็บไว้หลายร้อยองค์ ต่อมาไม่นาน ทางราชวัง และตำรวจได้ตรวจตามแผงพระต่าง ๆ แถวท่าพระจันทร์และวัดราชนัดดา ได้ยึดพระชุดนี้กลับคืนเพื่อบรรจุกรุเจดีย์ทองตามเดิม แต่ผู้ที่รู้ทันก็ซ่อนพระไว้ จึงได้กลับคืนไปบางส่วน และช่วงนั้นคนที่ครอบครองหวาดกลัวกันมาก แม้พ่อตาของผมก็ไม่กล้าเปิดเผยมาจนทุกวันนี้
    สาเหตุที่ผมไปรับรู้เข้าเพราะช่วงนั้นผมอุปัฏฐากหลวงพ่อดำ ศิษย์พ่อท่านคล้าย (วาจาสิทธิ์) นครศรีธรรมราช ได้นิมนต์ท่านมาเยี่ยมบ้าน พ่อตาเห็นก็เคารพเลื่อมใส เมื่อทราบว่าท่านกำลังสร้างโบสถ์ที่วัดบ้านเกิด ที่ อ.ทุ่งใหญ่ นครศรีธรรมราช จึงเอาพระสมเด็จเบญจรงค์มาถวายเกือบ ๑๐๐ องค์ เพื่อมอบให้คนที่บริจาคทรัพย์ทำบุญสร้างโบสถ์ พร้อมเล่าประวัติให้ทราบ และวันนั้นท่านก็ให้ผม ๓ องค์ ทำให้ตั้งแต่วันนั้นผมก็รักและหวงแหนพระชุดนี้ขึ้นมา จึงอยู่กับผมมาถึงทุกวันนี้ แต่มักเก็บใส่ลิ้นชักหัวเตียงมากกว่าจะห้อยคอไปไหน เมื่อมาเห็นที่สำนักพิมพ์ของเพื่อนเป็นพระชุดเดียวกัน จึงได้เขียนประวัติความเป็นมาเล่าสู่ผู้อ่าน โดยหาข้อมูลเพิ่มเติม ตั้งแต่ฉบับนั้นก็เขียนติดต่อกัน๔ ฉบับ ทำให้พระชุดนี้เป็นที่รู้จักและแสวงหาของผู้คนขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่แจ่มแจ้ง เพราะคนที่โต้แย้งยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพระสมเด็จ

    เพราะนี่คือคู่แข่งที่สำคัญของพระสมเด็จวัดระฆัง วัดอินทรวิหาร วัดใหม่อมตรส วัดชีประขาว และวัดไชโย ถ้าคนรู้จักประวัติพระชุดนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ พระสมเด็จที่ราคาเป็นแสนเป็นล้านจะมีใครเหลือบแลหรือ เพราะพระสมเด็จเบญจรงค์ กรุเจดีย์ทองวัดพระแก้วนี้ นอกจากจะสวยงามแล้วราคายังถูกกว่าเป็นร้อยเท่า แต่สรรพคุณอิทธิคุณนอกจากไม่ด้อยกว่าแล้วยังเหนือกว่าอีกด้วย เนื่องเพราะมีพระอาจารย์ดีมาช่วยปลุกเสกคือ หลวงปู่ใหญ่ พระในดงลี้ลับ พระอาจารย์ของเสด็จกรมวังหน้า ซึ่งสมัยนี้เรียกขานกันว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • somdej00.jpg
      somdej00.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.9 KB
      เปิดดู:
      4,804
    • somdej01.jpg
      somdej01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.2 KB
      เปิดดู:
      890
    • somdej02.jpg
      somdej02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53 KB
      เปิดดู:
      15,886
    • somdej03.jpg
      somdej03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.1 KB
      เปิดดู:
      534
    • somdej04.jpg
      somdej04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      4,203
    • somdej05.jpg
      somdej05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.3 KB
      เปิดดู:
      4,047
    • somdej06.jpg
      somdej06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9 KB
      เปิดดู:
      4,048
    • vungna1.jpg
      vungna1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.2 KB
      เปิดดู:
      4,595
    • vungna2.jpg
      vungna2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      4,044
    • vungna4.jpg
      vungna4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.3 KB
      เปิดดู:
      4,543
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วังหน้ากับพระเครื่อง
    พระราชวังของพระเจ้าแผ่นดินไทยนั้นแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนมาแต่สมัยอยุธยาแล้ว คือวังหลวงกับวังหน้า จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านก็ใช้ระบบเดิมและมีวังหลังเพิ่มขึ้นอีก
    วังหลวงมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน วังหน้าเป็นแม่ทัพ ออกรบทัพจับศึก เมื่อว่างจากการศึกวังหน้าจึงว่าง ช่วงว่างนี้จะทำหน้าที่ด้านการก่อสร้างและศิลปะต่าง ๆ และแสวงหาเครื่องรางของขลังตลอดจนครูบาอาจารย์ผู้วิเศษ ดังนั้นวังหน้าจึงสนิทสนมกับหลวงปู่ครูบาอาจารย์มากมาย
    สมัยต้นรัชกาลและอยุธยาตอนปลายนั้นพระสงฆ์ที่โดดเด่นด้านวิปัสสนาและเวทยาคมคงมีไม่มากองค์ พระราชวงศ์ระดับแม่ทัพนายกองคงหาตะกรุดผ้ายันต์จากอาจารย์พระบ้าง ฆราวาสบ้าง ต่อมาที่ขึ้นชื่อด้านไสยเวทคือสมเด็จพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน ) แต่เดิมพระองค์ท่านอยู่วัดพลับ(ราชสิทธาราม) เมื่อได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช จึงอัญเชิญมาอยู่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
    สมัยอยู่วัดพลับ พระองค์ท่านสร้างพระพิมพ์ตุ๊กตา ซึ่งมีหูยานใหญ่ องค์ป้อม ๆ ดูคล้ายตุ๊กตา ต่อมาก็สร้างพระทรงสี่เหลี่ยม ชื่อสมเด็จอรหัง เพราะมีอักษรขอม
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    หลวงปู่คำ องค์นั่งด้านซ้ายมือของหลวงปู่โต ส่วนองค์ขวามือคือพระปลัดไฮ้ เป็นพระฐานานุกรมของหลวงปู่ อยู่วัดระฆัง หลวงปู่โตเรียกหลวงปู่คำว่าหลวงพี่คำ


    หลวงปู่โตเกิดที่ไหน เมื่อไร ใครเป็นพ่อ

    ผมเคยอ่านชีวประวัติหลวงปู่โตมาหลายครั้ง พอจำได้ว่า คุณแม่ของสมเด็จเป็นชาวไร่ชาวสวนอยู่แขวงเมืองกำแพงเพชร ปลูกกระท่อมอยู่หัวไร่ปลายนากับตาผลยายลา ผู้เป็นพ่อแม่ วันหนึ่งมีคนแปลกหน้า แต่งตัวนักรบภูมิฐาน ขี่ม้าผ่านมาที่กระท่อมนั้น ด้วยอากาศร้อนและกระหายน้ำเป็นกำลังจึงแวะที่กระท่อมน้อยขอน้ำดื่ม จึงพบสาวน้อยนามงุด นางจึงเอาขันไปตักน้ำแล้วเด็ดเอาดอกบัวคลี่เกสรโปรยลงในขันน้ำให้ดื่ม เจ้าของม้าจะดื่มเร็วก็ไม่ได้เพราะติดเกสรบัว เมื่อดื่มจนหมดขันแล้วจึงถามสาวน้อยว่า
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แต่พระนัดดาของท่านชื่อหม่อมเจ้าไชยเดช เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ รุ่นเดียวกับท่านอภิชิโตภิกขุ (ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ) ท่านสอบการปฏิบัติไม่ผ่าน ต่อมาขายที่แถวบางลำพูเสียสิ้น แล้วย้ายไปอยู่อเมริกา ยังไม่ทราบว่าจะมีชีวิตถึงปัจจุบันหรือไม่

    แต่เรื่องการอัญเชิญหลวงปู่ใหญ่มาปลุกเสกนี้เคยทำโดยพระอาจารย์ชาญณรงค์ (อภิชิโตภิกขุ) ที่วัดรัชดาธิษฐาน (วัดเงิน) อยู่ตลิ่งชัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓ ครั้งหนึ่ง พระรุ่นนั้นเรียกว่า
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรุพระสมเด็จวัดพระแก้วแตก
    พ.ศ.๒๕๒๓ ก่อนครบรอบ ๒๐๐ ปีรัตนโกสินทร์ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงเป็นประธานในการบูรณะพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพิพิธภัณฑ์ เพื่อจัดฉลองให้ยิ่งใหญ่ ปี ๒๕๒๕ จึงระดมช่างสิบหมู่จากจังหวัดนครศรีอยุธยา อ่างทอง สุพรรณ กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี มาทำการรื้อและบูรณะสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรมให้สวยงามเหมือนเดิม
    การจะบูรณะก็ต้องมีการรื้อถอนบางส่วนที่เสียทรวดทรง ซึ่งเจดีย์สร้างมานานอาจจะเอนเอียงไป ก็ต้องปรับให้ตรง ก็ต้องรื้อเกือบทั้งหมด แล้วทำให้เหมือนเดิม เมื่อรื้อเจดีย์ทอง ก็พบเป็นโพรงลงไป ข้างในโพรงนั้นเต็มไปด้วยพระเครื่องมากมาย พวกนายช่างและคนงานจึงแอบหยิบใส่ย่ามบ้าง ปิ่นโตบ้าง นำออกมา จนข่าวเรื่องพบกรุพระในเจดีย์ทองรั่วไปถึงหูเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการก่อสร้าง จึงนำเรื่องทูลเกล้าแจ้งให้สมเด็จพระเทพทรงทราบ พระองค์จึงกำชับให้กวดขันนายช่างและคนงานทุกคนเวลาเลิกงาน อย่าให้นำพระออกไป
    นายช่างและคนงานจึงหาวิธีใหม่ คือเอาพระใส่ถุงเศษอิฐหินปูนทรายซึ่งเป็นขยะที่ต้องทิ้ง เอาไปกอง ๆ ไว้ตามปกติที่เคยทำ แล้วลักลอบนำออก คราวนี้สามารถนำออกได้คราวละมาก ๆ
    คนงานส่วนมากเป็นคนอีสาน ฐานะยากจน เมื่อพบของดีก็อยากเปลี่ยนเป็นเงินทอง จึงนำไปเร่ขายแถวตลาดพระท่าพระจันทร์บ้าง ตลาดพระวัดราชนัดดาบ้าง เจ้าของแผงพระบางร้านก็รับซื้อไว้มากบ้างน้อยบ้าง เพราะราคาหลักสิบ ร้านไหนมีทุนเยอะก็อาจซื้อเหมาเก็บไว้หมด เพราะวาดฝันไว้ว่าถ้าพระชุดนี้ดังแล้วรวยระเบิดแน่ ๆ บางทีไปเจอคนนอกที่ไปเที่ยวเตร่แถวนั้น เขาพบเข้าและมีเงินติดตัวมากก็อาจซื้อเหมาไว้หมด
    เหตุการณ์เช่นนี้จะดำเนินไปกี่วันไม่ปรากฏ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเทพ ฯ ท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจตามแผงพระต่าง ๆ แล้วยึดคืนกลับมาให้หมด เพื่อบรรจุลงเจดีย์เหมือนเดิม ร้านไหนเก็บซ่อนทัน พ้นหูพ้นตาก็รอดไป ร้านที่ไม่ได้ซุกซ่อนไว้ แถมยังเอามาวางจำหน่ายก็ถูกยึดคืนจนหมด
    ตั้งแต่นั้นมา พระกรุวัดพระแก้วจึงเป็นพระต้องห้าม ใครมีครอบครองก็ไม่กระโตกกระตากให้ใครรู้ แม้ศูนย์พระเครื่องพันทิพย์พลาซ่ายังต้องใส่ตู้เซฟซ่อนไว้ เพาะกลัวถูกยึดคืน พระเครื่องชุดนี้จึงลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่สามารถปรากฏองค์ให้โด่งดังได้ ประจวบกับบรรดาเซียนพระต่าง ๆ พากันกดไว้ ใครนำมาพูดนำมาเสนอถามก็บอกว่าเป็นของปลอม ของทำเทียม คนจึงหมดความสนใจกันไป
    ต่อมา เมื่อเรื่องซาลงแล้ว คนที่รู้เรื่องราวก็แอบไปกระซิบถามเจ้าของแผงพระต่าง ๆ ก็สามารถทยอยซื้อเก็บไว้มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังทรัพย์ของตน บางคนใช้เวลาเก็บอยู่หลายปี ได้พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วหลายร้อยองค์ ซึ่งมีแบบพิมพ์ต่าง ๆ แต่พิมพ์พิเศษซึ่งมีอักษรจารึกหลังนั้นมีไม่มากองค์ เช่นองค์ที่นิมนต์มาลงปกหนังสือเล่มนี้มีเพียงองค์เดียว องค์ที่มีจารึกหลังว่า
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เมื่อคืนนี้...ได้จุดธูปอาราธนาสมเด็จองค์ปฐมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เทพเทวา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมาโดยมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด ขอนำปัจจัยใน"บาตรวิระทะโย" ซึ่งปัจจัยทุกบาททุกสตางค์จะสวดด้วย"คาถาพระปัจเจกโพธิ์(คาถาเงินล้าน)" ก่อนจะหยอดใส่บาตรนี้ทุกครั้ง ขอนำมาร่วมสมทบในงานบุญ ๒ งานที่คณะศิษย์อาจารย์ปู่ประถม อาจสาคร จัดขึ้นโดยร่วมทั้ง ๒ บุญคือ

    ๑. ร่วมสมทบปัจจัยเริ่มต้นก่อตั้ง "ทุนนิธิสงเคราะห์พระอาพาธและศาสนกิจ อาจารย์ประถม อาจสาคร"จำนวน ๓๐๐ บาท

    ๒. ร่วม"บุญทุกอย่าง"กับคณะที่จะเดินทางในวันอาทิตย์นี้ จำนวน ๓๐๐บาท

    บ่ายวันนี้จะโอนเข้าที่บัญชีคุณกัญญา บัญชีเดียวที่...

    "....เบอร์บัญชี 359-219-3956 ธ.กสิกรไทยสาขาบางครุ บัญชีออมทรัพย์ ชื่อกัญญา รัตนโชติบวร โอนเสร็จ นำสลิปที่โอนจบขึ้นเหนือหัว ให้หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ทวด ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เป็นพยานบุญ และโมทนาบุญให้เราด้วย แค่นี้ล่ะบุญไปรอแล้วอย่างที่หลวงพ่อฤาษีฯ และพี่ใหญ่บอกครับ

    ลืมอีกนิดนึง คือกลับอาจจะแวะกลับไปวัดบุญญาวาสอีกวัดนึง จะไปทำบุญกับท่านเจ้าอาวาส นี่ก็เข้าเขตการไม่กลับมาอีกองค์นึงเช่นกันครับ..."

    เพียงจุดธูปบอกกล่าวทุกๆท่าน ก็ขนลุกขนพอง ท่านอนุญาต และโมทนาบุญเรียบร้อยแล้วครับ...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธรรมชาติของเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง มองทางกายภาพ
    จากเลนส์ขยายในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังเท่าที่ได้สัมผัสมา มวลสารที่มองเห็นด้วยตาเปล่าประกอบด้วย
    มวลสารดังต่อไปนี้
    1. จุดสีขาวขุ่น มีทั้งขนาดใหม่และเล็ก ขนาดเล็กตั้งแต่ปลายเข็มหมุดขนานใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเขียวก็เคยพบ มีปรากฏอยู่ทั่วไปในเนื้อพระละเอียดแน่นนอน และ เนื้อพระชนิดหยาบเนื้อไม่แน่นนอน สันนิษฐานว่าคือเม็ดพระธาตุ และเปลือกหอย
    2. จุดสีแดงหรือสีแดงอิฐ ตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเศษพระเครื่องหักของกำแพงเมืองเพรช สมัยที่สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ได้ไปเดินธุดงค์พบพระเนื้อดินหัก แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพระพุทธคุณ จึงนำมาสร้างพระเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล และความขลังแก่พระสมเด็จ
    3. จุดสีดำ มีขนาดเล็กก็คือ เกสรดอกไม้ เม็ดกล้วย ถ้าเป็นขนาดกลาง สันนิษฐานว่าเป็นผงถ่านใบลานและถ้าเป็นลักษณะยาว สันนิษฐานว่าเป็นกานธูป
    4. จุดสีเขียวคล้ายสีคราม มีลักษณะใหญ่เล็กแล้วแต่จะพบในองค์พระ สันนิษฐานว่าเป็นหินเขียวหรือตะไคร่ ใบเสมา
    5. จุดสีน้ำตาลอ่อน และ น้ำตาลแก่ สันนิษฐานว่า คือเกสรดอกไม้แห้งนานาชนิด อาจเป็นดอกไม้108 (ดอกไม้ที่ใช้บูชาพระ)
    6. เม็ดทรายเสกขนาดกลาง และขนาดเล็ก พบในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง
    7. เม็ดขาวขุ่นหรือพระธาตุ ส่วนมากจะพบกระจายอยู่ทั่วไปในองค์พระบางองค์ พบอยู่ด้านหลัง บางองค์ไม่พบ

    8. ทองคำเปลว จากพระประธานในโบสถ์วัดระฆัง ใช้บดผสมในเนื้อพระ
    9. ผงวิเศษที่พบเป็นก้อน คล้ายกับก้อนดินสอพองก็คือ ผงวิเศษที่ได้จาก ผงอิทธิ
    เจ ผงปัตถะมัง ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ ผงมหาราช
    10. การยุบตัวของเนื้อพระสมเด็จ เกิดจากปฎิกิริยาการหดตัว แห้งตัว ยุบตัวของ
    เศษอาหาร จึงทำให้เนื้อพระยุบตัวลง ระยะเวลาและความร้อนของอากาศ
    หลายๆปี ฤดูกาลธรรมชาติ
    11. ที่แลเห็นพระบางองค์มีความมันบนองค์พระมาก เพราะว่าในเนื้อพระผสมนำ
    มันตั้งอิ้วมากกว่าปกติ เนื้อพระชนิดนี้จึงหนึกนุ่มอยู่เสมอ
    12. พระสมเด็จกับการลงรักปิดทอง พระสมเด็จวัดระฆังบางองค์มีการลงรักปิด
    ทองไว้ แล้วในภายหลังได้ถูกล้างออก ซึ่งก็ทำให้สามารถดูเนื้อพระได้ง่ายขึ้น
    13. คราบสีขาวบนองค์พระมักจะพบในพระสมเด็จวัดระฆังนั้นมี 2 นัย นัยแรก
    เกิดจากแป้งโรยพิมพ์พระในตอนสร้าง (สันนิษฐานว่าใช้แป้งขาวเจ้าผสมปูน
    ขาว) นัยที่สองเกิดจากเชื้อราบางชนิดซึ่งเกิดขึ้นเนื่องมาจากการเก่าเก็บไว้เป็น
    เวลานานซึ่งไม่มีผลทำให้ผิวพระเสียแต่อย่างใด ซี่ง
    ถ้าใช้นิ้วถูออกคราบสีขาวก็จะหายไปและจะไม่มีผงฝุ่นสีขาวติดนิ้วเลย แต่
    ไม่ควรถูออกเพราะคราบสีขาวเป็นการแสดงความเก่ ความมีอายุอันยาวนาน
    ขององค์พระ
    14. รอยปริแยกแตกบนผิวพระสมเด็จวัดระฆัง สันนิษฐานว่าเกิดจากการยุบตัว
    หดตัวของเนื้อพระเนื่องจากความชื้นและอุณหภูมิในอากาศเปลี่ยนแปลง แต่
    ถ้าเนื้อพระมีส่วนผสมน้ำมัน ตังอิ้วที่เหมาะสมเป็นตัวประสานเนื้อพระก็จะ
    ไม่พบลอยปริแตกบนผิว
    15. กลิ่นหอมในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ส่วนผสม
    มวลสารในเนื้อพระมีดอกไม้และเกสรหลายชนิดรวมกัน รวมทั้งน้ำมันจันทน์
    ด้วย จึงทำให้พระสมเด็จมีกลิ่นหอม
    16. รอยแตกลายงาบนผิวพระสมเด็จวัดระฆังเกิดจากการแห้งและหดตัวของผิว
    เนื้อพระชั้นนอกเร็วกว่าเนื้อพระชั้นใน พบได้ในองค์ที่มีผิวละเอียดหนึกนุ่ม
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    นำมาฝากสมาชิกพระวังหน้าครับ

    การ์ตูนเคลื่อนไหว " ย่อเวลาชีวิต "


    [​IMG]

    Animation ชุดย่อเวลาชีวิต
    ชีวิตคนเราก็เท่านี้
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=3&Id=509163

    การสร้างพระสมเด็จวังหน้า


    การสร้างพระสมเด็จวังหน้า ๒๔๑๑
    [​IMG]




    วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายบรรพชิต มีกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ (กรมพระปวเรศน์วริยาลงกรณ์ในกาลต่อมา) ฝ่ายฆราวาสมีกรมพระเทเวศร์วัชรินทร์เป็นประธน และขุนนางระดับสูงมีเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ เป็นประธาน ได้จัดประชุมกันในพระราชวังสวนดุสิต ในพระบรมมหาราชวัง ได้ตกลงยกเจ้าฟ้าจุลาลงกรณ์ กรมขุนพิชิตประชานารถ ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๕ พรรษาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ถวายพระนามว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 241111x.jpg
      241111x.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.8 KB
      เปิดดู:
      15,541
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตั้งแต่นั้นมา พระกรุวัดพระแก้วจึงเป็นพระต้องห้าม ใครมีครอบครองก็ไม่กระโตกกระตากให้ใครรู้ แม้ศูนย์พระเครื่องพันทิพย์พลาซ่ายังต้องใส่ตู้เซฟซ่อนไว้ เพาะกลัวถูกยึดคืน พระเครื่องชุดนี้จึงลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่สามารถปรากฏองค์ให้โด่งดังได้ ประจวบกับบรรดาเซียนพระต่าง ๆ พากันกดไว้ ใครนำมาพูดนำมาเสนอถามก็บอกว่าเป็นของปลอม ของทำเทียม คนจึงหมดความสนใจกันไป
    ต่อมา เมื่อเรื่องซาลงแล้ว คนที่รู้เรื่องราวก็แอบไปกระซิบถามเจ้าของแผงพระต่าง ๆ ก็สามารถทยอยซื้อเก็บไว้มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังทรัพย์ของตน บางคนใช้เวลาเก็บอยู่หลายปี ได้พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วหลายร้อยองค์ ซึ่งมีแบบพิมพ์ต่าง ๆ แต่พิมพ์พิเศษซึ่งมีอักษรจารึกหลังนั้นมีไม่มาก

    พระสมเด็จวัดพระแก้วมี 2 กรุ
    จากการสืบสาวค้นหาเรื่องราวทราบว่า พระสมเด็จที่ออกมาจากวัดพระแก้วนั้น มี 2 แห่งด้วยกัน คือจากกรุเจดีย์ทอง พระกรุนี้สร้าง ๒๔๑๑ แล้วบรรจุในเจดีย์ทองทั้งหมด ช่วงบูรณะเพื่อฉลอง ๑๐๐ ปี และมีความเป็นไปได้ที่เจ้านายบางองค์ที่มีสมเด็จวัดระฆังจำวนมากพอ อาจใส่ลงไปในกรุนี้ด้วย เมื่อผมท่องเที่ยวอยู่ตามภาคอีสานจึงพบพระสมเด็จพิมพ์วัดระฆังที่หลวงปู่โตปลุกเสกอยู่ประปราย สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคนงานอีสานซึ่งได้มาจากวัดพระแก้ว ต่อมานำออกมาขายให้ศูนย์พระเครื่องในราคาถูก ๆ ถ้าใครตาถึงก็สามารถแสวงหาได้ตามแผงพระทางอีสาน

    พระสมเด็จอีกส่วนหนึ่งมาจากหลังคาโบสถ์พระแก้วมรกต พระชุดนี้สร้างเป็นศิริมหามงคลฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นพิธีใหญ่โตในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่มาปลุกเสกล้วนเยี่ยมวิทยาคมทั้งสิ้น เพียงแต่หลวงปู่โตได้จากไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๕ จึงไม่มีส่วนร่วม พระชุดนี้ไม่สามารถลงกรุเจดีย์ได้ เพาะปิดไปก่อนแล้ว จึงบรรจุลงในหีบไม้อย่างดี นำขึ้นไปวางเรียงรายบนเพดานโบสถ์พระแก้วมรกตทั้งสิ้น

    พอมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๑-๕๒ (ร.ศ.๑๒๗) ก็มีการสร้างพระอีกชุดหนึ่ง นอกจากใช้แม่พิมพ์เดิมแล้วยังมีการแกะพิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายพิมพ์ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกยิ่งใหญ่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเช่นกัน เพื่อเฉลิมฉลองงานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน ที่เหลือก็นำใส่หีบอย่างดี ขึ้นไปวางเรียงกันบนเพดานโบสถ์พระแก้วมรกต รวมกับพระชุด ๒๔๒๕
    ดังนั้นพระบนเพดานโบสถ์จะมีจำนวนกี่แสนองค์ก็ไม่ทราบได้ พระชุดนี้ได้ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก จะกี่หมื่นองค์ก็ไม่ทราบได้ เพราะใช้รถทหารขนออกมาทีเดียว หลังจากกรุเจดีย์ทองไม่นานนัก ตามลำดับของการรื้อสิ่งก่อสร้างเพื่อบูรณะนั่นเอง แต่ผู้นำออกมาไม่ใช่พวกช่างและคนงาน เพราะเป็นช่วงที่ถูกกวดขันมากที่สุด

    ดังนั้น พระที่หลวงปู่โตปลุกเสกจึงมาจากกรุเจดีย์ทอง ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตามยึดกลับคืนสู่กรุตามเดิม เล็ดลอดหูตาตามร้านค้าพระเครื่องต่าง ๆ นั้นมีจำนวนไม่น่าเกินพันองค์ และกระจัดกระจายไปสู่คนหลายคนที่ตามเก็บภายหลัง

    ต่อมา เมื่อมีคนเสาะแสวงหา คนทำพระปลอมซึ่งคลุกคลีกับร้านค้าต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงนำแม่แบบไปทำขึ้นมาใหม่ และคิดค้นสร้างพิมพ์ขึ้นใหม่ก็มี จึง เกิดพระอีกชุดหนึ่งที่เป็นพระสี มีผงโรยทอง พิมพ์องค์ทรงชัดสวยงาม ถ้าคนไม่เคยศึกษาพระเก่าแก่มาก่อนก็ต้องเชื่อว่าของจริง
    เดี๋ยวนี้พระชุดนี้กระจายไปทั่วประเทศที่มีแผงพระ เมื่อผมเขียนเรื่องลงนิตยสาร พระวังหน้าเริ่มเป็นที่รู้จัก ของปลอมที่เขาทำไว้ขายไม่ออกจึงถูกนำออกวางตลาดสวมรอยคราวนี้ จึงมีคนเข้าใจผิดซื้อไว้หลายองค์ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ดูไม่ออก ก็เกิดอาการตื่นเต้นมากเช่นกัน ต่อภายหลังได้นำพระชุดนี้ไปให้ผู้ชำนาญทางจิตดู พบว่ามีพลังแผ่วเบาจนแทบจับไม่ได้ เจ้าของคงนำเข้าพิธีวัดใดวัดหนึ่งที่มีการปลุกเสกพระเครื่อง และคนที่ดูของเก่าเป็นก็ฟันธงว่า เป็นพระที่ทำขึ้นราว ๒๐ ปีที่ผ่านมานี่เอง ทุกวันนี้ผมยังพบวางเป็นกอง ๆ ตามแผงพระต่างจังหวัด ใครอยากได้พระราคาถูกองค์ละร้อยสองร้อยก็สามารถไปเช่าซื้อได้ครับ

    พระจริงหรือปลอมพิสูจน์ได้ด้วยการตรวจหาพลัง
    แปลกแต่จริง พ่อค้าขายพระเครื่อง แต่ไม่เชื่อเรื่องการจับพลังอิทธิคุณในพระเครื่องว่ามีจริงหรือไม่ เขาว่าเป็นอุปาทาน แหกตา เล่นปาหี่ เขาเชื่อกล้องขยาย เชื่อพิมพ์ว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ เชื่อความเก่าแก่ แต่พลังอิทธิคุณเขาไม่เชื่อเลยว่าสามารถตรวจได้

    ก็พระเครื่องจะขลัง ดีวิเศษ ก็ต้องเกิดจากพลังจิตของผู้ปลุกเสก เมื่อมีพลังจิตก็ต้องใช้พลังจิตตรวจดูจึงจะรู้แจ้ง แว่นขยายก็รู้เพียงถูกพิมพ์ผิดพิมพ์ เก่าหรือใหม่ แม้ผงวิเศษที่ผสมยังไม่สามารถเอาเป็นข้อกำหนดตายตัวได้ ถ้ามีใครใช้แม่แบบของหลวงปู่ ใช้ผงวิเศษของหลวงปู่ พิมพ์พระขึ้นมาในยุคเดียวกัน แต่ไม่ได้ให้หลวงปู่โตปลุกเสก พระนั้นจะมีอิทธิเดชอิทธิคุณหรือ ถ้าหากเอาไปให้หลวงปู่อาจารย์อื่นปลุกเสก อิทธิคุณก็จะเกิดอีกอย่างหนึ่ง

    ยกตัวอย่างพระสมเด็จของยายขำ เขาเล่ากันว่ายายขำทำพระสมเด็จปลอมแล้วบรรจุกรุไว้ คนไหนรู้ว่ามาจากรุยายขำก็ไม่เลื่อมใสศรัทธา แต่ความจริงยายขำใช้แม่พิมพ์ของสมเด็จ และผงวิเศษของสมเด็จ เมื่อพิมพ์พระแล้วก็นำไปให้หลวงปู่องค์ใดองค์หนึ่งปลุกเสก แล้วนำออกจำหน่ายช่วงนั้น ซึ่งคนกำลังตื่นแสวงหาพระสมเด็จวัดระฆังเพื่อเอาไปอธิษฐานทำน้ำมนต์รักษาโรคห่า แต่พระสมเด็จที่เก็บไว้ในวิหารน้อยวัดระฆังหมด ยายขำจึงรีบทำขึ้นมาจำหน่าย ได้เงินมหาศาลอยู่ แต่พระสมเด็จของยายขำกลับเด่นด้านมหาอุจ ปืนยิงไม่ออก คนที่รู้ก็แสวงหาสมเด็จยายขำ แต่จะหาอย่างไร เอาอะไรเป็นข้อสังเกต เพราะพิมพ์ก็ของวัดระฆัง ผงวิเศษก็ของหลวงปู่ทำไว้ กล้องส่องจะให้คำตอบอย่างไร ถ้าไม่ใช้พลังจิตตรวจจับ

    ยายขำเป็นแม่ครัวของวังหลัง ซึ่งสมัยนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเดี๋ยวนี้ ท่านมีหน้าที่นำภัตตาหารมาถวายหลวงปู่ที่วัดระฆังทุกวัน ตามรับสั่งของเจ้ากรมวังหลัง เมื่อถวายแล้วก็ช่วยเขาพิมพ์พระ หรือโขลกตำผงพระ จึงสามารถรอบรู้ส่วนผสมทุกอย่างตลอดวิธีทำพระสมเด็จ และเมื่อเป็นต้นเครื่องของเจ้ากรม ไปวัดทุกวัน ก็ต้องสนิทสนมกับพระวัดระฆัง ตั้งแต่เจ้าอาวาสยันสามเณรน้อย ใคร ๆ ก็เคารพนับถือยายขำ เมื่อหลวงปู่จากไปแล้วไม่กี่ปี เกิดโรคห่า คนตายเป็นเบือ ไปจนถึงอยุธยา-ไชยนาท

    วันหนึ่งมีคนแถวอยุธยาหรือชัยนาทก็จำได้ไม่ถนัด ป่วยเป็นอหิวาต์ จะตายมิตายแหล่ กลางคืนนั้นหลวงปู่โตไปเข้าฝัน บอกว่ามึงยังไม่ถึงที่ตาย ให้รีบไปวัดระฆัง ไปเอาพระสมเด็จที่กูเก็บไว้ในวิหารน้อย เอามาอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็จักหาย คนป่วยก็เล่าให้ญาติฟัง เขาจึงรีบพายเรือไปวัดระฆัง จะใช้เวลากี่วันก็ไม่ทราบ แต่ได้พระสมเด็จไปทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินจนหายป่วย เรื่องก็ดังเป็นพลุ จากหูหนึ่งถึงหูที่สองหูที่สิบที่ร้อย ชาวอยุธยา อุทัย ไชยนาท พากันนั่งเรือมุ่งหน้าสู่วัดระฆัง หยิบเอาพระสมเด็จติดไม้ติดมือคนละองค์สององค์ จนเกลี้ยง ถามเจ้าอาวาสก็หมด ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้อีก วัน ๆ คนมาออกันอยู่ที่ท่าน้ำวัดระฆังราวกับคนตื่นผู้วิเศษบอกหวยสมัยปัจจุบันนี่แหละ

    ยายขำทราบดังนั้นจึงไปขอแม่พิมพ์และผงวิเศษของหลวงปู่จากเจ้าอาวาส แล้วทำพระสมเด็จขึ้นมาแจก บอกว่านี่ก็เป็นสมเด็จของหลวงปู่เช่นกัน เพราะเอาผงวิเศษของหลวงปู่มาทำ และให้ครูบาอาจารย์ปลุกเสกแล้ว มีอิทธิคุณเหมือนสมเด็จที่หลวงปู่ทำ คนที่ผิดหวังจากพระของหลวงปู่โตก็ดีใจที่ยังได้สมเด็จยายขำติดมือกลับไป แต่ยายขำให้บูชาองค์ละเท่าไรไม่ทราบ เห็นมีเล่าว่ายายขำร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น กลายเป็นเศรษฐินีคนหนึ่ง
    เมื่อยายขำเสียชีวิต พระที่ยายขำทำเหลืออีกหลายร้อยองค์ ลูกหลานจึงทำเจดีย์องค์เล็กตั้งริมฝั่งกำแพงติดแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อบรรจุอัฐิของยาย แล้วนำพระที่ยายสร้างบรรจุไว้ เวลาผ่านไปเกือบร้อยปี น้ำเซาะตลิ่งจนเจดีย์เอียง จึงพบพระในเจดีย์มากมาย คนจึงแตกตื่นพระกรุยายขำ แต่เจ้าอาวาสบอกว่า
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=509162&Ntype=3

    พระสมเด็จปัญจสิริ 1


    พระสมเด็จ กรุวังหน้า
    คุณค่าเกินล้าน
    [​IMG]
    .......................................................................................................................................
    ถึงแม้ผมเขียนเรื่องพระสมเด็จ แต่อย่าหลงคิดว่าผมเป็นเซียนพระ รู้จักเครื่องรางของขลังแทบทุกชนิด แท้จริงแล้วผมไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ผมเห็นเขาเอากล้องขยายนั่งส่องพระเป็นชั่วโมง ๆ ก็งงเป็นไก่ตาแตก เขาส่องดูอะไรของเขา เขากำลังหาอะไรในนั้น ผมก็ขอส่องดูบ้าง แล้วถามเขาว่าส่องแล้วเห็นอะไรหรือ เขาว่าดูลักษณะว่าเนื้อสวยหรือไม่ เก่าหรือไม่ มวลสารเป็นอะไรบ้าง จริงหรือปลอม เป็นพระกรุหรือพระเก็บ หรือกรุกลบฝังดิน เหอ ๆ ๆ..... ผมส่องเป็นหลายนาทีจนสายตาพร่าพราย ดูไม่ออกสักอย่าง

    ผมว่าการจะดูออกมันคงต้องผ่านการดูพระเครื่องมาเป็นพัน ๆ องค์ จนมีข้อเปรียบเทียบ ผมไม่เคยเห็นของจริงจะรู้อย่างไร แต่ก็มั่นใจอยู่อย่างว่าจะดูว่าใหม่หรือเก่า มันพอดูออก เขาว่าแตกลายงา อ้อ..ถ้าของจริงเก่าเก็บมันต้องแตกลายงา แต่ที่ไม่แตกก็มีนี่ มันขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่เขาเรียกว่ามวลสาร อ๊ะ ๆ ...อีตาคนนี้ เขียนแบบผู้เชี่ยวชาญซะแล้ว

    ชีวิตผมมีโชคอยู่บางประการ ผมมักเข้าไปสัมผัสสิ่งดี ๆ หรือแปลก ๆ โดยไม่ตั้งใจ ถึงแม้ผมไม่สนใจในพระเครื่องรางของขลัง แต่ผมไปกราบครูบาอาจารย์ผมก็ได้มาทุกครั้ง ใครอยากได้ผมก็ให้เขาไป เก็บไว้แต่หนังสือธรรมที่ท่านพิมพ์แจก เหล็กไหลขาว เหล็กไหลดำ ไพลดำ หินแก้วพระกำ ไข่พญานาค ว่านโพลง ว่านกระสือ เล่าลือกันเป็นตุเป็นตะ มีคนชวนผมท่องเที่ยวแสวงหา ผมก็ไปกับเขานะ ยอมรับว่าสนุกครับ เขาว่ามีอยู่ตรงนั้น พอไปถึงจุดหมาย เขาว่าอ้อ...ไม่ใช่อย่างนั้น เรารู้มาอีกที คนนั้นเล่ามาเราก็เล่าต่อ ต้องไปถามอีตาคนนั้น เราก็ตามไปอีก ตามไปตามมา หาอีตาต้นตอไม่เจอ ไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายเท้า เหอ ๆ ๆ ...เค้าว่า...

    ไข่พญานาค อีกชื่อเรียกแก้วพระกำ เป็นหินมีร่องรอยมือกำอยู่ แต่ไม่รู้เขาทำอย่างไรดูมันเก่าจัง แต่แม่ชีเล่าเป็นตุเป็นตะว่ามาจากใต้พิภพ พญานาคและพระสงฆ์ใต้พิภพเป็นผู้ทำขึ้นมา แล้วเอามาให้คนเช่าบูชาราคาเป็นหมื่นแสน เมื่อทุบหรือผ่าดู ข้างในเป็นอัญมณีสีสวย แต่ละก้อนก็มีอัญมณีข้างในแตกต่างกัน เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่กำโกเมนเอก เขียวพิเภกโมรา..........อะไรบ้างก็จำได้ไม่หมด พลอยแต่ละชนิดที่เขาแสวงหามาใส่สวยจริง ๆ เห็นแต่แรกก็นึกว่าจริง พอใจมันนิ่ง ๆ มันก็เข้าใจว่าถูกหลอกอีกแล้ว แต่ขอกระซิบดัง ๆ ใครอยากได้แก้วสวย ๆ งาม ๆ มีขายที่ท่าพระจันทร์ เหมือนกันเด๊ะเลย เหล็กไหลขาวก็มีแถว ๆ นั้น

    เชื่อมั้ย...ตามไปเจอปรมาจารย์ต้นตอที่หลอกลวงผู้คนในเรื่องแก้วพญานาคนี้ เขาสมญานามตัวเองว่าเณรคำซึ่งมีอายุอานามหลายร้อยปี พวกเจ้านายแถว ๆ อีสานให้ความเคารพนับถือมาก แต่เราไปพบเมื่อหลวงพี่สึกมานอนกกแม่ม่าย ปลูกบ้านหลังใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งแถววานรนิวาส แล้วเราก็ถูกตามหลอกหลอนอีก เมื่อท่านเอาแก้วพระกำมาผ่าให้เราดู เจออัญมณีที่เจียรนัยแล้ว พร้อมจะเป็นหัวแหวนได้ทันที แหม.... พิภพพญานาคเขาก็เก่งไม่ใช่เล่น

    แต่คนเก่งที่สุดคือคนกรุงเทพ ฯ คนหนึ่งที่คนพากันนับถือว่าอาจารย์ ๆ ๆ เป็นเจ้าของโรงเจแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑลสายสอง เขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพี่เณรคำ ก็เลยดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แล้วดับไปพร้อม ๆ กัน แต่ศิษย์ในกรุงยังมีคนนับถืออยู่นะครับ ในฐานะเป็นเจ้าของไข่พญานาค และเหล็กไหลขาว อะฮ้า... ขอโทษ ผมไม่ได้เอ่ยอ้างชื่อใครนะ ฟ้องหมิ่นประมาทไม่ได้ครับ
    เรื่องเหล็กไหล วิ่งหาอยู่หลายช่วง เห็นเหล็กไหลที่เขาเอามาให้ดูก็หลายครั้ง ติดต่อขายกันเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่ใครจะขายต้องเอาของมาให้ลองกันก่อน และต้องเสียค่าโง่ล้านละหมื่น ถ้าคุณจะขายสิบล้านคุณต้องลงเงินแสน ถ้าจะขายร้อยล้านต้องลงเงินหนึ่งล้าน ถ้าเขายิงออกคุณต้องเสียเงินหนึ่งล้าน ถ้ายิงไม่ออก เขาจะซื้อคุณตามราคา แต่ไม่เคยทราบจริง ๆ มีคนเคยขายได้เงินบ้างมั้ย รู้แต่คนเสียเงินนะมีทุกวัน เพราะไม่ใช่เฉพาะเหล็กไหลที่ถูกวางเดิมพันกันเช่นนี้ เครื่องรางชนิดไหนที่ว่าเจ๋ง ใครอยากขายก็ต้องทดลองกันก่อน จะเอาเงินกันมาก ๆ มันก็ต้องเสียเงินลองกัน เจ้าของสินค้าคงไม่เจ็บตัว แต่นายหน้าที่อยากได้เงินสิ........ แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

    พระสมเด็จโต เป็นวัตถุมงคลอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนแสวงหาเป็นเจ้าของครอบครองในราคาแพง ๆ และมีการซื้อหากันจริง ๆ จ่ายเงินกันจริง ๆ ในราคาองค์ละหลายแสน หรือหลายล้าน โดยเฉพาะองค์ไหนชนะการประกวดราคาย่อมต้องสูงเป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าเป็นเจ้าของนกเขาราคาสิบล้าน เพราะพระสมเด็จไม่มีโอกาสตาย แต่คนที่เป็นเจ้าของพระสมเด็จก็มีเป็นพัน ๆ คน ที่โชคดีมีมหาเศรษฐีจ่ายเงินซื้อองค์ละสิบล้านจะมีสักกี่คน

    มีลูกศิษย์ขี้เมาของผมคนหนึ่งครอบครองสมเด็จเก่าแก่ 1 องค์ เธอก็โม้ขาประจำ องค์นี้มีคนให้แล้ว 2 แสน ไม่ปล่อย รอให้ได้ล้านแล้วจะปล่อย ผ่านไปหลายปีเจอกัน จึงถามว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2411-18x.jpg
      2411-18x.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.5 KB
      เปิดดู:
      9,302
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=3&Id=528184


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>พระสมเด็จปัญจสิริ 2

    พระสมเด็จปัญจสิริ 2
    ของดีที่คนมองข้าม
    [​IMG]

    ผมไม่ใช่เซียนพระ และแทบจะไม่สนใจแสวงหาพระเครื่องชนิดใด ๆ มาคล้องคอ เลย เวลาไปกราบครูบาอาจารย์ที่คนนับถือกันทั้งแผ่นดิน ผมก็ได้พระเครื่องติดไม้ติดมือมาทุกครั้ง ตั้งแต่สมัยผมเป็นพระจนออกมาเป็นฆราวาส ใครพบผมก่อน และสนใจพระเครื่องก็จะได้ไปครอบครอง ตัวผมเองก็รักษาไว้เพียงถ้อยคำสั่งสอนของพระคุณเจ้าผู้มอบวัตถุมงคลนั้นไว้ในจิตใจ และนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อความสงบสุขของชีวิตจิตใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นผมมีพระเครื่องคล้องคอ ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งใด ๆ ทั้งสิ้นยกเว้นนาฬิกาข้อมือและโทรศัพท์มือถือไว้ติดต่อกับผู้คนเท่านั้นแต่ในฐานะนักเขียน ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพระ ทั้งพระพูดได้และพระเครื่อง ได้ไปกราบครูบาอาจารย์มาทั่วประเทศ มันก็เป็นเรื่องปกติที่ผมย่อมพบเห็นพระเครื่องและเครื่องรางของขลังมากมายหลายชนิด หลายครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นธุรกิจพุทธพาณิชย์ที่เฟื่องฟูอยู่ในตลาดตามความนิยมของชาวพุทธไทย เปรียบเหมือนชาวยุโรปและอเมริกาชอบสะสมแสตมป์และภาพวาดของศิลปินชื่อดังและแสวงหากันในราคาแพง ๆ ฉะนั้น

    ดังนั้น ตลาดพระเครื่อง ความนิยมในพระเครื่องแต่ละรุ่น แต่ละครูบาอาจารย์จึงเป็นไปตามความนิยม ของผู้สนใจพระเครื่อง ที่เขาเรียกกันว่า นักเลงพระ...คนเล่นพระ...เซียนพระ แต่จุดหมายที่แท้จริงที่คนไม่ชอบพูดถึงคือ การเก็งกำไรจากวัตถุมงคลชิ้นนั้น ๆ ในอนาคต และแน่นอน คนในวงการนี้ชอบยกให้คนกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้นำหรือผู้ชี้ขาดในความศักดิ์สิทธิ์ ความนิยม และการตั้งราคาให้วัตถุมงคลทั้งหลาย นั้นคือ เซียนพระ ซึ่งในสายตาของผมแล้ว เซียนพระก็คือ นักปั่นราคาพระ เหมือนเซียนหุ้นปั่นราคาหุ้น
    <DIR>เซียนพระมีพระห้อยเต็มคอ แต่อาจไม่ได้สนใจในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเลย นอกจากราคาที่คิดเป็นเงินตราของวัตถุมงคลที่ห้อยคอ

    </DIR>ถ้าจะถามว่า ผมไม่เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางของขลังหรือ?
    ผมตอบว่า เชื่อ และเชื่อโดยไม่สงสัยใด ๆ ว่าพระเครื่องหรือวัตถุมงคลที่หลวงปู่ครูอาจารย์ผู้เก่งกล้าทางเวทวิทยาคมอัดพลังจิตลงไปนั้นมีคุณวิเศษแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบุญบารมี พลังศีลพลังธรรมของพระคุณเจ้าที่แผ่พลังลงไปในวัตถุมงคลนั้น ๆ และเชื่อว่าวัตถุมงคลนั้น ๆ มีเทพสถิตอยู่ เพื่อปกปักรักษาผู้ครอบครอง หรือส่งผลไปในทางไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้แผ่พลังปลุกเสก
    ยกตัวอย่าง อาจารย์ซ้วน หรือ เณรแอ แผ่พลังลงไป วิญญาณที่จะมาสถิตในเครื่องรางนั้นก็จะเป็นพวกกุมภัณฑ์ กุมภัณฑ์นี ผู้ไม่รู้อิ่มในราคะตัณหา ซึ่งเป็นพรรคพวกของผู้แผ่พลัง วิญญาณของพวกนี้ก็จะทำงานไปตามความชอบใจของเขา เช่น พระขุนแผน กุมารทอง อิ่น อีเป๋อ ปลัดขิก เป็นต้น เมื่อไปตกอยู่ในการครอบครองของผู้ใดก็จะทำให้ผู้นั้นชอบใจใหลหลง ไปในกามตัณหา และชักนำคนที่มีกามตัณหาเข้ามาหากัน ทำให้เกิดความหลงใหลกัน เป็นไปตามการกระตุ้นของจิตวิญญาณที่สถิตอยู่ในเครื่องรางนั้น ๆ

    ในฝ่ายที่ครูบาอาจารย์ผู้ทรงศีล ทรงฌานสมาบัติและทรงปัญญาเป็นผู้แผ่เมตตา เทพเทวาที่มาประชุมพร้อมกันก็เป็นเทพฝ่ายบุญกุศล ผู้ถึงพร้อมด้วยพรหมวิหารธรรม มีหน้าที่มาปกปักรักษามวลมนุษย์ก็เข้าสิงสถิตในวัตถุ
    มงคลนั้น ๆ ก็ย่อมดลบันดาลให้ผู้ได้ครอบครองวัตถุมงคลชิ้นนั้นๆ ให้ประสบกับความร่มเย็นเป็นสุข มีโชคลาภ ทำมาค้าขาย ซื้อง่ายขายคล่อง กลายเป็นคนร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะอิทธิฤทธิ์ ของเทพเทวาที่สถิตในวัตถุมงคลนั้น ๆ
    ผมมีความเห็น และความเชื่ออย่างนี้ และขอยืนยันว่าความจริงเป็นเช่นนี้โดยไม่ต้องไปเชื่อเซียนพระ

    ถ้าท่านผู้อ่านจะหาวัตถุมงคลเพื่อสิ่งใดก็ต้องดูอาจารย์ผู้สร้าง และปลุกเสกว่าเป็นคนแบบไหน มีพลังจิตแก่กล้าเพียงใด ท่านจะประสบผลตามที่ท่านหวัง ยกตัวอย่าง ถ้าท่านอยากให้คนรัก หลงใหลไปตามกามตัณหา แล้วไปหาสมเด็จไว้คล้องคอ ไม่มีเทพองค์ไหน ที่สถิตในพระสมเด็จทำตามที่ท่านหวังหรอกครับ ต้องตามไปขอเครื่องรางจากเณรแอ หรือหลวงพ่อซ้วนปลัดขิก เขาจะอยู่ที่ไหนก็ตามไปขอเองครับ

    ถ้าท่านจะแสวงหาพระเครื่องเมตตามหานิยม ค้าได้ขายรวย มีลาภเนืองนอง แต่ไปเช่าวัตถุมงคลจากหลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่ขาดลาภสักการะ แม้วัดของท่านเองก็อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ สร้างอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง คงมีให้เห็นแต่เสาโด่ๆ เด่ ๆ ถามว่าวัตถุมงคลของท่านจะให้ลาภเนืองนอง เป็นไปได้หรือ ท่านอาจจะดีทางแคล้วคลาดก็ได้ ก็ต้องไปหาวัตถุมงคลจาก ท่านครูบาสมจิต วัดสะแล่ง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ ดังนี้เป็นต้น แล้วท่านจะได้สมปรารถนาราคาไม่แพง

    แต่ถ้าชอบทางบู๊ ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ก็ต้องไปหาพระที่มีนิสัยแบบนักเลง ๆ หน่อย เช่น หลวงพ่อคูณ หรือไม่ก็ พระอาจารย์สุพจน์ วัดศรีทรงธรรม อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เป็นต้น

    แต่ถ้าท่านปรารถนา ของแพง มีชื่อ ศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ ท่านก็ต้องหาวัตถุมงคลของ สมเด็จโต พรหมรังสี วัดระฆังโฆษิตาราม ท่านย่อมไม่ผิดหวัง
    แต่ขอโทษครับ พระของสมเด็จโตวัดระฆัง วัดอินทรวิหาร วัดใหม่อมตรส วัดไชโยวรวิหาร ราคาเรือนล้าน คนชั้นล่างและชั้นกลางไม่มีสิทธิ์แน่นอน นอกจากท่านเศรษฐีและมหาเศรษฐีที่ควักเงินล้าน สิบล้านขนหน้าแข้งไม่ร่วง จึงมีสิทธิ์ครอบครองของหลวงปู่โต แต่มันก็ยังมีปัญหา ของแท้หรือเปล่า ?
    ท่านเศรษฐีก็วิ่งเข้าซบเซียนพระให้เป็นผู้ชี้ขาด เสียโง่เซียนพระอีก ฮึ....? ของจริงหรือ....?

    เรียนท่านเศรษฐี มหาเศรษฐี กฎุมพี มหากฎุมพี ท่านผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ท่านแสวงหาพระสมเด็จโตเพื่ออะไรครับ?

    ถ้าแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จโตแล้ว ท่านไม่ต้องไปเชื่อเซียนพระหรอกว่าต้องเป็นสมเด็จวัดบางขุนพรหม วัดระฆัง หรือวัดนั้นวัดนี้ที่หาได้ยากยิ่ง และราคาแพงมหาบรรลัย ทั้งพิสูจน์ได้ยากว่าของจริงหรือไม่จริง
    เก็บเงินล้านของท่านไว้ให้ลูกหลานเถอะ มาหาพระสมเด็จที่หลวงปู่โตและพระมหาเกจิอาจารย์ผู้เยี่ยมเวทยายุทธในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 เป็นผู้นั่งปรกเสกแผ่พลังที่อุโบสถวัดพระแก้วกันดีกว่า หาง่ายกว่า ของจริงแท้ พิสูจน์ง่าย และมีจำนวนมากพอตามความต้องการของท่านผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ทั้งราคาก็อยู่ในหลักหมื่นหลักแสนเท่านั้น

    จำได้มั้ยครับ เมื่อ พ.ศ.2523 ทางรัฐบาลได้เริ่มบูรณะวัดพระแก้ว เพื่อฉลองครบรอบ 200 ปี ใน พ.ศ.2525 ในงานนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มอบหมายให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเป็นผู้ควบคุมงานบูรณะ คนงานที่ช่วยรื้อถอนสิ่งเก่าแก่คร่ำคร่าเป็นคนอีสานเสียเป็นส่วนมาก เมื่อเขารื้อถอนกำแพง ระเบียง และองค์เจดีย์ ก็พบกรุพระเครื่องเก่าแก่จำนวนหนึ่ง ข้างในเป็นพระสมเด็จหลากสีสวยงาม จึงลักลอบนำออกมาจำหน่ายให้แผงพระ แถวท่าพระจันทร์เพียงองค์ละ 20-30 บาทเท่านั้น

    พวกเซียนพระหลายคน รับซื้อไว้จำนวนเล็กน้อย เพราะเห็นในความเป็นของเก่าแก่ แต่ไม่เชื่อว่าจะมีอานุภาพเหมือนของสมเด็จวัดระฆัง เพราะคนเล่นพระส่วนมากไม่มีญาณในสัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระได้ และเขาเป็นนักเล่นพระ ไม่ใช่เคารพบูชาพระ และคิดว่าคนงานอีสานเอาอะไรมาหลอกต้ม จึงไม่ให้ความสนใจ

    แต่พระชุดนี้ได้ตกไปอยู่ในมือของอีกหลายคนเป็นจำนวนที่มากพอ ที่มีเงินซื้อเก็บไว้จำนวนท่านละหลายร้อยองค์ จากคนเหล่านี้ก็ค่อยกระจายออกไปหาคนอื่นคนละองค์สององค์ บางท่านได้ไปหลายสิบองค์ บางท่านมีไว้ครอบครองเป็นจำนวนร้อย แต่ท่านเหล่านั้นเป็นคนใจบุญ จึงมักนำไปถวายพระที่คนเคารพนับถือเพื่อให้คนเช่าบูชาเพื่อนำทรัพย์ไปสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา ในวัดนั้น ๆ จึงมีคนโชคดีหลายท่านที่ได้รับพระสมเด็จหลากสีไปครอบครอบครองในราคาถูก ๆ เหมือนของไร้ค่า

    ต่อมาผมรู้เพิ่มเติมมาว่า พระสมเด็จวัดพระแก้วที่ทะลักออกมานี้ไม่ใช่น้อยเลย น่าจะเป็นแสนองค์

    เพราะหลังจากที่คนงานอีสานพบกรุและแอบใส่ปิ่นโตลำเลียงออกมาหลังเลิกงาน ความทราบไปถึงผู้ควบคุมระดับสูง ท่านจึงสั่งให้ค้นปิ่นโตคนงานทุกคน เมื่อออกจากวัดพระแก้ว ทีนี้คนงานจึงใช้วิธีใหม่ คือใส่ถุงปุ๋ยทำเป็นถุงขยะเศษอิฐปูน ดึงลากออกมากองไว้เหมือนถุงขยะ แล้วหาวิธีนำออก กลับนำออกได้จำนวนมากกว่า แต่เมื่อความทราบไปถึงผู้ควบคุมระดับสูง ท่านจึงให้ติดตามกลับคืน จึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสืบค้นตามแผงพระวัดราชนัดดา และท่าพระจันทร์ ก็ยึดคืนได้เป็นบางส่วน ที่ยึดได้ก็คงอยู่กับเจ้าหน้าที่ผู้ยึดได้ส่วนหนึ่ง กลับคืนวัดพระแก้วส่วนหนึ่ง

    รู้มั้ยครับ พระสมเด็จชุดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
    ถ้าท่านรู้ ก็รีบแสวงหาไว้ครอบครองเถิด นี่แหละคือสุดยอดของพระเครื่องในแผ่นดินสยาม มีศักดิ์ศรีและศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยกว่าพระสมเด็จโตวัดระฆัง ที่สมเด็จโตสร้างขึ้นมากับมือเลย และมีราคา องค์ละหลายสิบล้านในสมัยปัจจุบัน แต่พลังอิทธิฤทธิ์นั้นมากกว่าสมเด็จวัดระฆังหลายเท่า ทั้งนี้เพราะมีหลวงปู่ดำ พระในดงลี้ลับซึ่งเป็นอาจารย์ของสมเด็จกรมวังหน้า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล เป็นผู้ปลุกเสก
    อาจารย์เทพ สุนทรสารทูล ได้กล่าวถึงพระชุดนี้ไว้ในหนังสือ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2411-29x.jpg
      2411-29x.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.5 KB
      เปิดดู:
      7,178
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=528188&Ntype=3

    พระสมเด็จปัญจสิริ 3


    พระสมเด็จปัญญจสิริ
    โดย สันยาสี
    ..........................................................................................................................
    นับแต่เขียนเรื่องพระสมเด็จสายรุ้งหรือสมเด็จปัญญจสิริ รุ่นเจ้ากรมท่า หรือเจ้ากรมวังหน้า ก็ได้รับเสียงตอบรับเกรียวกราว วัน ๆ มีคนโทร.ถามอยู่เสมอ หลายท่านขอร้องให้หาข้อมูลเขียนเพิ่มเติมอีก ผมก็หาเต็มที่ ก็ได้ข้อมูลมาเขียนให้ท่านอ่านกันอีกตามกำลังสติปัญญาที่มีอยู่น้อยนิด และประสบการณ์บางประการ
    มีผู้อ่านบางท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อน ราว 20 ปีมาแล้ว เขาสนใจพระสมเด็จวัดระฆังมาก จึงแสวงหาครูอาจารย์ที่เชี่ยวชาญพระสมเด็จวัดระฆัง วัดบางขุนพรหม วัดใหม่อมตรส วัดไชโยวรวิหาร เป็นต้น แล้วเขาก็ไปพบผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการพระสมเด็จ ชื่ออาจารย์วิชิต (เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในวัยคุณตาแล้ว) คุณตาวิชิตได้ให้สติว่า อย่าไปแสวงหาพระสมเด็จดังกล่าวให้ยากเลย เพราะราคาแพงมาก ๆ และมีของปลอมแปลงเยอะ แม้เซียนยังแยกไม่ออกเลยว่าของจริงหรือของปลอม คนที่จะรู้ได้ว่าจริงหรือปลอมก็มีแต่คนที่มีญาณคือตาใน เมื่อจับก็รู้ทันทีว่าจริงหรือปลอม แว่นขยายไม่สามารถแยกแยะได้หรอก

    ท่านว่า ถ้าอยากได้พระสมเด็จของจริงแท้ไม่แปลกปลอม ให้หาสมเด็จวัดพระแก้ว รุ่นกรมวังหน้าสร้างเมื่อ พ.ศ.2411 ราคาไม่กี่บาท ไม่ถึงร้อย มีคละเคล้ากันอยู่ตามแผงพระวัดราชนัดดาและท่าพระจันทร์ พระชุดนี้ไม่มีเซียนพระคนไหนสนใจ ไม่มีคนเล่น จึงเป็นพระไม่มีราคา ถ้ามีเงินให้รีบเก็บสะสมไว้ พระรุ่นนี้มีคุณค่าไม่อาจประเมินเป็นเงินทองได้ ใครได้ไว้ครอบครองเหมือนมีแก้วสารพัดนึก เพราะโดดเด่นทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยม ทำมาค้าขายร่ำรวย ต่อไปภายหน้าจะเป็นของมีราคาไม่แพ้สมเด็จโตวัดระฆัง

    ชายหนุ่มจึงขอดูตัวอย่าง เมื่อจดจำลักษณะได้แม่นยำแล้วจึงเที่ยวแสวงหาพระสมเด็จเจ้ากรมท่า แถวแผงพระท่าพระจันทร์และวัดราชนัดดา ก็ได้มาเรื่อย ๆ ทีละ 5-6 องค์ จนสะสมได้ถึง 300 กว่าองค์ แต่เป็นของรักของหวงแหนที่ไม่ยอมปล่อยออกมาให้ใครเช่า

    เมื่อผมทราบดังนั้นจึงลองไปเที่ยวเอากล้องส่องดูแถวท่าพระจันทร์ ก็ไม่พบ แต่มีของใหม่ที่ทำขึ้นในยุคหลังอยู่ประปราย เมื่อสอบถามเจ้าของร้านขายพระเครื่อง เขาว่าพี่อย่าไปหาให้เสียเวลาเลย คนตาดีเขาเก็บไปหมดแล้ว แม้ของทำเทียมก็หาน้อยแล้ว เพราะทุกวันนี้สีก็แพง การกดพิมพ์และเกลี่ยสีก็ทำลำบาก ทำออกมาขายองค์ละไม่กี่บาทมันไม่คุ้ม จึงไม่มีใครทำออกมาอีก

    ผมก็ถึงบางอ้อ พระชุดนี้มีคนทำขึ้นมาเลียนแบบจริง ๆ แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนของจริง เพราะจุดหมายของเขาไม่ได้ตั้งใจปลอมให้เหมือน คิดเพียงทำให้เป็นหลากสีเหมือนสายรุ้ง และของที่ทำขึ้นมาใหม่นั้นค่อนข้างเลอะเลียน เพราะใช้ถอดพิมพ์จากของเก่า ของจริงที่ทำมาแต่ช่างสิบหมู่นั้นองค์พระจะคม ชัดเจน แม้บางองค์จะดูใหม่ก็ตาม แต่ที่ดูใหม่เป็นพิมพ์ 2451 รุ่นสร้างพระบรมรูปทรงม้า ที่แลดูใหม่นั้นเพราะสร้างจากปูนกังไส เช่นเดียวกับถ้วยกังไสลายครามฉะนั้น เมื่อล้างให้สะอาดจึงแลดูใหม่เสมอ แต่อิทธิคุณนั้นจะหาพระเครื่องในยุคหลังเสมอเหมือนนั้นยาก แม้พระที่ทำมาก่อนก็คงยอมแพ้เฉพาะรุ่น กรมวังหน้า 2411 เท่านั้น และกรุ 2451 นี้จะมีพิมพ์พระบรมรูปทรงม้า (มีอักษรจารึกใต้ฐานว่า รศ.๑๒๗) พิมพ์พระบรมฉายาลักษณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์สมเด็จโตโล้พาย อยู่ 2-3 แบบ และอีกมากมายหลายพิมพ์ ด้านหลังมีตราประทับมากมายหลายชนิดเช่น ตราครุฑ ตราช้าง ตราจักร ตราอรหัง ตราพระเกี้ยว ตราพระบรมฉายาลักษณ์ ร.๕ ตราแผ่นดิน เป็นต้น แทบทุกองค์จะมีเศษตะไบทองผสมอยู่มากบ้างน้อยบ้าง ส่วนมากจะเป็นพระหลากสีคือสายรุ้ง แต่ที่เป็นสีปูนกังไสลงรักปิดทองก็มี เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าไม่มีคนเสียสติคนไหนจะทำปลอมขึ้นมาเพื่อขายในราคาไม่กี่บาท เพราะฝีมือละเอียด ประณีตบรรจง พิมพ์ชัดเจน แค่ผงตะไบทองที่ผสมในองค์พระก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นของหลวงทำขึ้นมาในพระราชพิธีที่สำคัญของบ้านเมือง

    ด้วยความอยากรู้รายละเอียด ผมจึงเข้าค้นในอินเตอร์เน็ต เข้าไปในเว็บไซด์ Google ป้อนคำว่า พระสายรุ้ง ก็คงพบแต่พระสายรุ้งของเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพสิรินทร์ เมื่อป้อนคำว่า พระสมเด็จกรมวังหน้า พระสมเด็จเจ้ากรมท่า พระสมเด็จปัญญจสิริ พระสมเด็จเบญจรงค์ ก็ไม่ปรากฏว่ามีพระชื่อนี้อยู่อินเตอร์เน็ต บ่งว่าพระชุดนี้ไม่อยู่ในสาระบบการค้าของนักเล่นพระจริง ๆ และไม่มีใครกล้าที่จะเผยแพร่ เพราะเป็นของต้องห้าม เนื่องด้วยถูกลักลอบนำออกจากวัดพระแก้วคราวบูรณะนั่นเอง เมื่อป้อนคำว่าเจ้ากรมท่า เจ้ากรมวังหน้า กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสถานมงคล ก็ไม่ปรากฏมีชื่อเหล่านี้อยู่ในอินเตอร์เน็ต

    ผมจึงเข้าไปดูในราชกิจจานุเบกษา แล้วป้อนคำว่า พระบรมรูปทรงม้า ก็ได้ความทีเดียว มีปรากฏในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 25 กล่าวถึงการสร้างพระบรมรูปทรงม้าในรัชกาลที่ ๕ ร.ศ.๑๒๗ (พ.ศ.2451-52) ตรงกับพระพิมพ์บรมรูปทรงม้าที่มีอักษรจารึกไว้ แต่ในเนื้อหาไม่ได้บ่งไว้ว่ามีการสร้างพระพิมพ์ต่างๆ ขึ้น แสดงว่าการพระราชพิธีสร้างพระเครื่องต่างๆ นั้นท่านไม่ได้จารึกไว้ในพระราชกิจจานุเบกษา เป็นสิ่งที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ขอบรมราชานุญาติสร้างขึ้น และพระราชาทรงร่วมประกอบพิธี แต่ไม่ได้บรรจุไว้ในความสำคัญของงานราชการ แต่พระพิมพ์ต่าง ๆ ที่ทำขึ้นนั้นเป็นหลักฐานฟ้องเหตุการณ์ไว้ แสดงว่าพระสมเด็จปัญจสิริรุ่น 2451 นั้นมีจริงตามที่คุณตาประถม อาจสาคร ได้เล่าให้ฟังเมื่อคราวผมไปเยี่ยมท่านถึงบ้าน และผมมาทราบภายหลังว่าคุณตาประถม อาจสาคร เป็นหลานแท้ ๆ ของคุณปู่เจ้าพระยาภาณุวงษ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ท่านจึงรู้ประวัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณปู่ของท่าน รวมถึงเรื่องการสร้างพระสมเด็จเจ้ากรมท่า เป็นอย่างดี

    นอกจากนั้น ทางนิตยสารพุทธามหาเวทได้รับจดหมายจากนายพล ท่านหนึ่ง เป็นจดหมายส่งทางแฟกซ์ 1 หน้า ความย่อว่า ท่านนายพลเคยเข้าเฝ้าหม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ ซึ่งเป็นพระโอรสในกรมหลวงประจักษ์(เป็นพระราชโอรสต่างมารดาในรัชกาลที่ ๔ ของพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕) หม่อมเจ้าได้ทรงประทานพระสมเด็จฉัพพรรณรังสีให้ท่านนายพล 1 องค์ และเล่าว่า เสด็จพ่อท่านไปกราบขรัวจาด วัดภาณุรังษี คลองบางพลัด ซึ่งเป็นสหธรรมิกของหลวงปู่โต ท่านก็หารือว่าอยากทำพระสีเนื้อผงบ้าง จึงไปเฝ้าท่านท้วม บุนนาค ซึ่งอยู่กับท่านข้างหน้า(คนโบราณเรียกวังหน้าว่าท่านข้างหน้า) เมื่อหารือแล้วตกลงสร้างพระชุดนี้ขึ้น

    สีของพระเอาสีธรรมชาติมาผสมได้แก่ ขมิ้น ได้แก่สีเหลืองที่ปรากฏในองค์พระ สีแดงเป็นสีชาด สีเขียวได้มาจากสียางไม้ (น้ำเขียว ๆ ของคอร์เลอร์ฟิวส์)
    คณาจารย์ปลุกเสก มี หลวงพ่อทัด (สมเด็จพระพุทธบาทปิลันท์) หลวงพ่อจาด วัดภาณุรังสี หลวงปู่ดำ วัดอัมรินทร์ บางกอกน้อย องค์ของ มรว.ทรงวุฒิ เกษมสันต์ ก็เป็นเหมือนกันเช่นนี้ พระชุดนี้ดีทางเมตตา โชคลาภต่าง ๆ แคล้วคลาด พระชุดนี้ปลุกเสกที่วังหน้า (พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติปัจจุบัน) ท่านข้างหน้าเป็นประธาน ท่านท้วม บุนนาค เป็นรองประธาน

    ท่านนายพลให้ความเห็นว่า หลวงปู่โตไม่ได้ปลุกเสกพระชุดนี้ เพราะท่านจากไปก่อน ซึ่งขัดกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพราะหลวงปู่โต สิ้นชีพิตักษัยปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เมื่อไปดูแลการสร้างหลวงพ่อโตอุ้มบาตร วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม แต่พระชุดนี้สร้างปี ๒๔๑๑ เนื่องในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของเสด็จ ร.๕ ดังเรื่องที่อาจารย์ เทพ สุนทรศารทูล ได้เขียนเล่าไว้ว่า
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเสวยราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ ตามคำปรึกษายินยอมของเจ้านายขุนนางที่มาประชุมกัน ฝ่ายสงฆ์มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นประธาน ฝ่ายเจ้านายมีกรมพระเทเวศวัชรินทร์ เจ้านายผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นประธาน ฝ่ายขุนนางมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)เป็นประธาน และเป็นประธานใหญ่ในที่ประชุมนั้นด้วย

    เมื่อพระยาศรีสุริยวงศ์ถามที่ประชุมว่า สมควรจะให้เจ้านายพระองค์ใดขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป ขอให้เสนอพระนามในที่ประชุมนี้ทราบ
    ขณะนั้น กรมพระยาเทเวศวัชรินทร์ เจ้านายอาวุโสสูงสุด สืบสายมาจากรัชกาลที่ ๒ ได้คุกเข่าลงประนมพระหัตถ์ตรัสขึ้นว่า สมควรถวายราชสมบัติแก่สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสองค์โตของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระเดชพรคุณสูงสุดแห่งแผ่นดินมาแต่ก่อน ให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ เพื่อความสงบสุขของแผ่นดิน

    เมื่อที่ประชุมนิ่งดุษณี จึงถือว่าที่ประชุมยอมรับตามแบบของการประชุมสมัยโบราณ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ จึงเสด็จขึ้นเถิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ ขณะนั้นพระองค์มีพระชนม์ ๑๖ พระชันษา จึงให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งประหารชีวิตคนที่ต้องโทษมหันต์ได้เสมอพระเจ้าแผ่นดิน

    แม้แต่กรมขุนวรจักรธรานุภาพ พระราชโอรสของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ไม่กล้าออกจากวังอยู่นาน เพราะไปคัดค้านท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เรื่องตั้งกรมหมื่นบวรวิชัยชาญเป็นพระมหาอุปราช ว่าที่ประชุมไม่มีอำนาจตั้ง เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งเอง เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงตวาดว่า ที่ว่าเช่นนี้เพราะอยากจะเป็นเสียเองใช่ไหม กรมขุนวรจักรธรานุภาพจึงนั่งสงบเงียบ และไม่กล้าออกจากวังมานับแต่บัดนั้น

    บุคคลในตระกูลบุนนาคที่มีอำนาจมากอีกคนหนึ่งคือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ว่าราชการกรมท่า หรือกระทรวงต่างประเทศในกาลต่อมา เจ้าพระยาองค์นี้เป็นที่เคารพยำเกรงพระทัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก เมื่อเสด็จพบเจ้าพระยาองค์นี้(สมัยนั้นเรียกว่าองค์) พระองค์จะประครองอัญชลีกระพุ่มพระหัตถ์ขึ้นไหว้ก่อน และตรัสเรียกว่าคุณตา ตามคำเรียกของเจ้าจอมมารดาแพ หรือคุณพระประยูรวงศ์พระสนมเอกเรียก
    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิ บดี ได้คิดสร้างพระเครื่องขึ้นเป็นที่ระลึกในการเสด็จขึ้นเสวยราช ใน พ.ศ.๒๔๑๑ ได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาติสร้างขึ้นตามแบบพระสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ซึ่งมีแม่แบบพิมพ์อยู่ที่วัดระฆัง และสร้างแบบพิมพ์ขึ้นใหม่บ้าง แต่ให้เป็นทรงนิยมในเวลานั้น

    เนื้อพระนั้นทำด้วยปูนกังไส ผงตะไบทอง ผงแก้วทรายจากหาดทรายเมืองพัทยา และให้สร้างเป็นพระฉัพพรรณรังสี คือมีสี 6 ประการ จากรังสีที่พระพุทธะเจ้าเคยเปล่งแสดงปาฏิหาริย์ปราบมารคือ สีขาว เหลือง แดง แสด เขียว ฟ้า ผสมสีสลับกันในองค์เดียวกัน พระเครื่องชุดนี้จึงมี 6 สี แปลกกว่าพระสมเด็จรุ่นอื่น ๆ ทุกองค์มีผงตะไบทอง ตะไบแก้ว ไม่มีพระสมเด็จรุ่นใดเหมือน เนื้อแกร่งมาก บางองค์หนึกนิ่ม มีแสงแวววาว แบบพิมพ์สวยงามมากยิ่งกว่าพระสมเด็จรุ่นอื่น ๆ นอกจากนั้นยังมีเครื่องหมายตราราชการว่าเป็นพระของหลวงคือมีตราครุฑ ตราช้าง ตรามงกุฎ ตราฉัตร ตราพระปรมาภิไธย จปร.

    พระสงฆ์ที่อาราธนามากระทำพิธีพุทธาภิเษกที่พระอุโบสถวัดพระแก้ว(วังหน้า) คือสมเด็จพระพุฒาจารย์โต กรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธ์(กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) พระพุทธบาทปิลันธน์ และพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นอีกหลายรูป ทำพิธีครบรูปแบบโบราณ เป็นพิธีใหญ่โตมาก ทำพิธีเสร็จแล้วก็แจกเป็นที่ระลึกแก่เจ้านายขุนนางทั่วไป ที่เหลือบรรจุไว้ในเจดีย์รอบระเบียงอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และบนเพดานโบสถ์วัดพระแก้ววังหน้าและพระแก้วมรกต

    พระสมเด็จรุ่นนี้จึงเป็นพระเครื่องพิเศษ เป็นพระเครื่องของหลวงโดยตรง เป็นพระเครื่องมีศักดิ์สูง เป็นพระเครื่องที่มีสิริมงคลพร้อมด้วยวัตถุธรรมและนามธรรม รูปแบบสวยงามคมชัด เนื้อแกร่ง มีน้ำหนัก พร้อมด้วยมวลสาร ใครได้พบแล้วรีบเก็บไว้บูชาพกติดตัวไว้เป็นสิริมงคล จะอภิบาลรักษาให้เกษมสุข รอดปลอดภัยจากอุปัทวันตรายทั้งมวล ไม่มีพระเครื่องรุ่นใดเหนือกว่าเลยทั้งวัตถุธรรมและนามธรรม

    ผู้ใดได้พบเห็นก็นับว่าเป็นโชคของผู้นั้น ผู้ใดมีไว้ในบ้านเรือนก็นับว่าเป็นสิริมงคลอย่างสูง ผู้ใดพกติดตัวไปก็จะคุ้มโพยภัยอันตรายทุกสิ่งทุกประการ ผู้ใดพกพระสมเด็จวัดพระแก้วติดตัวจะไม่ตายโหง
    พ.ศ.๒๔๒๕ เฉลิมฉลองพระนคร
    ใน พ.ศ.๒๔๒๕ เป็นปีเฉลิมครบรอบ ๑๐๐ ปีกรุงเทพมหานคร ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีงานฉลองเป็นการใหญ่ ๒ ประการคือ
      1. โปรดเกล้าให้ให้พิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทย เรียกว่าฉบับสยามรัฐ แจกจ่ายไปยังพระอารามหลวงและอารามเจ้าคณะอำเภอจังหวัดทั่วประเทศ เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งสำคัญในพระพุทธศาสนา
      2. โปรดเกล้าให้สร้างสมเด็จพระแก้วมรกตขนาดเล็กขึ้น เป็นพระเครื่องแจกจ่ายไปทั่ว เป็นแบบเดียวกับที่เคยสร้างใน พ.ศ.๑๔๑๑ มีสีสันและรูปทรงเดียวกับสมเด็จพระแก้วฉัพพรรณรังสีเมื่อครั้งก่อน ใช้มวลสารอย่างเดียวกัน
    <DIR><DIR>คราวนี้กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธานสงฆ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัต เสนีย์วงศ์)วัดพระเชตุพน เป็นพระสวดพุทธาภิเษก พร้อมด้วยพระเกจิอาจารย์มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ๑๐๘ องค์ ทำพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    พ.ศ.๒๔๕๑
    มีการสร้างพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ในคราวนี้โปรดให้สร้างเหรียญพระบรมรูปทรงม้าแจกเป็นที่ระลึกด้วย พร้อมด้วยพระเครื่องสมเด็จ และพระบรมรูปทรงม้า ทำด้วยเนื้อผง ๖ สี ที่สร้างพระสมเด็จคราวก่อน สร้างจำนวนเท่า พ.ศ.ปีที่สร้าง
    น่าเศร้าใจที่ต่อมา วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ก็ทรงเสด็จสวรรคต เหมือนว่าพระสมเด็จวัดพระแก้วรุ่นนี้จะเป็นรุ่นสุดท้าย ต่อมาไม่มีการสร้างพระสมเด็จด้วยผงฉัพพรรณรังสีอีกเลย
    ในการสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้วคราวนี้ได้เพิ่มแบบพิมพ์ขึ้นอีก ๔ แบบคือ

    </DIR></DIR>
    1. <DIR><DIR><DIR><DIR>
      1. รูปสมเด็จโตในท่าลอยตัว นั่งภาวนาในซุ้มม่านแหวก
      2. รูปสมเด็จโตโล้เรือ ใต้รูปพระปฏิมากร
      3. รูปพระปฏิมากรยกพระหัตถ์ข้างขวารับข้าวมธุปายาสใต้ต้นมหาโพธิ์
      4. ในแบบพิมพ์เล็กรูปใบโพธิ์ มีทั้งแบบฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว

      </DIR></DIR></DIR></DIR>
    <DIR><DIR>พระทั้ง ๔ แบบทำด้วยผงปูนขาว (น่าจะเป็นผงปูนกังไส) ผสมสี ๖ สี เนื้อเดียวกันทั้งหมด นับเป็นรุ่นสุดท้าย จากนั้นไม่สร้างแบบนี้อีกเลย
    เหรียญพระแก้วมรกต ๑๕๐
    ตกมาถึง พ.ศ.๒๔๗๕ ต้องคำพยากรณ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าว่า กรุงเทพ ฯ จะสืบสันตติวงศ์ไปนาน ๑๕๐ ปี นับแต่ พ.ศ.๒๓๒๕ เมื่อครบ ๑๕๐ ปี ใน พ.ศ.๒๔๗๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี จึงมีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันในวงศ์เจ้านายและขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวง

    พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแม้จะเป็นพระมหากษัตริย์สมัยใหม่ ทรงรับการศึกษาจากต่างประเทศ แต่ก็ปริวิตกในคำพยากรณ์ จึงทรงแก้เคล็ดด้วยการสร้างสะพานขนาใหญ่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างเสร็จเปิดสะพานในวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๗๕ ให้ชื่อ สะพานพระพุทธยอดฟ้า

    พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าให้สร้างเหรียญพระแก้วมรกตขึ้น ทำด้วยทองคำ เงิน ทองแดง เป็นเหรียญกลม แกะบล็อกจากต่างประเทศ สร้างจำนวนจำกัดแจกในราชวังสำหรับเจ้านายขุนนางและข้าราชการชั้นสูงเท่านั้น เป็นต้องการของนักสะสม พากันแสวงหากันในราคาแพง


    </DIR></DIR>หนังสืออ้างอิง สมเด็จพระแก้วมรกต โดย เทพ สุนทรสารทูล สำนักพิมพ์ดวงแก้ว 2544
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    60-80 ปี ย่อเหลือ 50 วินาที เห็นเป็นสัจจธรรมทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลาย ขอบคุณครับ พี่เม้า
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณครับลุงเม้า

    ขอเสริมสักนิดนะครับ

    เจ้าเกิดมา มีอะไร มาด้วยเจ้า
    เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
    เจ้ามามือเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร
    เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

    ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
    มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
    ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
    แม้ร่างตน เขายังเอา ไปเผาไฟ

    ขอขอบพระคุณผู้แต่งเป็นอย่างสูง และผมขอโทษที่จำไม่ได้ว่า ท่านผู้เขียนกลอนนี้ เป็นท่านใด หากท่านใดที่ทราบ รบกวนช่วยแจ้งให้ทราบด้วย ขอบคุณล่วงหน้าครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3333.gif
      3333.gif
      ขนาดไฟล์:
      279.6 KB
      เปิดดู:
      6,855
    • 267.gif
      267.gif
      ขนาดไฟล์:
      24.3 KB
      เปิดดู:
      5,099
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมได้โอนเข้าบัญชีคุณกัญญา เมื่อเวลา 10.24 น. ของวันนี้เรียบร้อยแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...