ต้องมนต์ “กุ้ยหลินริมโขง” ที่ นครพนม นครที่มากด้วยความสุข

ต้องมนต์ “กุ้ยหลินริมโขง” ที่นครพนม
นครที่มากด้วยความสุข​

พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย

ด้วยความเป็นเมืองริมฝั่งโขงอันสงบงาม น่าอยู่ อากาศดี มีธรรมชาติร่มรื่น ผู้คนมีน้ำมิตรไมตรี ทำให้“นครพนม”

ได้รับตำแหน่งแชมป์จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย(ในช่วง 5 ปีล่าสุด : จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ)

ขณะที่ในมิติด้านการท่องเที่ยวนั้น หลังจังหวัดนครพนมเปิด“สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3”

เชื่อม 2 ฝั่งโขงไทย-ลาว ระหว่างนครพนม-กับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว

สภาพการณ์การท่องเที่ยวในนครพนมก็ดูจะคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาใช้สะพานแห่งนี้ข้ามไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้าน

จึงทำให้ทาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ผุดไอเดียท่องเที่ยว 3 ประเทศ ภายใต้โครงการ “วันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ”

โดยใช้นครพนมเป็นฮับเชื่อมต่อไปยังลาว-เวียดนาม


สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3

สำหรับนครพนม แม้ที่ผ่านมา(หรือแม้กระทั่งในวันนี้)จังหวัดนี้จะถูกนักท่องเที่ยวหลายๆคนมองข้าม ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวรอง

แต่ถ้าใครได้มีโอกาสมาละเลียดเที่ยวที่นครพนมก็จะพบว่าเมืองนี้มีเสน่ห์อันชวนเที่ยวไม่น้อย

แน่นอนไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของนครพนม ต้องยกให้ “พระธาตุพนม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของเมืองไทย กับประเพณี “ไหลเรือไฟ” ในช่วงวันออกพรรษา

ขณะที่ในตัวเมืองนครพนมที่ล่าสุดเป็นดังฮับเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น เริ่มเป็นที่นิยมของพวกที่ชอบเที่ยวแบบ Slow Travel (แบบเนิบช้า)

ชมเมืองและสัมผัสความสงบงาม วิถีชีวิตอันเรียบง่าย ชมตึกเก่า ขี่จักรยาน นั่งชิลล์ ชิลล์ ชมบรรยากาศริมฝั่งโขง


นครพนมเมืองสงบงามริมฝั่งโขง ที่เหมาะต่อการขี่จักรยานเที่ยวชมเมือง

ริมฝั่งโขง

สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวในตัวเมือง แบ่งออกเป็น 2 เส้นทางหลักๆ คือ ทางบก กับทางน้ำ

เส้นทางบก

เป็นเส้นทางท่องเที่ยวเลาะริมฝั่งโขงบน“ถนนสุนทรวิจิตร” ที่ฟากฝั่งหนึ่งเป็นอาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม ตลาด ชุมชน

ฟากหนึ่งติดแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามมองเห็นเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว ซึ่งเดิมบริเวณนี้เป็นด่านข้ามแดนสำคัญ(ทางน้ำ)ของนครพนม

ก่อนจะมีสะพานมิตรภาพฯ แต่วันนี้แม้สร้างสะพานแล้วก็ยังมีคนเลือกที่จะข้ามไปมาหาสู่กันทางเรืออยู่จำนวนหนึ่ง

การเที่ยวเลาะริมโขงนี้ จะขับรถเที่ยว ขี่จักรยานเที่ยว หรือเดินเที่ยวก็สุดแท้แต่ เพราะจุดท่องเที่ยวเด่นๆบริเวณนี้ อยู่ไม่ไกลกัน สามารถเดินเที่ยวได้


วัดนักบุญอันนา หรือ โบสถ์หนองแสง

ทางทิศเหนือ “วัดนักบุญอันนา” หรือ “โบสถ์หนองแสง”

วัดในศาสนาคริสต์อายุเกือบร้อยปี สร้างขึ้นปี 2469 ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยคริสต์เชื้อสายเวียดนามในอำเภอเมือง

ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิกมีหอคอยคู่ยอดแหลมโดดเด่น สมัยสงครามเวียดนามโบสถ์หลังนี้ได้รับความเสียหายจากระเบิด

ก่อนจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมภายหลัง ช่วงวันคริสต์มาสจะมีงานแห่ดาวโดยชาวคริสต์แต่ละชุมชนจะประดิษฐ์ดาวขนาดใหญ่รูปแบบต่างๆ แล้วแห่มารวมกันไว้ที่นี่


พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่า ฯ

ทางใต้เป็น “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(หลังเก่า)” อดีตจวนผู้ว่าราชการ จ.นครพนม เก่า

ที่ปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนม ประวัติการก่อสร้างอาคารหลังนี้

เรื่องราวการเสด็จจังหวัดนครพนมของในหลวงและพระราชินี รวมไปถึงงานประเพณีต่างๆของชาวนครพนม

ความโดดเด่นคืออาคารที่สร้างในสไตล์ “เฟรนซ์โคโลเนียล” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของกลุ่มอาคารเก่าจำนวนหนึ่ง

ในตัวเมืองเก่านครพนมที่สร้างในรูปแบบนี้ อาคารเหล่านี้สร้างขึ้นในยุคล่าอาณานิคม

ที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองลาว เวียดนาม เขมร ที่นอกจากพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าแล้วก็ยังมี พิพิธภัณฑ์หอสมุดแห่งชาติเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของตึกเก่ากลางเมือง


หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์

สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งบริเวณถนนสายนี้คือ “หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์” ที่อยู่ไม่ไกลจากจวนผู้ว่า

หอนาฬิกาแห่งนี้ ชาวเวียดนามที่เคยอพยพมาอยู่เมืองไทยสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนม

เมื่อคราวย้ายกลับประเทศ ในปี พ.ศ. 2503 โดยในละแวกหอนาฬิกามีบ้านเรือนเก่าทรงสวยงามน่าถ่ายรูปอยู่หลายหลัง

แล้วก็ถึง “ตลาดอินโดจีน”แห่งนครพนม ตลาดใหญ่แหล่งรวมเอาของกิน ของใช้ เสื้อผ้า ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากประเทศจีน หลายชนิดเป็นของก็อปปี้(ของ)แท้ที่ได้รับความนิยมจากนักช้อปเป็นจำนวนมาก

 

วัดโอกาสศรีบัวบาน

บนถนนสายนี้มีวัดสำคัญ อยู่ 2 แห่ง วัดแรกคือ“วัดโอกาสศรีบัวบาน” ตั้งอยู่ติดกับตลาดอินโดจีน(ด้านข้างทางทิศเหนือ)

วัดนี้ประดิษฐาน “พระติ้ว”-“พระเทียม” พระพุทธรูปคู่แฝดที่เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครพนม ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะกราบไหว้กันไม่ได้ขาด

วัดสำคัญอีกวัดหนึ่งคือ “วัดมหาธาตุ” วัดแห่งนี้มี “พระธาตุนคร”

พระธาตุศักดิ์สิทธิ์สำคัญกลางเมือง ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระสีวลี พระพุทธรูปทองคำ

และของมีค่าต่างๆ เป็นที่เคารพสักการะของคนนครพนม องค์พระธาตุองค์ปัจจุบัน มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส คล้ายพระธาตุพนมองค์เดิม

และนั่นก็คือจุดท่องเที่ยวเด่นๆบนถนนสุนทรวิจิตรริมฝั่งโขง ที่ในยามค่ำคืนสิ่งก่อสร้างสำคัญๆบนถนนแห่งนี้

จะมีการฉายไฟสปอร์ตไลท์สาดส่อง ช่วยเน้นสถาปัตยกรรมเหล่านี้ให้ดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น

นอกจากนี้บนถนนสายนี้ยังมีร้านอาหารริมโขงทั้งบรรยากาศเก๋ๆและบรรยากาศแบบบ้านๆให้เลือกนั่งกันหลายร้าน

นับเป็นสีสันริมฝั่งโขงกลางเมืองนครพนมที่มากไปด้วยเสน่ห์ชวนสัมผัส


พระธาตุนคร แห่งวัดมหาธาตุ

กลางฝั่งโขง

ในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นพฤษภาคม ช่วงแม่น้ำโขงลดระดับลงสุดๆ

แม่น้ำโขงบริเวณหน้าเมืองนครพนม จะเกิดเป็นหาดทรายน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีชื่อเรียกขานว่า

“หาดทรายทองศรีโคตรบูรณ์” หรือ "หาดทรายทอง"

ซึ่งในช่วงเช้า หาดทรายที่นี่ยามถูกแสงแดดส่องต้องกระทบจะเกิดเป็นริ้วสันดอนทรายสีทองอันงดงามจนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์


ทิวทัศน์แม่น้ำโขงฝั่งลาว ในบรรยากาศกุ้ยหลินริมโขง

ช่วงหน้าน้ำ แม่น้ำโขงที่มีสายน้ำไหลรี่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ซึ่งทางจังหวัดได้จัดกิจกรรม

"ล่องเรือชมทิวทัศน์ริมฝั่งโขง"ขึ้น ช่วง 5 โมงเย็นของทุกๆวัน

จุดล่องเรือจะอยู่ที่ท่าเรือหน้าตลาดอินโดจีน ราคาค่าเรือ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท เรือที่ล่องเป็นเรือ 2 ชั้น แล้วแต่ใครจะเลือกนั่ง

ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกนั่งบนดาดฟ้าชั้น 2 เพราะสามารถนั่งกินลมชมวิวได้ชัดเจน บนเรือมีอาหารกินเล่น และเครื่องดื่มขาย หม่ำไป ชมวิวไป


บรรยากาศบนเรือชั้นสอง

ถ้าตั้งใจฟังวิทยากรผู้บรรยายนอกจากจะได้ความรู้ ความสำคัญของจุดต่างๆที่เรือล่องผ่านแล้ว ยังได้ความฮาเป็นอาหารเสริม

เรือจะล่องออกจากจุดเริ่มต้นไปสิ้นสุดที่วัดนักบุญอันนา ก่อนแล่นกลับเลี้ยวเข้าไปใกล้ฝั่งลาว ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง


ระหว่างทางล่องแม่น้ำโขง มีวิวทิวทัศน์ริมฝั่งโขงไทย-ลาวให้ชม


วิวริมโขงฝั่งไทย

ในฝั่งไทยมีจุดเด่นๆ อาทิ ตลาดอินโดจีน สวนสาธารณะริมโขงที่ยามเย็นจะมีแม่บ้านมาเต้นแอโรบิกออกกำลังกาย

มองเห็นบ้านเรือนริมน้ำ กระชังปลา บ้านเรือนแพ สภาพบ้านเมืองริมน้ำของฝั่งไทยที่มีการสร้างเขื่อนกันแม่น้ำโขงกัดเซาะไปตลอดแนว


บ้านเรือนแพกับวิถีริมน้ำฝั่งไทย

ส่วนฝั่งลาวนั้นเป็นฝั่งท่าแขกมีความเป็นชนบทมากกว่าฝั่งไทย มีสภาพเป็นแนวป่าไม้ มีบ้านเรือนแทรกประปราย

ท่ามกลางแนวทิวเขาทอดยาวขึ้นเป็นฉากหลัง สำหรับจุดที่ดูเจริญทางสิ่งก่อสร้างมากที่สุดในฝั่งลาว

เห็นจะเป็นที่ตัวเมืองท่าแขกที่มีด่านข้ามแดน ท่าเรือข้ามมาฝั่งไทย โรงแรม อาคารเก่าสไตล์เฟรนซ์โคโลเนียล

แม้สิ่งก่อสร้างที่เมืองท่าแขกจะยังดูขึ้นอยู่แบบหลวมๆ แต่หากเทียบกับเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน

ต้องยอมรับว่าสิ่งก่อสร้าง ความเจริญทางวัตถุในลาวผุดขึ้นมาเยอะทีเดียว


ด่านข้ามแดนท่าแขก

สำหรับการล่องเรือในเขตใกล้ฝั่งลาว(ขากลับ) ทิวทัศน์ที่เป็นมุมไฮไลท์ก็คือวิวฝั่งไทย ที่มองเห็นพระอาทิตย์ตก บ้านเรือนวัดวาอารามริมน้ำที่ชวนมอง

ทิวทัศน์ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ วิวของภูเขาที่ทอดแนวตั้งตระหง่าน มองเห็นเป็นแนวสูง-ต่ำสลับไปมา

บางช่วงมีแนวเขาซ้อนชั้นให้มิติลึกเข้าไปอีก หลายๆคนเรียกวิวภูเขาริมโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว” หรือ “กุ้ยหลินริมโขง”

วิวริมฝั่งโขงที่นอกจากจะมีความงามแล้วยังมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นไม่น้อย


ทิวทัศน์เมืองท่าแขก ริมโขงฝั่งลาว

และนี่ก็คือเสน่ห์แห่งลำน้ำโขงของนครพนมที่ช่วงน้ำหลาก น้ำแห้ง มีมนต์อันชวนสัมผัสแตกต่างกันไป

ซึ่งทั้งเสน่ห์ทางบกและทางเสน่ห์ทางน้ำของตัวเมืองนครพนม ล้วนต่างน่าแวะไปเยี่ยมชม

***********************************************************

ที่มาTravel - Manager Online - ��ͧ����������Թ���⢧ ��� ���þ��� �����觤����آ����ش������/���� �ص��

 

สวยงามมากมาย น่าไปเที่ยวมาก

 

ขอบคุณสำหรับแนะนำที่เที่ยว

 

่น่าไปเที่ยวครับ