จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    อย่ากล่าวว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม

    "เมื่อเวลาทำงาน เอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่งาน
    จะเป็นงานอะไรก็ได้ เอาจิตไปรู้อยู่ที่งานที่ทำ
    ด้วยความจดจ่อ ด้วยความตั้งใจ จิตกับสติ
    อย่าให้พรากจากกัน ให้จดจ่ออยู่กับงานที่ทำ
    แล้วงานจะกลายเป็นอารมณ์ของจิต เป็นเครื่องรู้
    ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นฐานสร้างสติ
    ให้เป็นมหาสติปัฏฐานได้ สามารถที่จะยังให้มี
    ปิติ สุขและเอกัคคตา ความสงบละเอียด
    ไปตามขั้นตอนของ สมาธิได้"

    (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขอนำเอามาฉายซ้ำอีกสักรอบ....

    โมทนาสาธุในธรรมทานค่ะ....
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]
    องค์พระพุทธชินราชที่จะมาประดิษฐานที่วัดเบอร์มิ่งแฮมค่ะ

    กราบพระพุทธไม่ใช่ที่เป็นทองเหลือทองคำ กราบพระธรรมไม่ใช่อยู่ที่ใบลาน กราบพระสงฆ์ไม่ใช่อยู่พระลูกพระหลาน กราบพระพุทธเจ้าที่ 1. ปัญญาธิคุณ พระองค์มีปัญญาคุณแก่เรา เพราะว่า พระองค์ทรงสั่งสอนมนุษย์ให้รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ชี้

    ทางสว่างให้เรา ให้ทุกคนใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ชอบธรรม ใช้ปัญญาตาม มรรคมีองค์ 8 คือ
    และทรงสอนให้มนุษย์มี เมตตา กรุณา ต่อกัน ไม่เบียดเบียนกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสงบสุข รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน


    2. บริสุทธิคุณ พระองค์มีศีลธรรมที่บริสุทธิ์ บริสุทธิด้วย กายบริสุทธิ วาจาบริสุทธิ และใจบริสุทธิ มีจิตใจที่หวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน ประสงค์ให้ทุกคนพ้นทุกข์


    มีสุข พระองค์เป็นพระอรหันต์ ปราศจากกิเลส มลทินเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ คือ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะความหลง ฉะนั้นพระองค์จึงเป็นผู้บริสุทธิ อย่างแท้จริง


    3. มหากรุณาธิคุณ พระองค์มีพระมหากรุณาต่อทุกคน ไม่เลือกชั้น วรรณะ เป็นพระมหากรุณาที่ยิ่งใหญ่ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นเสียจากบ่วงคือความทุกข์ ที่ทุกคนยึดมั่นถือมั่นถือมั่นว่าเป็นของตนเอง แต่จริงๆแล้วทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เป็น
    ธรรมดา พระองค์ทรงสอนมนุย์ทุกคนให้เห็นสัจธรรมชีวิต
    จุดประสงค์หลักของพระองค์คือ การพาสัตว์โลกให้พ้นจากวัฎฎะสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่นิพพานคือการดับเสียซึ่งกิเลส โลภ โกรธ หลง ทั้งมวล และจะ
    ไม่ทุกข์อีกต่อไป จะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป เพราะการเกิดใหม่ เป็นทุกข์
    พระองค์ทรงสอนมนุษย์ทั้งหลายตลอด 45 พรรษา ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งมวล เพื่อให้มนุษย์พ้นทุกข์ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสงบ นั่นคือคุณของพระองค์ที่พวกเราควรสรรเสริญอย่างยิ่ง

    ที่มา fb โดยพระอาจารย์พระอ๊อด วัดสันติวงศาราม เมืองเบอร์บิ่ง
    ขอน้อมกราบพระอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    {๑๐๐คำสอน๑๐๐ปีหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ}

    รักษากำลังใจให้มันมั่นคงจริง ๆ ให้จิตมันแน่วแน่จริง ๆ อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอก ทำงานทุกอย่างเพื่อสาธารณประโยชน์
    เราทำเพื่อพระนิพพาน ที่เราทำนี่เพื่อไม่เกิด ไม่ใช่ทำเพื่อเกิด ไม่เกิดทำทำไม ก็ทำเพื่อเป็นการตัดอารมณ์ว่า ไอ้งานที่เราทำไปแล้ว เราลงทั้งทุน ลงทั้งแรง แต่ว่าทำไปแล้วเราก็รู้ว่ามันเป็นอนิจจังของไม่เที่ยงนะ อนัตตาไม่ช้าก็สลาย มันไม่ตายก่อนเราก็ตายก่อน มันไม่พังก่อนเราก็ตายก่อน เราทำเพื่อจิตตัดโลภะความโลภ การทำงานอารมณ์มันจุกจิก ฝึกอารมณ์ใจให้มันเย็น ตัดความโกรธ การไม่สนใจว่ามันเป็นของเราเพราะว่าเรากับมันไม่ช้าต่างก็บรรลัย เป็นการตัดความหลงไปนิพพานเลย
    ...เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะรักษาอารมณ์ อุปสมานุสสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ว่า เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้ โดยสรุปตัวท้ายเสียทันที คือ ตัดอวิชชา ความโง่ มานั่งใคร่ครวญว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้นความทุกข์ ความทุกข์มันมีกับเราได้ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความร้อน ความหนาว ความหิวความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้ มีความไม่สบาย มีความตายไปในที่สุด มีการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของชาวโลก เรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลกก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย ใจเราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตถึงตอนนี้ละบรรดาท่านพุทธบริษัท จิตจะเบามาก เหมือนกับมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้อะไรเลย จิตมันสบาย ๆ กำลังฌานที่เราเคยมั่นคง กดอารมณ์นิ่ง มีความหนักมันจะสลายตัวไป แต่ว่าจิตของเรามีความสุข จะกระทบกระทั่งอาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะมีความลำบาก ไม่มีอะไรที่จะมีความหนัก ไม่มีอะไรที่จะทำจิตใจของเราให้เร่าร้อน ได้ยินเสียงคนด่าก็สบายใจ คิดว่าเขาไม่น่าจะทำความชั่ว เป็นปัจจัยของความทุกข์ เห็นใครเขาสรรเสริญเรา ก็ไม่มีความสุขใด ๆ ไม่สั่นคลอน รู้สึกว่าการสรรเสริญไม่มีความหมาย เราดีขึ้นมาได้ไม่ใช่อาศัยการสรรเสริญ หรือว่าถ้าเราไม่ดี ก็ไม่ใช่อาศัยการแช่งด่าของบุคคลใด ความดีจะมีขึ้นมาได้หรือความไม่ดีจะมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยเราปฏิบัติเท่านั้น ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททรงได้อย่างนี้เรียกว่า


    อรหัตผล

    {โอวาทหลวงพ่อ เล่ม๑ ข้อ ๑๘๘/๗๕}
    ที่มา หนังสือ ศิวโมกข์ เล่ม ๑

    Cr FB ธรรมะของพระ สบายใจ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับธรรมะของหลวงพ่อที่สั่งสอนลูกหลาน
    และขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานของคุณแนทในครั้งนี้ด้วย


    นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล ถ้าบุคคลนั้น ปฎิบัติตามคำสอนของหลงพ่อ
    แต่จะต้องอาศัยปฎิบัติให้มากๆเข้าไว้ ก็คงจะมีสักวันเป็นไปตามคำสอนของหลวงพ่อจริง

    ผู้ปฎิบัตินั้นก็หมายถึง การนำจิตมาเดินอริยมรรค หรือมรรคมีองค์๘ หรือศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
    บุคคลใดก็ตาม ที่สามารถเดินตาม หรือปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ก็จะเป็นพระอรหันต์ดั่งหลวงพ่อได้กล่าวไปแล้วนั้น แม้นจิตของหลวงพ่อ ซึ่งก็ปฎิบัติมาอย่างเคร่งครัด
    ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อปฎิบัติจริงก็ย่อมได้ของจริงกลับไปเท่านั้น
    แต่ถ้าพวกเราปฎิบัติจริง เหมือนดั่งหลวงพ่อที่ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    หรือปฎิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อแล้ว ผมมั่นใจว่า พวกเราย่อมได้ของจริงๆดั่งหลวงพ่อได้แน่
    เพราะหลวงพ่อได้ปฎิบัติจิตให้กับพวกเราได้ดู ได้เห็นกันไปทั้งหมด ทั้งมวลแล้ว
    แต่ถ้าปฎิบัติจริงตามนั้นแล้ว จิตของเราก็จะสิ้นความลังเล ความสงสัย หรือจะหมดคำถามไปเลย
    ถ้าจิตเราถึงตัวปัญญาจริง เราก็จะรู้จริงเห็นแจ้งตามคำสอนของเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย
    อาทิเช่น คำสอนของหลวงพ่อนี้เอง

    ลูกคนนี้ขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าของหลวงพ่อ น้อมจิตรับคำสอนของหลวงพ่อทุกประการ มิมีความสงสัยแต่ประการใด
    เพราะเท่าที่ตนเองปฎิบัติเพียงแค่ระยะเวลาสั้น แต่ได้เนื้อหาสาระมาก ได้ธรรมะจริงที่ปรากฎกับจิตใจตนเอง ณ ขณะนี้
    การปฎิบัติของแต่ละบุคคลนั้น ย่อมพบเจอกับคำว่าปัจจัตตังต่ามกันไป ตามลำดับจิตของผู้นั้น
    จิตผู้ใดเข้าถึงความละเอียดจิตของตนมาก ย่อมรู้ ย่อมเห็นด้วยตัวของท่านเอง
    แต่เมื่อพบแล้ว เห็นแล้ว หรือพบเจอสิ่งที่รู้เห็นหรือพบตัวถูกรู้และตัวรู้เองเราก็ต้องละให้ได้
    เราถึงจะออกมาจากจิตที่จมอยู่กับกิเลสมายาวนาน หลายภพชาติของตนได้
    ผมขออนุญาตเรียกว่า นี่แหล่ะ คราบมนุษย์ของตน
    สำหรับผู้ที่จะออกจากคราบมนุษย์ของตนได้ในชาตินี้ ขอให้ดูจิตตนเองมากๆ อย่าได้สนใจจริยาหรือจิตผู้อื่น
    อย่าไปหลงนินทาหรือว่าร้ายกับคนอื่นๆเขาเลย หรืออย่าไปสนใจผู้อื่นจะดีหรือไม่ ล้วนก็เสียเวลามรรคผลของตนเองในที่สุด
    พยายามก้าวให้พ้นคำว่า ขันธ์๕ตนก่อนอื่นเลย แต่ถ้าเราก้าวไม่พ้นขันธ์๕ตนเองแล้ว เราก็อย่าไปคิดว่าจะต้องก้าวข้ามคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆได้เลย
    ต่อไปจิตเราก็จะก้าวข้ามคำว่า โลกธรรม๘ ไปโดยปริยาย โดยไม่ยากเย็นนัก
    ผู้มีปัญญาควรรู้ว่าปฎิบัติตามคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า หรือคำสั่งสอนของหลวงพ่ออย่างไร
    ถึงจะได้ผล ส่วนจะได้ผลมากน้อยก็ต้องบอกตามตรงว่า ก็ขึ้นอยู่ที่กำลังจิต หรือกำลังใจแห่งตน
    หรือบุญบารมีแห่งตนเท่านั้น การปฎิบัติธรรมต้องช่วยเหลือตนเองให้มาก พยายามค้นหาตัวปัญญาของตนให้พบไวๆ
    เพราะตัวปัญญาของตนนั้น จะช่วยเหลือตนได้มากเลยทีเดียว เพราะเมื่อเราปฎิบัติไปแล้วย่อมมีความสงสัยเป็นธรรมดา
    สำหรับผู้ที่ยังต้องค้นหาจิตตนเอง หรือยังต้องค้นหาตัวปัญญาของตน ก็ย่อมมีความสงสัยอย่างแน่นอน
    การปฎิบัติธรรมขอให้เป็นไปตามมรรค์มีองค์๘นี้เท่านั้น อย่าได้นำจิตเดินออกห่างจากนี้ เพราะจะทำให้ผู้ปฎิบัติหลง
    และก็อย่าเอาแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว
    นั่นหมายถึง ให้ผู้ปฎิบัติพยายามระลึกหรือนึกถึง นอกจากพระองค์ท่านแล้ว และสิ่งสำคัญเราจะต้องระลึกนึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย
    โดยเฉพาะพระพุทธคุณจะต้องติดตราตรึงใจกับผู้ปฎิบัติให้จงได้
    สำหรับเคล็ดลับของผมเองก็อยู่ที่ตรงนี้แหล่ะ
    ผมคิดว่าเหล่าบรรดาพระอรหันต์หรือพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย จิตท่านจะรักเคารพ เลื่อมใสและศรัทธาในพระองค์
    และคุณงามความดีของพระองค์มากเป็นพิเศษ

    ขอเรียนย้ำ คำว่า ""รักและเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระพุทธพุทธคุณ""
    และจงจดจำคำๆนี้ให้ดี เพราะนับว่ามีค่าอย่างมหาศาลหรือหาที่สุดมิได้ โดยเฉพาะกับเหล่าผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย


    ขอให้พวกเราสังเกตดูปฎิปทาบรรดาเหล่าพระอริยสงฆ์เป็นตัวอย่าง เช่น หลวงปู่มั่น หรือหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นต้น
    เพราะการปฎิบัติธรรม โดยเฉพาะผู้ที่นำจิตไปปักไว้กับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธคุณแล้ว ย่อมมักสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ไป

    นอกจากจะทำให้จิตเรามั่นคง ไม่เอนเอียงแล้ว นิวรณ์หรือกิเลสทั้งหลายก็ไม่ค่อยมารบกวนจิต
    ถึงแม้นจะเห็นกรรมต่างๆมาช่วยตัดรอน มิให้เราเข้าถึงความดี หรือบุญกุศลใหญ่ของตนได้เป็นอย่างดี
    สรุปแล้ว ถ้าท่านปฎิบัติธรรมไม่ไปถึงไหน หรือไม่เจริญในธรรม ขอให้ท่านทั้งหลายมาลองทรงอารมณ์พระพุทธคุณกันดู เผื่อจะถูกจริตกับท่านบ้าง
    อย่าลืม กองกรรมฐานที่สามารถเข้าถึงนิพพานง่ายที่สุด นั่นก็คือ พุทธานุสสติ นั่นเอง

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ผู้ใดเห็นความสำคัญของการมาบวช การมารักษาศีล

    -ได้ทำทาน ได้มาปฏิบัติธรรม ถ้าใครมีไว้ในใจแล้ว ก็นับว่า...

    ...ได้ฝั่งขุมทรัพยือันประเสริฐไว้ในขันธสันดาน...

    -ผู้มีจิตใจสูงจะอดทนต่อผู้ที่มีความรู้ต่ำกว่าตน...

    ...เราอย่าไปถือคำคนที่เขาไม่รู้...อดทนต่อคนที่ไม่รู้นั้น...

    ...ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง...ตามคติโบราณที่ว่า...

    "อย่าไปถือคนบ้า...อย่าว่าคนเมา...จงดูใจเราเอง"

    ...พระธรรมคำสอนของ พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. (หลวงปู่ทอง สิริมังคโล)..ง

    ...น้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบนมัสการเจ้าค่ กราบ กราบๆ
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันนี้จะขอพูดเรื่อง "จิตตั้งมั่น"
    คำว่า จิตตั้งมั่นนี้ ซึ่งก็ตรงกับคำว่า ความตั้งอกตั้งใจนั่นเอง

    สำหรับผู้ที่จิตยังไม่ตั้งมั่น หรือตั้งมั่นบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่เป็นไร
    ก่อนผู้ปฎิบัติจะมาถึงคำว่า จิตตั้งมั่น
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติใหม่ที่ยังต้องตามหาจิตตนเองอยู่ จะต้องเจริญสติจนกว่าจะพบเจอจิตตนเองเสียก่อน
    หรือจิตนิ่งเป็นสมาธิ หรือจิตอ่อนนุ่มเสียก่อน ถึงจะพอเห็นจิตตนเอง

    ทำงานทางโลกก็ต้องอาศัยความตั้งใจ้ป็นหลักจึงจะสำเร็จ
    แต่ในทางปฎิบัติธรรมนั้น จะต้องมุ่งเน้นไปที่จิตตนเองให้มากๆ หรือจิตมีความตั้งมั่นมาก
    แต่การตั้งมั่นนี้เราจักต้องอาศัยจิตสมาธิตนเป็นหลัก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ทำอะไรก็มักไม่สัมฤทธิผล
    หรือทั้งทางโลกหรือทางธรรมนั้น ทุกอย่างหรือทุกธรรม มักจะสำเร็จด้วยใจของตนเองทั้งนั้น

    คำว่า จิตตั้งมั่น ความหมายก็จะไปคล้องจองกับคำว่า การสำรวมจิต หรือเอกัคคตารมณ์
    จิตจะมั่นคงเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับไม้หลักปักขี้เลน
    แต่ถ้าจิตมั่นคงดีแล้ว ไม่ว่าความกลัวหรือความตายไม่มีในเรา หรือเราไม่มีความกกลัวหรือความตาย
    เพราะจิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมเข้าใจและยอมรับกับกฎแห่งกรรมทุกรูปแบบ
    เมื่อจิตเดินทางมาถึงตรงนี้แล้ว จิตจะต้องปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่างได้
    แต่จิตจะปล่อยวางได้ด้วย ปัญญา
    ใครมีปัญญาน้อยก็ปล่อยวางได้น้อย ส่วนใครมีปัญญามากก็จะปล่อยวางได้มากหน่อย
    เอากำลังใจแห่งตนเองเข้าว่า เพราะผู้ปฎิบัติมีที่มาที่ไปของดวงจิตต่างกัน หรือบุญบารมีต่างกัน
    หรือมีความละเอียดแห่งจิตต่างกัน เป็นต้น

    สำหรับผู้ผฎิบัติที่มีปัญญาเป็นของตนเองแล้ว ต่อไปนี้จิตจะรู้ๆๆๆมากเป็นพิเศษ
    จิตยิ่งเข้าถึงความละเอียดมากๆแล้ว จิตก็จะไปรับรู้เรื่องหรือสิ่งที่คนปกติไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น แต่ก็รู้และได้เห็นเป็นต้น
    เมื่อจิตเขาไปรู้ ไปเห็น หรือเรียกว่า สิ่งที่ถูกเห็นนั้น เราจะต้องวางให้เป็นหรือวางให้ได้
    แต่ถ้าวางไม่เป็นหรือไม่ได้ ต่อไปเราก็วางตัวผู้รู้ไม่ได้
    จิตจะเข้าถึงความละเอียดเข้าไปเรื่อยๆนั้น จิตจะต้องปล่อยวางกับสิ่งละเอียดที่ตนไปรู้หรือไปเห็นมา
    แต่ถ้าวางได้ ต่อไปเราถึงจะวางตัวผู้รู้ หรือจิตที่เคยจมอยู่กับกองกิเลสมานาน นับภพชาติไม่ถ้วน
    วางซะ วางซะให้หมด รู้ไร เห็นไร ทำใจเป็นกลาง แต่ถ้าทำไม่ได้ จิตเขาก็ไปไหนไม่ได้
    นั่นจะหมายถึง จิตจะออกจากคราบมนุษย์ หรือขันธ์๕ตนเองไม่ได้
    ตรงนี้มีผู้ปฎิบัติติดกันตรงนี้มาก จะออกกันตรงนี้ได้ ก็ต้องอาศัยครูบาจารย์ หรือไม่ก็ต้องอาศัยจิตปัญญาของตน

    สำหรับผู้ปฎิบัติที่กำลังเจริญสติก็เจริญสติไป แต่ถ้าจิตผู้ปฎิบัติกำลังติดปิติหรือสุขก็ให้เขาติดไป
    หรือผู้ปฎิบัติกำลังติดสุขจากฌาน หรือติดเฉย ก็ให้เขาติดไปก่อน เมื่อจิตอิ่มตัวดีแล้ว เดี๋ยวจิตเขาจะออกมาเอง
    ถึงบอกไปก็ไม่ค่อยจะฟัง แต่อยากจะบอกกับผู้ติดเหล่านี้ว่า ออกมาเห่อ มีที่อื่นสุขกว่าอย่างยิ่ง
    ก็แล้วแต่ท่านจะออกมาจากจุดตรงที่ตนเองอยู่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเขา หรือกรรมของเขา
    เพราะการสร้างสมบุญบารมีต่างกัน ไม่เป็นไร เพราะผู้ปฎิบัติที่ดีก็ย่อมไม่ไปเปรียบเทียบกัน
    เพราะไม่มีผู้ใดผิดหรือถูก มีแต่จะปฎิบัติให้ถูกต้องหรือถูกทางเท่านั้นเอง

    เพราะจุดมุ่งหมายสูงสุดของการปฎิบัติธรรมก็คือ เพื่อความหลุดพ้น
    ไม่ว่าผู้ปฎิบัติหลุดพ้นทุกข์ตนเอง หรือหลุดจากเวียนว่ายตายเกิดของตนเองก็ตาม
    หรือละปล่อยวางกิเลสตัณหาและอุปาทานของตนให้หมด รวมทั้งสิ่งพันธนาการของเราเองด้วย

    เมื่อจิตเขาปล่อยวางได้หรือไม่ได้ ผู้ปฎิบัติจะต้องมาตอบคำถามตนเองให้ได้
    อย่าไปถามใคร หรือใครมาถามเราก็ต้องตอบได้ อย่าไปอาย เพราะเป็นเรื่องจริง
    พวกเราที่กำลังปฎิบัติธรรมก็เพื่อนำจิตวิ่งไปหาความจริงนั่นเอง เมื่อรู้ เมื่อเห็นแล้ว ความจริงก็จะปรากฎแจ้งเอง

    ในที่สุดเราจะเข้าใจและยอมรับอะไรได้ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดก็ตาม
    จิตของเราเท่านั้นที่จะต้องละปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่างก่อน นั่นเอง

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มิได้มีเจตนาเพื่อมาสอนสั่งผู้ใด หรือจะมาเป็นครูหรืออาจารย์กับใคร
    แต่อยากมาพูดกล่าวหรือทำความเข้าใจในการปฎิบัติเท่านั้น
    แต่ถ้าเป็นผู้ปฎิบัติด้วยกันจริงๆแล้วย่อมเข้าใจ ย่อมมองเห็นในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น
    แต่ทว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ขึ้นอยู่ที่สติปัญญาตนพิจารณาเอง
    โมทนาสาธุ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอพร่ำอีกนิดเถอะน่ะ
    การปฎิบัติธรรมของเราจะเจริญก้าวหน้าได้นั้น
    เราเองจะต้องคอยหมั่นเติมกำลังใจของตนบ่อยๆ
    ก็เหมือนกับโคมไฟหรือตะเกียง นั่นแหล่ะ
    ถ้าเราไม่คอยหมั่นเติมเชื้อเพลิงหรือน้ำมัน
    เดี๋ยวสักวันนึง เมื่อเชื้อเพลิงหรือน้ำมันหมด ไฟก็จะดับไปเอง

    การเติมกำลังใจของตน กระทำได้ง่ายที่สุด
    เช่น อ่านหนังสือ(ธรรมะ) หรือฟังเทศฟังธรรมบ่อยๆ
    ยิ่งถ้าใครมีกำลังมากขึ้นไปอีกนิดก็ให้สวดมนต์ไหว้พระบ่อยๆ

    ต่อไปให้ถามตนเองบ่อยๆว่า ข้างนอกจิตเราเป็นบุญกุศลไหม๊ เช่น การรักษาศีล
    และข้างในก็คือจิตเรา ในขณะนี้หรือทุกขณะจิต มันไปตั้งอยู่ฝ่ายบุญกุศลหรือไม่
    ข้อนี้จะว่าด้วยเรื่อง การภาวนา
    การภาวนาก็คือ ทำสมาธิหรือทำจิตใจตนให้นิ่งสงบ ยิ่งเข้าถึงเอกัคตารมณ์บ่อยๆก็ยิ่งดี
    เพราะจิตมันจะหนักแน่นกว่า จิตที่เป็นสมาธิเฉยๆ ปัญญาก็ย่อมผิดกันเป็นธรรมดา
    ทำบ่อยๆนี่หมายถึง ทำให้ต่อเนื่องนั่นเอง ธรรมถึงจะเกิดผลไว
    ผู้ปฎิบัติมรรคย่อมได้ผล แต่อย่าไปหวังผลมาก เพราะนั่นเป็นความโลภ จะไม่ได้ผล เราพยายามแยกให้ออก
    การปฎิบัติธรรม จะต้องเน้นใจเราสบายที่สุด เบาที่สุด สุขที่สุด
    เพราะฉะนั้น การปฎิบัติก็เพื่อมุ่งดูจิตตนเป็นหลักนั่นเอง
    อย่าหลงไปดูจิตผู้อื่น นั่นเรากำลังนำจิตเดินผิดทาง หรือเดินทางอ้อม
    อย่าลืม ข้อเสียของจิตก็คือ เรียนรู้ได้ทีละหนึ่งอย่าง โดยเพราะจิตยังอ่อนแออยู่
    แต่ข้อดีของจิตก็มากมากนับไม่ถ้วน ถ้าเราเอาจิตตนเองอยู่ หรือชนะใจตนเองได้แล้ว
    เพราะเราจะเห็นความอัศจรรย์แห่งจิตได้ ถ้าผู้ปฎิบัติสามารถนำจิตเข้าสู่ความละเอียดแห่งจิตได้
    ผู้เขียนกำลังบอกใบ้ให้ว่า ในโลกทิพย์นั้น น่าสนใจมากกว่า โลกมนุษย์เยอะเลย
    แต่ขอเตือนไว้ก่อนนะว่า รู้แล้ววาง สองพยางค์เท่านั้น ปฎิบัติให้ได้ แต่ถ้าทำปฎิบัติตามไม่ได้
    จิตก็จะติดอยู่แบบนั้น
    ติดไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีผู้รู้มาสอนในจิต หรือไม่ก็จิตเรามีปัญญามากจนกลายเป็นปัญญาญาณ
    ความรู้หรือความสว่างหรือรู้แจ้งแทงตลอด ย่อมเกิดกับผู้ปฎิบัติทุกท่านเอง
    จิตก็เหมือนดวงตาคนเรา แต่เราจะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับแสงสว่างนั่นเอง
    แต่จิตเราจะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน โดยเฉพาะนาม ก็ต้องตอบว่า ปัญญาของเราเท่านั้น
    เพราะจิตที่ยังมิได้ฝึกฝนมาดีย่อมไม่สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆได้ แต่จิตจะต้องอาศัยสติเป็นหลัก
    เพราะสติเป็นพี่เลี้ยงจิต แต่เป็นได้มากแค่พี่เลี้ยงเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาเรานำจิตมาเดินมรรคก็อย่าเอาสตินำจิตเด็ดขาด
    อย่าลืมข้อสุดท้าย ว่าด้วยการดูจิต นั่นก็คือ ด้วยใจเป็นกลาง โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติใหม่มักหลงทางกันตรงนี้มาก
    ท่านไม่ผิดหรอก แต่ดูจิตไม่ถูกหลักเท่านั้นเอง เพราะจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว สติเป็นแค่พี่เลี้ยง(เท่านั้น) อย่าลืม อย่าลืม
    ไม่ต้องเชื่อ ปฎิบัติไป ทำไปๆ เดี๋ยวก็รู้เอง ที่พูดมานี้จะจริงหรือไม่จริง ติดตามกันต่อไป

    จิตติดอะไรได้ แต่อย่านาน เพราะลมหายใจของคนเรานั้น มีจำกัด
    สาธุ
     
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    บทเรียนราคาแพง

    โดย หลวงปู่ไดโนเสาร์ ตอบคำถามญาติโยม


    โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์เหลือเกินครับ
    ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเดเข้ามาตลอดครับผมหลวงปู่

    หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงินทองหรือเวลาปกติของคุณหรือเปล่า

    โยม : เปล่าครับผม เวลาผมทำบุญผมก็ไม่ได้ลำบาก เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บการดูแลครอบครัวแล้ว
    การปฏิบัติของผมก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียก็อนุโมทนา แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่นๆเข้ามาไม่ขาด

    หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก
    ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนีโลกได้อย่างไร ถ้าคุณยังหวังสุขในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็นนิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ
    โลกเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดปัญหาที่เข้ามาคือบทเรียน มารทั้งหลายคือครูของเรา

    เมื่อคุณปฏิบัติสูงๆขึ้นไป ปัญหามันก็จะสูงขึ้นไปด้วย ปัญญาคุณแค่อนุบาลปัญหามันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล ครูก็ครูสอนอนุบาล แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา ปัญญาระดับปริญญา ปัญหามันก็ต้องปริญญา บทเรียนก็บทเรียนปริญญา ครูก็ครูสอนปริญญา คุณเรียนปริญาจะเอาข้อสอบเด็กน้อยอนุบาลมาสอบคุณมันจะสมกับภูมิปัญญาคุณหรือปฏิบัติเพื่อแสวงหาปัญญา

    เมื่อปัญญาเราสูงขึ้น ปัญหามันก็สูงขึ้น บทเรียนมันก็ยากขึ้น มารมันก็เก่งขึ้น คุณสอบตกจะหาว่าครูออกข้อสอบยากหรือ หรือจะโทษว่าตนเองเตรียมตัวสอบไม่ดี คุณเอ้ยโลกมันสอนเรา บางทีก็สนุกสำราญ บางทีก็เศร้าโศก บางทีก็ทารุณโหดร้าย คุณต้องได้เรียนทุกบท คุณจะบอกว่าไม่ชอบวิชานี้ไม่เรียนมันไม่ได้ เราชอบสุขเราเกลียดทุกข์ แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง

    เมื่อคุณผ่านการสอบหนึ่งครั้ง คุณก็จะพัฒนาไปอีกขั้นบทเรียนบางบทมันอาจจะแพงไปสักหน่อยต้องแลกมาด้วยเงินทอง อวัยวะหรือแม้แต่ชีวิต แต่คุณอย่าลืมนะวิชาดีราคามันต้องแพง โลกสอนให้คุณรู้จักโลกในทุกรูปแบบทุกรสชาติ คุณจะได้เบื่อโลกหน่ายโลกอย่างแท้จริง นิพพานของคุณก็จะเป็นนิพพานจริงๆ อย่าพึ่งลาออกจากโรงเรียนกลางคันก็แล้วกัน

    คุณเชื่อเถอะว่าถนนเส้นนี้ผู้ปฏิบัติล้วนผ่านมาแล้วทุกคน ท่านเหล่านั้นก็เคยทุกข์อย่างคุณท่านยังผ่านไปได้ ให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนและพระอริยะสงฆ์ที่ท่านผ่านไปก่อน ให้เชื่อว่าท่านเหล่านั้นไม่หลอกเราแน่ เข้าใจนะ


    Cr Fb พระธรรมคำสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ก่อนอื่นผมขอโมทนาสาธุกับผู้ดูแลเวปบอร์ดทุกท่านด้วย
    ที่เล็งเห็นคุณค่ากับคำว่า ...ธรรมปฎิบัติ...
    แต่ผมกลับมิได้รู้สึกอะไร ที่เป็นกระทู้แนะนำ
    แต่กลับเห็นความสำคัญกับจิตผู้ที่กำลังปฎิบัติธรรมกันอยู่ ณ เวลานี้
    อยากให้นำพาจิตของตนเข้าถึงพระธรรมไวๆ มีดวงตาเห็นธรรมไวๆ
    เพราะคนส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงธรรมะแล้วร้องหยี้เลย เพราะนั่นยังอีกไกล แต่ไม่เป็นไร
    ปล่อยให้จิตเขาเดินทางกันให้สุดปลายแห่งความหลงกันเสียก่อน นั่นก็คือ ให้เขาเห็นทุกข์ก่อน
    เพราะคนที่เห็นธรรมหรือมีดวงตาเห็นธรรมส่วนใหญ่นั้น เขาเห็นทุกข์กันมาก่อนทั้งนั้น หรือร้อยละ ๘๐%
    สำหรับผู้ที่ยังไม่เห็น เดี๋ยวก็ต้องเห็น เพราะตราบใดยังมีขันธ์๕หรือร่างกาย ยังไงๆก็หนีทุกข์ไม่พ้นแน่นอน
    ตรงนี้แหล่ะ ก็อยากขอบพระคุณกับผู้ดูแลเวปฯ ด้วยใจจริง
    เพราะอย่างน้อยก็ได้โปรดเมตตาหรือสงสารแด่ผู้ที่ยังออกจากทุกข์ของตนไม่ได้
    คอยสังเกตให้ดีว่า ผู้ที่เดินตามพระพุทธเจ้าจริงๆแล้ว จะไม่มีผู้นั้นเป็นทุกข์หรือรู้สึกว่าตนเป็นทุกข์เลย
    ทั้งๆที่ยังมีขันธ์๕ หรือร่างกายอยู่ ทำไม ทำไม เคยสงสัยกันไหม
    และอย่าไปเสียเวลาไปตามหาบุญที่ไหน บุญภายในจิตเรานี่แหล่ะ คือบุญใหญ่หลวงที่สุด
    บุญภายนอกหหรือจะมาสู้บุญภายใน และไม่สงสัยว่า ทำไม คนส่วนใหญ่เข้าถึงแค่อามิสบูชากัน
    ก็เพราะว่า ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรม
    อย่าลืมนะว่า ผู้ที่จะออกจากทุกข์ของตนได้นั้นก็คือ ต้องลงมือปฎิบัติธรรม(เท่านั้น)
    ส่วนทำบุยภายนอกนั้นเราได้แค่ความสบายใจชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่จะออกจากทุกข์ตนไม่ได้ คนละเรื่องกัน

    เข้าเรื่อง
    ลูกเอ๋ย พ่อไปหมดทุกทางแล้ว ทั้งทางโลกสุดๆ
    ก็ไม่เห็นมีทางไหนจะสงบเท่ากับทางสายกลางของพระพุทธเจ้าแล้ว
    แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็ปล่อยให้เดินไปตามกฎแห่งกรรมของตนก็แล้วกัน
    ถ้าตราบใด เรายังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงภายในของตนให้ดีขึ้น นั่นก็คือ จิตตนเอง
    เพราะที่ผ่านมานั้น เราทำกรรมดีกรรมชั่วก็เยอะแยะ จนไม่รู้ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วมันมากกว่ากัน
    แต่อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ผ่านมาเลย มันไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งรื้อฟื้นของเดิม มันก็ไม่ต่างกับการเดา
    เพราะเดาผิดจะมากกว่าเดาถูก

    พวกท่านก็คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า จิตเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยนตามไปด้วย
    แต่ชีวิตจะเปลี่ยน ความคิดคนเราจะเปลี่ยนไป ก็ต้องอยู่ที่จิตเราเท่านั้น
    แต่ทว่ายังเรามันยังนิ่งสงบไม่เป็น จิตก็มิอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียาก
    เพราะไม่นิ่งก็คือจิตหยาบหรือจิตแข็งกระด้าง เหมือนคนที่มีจิตใจแข็งกระด้างแล้วมีคนอยากคบไหม
    ก็ไม่มีใครอยากคบใช่ไหม อันนี้ถูกต้องที่สุด ไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมด้วย เพราะจิตใจไม่ดี

    แต่อย่าไปเสียอกเสียใจที่เรามันไม่ดี อย่าไปโทษตนเอง ให้อภัยตนเองไปเลย อย่าไปเสียเวลากันตรงนี้
    เพราะนอกจากจิตใจเราไม่ได้อยู่ฝ่ายบุญกุศลแล้ว เราก็ยังเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
    สำหรับผู้ที่ยังเป็นทุกข์ หรือรู้สึกว่าทำไมตนถึงยังมีความทุกข์อยู่ ก็เพราะว่าจิตเราไม่รู้ว่า ตัวทุกข์คืออะไร หน้าตามันเป็นอย่างไร
    เป็นแค่จิตไปรับรู้มาเท่านั้น ถึงได้รู้สึกว่าทุกข์
    แต่ความจริงแล้ว ตัวทุกข์นั้นก็คือ ขันธ์๕ หรือร่างกายของเราๆท่านๆนี่เอง มิใช่อื่นไกล
    แต่คนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญของจิตตนเอง ตรงนี่นี่ไง มัวแต่ไปสนใจเรื่องมิใช่เรื่องจิตตนเอง
    ก็ย่อมทุกข์อยู่อย่างนี้ ประเดี๋ยวก็สุข ประเดี๋ยวก็กลับมาทุกข์อีก ตรงนี้ใครยังมองไม่เห็นธรรม
    นั่นก็แสดงว่าเรายังไม่รู้ความจริงแห่งทุกข์ตนเอง หรือไม่รู้และไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง คำว่า อริสัจ๔
    เรียนธรรมะก็อย่าเอาแต่ท่องจำ หรือแบกตำราแล้วนำความรู้ที่ตนร่ำเรียนมาแล้วมาห่ำหั่นกัน
    เพราะผู้ปฎิบัติจริงหรือได้มรรคผลแล้วย่อมไม่กระทำเช่นนั้นแน่ เพราะปัญญาทางโลกกับทางธรรมจึงต่างกันมาก ราวฟ้ากับเหวทีเดียว
    ถ้าใครเข้าถึงตัวปัญญาตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนมาแล้วนั้น
    จะเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นแล้ว ที่สุดของที่สุดของธรรม ก็คือจิตใจของตัวผู้ปฎิบัตินั่นเอง
    เมื่อปฎิบัติไปแล้ว อย่าไปดูพรรษา หรือปฎิบัติมามากเกือบจะแก่ตายแล้ว ขอให้ดูผลของการปฎิบัติจริงๆ
    นั่นก็คือ เน้นที่ตัวจิตอย่างเดียว ว่าจิตเรามันเป็นยังไง มันละกิเลสตัณหาฯของตนได้มากน้อยเพียงใด
    อย่าไปหลงดูจริยาหรือจิตผู้อื่น เพราะมันเสียเวลามรรคผลของตน

    ขอโมทนาสาธุกับผู้ดูแลเวปฯ และผู้อ่านอีกครั้งนึง สาธุ

    ปล.ผมหลงหากระทู้ตั้งนาน นึกว่าโดนลบหรือย้ายไปที่อื่นแล้ว
    ที่แท้ผมตาต่ำเอง ไม่คิดว่าจะอยู่ข้างบนโน้น
    มีหลายท่านงง ว่าทำไม ผมถึงมาตั้งกระทู้ที่ห้องนี้ เพราะว่าห้องนี้เขาเตือนภัยพิบัติมิใช่หรือ
    ผมขอตอบตามตรงว่า เพราะห้องธรรมะมีเยอะแล้ว
    แต่ห้องนี้พระให้มาเก็บตกหรือมาเก็บจิตตก ไม่เห็นกันหรอ มีแต่จิตวิ่งตามสิ่งสมมุติกันเป็นแถวๆ
    ถามว่ารู้ตัวไหม รู้ครับ รู้ดีเสียด้วย รู้ไปหมด แต่ไม่รู้อยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ ตัวหรือจิตของเราเอง
    ในที่สุดพ้นทุกข์กันไหม ยิ่งใครนำสติหรือจิตไปเกาะแต่สิ่งสมมุติทั้งปวงมากก็ยิ่งทุกข์เท่านั้นเอง
    มีแต่เสีย มีแต่ขาดทุน แถมไม่เป็นบุญ
    อย่าลืมนะว่า พระพุทธเจ้าให้พวกเราทำแค่ ๓ อย่างเท่านั้น นั่นก็คือ...
    ๑.ละบาปทั้งปวง ๒.นำจิตไปตั้งอยู่แต่ฝ่ายบุญกุศล หรือภาวนา ๓.ทำจิตตนให้ผ่องใส
    ถ้าเราเป็นชาวพุทธจริงๆ แต่ไม่ปฎิบัติตามหรือทำตามเลย ก็คิดดูกันเอาเองนะครับ
    สาธุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 สิงหาคม 2013
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ทาน ๓ อย่างที่ได้จากการเจริญกรรมฐาน

    (จากหนังสือกฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๑ หน้าที ๑๐๓)

    -ถ้าได้สติสัมปัชัญญะแล้วจะพบทาน ๓ อย่าง...

    ...ทานที่ ๑ คือ ให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน...

    -ทานที่ ๒ คือ ธรรมทาน ให้ธรรมะเป็นทาน พิมพ์หนังสือสวดมนต์บ้าง.

    ...พิมพ์หนังสือธรรมะแจกกัน เรียกว่าธรรมทาน มันก็ได้ผล...

    ...ทานข้อแรกคงไม่ใช่สัปปุริสทาน มันเป็นสังฆทานนะ ทานกรรมฐาน...

    ...เป็นสังฆทานอน่เพราะจิตไม่หวังผล ก็ต้องให้สาธารณประโยชน์สาธารณชนทั่วไป

    -ทานที่ ๓ ของกรรมฐาน คืออภัยทาน ให้อภัยได้ อภัยโทษไม่โกรธกัน

    ...เรียกว่าทานกรรมฐาน ถ้าโยมไม่เจริญกรรมฐาน รับรองหมื่นเปอร์เซนต์...

    ...จะใหอภัยใครไม่ได้ ผูกพยาบาทตลอดเวลา ถ้าไม่มีกรรมฐานแล้วท่าน...

    ...จะขออภัญทานได้ยาก อโหสิกรรมกันได้ยากมีแต่ผูกใจโกรธ ผูกพยาบาท...

    ...ฆ่ารันฟันแทงกัน...ถึงคนนั้นจะบริจากทาน สร้างวัดสร้างวากี่วัดก็ตาม...

    ...ก็ยังให้อภัยทานไม่ได้ ท่านต้องมีจิตสูงในกรรมฐาน ต้องมีสติปัฏฐานกำหนดจิต...

    ...รู้หนอ ๆ รู้อย่างไรรู้ว่าเราโกรธเขา...รู้หนอๆ อย่าโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาเถอะ

    ...มันด่าเราก็กำหนดต่อไป ด่าเราๆยังโกรธ ก็โกรธหนอๆ อ๋อบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่โกรธแล้ว

    -ข้าพเจ้ามีกรรมฐาน ...ข้าพเจ้าจะไม่ขอโกรธท่าน...เรียกว่า อโหสิกรรม...

    ...คัดจากหนังสือแสงเทียนสองธรรม หลวงพ่อจรัญ (พระธรรมสิงหบุราจารย์...

    ...น้อมกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพเจ้าค่ะ...
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วันนี้ เราไปวัดกันบ้างหรือยัง?....

    อย่าเพิ่งแปลกใจ... ว่าจะชวนเดินทาง ไปวัดที่ไหน
    วัดที่พูดถึงนี้ คือ วัด ในจิตในใจ ของเราผู้ปฏิบัติกันแหละ
    มา วัด ดูระดับความเข้มในจิตของเราไง หรืออารมณ์ของจิตว่ามีความเข้มมากน้อยเท่าใดแล้ว
    ครูบาอาจารย์ สอนมาว่า จะไปนิพพาน น่ะ อารมณ์จิตมันต้องเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวมาก ไม่งั้นไปไม่ได้
    เรารู้ เราบอกกับตัวเราเองเสมอ ว่าเราจะไปพระนิพพาน
    แล้วเราล่ะ ...ได้ตรวจสอบในข้อวัตรปฏิบัติที่จะทำให้ได้ไปถึง พระนิพพาน บ้างแล้วหรือยัง?
    เหมือนกับเราใคร่ครวญ ความพร้อมของจิตที่จะไปนิพพาน นั่นเอง...
    เราจะเดินทางไปสถานที่ แห่งใด สักที่ เรายังต้องตรวจสอบความพร้อมของเครื่องยนต์ เลย
    แล้วนี่ จะเอา จิต ไปนิพพาน ก็ยิ่งต้องมาตรวจสอบความพร้อม อยู่เสมอๆ

    ตามที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดีว่า ข้อวัตรปฏิบัติ สำหรับผู้ที่ต้องการไป นิพพาน นั้นมีอะไรบ้าง
    หันมาดู ในจิตเรานี่แหละ ได้ทุกเมื่อ ทุกที่ ทุกเวลา ว่าเรานี่ มีอะไรขาดตกบกพร่องอันไหนบ้าง
    ถามจิตตัวเองนี่แหละว่า ...นิวรณ์5 มีในใจเราไหม...ศีลบริสุทธิ์ไหม., พรหมวิหาร4 มีประจำจิตเราหรือเปล่า...,
    บารมี10 มีข้อใดที่ยังพร่อง ต้องแก้ไขใส่น้ำหนักเน้นข้อนั้นๆ ให้รีบทำ....
    สังโยชน์ 10 ที่เป็นเครื่องมือวัดผลการปฏิบัติ ของจิตเราว่าเราได้ ลดละ
    ห่วงร้อยรัดอันเป็น เครื่องพันธนาการ
    ที่จะต้องทำให้กลับมาเกิดอีกเนี่ย เราละออกจากจิต ได้มากน้อยเพียงใด
    จิตเบาบางจากกิเลสลงบ้างไหม?
    ทั้งหมดนี่ ต่างหาก ที่เราต้องคอยมาวัด มาตรวจสอบ มาดู มารู้ จิต กันอยู่เสมอ....
    อย่าลืม ทั้งหมดนี้ คือ เครื่องมือที่พระพุทธเจ้าท่านให้มาแล้ว ...
    อิทธิบาท4 พรหมวิหาร4 บารมี10 สังโยชน์10 ท่านทำกันครบหรือยัง?
    ถ้าเราหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอมันก็จะเหมือนกับ ...
    จิตเรานะอยู่ในกรอบของข้อวัตรปฏิบัติเหล่านี้
    ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่พร้อมกันในจิตตลอดเวลา
    หรือจะเรียกว่าเรา สำรวมจิต อยู่ตลอดนั่นเอง ..

    วันคืนล่วงไป ผ่านไปเร็ว...ยังกับความฝัน ...
    เช้าลืมตาตื่นขึ้นมา ...อีกวันแล้วสินะ ที่กายหยาบขันธ์5 มันยังทรงอยู่
    ภาระที่ต้องดูแลมัน ก็ต้องทำไปตามหน้าที่ ตามอัตภาพแต่ไม่ต้องไปใส่ใจมันมากนัก
    แต่ภาระหรืองานของจิตต่างหากล่ะ ที่เราต้อง เน้น ต้องรีบทำแข่งกับเวลาและ ความตาย
    เพราะเราไม่รู้นั่นเอง ว่าความตายจะมาถึงเราเมือไหร่ ไม่มีนิมิต เครื่องหมาย บอก
    งานของจิต ที่เราควรใส่ใจพิจารณาธรรมอยู่ตลอดเวลา ในอารมณ์ปัจจุบัน นี่แหละ
    มีความหมายมาก ...หมั่นสอนหมั่นเตือนจิตตน ตลอดเวลา...
    ทำไปทำไป ทำให้ต่อเนื่อง วันหนึ่งเราก็จะเดินถึงจุดหมายปลายทางที่เราต้องการ....

    วันนี้ ก็แค่อยากเขียนแชร์ กับเพื่อนผู้อ่านบ้าง ... ไม่งั้นก็ เหมือนคุยกับตัวเองอยู่คนเดียว
    เพราะก็ยัง สอนตัวเอง เตือนตัวเอง เราเองก็ยังเป็นผู้ที่เดินทาง เหมือนกันกับ ท่านทั้งหลายนั่นแหละ

    ถือว่า มาแชร์ ธรรมปฏิบัติกันก็แล้วกันค่ะ ....สาธุค่ะ
     
  13. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    สาธุค่ะ
     
  14. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    โมทนาสาธุค่ะ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นาทีนี้ต้องพากัน..บวชจิตเยอะๆ
    ทุกท่านก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรมหรือความจริงเท่าเทียมกัน
    อย่าไปรอว่าจะต้องออกบวชก่อน จิตใจเราถึงจะสงบสุขหรือเป็นบุญ เป็นกุศลได้
    อย่าไปรอ อย่าประมาท
    เพราะอาจหมดลมหายใจเสียก่อน และหมดโอกาสสร้างบุญกุศลแห่งตน
    อย่าไปรอ ให้ตนเองว่างก่อน ให้ลูกๆโตก่อน ทำงานก่อน รอวันพระก่อน รอเกษียณก่อน ถึงจะมีเวลาไปสร้างบุญกุศลให้กับตน
    สำหรับท่านที่เอาแต่รอๆๆ จะบอกให้นะว่า ท่านประมาทเกินไป
    อย่าลืมนะว่า เรารู้แค่วันเกิดของตนเท่านั้น แต่ไม่รู้วันตาย
    อย่าลืมนะว่า เวลาที่เรามีลมหายใจอยู่นี้ มันสั้นนัก ขอให้พวกเรามองไปข้างหน้าไกลๆ
    นั่นก็คือโลกแห่งความตาย อันนี้แหล่ะแน่นอน น่ากลัวยิ่ง เพราะมันยาวนานมาก
    ยิ่งเวลาในนรกภูิมิละก้อ อย่าได้หลงตกไปทีเดียว เพราะมันทรมานมาก ทุกข์สาหัสยาวนานมาก
    ตราบใดที่เรายังพอมีลมหายใจกันอยู่นี้ ก็อย่ามัวสนุกสนาน เพลิดเพลินหรือมีความสุขยังบนโลกมนุษย์กันมาก
    เพราะมันก็แค่ความสุขชั่วคราว จิตเรายังต้องเดินทางไกล พวกเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน
    มีร่างกายหรือตายเกิดมาเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังหนีคำว่าทุกข์ไม่พ้น
    นำพากันบวชจิตเยอะๆ ถ้าเรารอบวชกายก่อน แต่ถ้าได้บวชจริงๆ ถ้าจิตใจมันไม่สงบก็ไร้ประโยชน์ เพราะบุญก็คือความสบายใจ
    ยิ่งผู้ใดคอยหมั่นทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ นั่นก็หมายความว่า จิตเราตั้งมั่นอยู่แต่บุญกุศลแล้ว
    นอกจิตคนเรานั้น มันมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวาย หาสุขแท้ไม่มี ถึงหาสุขได้ก็แค่ชั่วคราว
    เพราะเราจะให้ความสุขแบบทางโลกอยู่กับเรานานๆ หรือตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ก็ไม่ได้
    สรุปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เราจะไปบังคับได้นั่นเอง เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
    โดยเฉพาะ คำว่า อนัตตา
    เราจะต้องมองให้เห็นคำๆนี้ให้เด่นชัดให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเห็นธรรมยาก

    คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์เพราะทำใจยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือแปรเปลี่ยนไม่ได้
    บังคับก็ไม่ได้ ถ้าผู้ใดฝืน หรือพยายามไปบังคับบัญชาในสิ่งที่ตนต้องการก็เห็นมีแต่ทุกข์ท่าเดียว
    แต่จิตจะไรทุกข์ได้นั้น มันต้องนำจิตมาเดินตามมรรคที่กล่าวกันมาหลายรอบแล้ว
    แต่เราจะไร้ทุกข์กันได้อย่างสนิทใจ จิตเราจะต้องปล่อยวางให้หมด
    แต่จิตจะปล่อยวางได้ก็ด้วยปัญญาเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะออกจากทุกข์ของตนเองได้นั้น ต้องเริ่มต้นที่การสร้างสติมากๆ โดยเฉพาะปัญญา
    เดินตามมรรคมีองค์๘ หรือทาน ศีล ภาวนา หรือศีล สมาธิ ปัญญา แค่นี้เอง
    นอกนั้น ไม่ใช่หนทางออกจากทุกข์
    สาธุ ธรรมะตรงประเด็น คำว่าธรรมะนั้น ไม่มีคำว่าอ้อมค้อม การจะลงมือปฎิบัติก็อย่ามัวท่าเยอะ
    อะไรตัดได้ก็ต้องรีบทำซะ เพราะความตายของคนเรานั้นเป็นสิ่งแน่นอนที่สุด
    ผู้ที่ยังมีลมหายใจก็เท่ากับ ยังพอมีโอกาสได้สร้างบุญกุศลแห่งตน
    แแต่ถ้าหมดลมก็เท่ากับหมดโอกาสสร้างบุญกุศลในภพนี้หรือชาตินี้แล้ว
    อย่าลืม อย่ามัวทำอะไรกันเพลิน เพราะนั่นเรากำลังอยู่กับสิ่งสมมุติทั้งสิ้น มันไม่ใช่บุญกุศล
    เพราะโลกหลังแห่งความตายนั้น ที่พอจะเอาไปด้วยหรือติดตามเราไปยังภพภูมิต่างๆนั้น ก็เห็นมีแต่บุญกุศลเท่านั้น
    ลาภ ยศ เงินทอง สรรเสริญ แม้นกระทั่ง ร่างกายของเราหรือคนที่เรารัก/รักเรา
    เช่น คุณพ่อ คุณแม่ สามี/ภรรยาหรือลูกหลาน ท่านเหล่านี้ก็ไม่มีผู้ใดไปกับเราด้วยเลย
    อย่างมากเขาส่งเราแค่ เมรุหรือหลุมฝังศพเท่านั้น
    คิดให้ดีๆ มีสติกันให้มากๆ นี่คือธรรมะ นี่คือความจริง ที่ทุกท่านพบเห็นกันมาหมดแล้ว
    ไปงานศพคนอื่นๆก็มากมายแล้ว เหลือแต่คนอื่นไปงานศพของตนเท่านั้น
    บอกแล้ว อย่าประมาณ อย่าหลงทำอะไรกันเพลิน เพราะสิ่งที่กำลังทำทั้งหมดนั้นคือ สมมุติ
    พอเราหมดลมก็จบกัน ทำอะไรไม่ได้ จะเอาไปก้ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ บอกใครๆก็ไม่ได้แล้ว
    เกมส์โอเวอร์ เลิกกัน จบกัน
    อย่าลืมคนเราเกิดมานั้น ไม่มีอะไรติดตัวกันมาเลย พอตายไปก็กลับไปตัวเปล่าอีก
    เราคงลืมกันไปว่า ยามมาก็มาแต่ผู้เดียว แต่พอจะไป(ตาย) เราก็ไปแด่ผู้เดียวอีก

    ขอให้ทุกๆท่าน จงจดจำธรรมะเหล่านี้ไว้ให้ดี
    และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จางคลายคราบมนุษย์หรือขันธ์๕ตนเองเสียไวๆ

    นาทีนี้ ไม่ทันแล้ว นอกจากบวชจิตตนอย่างเดียว
    บอกกับท่านทั้งหลายแล้วนะ เตือนกันแล้วนะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน

    งั้นเอาจิตของตนให้รอดก่อนดีไหม(จิตพร้อม)
    ส่วนกายหยาบมันจะแตกดับลงตอนไหนก็ช่างมัน ถึงอย่างไร มันก็แตกดับแน่นอน


    สาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 สิงหาคม 2013
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    การเข้าถึงมรรคผลทุกระดับต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดและแน่นอน สัจจะต้องมั่นคงจริง ๆ เอาก็คือเอา ไม่เอาก็คือไม่เอา
    กำลังใจประเภทครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถือว่ายังไม่ได้เรื่อง ให้มันตายเป็นตายไปข้างหนึ่งเลย

    ถ้าไปนิพพานไม่ได้ก็ลงอเวจีเลย ถ้าตัดสินใจแบบนั้นได้ถึงจะได้เรื่อง พวกที่ยังกั๊กอยู่ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยังไม่ได้เรื่อง


    คำสอนหลวงพ่อเล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี


    สาธุค่ะ ....น้อมรับคำสอน กราบนมัสการพระคุณเจ้าหลวงพ่อเล็ก เจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การจะไปนิพพานนั้น จะต้องสร้างกําลังให้อยู่เหนือ"ขันธ์" หรือเหนือตาย" หรือลืมคราบมนุษย์ให้ได้ เพราะข้าพเจ้าได้เห็นประจักษ์ตามคําชี้แนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คําสอนที่ครูพี่ภู ที่ท่านใช้อยู่เสมอนั้น คือ "ต้องออกจากทุกข์ของตนเองให้ได้เสียก่อน" ถ้าท่านยังออกจากทุกข์ของตนเองยังไม่ได้ หรือยังทําใจให้พ้นทุกข์ไม่ได้นั้น

    ดวงปัญญาของท่านก็ยังไม่ทันต่อ "กิเลส"เพราะยังมีการตัดของความต้องการยังไม่ได้ เพราะยังติดอยู่ในขันธ์นั้นเอง...แล้วผู้ปฏิบัติถ้ายังตัดขันธ์ยังไม่ได้เด็ดขาด คําว่าทุกข์นั้นจะต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน...

    เพราะทุกๆคนที่เป็นทุกข์อยู่นี่ก็เพื่อตัวนี่เท่านั้น...ข้าพเจ้าขอกล่าวขอบคุณ ครูพี่ภู ผู้มาเปิดกระทู้"จิตเกาะพระ" เพราะข้าพเจ้าได้ผ่าฟันอุปสรรคมาได้ ก็เพราะได้กําลังจากท่าน และได้รู้เห็นตามพระพุทธเจ้า เพราะท่านได้ตรัสไว้ชอบแล้ว คือ"พระธรรม" คําสั่งสอนของท่านนั้นเป็นของจริง ไม่เป็นอื่น เพียงแต่เราทําจิตให้นิ่ง และน้อมจิตปฏิบัติตามท่าน ท่านก็จะเป็นผู้รู้ตาม และเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานค่ะ" สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    พ่อสอนลูก....​

    ๑.ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และจงรักษาวาจาไว้ให้ดี อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี คือ ยุให้คนแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
    ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี คือ ไม่อยากได้ของๆใครที่เขาไม่เต็มใจให้ ไม่โกรธแค้นอาฆาตพยาบาทใคร ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ อารมณ์เท่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อย จนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว ในที่สุดก็ถึงนิพพาน

    ๒.ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า ท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ท่านกับเราก็เสมอกัน เสมอกันโดยไตรลักษณ์ คือ อนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากินทางอาชีพ ทำการงานเลี้ยงชีพ สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป

    จงจำไว้อย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป จงจำไว้ว่า เราจะต้องตาย ถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์ เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม แต่สุขไม่นาน ผลที่สุดก็ละความสุขนั้นมาหาความทุกข์ สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม


    ที่มา...ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน « ศูนย์พุทธศรัทธา
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ขอถวายพระพร คำภาษิตของอาตมาภาพมีอยู่ดังนี้

    ... การเห็น เป็นเหตุแห่ง การคิด
    ... การคิด เป็นเหตุแห่ง การเห็น
    ... ถ้าคิดดี ก็เป็นทางเย็น
    ... หากคิดไม่เป็น ก็เย็นสบาย


    ธรรมภาษิต

    ประโยคแรก "การเห็น เป็นเหตุแห่ง การคิด"

    หมายความว่า การรู้ธรรมเป็นเหตุแห่งการหลุดพ้น นั้นจะต้องเรื่มที่ ความเห็น หรือ สัมมาทิฏฐิ ในองค์มรรคทั้ง 8 สัมมาทิฏฐิในขั้นต้นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิในระดับ โลกียธรรม คือเป็นความเห็นที่ถูกต้อง แม้จะยังไม่บริสุทธิ์นัก แต่ก็เป็นเหตุให้เห็นธรรมะ จากที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน
    อย่างเช่น นาย ก.เป็นเศรษฐีที่ยึดถือผลกำไรเป็นเป้าหมาย ไม่เคยเชื่อในบาปบุญ ต่อมานาย ก.ป่วยหนัก ทนทุกข์ทรมาน
    ทรัพย์สินที่มีอยู่มากมาย ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ระหว่างอยู่ ร.พ. นาย ก. มองเห็นคนตายทุกวัน เกิดความปลงในสังขารขันธ์ มองเห็นสัจธรรมว่า อีกไม่นานตนก็จะต้องตายอย่างคนเหล่านั้น เห็นความจริงของ ทุกข์ในอริยสัจ อย่างนี้เรียกว่า นาย ก.มีสัมมาทิฏฐิ คือมองเห็นสัจธรรมแล้ว ความเห็นนี้เองเป็นเหตุให้ นาย ก.เกิดความคิดชอบ หรือที่เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ คือ มีความคิดที่ถูกต้องว่า หนทางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นนั้นคือ
    การออกจากกาม การไม่พยาบาทหรือเบียดเบียนผู้ใด อย่างนี้เรียกว่า นาย ก.เกิดความคิดที่ถูกต้องแล้ว
    หลวงพ่อเกษมจึงกล่าวว่า "การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด"

    ประโยคที่สอง "การคิด เป็นเหตุแห่ง การเห็น"

    หมายความว่า เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว (สัมมาทิฏฐิ) แล้วก็จะเกิดความคิดที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ) ตามมา และเมื่อเกิดความคิดที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่จะตามก็คือ สัมมาทิฏฐิ แต่สัมมาทิฏฐิในขั้นนี้ เป็นความเห็นที่ถูกต้องในระดับ " โลกุตรธรรม"ไม่ใช่ความเห็นชอบในระดับ
    "โลกียธรรม"แล้ว สัมมาทิฏฐิในระดับโลกุตรธรรมเป็นความเห็นที่เกิดจากปัญญา ของผู้ปฏิบัติวิปัสสนา

    ความเห็นในระดับนี้เป็นความเห็น บริสุทธิ์ ที่เกิดจากปัญญาจริงๆไม่ใช่การนึกคิด
    การที่บุคคลจะปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้น จะต้องมีพื้นฐานมาจาก สัมมาสังกัปปะ อันประกอบด้วยความคิด ที่จะไม่พยาบาทหรือเบียดเบียนใคร และความคิดที่จะออกจากกาม (เพราะมองเห็นโทษ ของกามแล้ว) ความคิดนี้ ก็นำไปสู่การปฏิบัติตามองค์มรรคต่างๆ นั่นก็คือ เริ่มที่ความคิด เริ่มที่จิต แล้วก็ตามมาด้วยวาจาและกาย และจบลงที่ ความเห็น (สัมมาทิฏฐิ) ในระดับโลกุตรธรรม
    หลวงพ่อเกษม จึงกล่าวว่า " การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด"

    ประโยคที่สาม "ถ้าคิดดี ก็เป็นทางเย็น"

    การคิดดีย่อมเป็นพื้นฐาน ของการละเว้นความชั่วและการทำความดี เมื่อมนุษย์ทำความดีวิบากแห่งความดี ย่อมอำนวยผลเป็นความสงบเย็น แม้ตายไป สุคติภพ (สวรรค์) ก็เป็นอันหวังได้

    ประโยคที่สี่ "หากคิดไม่เป็น ก็เย็นสบาย"

    ในประโยคที่สามที่กล่าวว่า "ถ้าคิดดีก็เป็นทางเย็น" นั้นหมายถึง การคิดดีย่อมได้ดี แด่สิ่งที่เหนือยิ่งไปกว่าการ "คิดดี" ก็คือการ "คิดไม่เป็น" คำว่า "คิดไม่เป็น"ในที่นี้หมายถึง การคิดโดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรารถนาที่จะเป็นสิ่งใด ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานใดๆ ว่านี้เป็นตัวเรา สิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนั้นเป็นของเขา ปล่อยวางในธรรมทั้งหลายทั้งปวง มองเห็นธรรมตามความเป็นจริง คือธรรมะทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนของเรา ที่จะยึดถือครอบครองว่าเป็นของเรา ดังนั้น "หากคิดไม่เป็นก็เย็นสบาย" จึงหมายความว่า เมื่อสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งหลาย ก็ย่อมเย็นสบาย คือ "นิพพาน" นั่นเอง

    ขอถวายพระพร

    พระภิกษุเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง


    Cr..Fb ลูกพระสุธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มนุษย์เอ๋ย!
    ไม่มีสิ่งใด ที่เราจะไปยึดหรือเกาะได้อีกแล้ว

    เพราะทั้งหมด ทั้งปวงนั้นเป็นแค่เพียง รูป-นามสมมุติ เท่านั้น
    ถ้าหากผู้ใดขืนไปยึดเกาะ ก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียว
    แม้นกระทั่งขันธ์๕ หรือร่างกายของเราก็ยังยึดเกาะหรือพึ่งพาอาศัย ก็มิได้
    เพราะขันธ์๕ หรือร่างกายมันก็เสื่อมลงไปทุกวันๆ แม้นตัวสติ ตัวจิตก็ยังไม่เที่ยงเลย
    นอกจาก จิตผู้ที่ฝึกฝนมาดีแล้ว สามารถแยกจิตออกมาจากทุกสิ่งได้แล้ว หรือวิมุตติ
    ถึงจะเป็นจิตบริสุทธิ์จริงแท้ และในที่สุด เราทุกคนจะต้องตายแน่นอน

    เพราะฉะนั้น มีอยู่สิ่งเดียวจริงๆ ที่พวกเราพอจะยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้ นั่นก็คือ พระรัตนตรัย
    นอกจาก ระลึกถึงนึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์หรือสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว
    ขอให้พวกเราคอยหมั่นระลึกหรือนึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ให้บ่อยๆ
    ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้ระลึกนึกถึงทุกลมหายใจ ก็ยิ่งดีใหญ่
    คอยสังเกตให้ดี เพราะถ้าจิตผู้ใด ถึงซึ่งพระรัตนตรัยแล้ว ย่อมจะมองเห็นจิตตนมีกำลังหรือพลังจิตมากมายมหาศาล หาประมาณมิได้

    และตรงนี้แหล่ะ จะเป็นกำลังสำคัญ โดยเฉพาะกับผู้ปฎิบัติธรรมในขั้นสูงๆต่อไป
    เพราะผู้ปฎิบัติจะต้องใช้กำลังใจหรือพลังจิตมากในการที่จะละ-ปล่อย-วางกับทุกๆสิ่งได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
    ผู้ปฎิบัติจะมาพึ่งพาหรืออาศัยแต่กำลังจิตตนเองนั้น มันไม่พอเพียงในการละกิเลสของตน
    ลองปฎิบัติตามดูนะครับ ได้ผลตามนั้นจริงๆ และจะรู้ได้เองว่า..พลังนั้นมาจากไหน
    ส่วนจิตนั้นก็จะสามารถตั้งมั่นหรือมีอารมร์เดียวเป็นที่ตั้งอยู่ทั้งวันคืนได้สบาย
    จิตเรามักเบาๆเย็นๆโล่งๆโปร่งๆใสๆ หรือจิตจะผ่องใสทั้งวัน
    มองเห็นกิเลสตนหรือผู้อื่นได้อย่างชัดเจน เราก็แค่เป็นผู้รู้+ผู้ดู ทำใจสบายๆให้เป็นกลางแค่นั้นเอง
    เพราะทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเลย เป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าทุกอย่าง
    เห็นมีแค่..เกิดกับดับ..เท่านั้นเอง นอกนั้น..ไม่มี
    เมื่อจิตเราเข้าถึงธรรมะ ต่อไปจิตย่อมเข้าถึง..พระตถาคต อันนี้จริง
    และก็เป็นไปตามคำว่า..ปัจจัตตัง!
    ขอโมทนาสาธุกับผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบทุกท่าน สาธุ

    ปล.กำลังใจหรือพลังจิตตน คอยหมั่นชาร์ตหรือสร้างให้เต็มอยู่เสมอ
    เพราะวันหน้า วันพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะพบเจอสิ่งใดมาทดสอบจิตของเรา
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จิตพร้อม หรือเตรียมจิตย่อมได้เปรียบเสมอ
    เมื่อจิตมีภูมิต้านทานหรือมีกำลังใจสูงย่อมจะสอบผ่านบททดสอบจิตตนได้ง่าย สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...