ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขออนุญาตแก้คำผิดจาก masterbase>masterbate ครับ
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขอบคุณท่านNewอย่างสูง
    เพราะมีการปรากฏกระทู้ของท่านNew จึงมีการปรากฎข้อความที่เป็นอภิปรัชญาของ
    "Shree Rajneesh buddha"
    ซึ่งควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ศึกษาศาสนาจะพึงทำความเข้าใจ เกี่ยวกับ
    หลักปรัชญาในเชิงศาสนาเปรียบเทียบ
    หากในห้องนี้จะมีการปรากฎ
    ข้อความที่เป็นปรัชญาต่อไปอีก
    โดยมีท่านNew ทำหน้าที่ล่อเป้าให้
    ก็น่าจะทำให้ผู้ติดตามมีโอกาศ
    ขยายวิสัยทัศน์ด้านความเชื่อความศรัทธา
    ได้กว้างขวางขึ้น
    เเละจะเป็นการลดความเป็นสุดโต่ง
    ในตัวตนได้ดีไม่แพ้การลด
    สักกายทิฐิ
    หรืออาจจะได้มากกว่าเนื่องจาก
    ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะศาสนาอัน
    ใดอันหนึ่ง
    แต่เป็นการละตัวตนในระดับสากล

    หากดูเผินๆ บางคนอาจมองว่าใน
    เมื่อภูมิธรรมของตนๆ ก้าวไกลไป
    มากมายแล้วจะมาเสียเวลาศึกษา
    อะไรในโลกนี้อีก

    บร๊ะแหล่ว!!!มัวเถล ไถลเดี๋ยวก็ไปนิพพาน ไม่ทัน
    ในชาตินี้หรอก รีบขนาดนั้นเชียว
    ผมว่ารีบยังไงก็ยังไปไม่ทัน!!!
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมได้อ่านบทความของท่านแล้วผมอยากบอกอะไรท่านอย่างหนึ่งนะครับ ท่านนี้นั้นได้ตกอยู่ในดินสนธยาซึ่งหาทางออกได้ยากมากผมเองยังรู้สึกเป็นห่วงคุณจริงด้วยเพราะเราเกิดมาบนกองทุกด้วยกัน เพียงเรื่องตัวเลือกว่าท่านนับถือศาสนาใดในการทำบัตรประชาชนท่านยังงงเลยท่านช่างสร้างปัญญหาให้กับตนเองมากที่เดียวเพียงแค่จะเขียนว่าท่านนับถือศาสนาใดๆเขียนไปเลยว่าอะไรก็เขียนไปจะเป็นอะไรก็เขียนไปก็จบเรื่องแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นเพียงสิ่งสมมุติในสังคมมันไม่มีสาระอะไรเลย นี่ต่างหากที่ท่านสมควรทำเพราะท่านยังอยู่ในโลกแห่งสมมุติท่านต้องใช้มันให้เป็น นี่ท่านแยกมันไม่ออกมันก็เป็นปัญหาที่ท่านจะต้องมาโต้เที่ยงกับสิ่งที่มันเป็นอยู่

    มันอาจจะดูเท่ดีในมุมของของปรัชญาข้านี้ช่างมีปัญญาลึกชึ้งเหรอเกิด ข้าไม่เชื่ออะไร ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไรในตอนนี้เพราะพุทธพุทธองค์ท่านเมตตาพวกเราที่นำพระสัทธรรมมากล่าวแต่ท่านก็ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อในสิ่งเหล่านี้เพราะแต่ละคนสะสมมาไม่เหมือนกัน เพียงแต่ท่านชวนให้เราเขามานั่งใกล้ๆมาฟังแล้วลองเอามาปฎิบัติถ้ามันดีมีประโยชน์ก็เก็บมันไปใช้ ถ้าไม่ดีก็โยนมันทิ้งไป ท่านเองคงเคยอยากลองทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มามากมาย อยากลองกินสิ่งนั้นสิ่งนีมามากแล้วทำไมไม่ลองดื่มกินน้ำอมฤตนี้ดูบ้าง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ท่านแสวงหามาตลอดทั้งสังสารวัฎก็ได้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คุณอาจจะกำลังสนุกกับปรัชญานี้ซินะ ใช่มันสนุกจริงๆเพราะมันให้ความรู้ไม่ผิดเพลี้ยนเลยในด้านความคิด ในอดีตผมเคยอ่านปรัชญาทางด้านนี้อยู่กมากแต่มันไม่เคยทำให้ผมหายคิดในใจว่าใครเอาลองเท้าของกูไปวะในยามที่ไปงานต่างๆแล้วหาลองเท้าไม่เจอ 55555++++
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    "มั่วไปเรื่อย"
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมไม่มั่วแน่นอน ครับ ถ้าวันนั้นสิ่งที่ปรากฎแก่ผมมันได้มาแบบง่ายๆผมคงไม่มั่นคงบนเส้นทางธรรม
    เพราะสิ่งที่ปรากฎแก่ผมมันได้ทำลายเส้นทางที่มนุษย์อีกหลายลานคนเขาทำกันอยู่ ใช่!ผมอาจจะยังตัดบางสิ่งบางอย่างไม่ได้เพราะเหตุปัจจัยยังไม่ถึง แต่ผมก็ยิ้มอย่างมีความสุขและก็มั่นใจว่าเส้นทางข้างหน้ามันง่ายกว่าการเดินหันหลังกลับไป
     
  7. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    สาวกภูมิของแท้ เขาไม่กล้ากลับพุทธภูมิหรอกครับ เชื่อผมเถอะ ผมเห็นพุทธภูมิเข้ามาตอบเต็มไปหมด แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ตั้งกระทู้ครับ ได้ความรู้เยอะแยะไปหมด เสียอยู่อย่างเดียว เจ้าของกระทู้เหมือนจะไม่ค่อยรู้อะไรเลย เตือนด้วยความหวังดีนะครับ หัดฟังคนอื่นเขาบ้าง อย่าคิดว่ามีแต่คนโง่นะครับ คนฉลาดเขาก็มีเยอะแยะ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พุทธภูมิจะโง่กว่าสาวกภูมิ ยกเว้นสาวกภูมินั้นจะมาจากพุทธภูมิอันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง
    มีสติเรียนหนังสือได้ มีปัญญาอ่านหนังสือออก
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    มีอะไรก็กล่าวมาซิครับ ถัาคิดว่าผมไม่ค่อยรู้อะไร และใครครับที่ว่าเป็นพุทธภูมิโง่กว่าสาวกภูมิ
     
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมว่าคุณพยัคฆ์นิล เก่งนะรู้ด้วยใครเป็นพุทธภูมิ
     
  10. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่า ความคิดของข้าพเจ้าถูกและความคิดของคนอื่นผิด ท่านว่า ข้าพเจ้าเป็นใครกัน...ล่ะถึงจะมาตัดสินว่าความคิดของใครถูกความคิดของใครผิด.......


    ถูกและผิดมันเป็นเรื่องพื้นๆๆ สำหรับข้าพเจ้า

    อันที่จริงความถูกและความผิดก็มิได้แตกต่างกันในสายตาของข้าพเจ้า ท่านเคยสังเกตความถูกความผิดหรือไม่ ท่านเคยลองตรวจสอบดูว่าอะไรที่ถูกที่ผิดหรือไม่ ? ถ้าท่านเคยท่านจะพบกับปัญหาใหญ่ที่เดียว

    เช่น สังคมหนึ่งพูดว่าการทำเช่นนี้ถูกอีกสังคมหนึ่งพูดว่าการทำเช่นนี้ผิด แล้วตกลงสังคมใดล่ะที่นิยามสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิดได้อย่างแท้จริง หรือบางทีนิยามของทั้งสองสังคมนั้นผิดทั้งคู่ บางคนกล่าวว่า การทำตามคนส่วนใหญ่ในสังคมบอกว่าถูกนั้นแหละ คือถูก แต่ก็มีคนที่บอกว่า ฉันไม่เดินตามคนส่วนใหญ่ในสังคมเพราะที่คนส่วนใหญ่ในสังคมบอกว่าถูกฉันเห็นว่ามันผิด ฉันได้พิสูตรแล้วจากประสบการณ์ อย่างคนอย่างพระพุทธเจ้า บางคนก็ว่าการทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นแหละที่ถูก แต่บางคนก็พูดว่าในแง่ความจริงที่คุณว่าการทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นแหละที่ถูก แต่เราก็เห็นว่ามันยังมีผลกระทบต่อคนส่วนน้อยที่ต้องเสียผลประโยชน์ แล้วมันจะถูกได้ยังไง?.....

    แล้วท่านจะนิยามความถูกความผิดได้อย่างไร? ท่านเอาอะไรวัด รึ ดังนั้นข้าพเจ้าจึ่งไม่วิกลจริตพอที่ ที่จะไปนิยามว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เพราะในถูกย่อมมีผิดอยู่ด้วยมันเป็นสองด้านของสิ่งเดียวกัน การกระทำหรือความคิดอย่างเดียวกันในบริบทหนึ่งอาจจะเป็นการกระทำหรือความคิดที่ผิดก็ได้ แต่ในบางบริบทก็อาจจะการกระทำหรือความคิดที่ถูก....

    เพราะข้าพเจ้าเห็นถึงสิ่งนี้ข้าพเจ้าจึ่งไม่พูดตีตราสิ่งใดว่าถูกสิ่งใดผิดอย่างเด็จขาดไปเลย ....ข้าพเจ้าไม่ทำเช่นนั้น อันที่จริงข้าพเจ้าพูดเรื่องที่พ้นไปจากความถูกและความผิด....

    ทีนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านพูดยาวๆๆ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ยกเว้นที่ท่านพูดเรื่องว่า"ท่านกำลังจะเอาความคิดของท่านมาบอกว่าสิ่งที่ท่านคิดนั้นมันถูก" เพราะมีประเด็นที่น่าสนใจ ส่วนที่เหลือข้าพเจ้าไม่ได้สนใจ

    แต่เห็นข้อความยาวๆๆของท่าน มันทำให้ข้าพเจ้านึกถึงนิทานอีกเรื่องหนึ่ง ของชาวซูฟี

    เรื่องของเจเนด ซึ่งเป็นผู้รู้ชาวซูฟี ท่านรู้จัก ซูฟีหรือไม่ พวกซูฟีก็คือรหัสนัยของพวกอิสลาม แต่พวกนี้จะต่างจากอิสลามที่ท่านรู้จัก เมื่อศาสนาอิสลามเข้าไปในอินเดีย มันได้เกิดการผสมผสาน ขึ้นระหว่างศาสนาพุทธ ฮินดู และ มุสลิม เกิดเป็นซูฟี เป็นศาสนาที่งดงามที่สุดศาสนาหนึ่งอีนที่จริง้าศาสนาทั้งหมดในโลกนี้สาปสูญไปและเหลือเพียงซูฟี และ เซน โลกจะไม่สูญเสียอะไรเลย

    กาลครั้งหนึ่งมานานแล้ว มีผู้รู้ชาวซูฟี ชื่อเจเนด เขาเป็นคนธรรมดาๆๆมากๆๆไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นผู้รู้ชาวซูฟี เขาเหมือนชายชราที่ทำงานที่คนชั้นต่ำในสังคมทำเขาเป็นช่างขัดรองเท้า เขาไม่มีอะไรโดดเด่นเลยเป็นคนธรรมดาอย่างถึงที่สุด เขาไม่พยายามจะเป็นคนพิเศษ เป็นผู้รู้ และนั้นแหละที่ทำให้เขาแตกต่างออกไป

    วันหนึ่งก็มีอิหม่านหนุ่ม เดินทางมาพบกับเจเนด เขาคงได้ยินใครสักคนที่พูดถึงเรื่องเจเนด เขาจึ่งได้มาหาเจเนดเขาคงต้องการจะเจอกับสุดยอดกูรูทางจิตวิญญาณ

    แต่ทว่าเขาก็หาได้พบเจเนดไม่ เขาไม่พบคุรุที่ยิ่งใหญ่ที่ห้อมล้อมไปด้วยคณะศิษย์ตามที่เขาคาดหวังท่านคงนึกภาพออกกระมั้ง เขาพบแต่ชายชราสกปรกชั้นต่ำที่ขัดรองเท้า ดังนั้นเขาจึ่งเรียกชายชราผู้นี้ ซึ่งก็คือ เจเนด เพื่อมาให้ขัดร้องเท้า

    ระหว่างนั้น เขาก็คงเกิดความคิดขึ้นมาว่า
    "ชายชราสกปรกนี้ช่างน่าสงสารเขาคงจะไม่รู้จักพระเจ้า คงจะไม่รู้ว่าอะไรที่ถูกที่ผิด ถ้าเขารู้เขาก็คงจะร้องขอความเมตตาจากพระองค์ และเมื่อเขาทำตามพระทัยของท่าน เขาก็คง ได้รับการโปรดและหลุดพ้นจากชีวิตที่น่าสงสารนี้ "

    มันเป็นวิธีคิดแบบหนึ่งของศาสนาเทวนิยมทั้งหลาย ที่ว่าบนสวรรค์มีนักมายากลเฒ่าคอยกำหนดชะตาชีวิตของท่านอยู่และถ้าท่านสอพลอ พอนักมายากลเฒ่าก็จะชอบใจและบันดาลสิ่งต่างๆๆให้ท่าน อย่างชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึ่งได้เทศน์เจเนด และระหว่างที่เทศน์อิหม่านหนุ่มผู้นี้ก็เขาพูดราวกับว่าเขารู้ทุกอย่างเขาพูดว่า

    "ท่านจะคิดแบบนั้นไม่ได้นั้นผิด และฟังข้า ข้าถูก เพราะข้ารู้ นี้ไงท่านศาสดาว่าอย่างงี้ สวรรค์มันเป็นแบบนี้ ท่านต้องทำแบบนี้เพื่อไปถึง แบบนั้นไม่ได้ ท่านช่างไม่รู้อะไรเลยที่ท่านรู้ยังไม่ใช่ มันต้องเป็นแบบนี้แบบนั้นสิ นั้นไม่ใช่ นี่ใช่ อย่างงี้อย่างงั้น"

    เจเนดได้แต่ฟังอย่างสงบไม่พูดอะไร มีอยู่เพียงคำพูดเดียวว่า "นี่พ่อหนุ่ม ข้าแก่เกินไปกว่าที่จะรู้เรื่องพวกนี้แล้วล่ะ"

    มันก็คงเป็นเช่นนี้กระมั้งที่ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านว่า "นี่พ่อหนุ่ม ข้าแก่เกินไปกว่าที่จะรู้เรื่องพวกนี้แล้วล่ะ"
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ดูท่านอาจจะเข้าใจเพียงแค่สมมุติจริงๆเรื่องถูกผิด ท่านพูดถูกเรื่องการถูกผิดนั้นไม่มีเครื่องวัดว่าสิ่งใดถูกหรือผิดมันขึ้นอยู่กับการกำหนดของเผ่าพันธุ์นั้นๆ แต่บนเส้นทางเดินสู่การหลุดพ้นนั้นจำเป็นอย่างยิ่งกับคำว่าถูก โดยเฉพาะความคิดนั้นต้องถูกก่อน(สัมมาทิฎฐิ = ความเห็นถูก) บนเสนทางอริยมรรคนั้นมีถูกกับผิดเท่านั้น คือมิจฉา-สัมมา เพราะท่านไม่เชื่อท่านจึงไม่น้อมใจที่จะเข้าตามคำเชิญของพระองค์ที่ว่า ท่านจงมาดูเองเถิด และท่านก็พยายามใช้ความคิดของตนเองหาเหตุผลมารองรับความคิดของตัวท่านและท่านก็ได้คำตอบแบบตัวท่านเอง ผลมันจึงออกมาเช่นนั้นเอง มันยากจริงๆพระพุทธองค์บอกว่าอะไรก็ไม่ยากเท่ากับผู้ที่มีความเห้นผิด ถ้าวันนั้นข้าพเจ้าไม่เจอกับสภาวะที่ข้าพเจ้่าพบ ข้าพเจ้าอาจหลงไหลในนิทานของท่านจนเคลิบเคลิ้ม แต่สภาวะที่ข้าพเจ้าพบนั้นมันเกิดกว่าท่านจะเข้าใจได้จริงๆ บนเส้นทางอริยมรรคนี้นั้นเป็นทางเดียวที่จะนำทุกคนออกจากความทุกข์ไดไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาใด ศาสนาเราไม่ได้อยู่บนความเชื่ออย่างไรเหตุผล ศาสนาของพระพุทธองค์อยู่บนหลักของเหตุผลทั้งนั้น แต่ยากที่จะเข้าใจว่าในโลกนี้พระพุทธองค์เป้นคนเข้าไปรู้สัจธรรมที่แท้จริงคือวิชาที่จะนำเราออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นักปราชญ์นิยมเรียกกันว่า "พุทธภูมิธรรม" คำว่า "พุทธภูมิธรรม" แปลว่าธรรมอันเป็นชั้นของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ธรรมซึ่งจัดเป็นชั้นของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น จำเป็นต้องมีภูมิชั้นเชิงดีกว่า คนอื่นๆ มาก เพื่อเป็นเครื่องส่อให้เห็นว่า แปลกจากคนอื่นๆ อย่างไร และธรรมซึ่งเป็นภูมิ หรือ เป็นชั้นเชิงของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พุทธภูมิธรรม มีอยู่ ๔ ประการ คือ

    ๑.
    อุสสาโห
    ความองอาจกล้าหาญในการทำดี ไม่ยอ่ท้อต่อสิ่งอะไรทั้งหมด เป็นต้นว่า การงานที่ทำ ความเมื่อยล้า หิวกระหาย ใกล้ ไกล
    ๒.
    อุมมัคโค
    มีปัญญาแก่กล้าเชี่ยวชาญ ความรู้อันแก่กล้า ได้แก่ความรู้ใน เหตุผลของการกระทำ นิยตโพธิสัตว์ต้องมีความรู้ในเหตุผลต้นปลายของ การกระทำต่างๆ ว่าอย่างไหนจะมีเหตุผลดีชั่วอย่างไร แล้วเลือกไม่ทำสิ่งที่ มีผลชั่ว เลือกทำแต่สิ่งที่มีผลดี
    ๓.
    วะวัตถานัง
    มีอธิษฐานมั่นคง คือมีใจคอหนักแน่นมั่นคง มีความมั่นใจ นิยตโพธิสัตว์ย่อมมีใจคอมั่นคง หนักแน่น ไม่เหลาะแหละเหลวไหล เมื่อทำ สิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ เป็นอันไม่ทอดทิ้ง
    ๔.
    หิตจริยา
    ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ นิยตโพธิสัตว์ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น

    ในคุณธรรม ๔ ข้อนี้ ถ้าลำดับตามวิธีใช้ ต้องลำดับอย่างนี้ คือ
    อุมมัคคะ- หิตจริยา-วะวัตถานะ-อุสสาหะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  13. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ก็เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าให่ท่านฟังนั้นก็เป็นเรื่องสมมติเช่นกัน ...ดังนั้นท่านก็ไม่ควรที่จะตกอกตกใจอะไรแทนข้าพเจ้านัก เพราะอันที่จริงชีวิตของคนเรามันเป็นความฝันที่ซ้อนความฝันอีกที แล้วท่านจะจริงจังอะไรกับมายาภาพที่พึ่งได้ยินได้ฟังไปล่ะ ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าสิ่งนั้นมันเป็นเพียงสิ่งสมมุติมันไม่มีสาระอะไรเลย ....
    อันที่จริงดูท่านจะชอบคิดแทนข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน ท่านต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ท่านช่างสร้างปัญญหาให้กับตนเองมากที่เดียวเพียงแค่จะเขียนว่าท่านนับถือศาสนาใดๆเขียนไปเลยว่าอะไรก็เขียนไปจะเป็นอะไรก็เขียนไปก็จบเรื่องแล้ว......แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นปัญหาสำหรับข้าพเจ้า และ ถึงมันจะเป็นปัญหาสำหรับข้าพเจ้า มันก็เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าจะต้องจัดการกับมันเอาเอง อันที่จริงถ้าข้าพเจ้าเขียนลงไปให้จบๆๆไป ปัญหามันก็ไม่ได้จบไปหรอก มันเท่ากับข้าพเจ้ากำลังเสแสร้ง หลอกลองคนอื่นและตัวเอง เป็นคนทรยศ นี่จะเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่ข้าพเจ้าต้องการความเป็นเนื่อแท้ ทำไมข้าพเจ้าถึงต้อง ผูกติดชีวิตกับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ (สีนั้นสีนี้ พรรคนั้นพรรคนี้ ศาสนานั้นศาสนานี้) ทั้งๆๆที่ข้าพเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าชีวิตมีความเป็นทั้งหมด ทำไมไปลดศักยภาพของชีวิตของตัวเอง ไปผูกติดกับสิ่งเล็กๆ ในเมื่อชีวิตเข้าถึงความเป็นทั้งหมดได้...นี่ช่างเป็นเรื่องโง่ที่สุดจริงๆๆ


    อันที่จริงข้าพเจ้าจะต้องพูดก่อนว่า ถ้าข้าพเจ้าพบประเด็นที่น่าสนใจ ข้าพเจ้าก็จะพูด แต่ไม่ใช่เพื่อเถียงอะไรท่านแต่ ก็เพราะมันน่าสนใจ ส่วนตรงไหนที่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่น่าใส่ใจข้าพเจ้าก็จะข้ามไป เพราะ เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานของข้าพเจ้าที่จะพูด

    ทำไมท่านต้องอ้างพระพุทธเจ้า ท่านเคยสังเกตสิ่งเหล่านี้หรือไม่? ....เพราะท่านขาดประสบการณ์ของตัวท่านเองใช่หรือไม่ เพราะท่านรู้ว่าท่านว่างเปล่าใช่หรือไม่ ท่านไม่มั่นใจในคำพูดตัวเองดังนั้นท่านจึ่งต้องอ้างคนอื่นพูดถึงคนอื่น ชีวิตของท่านช่างขึ้นอยู่กับคนอื่นความคิดเห็นและชีวิตคนอื่นเสียจริง...เมื่อข้าพเจ้าพูดถึงท่าน ข้าพเจ้าพูดถึงคนอื่นด้วยที่มีแนวโน้มการกระทำเหมือนๆๆกัน.......

    เพราะว่าท่านกลัวว่าความไม่รู้ของท่านจะถูกเปิดเผยใช่หรือไม่ เพราะท่านกลัวว่าสิ่งที่ท่านพูดจะผิด ดั้งนั้นจึ่งต้องอ้างพระพุทธเจ้า เพราะ ว่ามันเป็นตรรกะของชาวพุทธ ที่ว่า พระพุทธเจ้าไม่มีวันผิด ดังนั้นถ้าท่านพูดอะไรผิด ท่านก็จะปัดความรับผิดชอบไปที่พระพุทธเจ้าได้ เพราะมันไม่ใช่ความเข้าใจของท่านคำพูดของท่าน มันเป็นของพระพุทธเจ้าดังนั้นท่านจึ่งไม่มีส่วนร่วมในความรับผิดชอบ ถ้ามันผิดมันก็เป็นพระพุทธเจ้านั้นแหละที่สอนผิด แต่ตรรกะของชาวพุทธ (ปลอมๆๆ) จะมีว่า พระพุทธเจ้าไม่มีวันผิด เป็นซูเปอร์โปรเพสเซอร์ที่รู้ทุกอย่าง...ดั้งนั้นสบายใจหายห่วงได้ ความไม่รู้จะไม่ถูกเปิดเผย เพราะฉันพูดในสิ่งที่ถูกเสมอ ฉันมีพระพุทธเจ้าเป็นกันชน แน่นอนว่าข้าพเจ้ายังพบคนอีกมากที่ทำเช่นนี้เช่นชาวคริสต์ที่เชื่อว่าไบเบิ้ลไม่มีวันผิดมันเป็นพระวจนะของพระเจ้า นักบุญทั้งหลายเขียนขึ้นจากการชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธฺจะผิดได้ไง ฮินดูก็ว่ามุนีทั้หลายบรรลุธรรมขั้นสูงได้สดับมาโดยตรงจากพรหม จากพระเป็นเจ้า จะผิดได้อย่างไร?

    มันเป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นและปลอบประโลมตัวเอง ท่านเห็นสิ่งเหล่านี้หรือไม่พระพุทธเจ้า พระสูตร พระอภิธรรม หรือใครหรืออะไรก็ตามที่มักอ้างกันจึ่งเป็นกำบังชั้นดี ที่จะบังตัวท่านจากการมองจ้องของคนอื่น เพื่อที่ว่าคนอื่นจะได้ไม่รู้สึกถึงความกลวงโบ๋ของท่านใช่หรือไม่? ทำไมท่านถึงสนใจสายตาที่คนอื่นมองท่านนัก ท่านไม่รุหรือว่า คนที่มัวพะวงว่าคนอื่นจะพูดหรือมองเราอย่างไรตลอดเวลานั้น เป็นคนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะพอ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่เป็นเนื้อแท้.......

    "ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไรในตอนนี้" ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนๆๆข้าพเจ้าก็จะไม่มีวันเชื่อ ทำไมข้าพเจ้าถึงต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าเป็นใครหรือตัวอะไร? ที่ข้าพเจ้าจะต้องให้มาครอบงำความเข้าใจของข้าพเจ้า.....เขามีตาหูจมูกปากมีทุกสิ่งเหมือนที่ข้าพเจ้ามีแล้วทำไมข้าพเจ้าถึงต้องไปสนใจเขาด้วย ข้าพเจ้าขอลิ้มรสสัจจะด้วยตัวเองจะดีกว่า ทำไมข้าพเจ้าจะต้องลิ้มรสโดยผ่านสื่อกลาง อย่างพระพุทธเจ้า พระคริสต์ นี่มันเป็นการทรยศต่อสัจจะชัดๆๆ เพราะอาการเดียวที่ท่านจะเข้าถึงสัจจะได้ก็คือเป็นสาวกของสัจจะเสียเอง ไม่ใช่เป็นสาวกของคนและเดินตามใคร ท่านต้องเป็นแสงสว่างให้ตัวท่านเอง มันเป็นชีวิตของท่านเป็นความรับผิดชอบของท่าน

    ก็ความเชื่อนั้นไม่ใช่หรือ ที่บ่งบอกว่าท่านไม่รู้ ถ้าท่านรู้ทำไมท่านถึงเชื่อ ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้า ท่านเชื่อเพราะท่านไม่รู้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ท่านจึ่งเชื่อ ท่านเชื่อว่าพระพุทธเจ้าบรรลุธรรม ก็เพราะท่านไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จึ่งต้องเชื่อไปก่อน ท่านเชื่อว่า หลักธรรมบางประการในพระพุทธศาสนาปฏิบัติแล้วบรรลุธรรมได้ พ้นทุกข์ได้ ก็เพราะท่านไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จึ่งต้องเชื่อไปก่อน ไม่ใช่หรือ ท่านพูดว่า"แล้วทำไมไม่ลองดื่มกินน้ำอมฤตนี้ดูบ้าง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ท่านแสวงหามาตลอดทั้งสังสารวัฎก็ได้นะครับ" อันนี้ก็มาจากความเชื่อของท่านใช่หรือไม่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ น้ำอมฤต ในความหมายของชาวพุทธก็คือหนทางแห่งความหลุดพ้น ทีนี้ท่านหลุดพ้นแล้วหรือถึงรับรองคำพูดนี้ได้ว่าเป็น น้ำอมฤต จริง ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าท่านพูดผิด แต่ท่านรู้จริงหรือถึงรับรอง หรือท่านแค่เชื่อ เพราะเขาว่ากันมาอย่างงั้น นี่ก็แสดงว่าท่านไม่รู้ และดูจะยังแนะนำข้าพเจ้าจากความไม่รู้ของท่านอีกด้วย ท่านไม่ว่ามันดูตลกหรือครับ...นี่ยังไม่นับรวมประเด็นที่ว่าที่ท่านอ้างว่าที่พูดมานี่ตรงนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆๆ นะ มันจริงแค่ไหนท่านเคยตรวจสอบแล้วหรือว่าจริง หรือแค่ท่านเชื่อว่า ที่ท่านพูดที่ท่านเข้าใจมานั้นแหละเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆๆ มันต้องเป็นแบบนี้แหละ เพราะ ถ้าท่านรู้ท่านก็จะไม่มีการเชื่อ ท่านรู้ว่าหมามีอยู่จริง ท่านเคยเห็นมา ท่านจึ่งรู้ว่าหมามี ไม่ใช่เชื่อว่าหมามี ท่านก็แค่รู้.....

    ความเชื่อมาพร้อมกับความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึ่งยอมสยบยอมต่อสิ่งนั้นไปพลางๆๆก่อน เพราะความไม่รู้ย่อมนำมาซึ่งความไม่มั่นคงจึ่งต้องยึดถือแบบหลับหูหลับตาเอาไว้ก่อนเพื่อบอกตัวเองว่าฉันรู้ ซึ่งมันก็คือความไม่รู้ที่อ้างว่าเป็นความรู้ ท่านเคยสังเกตหรือไม่ นานนับศตวรรษมาแล้ว มนุษยชาติได้รับการป้อนความรู้ ความคิด จากครูจากตำรับตำรา สังคม พระ นักการเมือง ศาสดา เราร้องขอร่ำร้องว่า ได้โปรดบอกเรื่องนั้นๆ แก่ฉันให้แจ่มแจ้ง ถึงความหมายทื่ขาดหายไปจากชีวิตฉัน ถึงสาระขแองมัน ฉันเป็นใคร บอกฉันทีว่าสิ่งใดคือสัจจะ และเราก็รู้สึกพอใจกับคำอธิบายเหล่านั้น ยึดติดกับคำอธิบายเหล่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่าเรามีชีวิตอยู่บนถ้อยคำ กากเดนของคนอื่น ชีวิตของเราตื้นเขินและว่างเปล่าตั้งอยู่บนสิ่งที่เป็นคำบอกเล่า ไม่ว่าจะเนื่องมาจากความโน้มเอียงของเราเองที่ชอบสยบยอมอย่างเชื่องเชื่อ หรือถูกบังคับให้ยอมรับโดยสภาพการณ์ จาก สภาพแวดล้อมและ สังคมก็ตามที พุโอกแง่หนึ่งก็คือ เป็นผลิตผลของอิทธิพลทั้งมวล ไม่มีอะไรใหม่ในตัวเรา ไม่มีอะไรที่เลยที่เราได้ค้นพบเพื่อตัวเราเอง ไม่มีสิ่งที่ดั้งเดิม และ กระจ่างแจ้งใช่ไหม? นี้แหละคือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง


    ดังนั้นแล้วทำไมข้าพเจ้าถึงต้องเชื่อ ความเชื่อบ่งบอกว่าข้าพเจ้าไม่รู้ เลยต้องเชื่อ เป็นการทรยศต่อตัวเอง ถึงข้าพเจ้าจะไม่รู้ ข้าพเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะถ้าข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าพเจ้าจะค้นหาคำตอบจะพิสูตรเอง จนข้าพเจ้ารู้จนได้ ดังนั้น ความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านเชื่อมั้ยว่าพ่อแม่ทำให้คุณเกิดมาทำไมคุณจึงเชื่อทั้งที่คุณก็จำไม่ได้ด้วยตอนที่คุณเกิดมา ก็เพราะมีการศึกษาไม่ใช่เหรอครับคุณถึงเชื่อว่าท่านเป็นผู้ที่ทำให้เกิด และที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระพุทธองค์มีจริงก็เพราะข้าพเจาศึกษาและก็ปฎิบัติจนพบความจริงที่ไม่ได้จากการที่มีใครเอามายัดเข้าไวในสมองอย่างไรเหตุผล ผมบอกแล้วไงว่าท่านไม่ต้องเชื่ออะไรทั้งนั้นเพียงแค่ท่าน ลองที่จะเปิดม่านบางๆ ออกจากความเคยชินเก่าๆที่ท่านเคยเป็นอยู่ เราไม่เดินบนทางที่ไม่มีเหตผลทั้งนั้นท่านไม่ต้องกราบไหวสิ่งใดๆทั้งนั้นแม้แต่พระพุทธองค์ ท่านเพียงอยู่กับตวามจริงที่ท่านมีอยู่นั้นคือลมหายใจเท่านั้นเองเมื่อท่านอยู่กับความจริงอย่างตั้งใจความจริงก็จะปรากฎ ผมเองไม่ได้ให้คุณอยู่กับความเชื่อผมให้คุณอยู่กับความจริง ในชีวิตคุณไม่ต้องมีพระองค์เลยก็ได้จะเป็นไรไปพระองค์ไม่ต้องการให้ใครกราบไหว แต่ที่เรากราบไหวพ่อแม่ก็เพราะพ่อแม่เรามีบุญคุณไม่ใช่เหรอครับ และถ้าพระพุทธองค์ได้ให้การเกิดใหม่อีกครั้งแก่เรา การเกิดครั้งนี้อาจจะไม่ใช่การเกิดแบบพ่อแม่ให้ แต่มันเป็นการเกิดครั้งใหม่ที่มีค่าแบบการให้ปัญญาที่หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ เราจะกราบไหวท่านก็คงไม่ใช่สิ่งเสียหายอะไรนะครับ การเชื่ออะไรแบบหลับหูหลับตาของพระสัทธรรมของพระองค์ไม่มีท่านไปเอาความคิดนี้มาจากไหนมาจากใคร พระองค์ไม่มีสิ่งนี้แน่นอน มีแต่เหตุผล ทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ปลูกอ้อยได้กินอ้อย ปลูกสะเดาได้กินสะเดา พระสัทธรรมของพระองค์เที่ยงตรงทนต่อการพิสูจน์แต่ใครล่ะจะพิสูจน์แทนท่านได้คงไม่มี ท่านคงต้องลองลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง แต่ท่านไม่พิสูจน์ก็ไม่มีใครจะบังคับท่านได้ เพราะพระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  15. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    อ่านหนังสือไม่แตก ว่าแล้ว.. เราก็นึกว่าคงจะได้อะไรกลับเขาบ้าง ดูๆ แล้วคงจะไม่ได้อะไรเลยจริงๆ แค่อัตตายังละไม่ได้เลย น่าหนักกว่าคือไม่คิดจะละด้วยนี่ ตามสบายครับ
     
  16. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99

    ข้าพเจ้าไม่ได้เชื่อว่าพ่อแม่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดมา แต่ข้าพเจ้ารู้เลยว่า พ่อแม่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดมา ข้าพเจ้ารู้ว่าถ้าหญิงและชายมาพบกันและหลอมรวมกันอย่างลึกซึ้ง เขาก็จะให้กำเนิดชีวิตได้

    ไม่งั้นข้าพเจ้าจะมาจากไหนล่ะ ดังนั้นข้าพเจ้ารู้ ไม่ใช่เชื่อเพราะข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหญิงที่ตั้งครรถ์ได้เอง ดังนั้นจึ่งต้องพูดว่า เพราะมีการศึกษาไม่ใช่เหรอครับท่านถึงได้รู้ว่าท่านต้องมีพ่อแม่เป็นผู้ที่ทำให้เกิด

    ส่วนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดข้าพเจ้าจะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงขิองข้าพเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อเพราะมีทางพิสูตรให้ข้าพเจ้ารู้จนได้

    อ้อ ถ้าจะมีหญิงที่ตั้งครรถ์ได้เอง ก็คงมีนางมารี มารดาของพระเยซูกระมั้ง และก็น่าจะมีพระพุทธเจ้าด้วยกระมั้ง เพราะข้าพเจ้าได้อ่านในหนังสือ ปฐมโพธิกถา มาว่า พระมหาสัตว์มิได้จุติจากการที่บิดาและมารดาใมเพศสัมพันธ์กัน แม้ว่าจะสมรสกัน หรือ คุรุปัทมสมภพของทิเบตที่เกิดจากดอกบัวไม่มีพ่อแม่ แต่นั้นก็เป็นเพียงความเชื่อ ของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งท่านจะเชื่อก็ได้ ถ้ามันไม่ได้ค้านกับความรู้สึกของท่าน นางมารี เป็นมารดาของพระเยซู นางจึ่งเป็นพระแม่ศักดิ์สิทธิ์ ชาวโรมันคาทอลิก เคารพนาง และแน่นอนตำแหน่งพระบิดาเป็นของพระเจ้า ทุกครั้งที่ข้าพเจ้า คิดถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะสงสารนายโยเซฟ เพราะนายโยเซฟไม่ได้รับการพูดถึงหรือเรียกว่าพระบิดา ตำแหน่งพระบิดาเป็นของพระเจ้า นายโยเซฟจึ่งหมดความหมายแม้จะเป็นคนเลี้ยงดูพระเยซูมา แต่ทว่าพระเยซูไม่ได้เกิดจาก นายโยเซฟนี่ ช่างเป็นศาสนาที่ตลกเสียจริง ! นี่คือความเหลวไหลของความเชื่อ ที่ไม่ยอมแม้แต่จะให้ศาสดาเป็นคนปกติ..และดูเหมือนศาสนิก ก็จะเชื่อโดยเก็บความรู้สึกตะหงิดๆๆไว้ในใจ....

    เท่าที่เห็น ประเด็นอื่นข้าพเจ้าขอข้ามไป

    แต่มีที่น่าสังเกตว่าท่านอ้างพระพุทธเจ้าอีกแล้ว ทำไม? ท่านถึงต้องดึงพระพุทธเจ้าเข้ามาในระหว่างการสนทนาของข้าพเจ้ากับท่าน มันก็เหมือนกับท่านมีสุนัขสีสวย ท่านชอบมันและข้าพเจ้าชอบมัน ดั้งนั้นท่านจึ่งว่า เอาล่ะเรามาคุยถึงมันกัน ข้าพเจ้าไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าคือสุนัขตัวนั้น แต่ท่านเห็นประเด็นไหม? ท่านเอาพระพุทธเจ้าเข้ามาเป็นกำบังในการสื่อสารอีกแล้ว... ทำไมท่านถึงต้องอ้างพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้อยากจะสนทนาเรื่องพระพุทธเจ้ากับท่าน แต่ต้องการดูว่าท่านมีของจริงสิ่งแท้อะไรที่เราจะมาแลกเปลี่ยนกัน กรุณาเอาพระพุทธเจ้าออกไปก่อนได้หรือไม่ ท่านจะยกออกไปไม่ได้เลยหรือ หรือเป็นเพราะถ้าไม่อ้างพระพุทธเจ้า คำสอน หรือ ประสบการณ์ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก เพราะนี่คือทั้งหมดของความจริงที่ท่านคิดว่าท่านรู้ใช่หรือไม่ ท่านเห็นประเด็นไหมดั้งนั้นพระพุทธเจ้า คำสอนของท่านจึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการแสวงหาของท่านของชาวพุทธทุกคน เป็นสาระทั้งหมดของความจริงที่รู้ ใช่ไหม ? ถ้ามีสิ่งที่นอกเหนือกว่านี้ไกลออกไป พ้นไปจากนี้ อีก ท่านก็ไม่รู้ได้ เพราะ พระพุทธเจ้า คำสอนของท่าน บังความจริงนั้นเสียหมด ใช่ไหม? แล้วท่านจะพูดว่า "ข้าพเจ้าศึกษาและก็ปฎิบัติจนพบความจริงที่ไม่ได้จากการที่มีใครเอามายัดเข้าไวในสมองอย่างไรเหตุผล " ได้อย่างไร? ถ้าจริงอย่างท่านว่า ท่านก็ต้องเปิดเผยมันออกมาในการสนทนาแล้ว ไม่ใช่เอาพระพุทธเจ้ามาเป็นกำบัง แล้วคอยแนะนำพระพุทธเจ้าให้กับข้าพเจ้า ท่านคงจะเป็นพนักงานขายมาก่อนถึงได้ชอบโฆษณาสินค้าให้ข้าพเจ้าเสียจริง...ราวกับว่าดกลัวข้าพเจ้าจะไม่ซื้อและท่านไม่ได้ยอดขายทะลุเป้า....

    ข้าพเจ้ารู้จักพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระพุทธเจ้าดี ข้าพเจ้าอาจจะหยิบยกมันขึ้นมาพูดกับท่านก็ได้ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะ ข้าพเจ้ากำลังอ้างคำสอนและประสบการณ์ของคนอื่น ไม่ใช่ของตัวข้าพเจ้าเอง... ท่านเคยสังเกตดูหรือไม่ว่า อำนาจครอบงำทั้งหลาย ไม่ว่าประเภทใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความคิดและความเข้าใจ เป็นอันตราย และเป็นภัยมากที่สุด ดั้งนั้นท่านต้องย้อนกลับไปไต่ถามถึงทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ยอมรับนับถือว่าเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น เพื่อที่จะเป็นอิสระจากมัน มันไม่ใช่การละทิ้งภูมิหลังของท่าน ที่ท่านเป็นชาวพุทธนี่ แต่เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะเห็นได้มากกว่าที่ตาเคยเห็น
    ท่านเห็นอะไรไหม? ทุกวันนี้ ผู้นำทำลายผู้ตาม และผู้ตามก็ทำลายผู้นำด้วยมันชัดเจนมาก ชาวพุทธทำลายศาสดาของเขาเองโดยไม่รู้ตัว อันที่จริง ท่านจำเป็นต้องเป็นครูและเป็นศิษย์ของตนเอง อันที่จริงนี่ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องที่ท่านต้องพึ่งตนเองเป็นแสงสว่างให้ตนเอง แสวงหาประสบการณ์ด้วยตนเองพระพุทธเจ้า คือ คนบอกทาง แต่ท่านต้องเดินด้วยตัวเอง มีประสบการณ์เอง ข้าพเจ้าคุยกับท่านเพราะสนใจในประสบการณ์ของท่านไม่ใช่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า ที่ท่านพยายามอ้างถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมก็บอกอยู่แล้วไงว่าท่านไม่ต้องสนใจพระพุทธเจ้าเลย เพียงอยู่กับความจริงนั้นคือลมหายใจ นี่คือการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่ความจริง ท่านเองต่างหากที่พูดอยู่ด้วยความคิดที่เป็นปรัชญาไม่มีความจริงมาพิสูจน์ได้เลยว่าความหลุดพ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าอาจจะพูดแบบท่านก็ได้ อาจจะเก่งกว่าท่าน หรืออาจจะสู้ท่านไม่ได้ สิ่งที่ท่านพูดนั้นมันมีประโยชน์อย่างไรผมเห็นว่ามันมีแต่โทษในตัวมันเองเพราะไม่มีอะไรเลยที่จะยืนยันว่าสิ่งนั้นคือความหลุดพ้นที่แท้จริงเพราะความคิดมันก็เป็นความคิด แต่การปฎิบัติมันแสดงออกมาทางความรู้สึก ความร้อน กับการคิดว่าร้อนมันก็ยังต่างกัน เราจะรู้ว่าร้อนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าเราคิดเราพอเข้าใจได้ แต่ถ้าท่านจับดูท่านก็จะรู้ว่าร้อนนั้นมันร้อนขนาดไหนท่านอาจจะสดุ้ง แต่ถ้าคิดท่านจะเฉยๆ เช่นเดียวกันความหลุดพ้นด้วยความคิดมันก็คือความว่างนั้นเอง แต่ถ้าหลุดพ้นดวยความรู้สึกจริงๆนอกจากความว่างที่มาจากความคิดแล้วความว่างที่ปราศจากความรู้สึกทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งความคิด ความจำความรู้สึกใดๆมันก็จะต่างจากความคิดว่าว่างนี่คือสภาวะแห่งความหลุดพ้นแท้จริง

    คุณได้เล่านิทานให้ผมฟังหลายเรื่องแล้ว ที่นี้ผมเล่านิทานให้คุณฟังบ้างนะครับ ในสมัยหนึ่งมีมารดากับลูกน้อยคนหนึ่งมารดารักลูกมากก็หาอารหารดีๆมาป้อนลูก ลูกกลับมองอาหารที่มารดาหามาให้อย่างตั้งใจด้วยความรัก ลูกบอกมารดาว่าไม่กินในอาหารนั้นมีแต่ก้อนกรวด มารดาบอกว่าก้อนกรวดอะไรนั้นเป็นอาหารชั้นดีเลยมีประโยชน์มาก เด็กนั้นก็ไม่ยอมกินบอกว่าไม่เอาโยนมันทิ้งไปมีแต่ก้อนกรวด ด้วยความรักของมารดาที่มีต่อลูกน้อยบอกลูกน้อยด้วยความห่วงใยกินหน่อยซิลองกินสักคำหนึ่งถ้าไม่อร่อยแล้วค่อยโยนทิ้งไป ครั้งแล้วครั้งเล่าลูกน้อยก็ไม่ยอมกิน จนกระทั้งลูกน้อยก็โยนอาหารจานนั้นทิ้งไป จะทำอย่างไรได้ทางนั้นเป็นทางเดินที่ถูกต้อง ทุกคนจะต้องเดินบนเส้นทางนั้นด้วยตัวท่านเองถึงจะถึงฝั่ง เราเป็นเพียงผู้บอกทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ขอเพิ่มเติมเป็นความรู้พระพุทธเจ้าก็มีมารดาาและบิดาเหมือนคนทุกคนครับไม่ต่างจากเราๆทั่วไปพระองค์เป็นคนเหมือนเรา มนุษย์ทุกคนออกจากท้องแม่มาทางเดียวกัน
     
  19. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ท่านก็ยังอ้างแต่สิ่งเดิมๆๆอีกแล้ว วนอยู่แต่พระพุทธเจ้า แม้ว่าจะเลี่ยงไม่ใช่คำว่าพระพุทธเจ้า ถึงท่านจะบิดถ้อยคำเพียงใด มันก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆๆประเด็นเดิมๆๆ อย่างเรื่องเล่าของท่านก็ยังเป็นประเด็นเดิมๆๆว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าคือความจริงแต่คนอื่นจะเอาหรือไม่ ก็เป็นการตัดสินใจของแต่ละคน ยังเป็นบริบทเดิมๆๆ เป็นอิทธิผลครอบงำแบบเดิมๆๆของชาวพุทธ นั้นก็คือ
    ยังยึดถือแต่ข้อสรุปเดิมๆๆ สิ่งเดิมๆๆที่รู้ โดยไม่เคยตรวจสอบจริงๆๆ ท่านจะตรวจสอนว่าสิ่งนั้นจริงสิ่งนี้เท็จได้อย่างไร ในเมื่อท่านสรุปว่ามันจริงอยู่ก่อนแล้ว มารดารักลูกมากก็หาอารหารดีๆมาป้อนลูก เห็นไหม มารดารู้อยู่แล้วว่าอาหารดีแต่ลูกไม่ยอมกินเอง มารดารู้อยู่แล้วว่าดี แต่มารดาไม่เคยพิสูตรเลยว่ามันดีอย่างไร มันดีแน่มีประโยชน์ต่อลูกเรา เรารู้อยู่แล้วนี่นา........ดังนั้นอา......ท่านไม่เคยได้ตรวจสอบยมันอย่างแท้จริงเลย เพราะ ท่านคิดว่าท่านรู้คำตอบอยู่แล้วนี่ แล้วนั้นจะเป็นการค้นหา การทดลอง การพิสูตรได้อย่างไร? ในเมื่อท่านรู้ผลลัพท์อยู่แล้ว ท่านต้องไม่รู้คำตอบก่อนสิท่านถึงจะค้นหาได้

    อันที่จริงข้าพเจ้าเห็นท่านพูดถึงเรื่องความคิดมาตั้งนาน ว่าแต่ท่านเข้าใจเรื่องพวกนี้หรือไม่ มันสำคัญมาก เพราะ ข้าพเจ้ากำลังพูดกับท่าน อันที่จริงเรื่องประสบก่ารณ์การตรงต่างจากความคิดข้าพเจ้าก็ได้พูดในเรื่องชา ไปแล้ว......ซึ่งก็พูดไปหลายวันเสียด้วยซ้ำ ก็ไม่เข้าใจว่าท่านจะยกเอาสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไปแล้วมาเพื่ออะไรอีก...เป็นประเด็นเดิมๆๆราวกับติดอยู่ในนั้น

    ถ้าข้าพเจ้าพูดข้าพเจ้าก็ต้องใช้ความคิดกลั้นถ้อนคำออกมาดั้งนั้น ท่านจะให้ข้าพเจ้าพูดโดยไม่ใช่ความคิดมันไม่ได้ หรือว่าท่านทำได้ล่ะ ก็ถ้าไม่ใช้ความคิดแล้วข้าพเจ้าจะพูดได้อย่างไร? แล้วถ้าท่านไม่คิด ท่านจะพิมพ์ท่านจะพูดได้อย่างไร

    ท่านพูดราวกับว่าท่านไม่รู้ตัว ว่าตัวเองพูดอะไรอยู่


    คุณกำลังพูดเป็นปรัชญา ท่านเข้าใจความหมายของคำๆๆนี้แล้วหรือ? ข้าพเจ้าสงสัยยิ่งนัก คำว่าปรัชญา หมายถึง การรู้แจ้งแทงตลอด ถ้าว่า ตามความหมายของมัน ดังนั้นถ้าท่านพูดในบริบทนี้ข้าพเจ้าก็ยอมรับ แต่ถ้าท่านพูดในฐานะระบบคิดหนึ่งๆๆ ท่านก็เข้าใจผิด เพราะ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดก็คงจะมีลักษณะที่สะท้อนแบบแผนที่แน่ชัด เช่น เป็นปรัชญาจิตนิยม เป็นปรัชญาสัจนิยม เป็นปรัชญาอัตถิภาวนิยม ถ้าเช่นนั้นท่านก็น่าจะระบุได้กระมั้งว่าเป็นปรัชญาประเภทไหน?.....ไม่เช่นนั้นจะว่าเป็นปรัชญาได้อย่างไรล่ะ และ อันที่จริง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีปรัชญาแบบใดเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดเป็นโลกทัศน์เสียด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าไม่แม้แต่ อ้างระบบคิดปรัชญาของใคร เช่น มารก์ว่างี้ เฮเกลว่างี้ พระพุทธเจ้า เล่าจื่อว่างี้ นี้คือปรัชญาที่ข้าพเจ้าเชื่อถือตามคนเหล่านี้และเดินตามปฏิบัติตามอยู่

    อันที่จริงข้าพเจ้ามองว่า สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นเพียงการกะเก็งความจริงทางปรัชญาเสียด้วยซ้ำ..ยกตัวอย่าง "ความจริงนั้นคือลมหายใจ นี่คือการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่ความจริง" ท่านเข้าถึงความจริงแล้วหรือ ด้วยวิธีการกำหนดลมหายใจ ถึงพูดเช่นนี้ อันที่จริง ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านจะพูดว่า วิธีการกำหนดลมหายใจ คือการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่ความจริง ไม่ใช่ "ความจริงนั้นคือลมหายใจ นี่คือการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่ความจริง" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านสักแต่พูดไปมั่วๆๆ ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด ท่านไม่ว่า ประโยคนี้มันไม่ดูแปลกๆๆไปหรือ มันดูเหมือนท่านสับสนในสิ่งที่ตัวเองพยายามสื่อเสียด้วยซ้ำไป อันที่จริงข้าพเจ้าสามารถยกมาได้มากมายเพื่อชี้ให้ท่านเห็นว่า ท่านกำลังสับสนในสิ่งที่ตัวเองพูด หรือ พูดเหมือนคนหลงละเมอ อย่าง "ท่านเองต่างหากที่พูดอยู่ด้วยความคิดที่เป็นปรัชญาไม่มีความจริงมาพิสูจน์ได้เลยว่าความหลุดพ้นได้อย่างไร " ต้องพูดว่า "ท่านกำลังแสดงความคิดที่เป็นปรัชญา ซึ่งยังไม่ได้มีการปฏิบัติจริงเพื่อมาพิสูจน์ได้เลยว่าสามารถความหลุดพ้นได้จริง" ท่านเห็นอะไรไหม?
    หรืออย่าง"แต่การปฎิบัติมันแสดงออกมาทางความรู้สึก ความร้อน กับการคิดว่าร้อนมันก็ยังต่างกัน เราจะรู้ว่าร้อนนั้นเป็นอย่างไร "

    นี่ก็เป็นความคิด ท่านรู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้ร้อนแสดงว่า ท่านกำลังใช้ความคิดไปบัญญัติมันว่าร้อน มันเย็น มันเป็นเรื่องของการเตลิดทางความคิด เหมือนการคิดถึงสิ่งที่จะบรรลุถึงว่าเป็นงั้นงี้แน่ๆๆเมื่อปฏิบัตินั้นแหละ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นของการภาวนา มันไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านปฎิบัติเพื่อรู้สีกสิ่งต่างๆๆตามความจริงว่านั้นเป็นนั้นเป็นนี่ นั้นว่าง นั้นอย่างงั้นอย่างงี้ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกตัวสดๆๆ นั้นคือสัจจะ แต่ต้องไม่ใช่การรู้แบบรู้อะไร เพราะถ้าท่านรู้สึกแบบรู้อะไร ท่านก็ติดอยู่ที่นั้น เพื่อที่จะสังเกตสิ่งที่เป็นจริง มองเห็นมัน คุ้นเคยกับมันจริงๆ จะต้องไม่มีการติดสิน การประเมินค่า ไม่มีความคิดเห็น และ ไม่มีความกลัว ในการเจริญสติ เรากล่าวว่า สติมีฐานเป็นปัจจุบัน แต่มันไม่ใช่เรื่องของปัจจุบันขณะ ถ้าเข้าใจแบบนี้มันจะเป็นเรื่องของการจับจ้องและติดอยู่ในนั้น เพราะ เมื่อท่านกำหนดรู้ในอะไร และรู้ในสิ่งนั้น ท่านจะติดอยู่ในนั้น สติยังเป็นสัญญา ไม่ไปถึงความพ้น ท่านต้องเหนือสติขึ้นไปอีก สติมีอุปการะมากแต่มันละเวรไม่ได้ ท่านแค่รู้แต่อย่าให้มันไปรู้อะไรเข้า นี้คือการภาวนา ย้อนกลับไปในอินเดียมี ชายชื่อกาบีร์ท่านเป็นกวี ท่านเขียนโศลกไว้ท่าน "เมื่อข้าตายข้าจะคือจิตวิญญาณของข้าไปอย่างงั้น ให้มันบริสุทธิ์เหมือนที่มันมาแม้ว่าโลกจะแปดเปลื้อนเพียงใด" อันที่จริงกาบีร์ก็พูดเรื่องนี้ เรื่องการเฝ้าดู

    ไม่ใช่ข้าพเจ้าหรอกเพราะ ท่านจะไม่ได้ข้อสรุปใดๆๆจากคำพูดของข้าพเจ้านอกจากการทำลายความจริงที่ท่านคิดและยึดเอาไว้อยู่

    ท่านเคยสังเกตดูอิทธิผลครอบงำเหล่านี้ในตัวท่านหรือไม่มันเป็นการตอบสนองเงื่อนไขเดิม เป็นสิ่งที่เดาได้ไม่ยาก ว่าจะเป็นยังไงต่อ ถ้าท่านพูดเรื่องสติ ชาวพุทธ เขาจะพูดกับท่าน ด้วยถ้อยคำว่า อยู่กับปัจจุบัน ถ้าท่านถามใจความสำคัญ เขาจะว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา ความว่าง เรื่องกรรม ถ้าพูดเรื่องความเชื่อเขาจะอ้าง อย่าพึ่งเชื่อต้องพิสูตรแล้วค่อยเชื่อ ถ้าไม่พอใจใครเขาจะพูดเรื่องบัวใต้น้ำ เรื่องกรรม มันเป็นกลไกซ้ำๆๆ และนั้นคือสาระทั้งหมดของความเป็นพุทธ ท่านเห็นหรือไม่ว่า เรานั้นถูกตรึงให้อยู่กับการยอมปรับตาม การสยบยอมตามและแบบแผนทั้งหลายกี่ปีก็แล้วแต่ที่เราดำเนินชีวิตมา และเราก็เก็บรวบรวมเอามวลประสบการณ์และความรู้ไว้เต็มคลัง ทั้งสิ่งที่เราเคยคิด รู้สึก ที่เราเป็นอยู่ และ ควรจะเป็น และหากเราไม่ทำเช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้น หากว่าเราไม่มีมโนคติเกี่ยวกับตนเอง อะไรจะเกิดขึ้นกับ เราก็จะรู้สึกหลงทางใช่ไหม ไม่แน่นอนใจ ขยาดหวาดกลัวต่อชีวิต เราจึงต้องสร้างภาพลักษณ์ มโนคติ นิยายปรัมปรา และ ข้อสรุปเกี่ยวกับตนเองขึ้นมา หากไม่มีบรรทัดฐานเหล่านี้ ชีวิตสุดแสนจะไร้ความหมาย ไม่แน่นอน น่าหวั่นกลัวยิ่ง และ ไร้เสถียรภาพ ท่านเห็นไหมเเราอาจจะซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังถ้อยคำ หรือทำตามครูบาอาจารย์ หรือวิ่งเข้าวัดเข้าโบสถ์ หรือหลงลืมตัวเองไปกับภาพยนตร์ สิ่งบันเทิง หรือความรู้จากตำรับตำรา แต่นั้นเป็นเพียง การหลบหนี พวกเราส่วนใหญ่มักใช้ความสัมพันธ์เป็นหนทางหลบหนีไปจากตนเอง จากความอ้างว้างเดียวดาย จากความไม่แน่นอนใจ และ ความขาดแคลนภายในตน เราจึงพากันฝังตัวจมติดอยู่ในความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ภายนอก สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งสำคัญเหลือล้นต่อจิตใจของเรา ซึ่งเราต้องเข้าใจมันและค้นหาลึกลงไป มองเข้าไปในความสัมพันธ์ประหนึ่งเป็นกระจกเงา และมองให้เห็น สภาพที่เป็นอยู่จริง อย่างเที่ยงตรงและกระจ่างชัดโดยปราศจากอคติ และ การสัมผัสเยี่ยงรู้นั้นนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหม่ของ สิ่งที่เป็นอยู่จริง โดยมิพักต้องใช้แรงพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ไม่มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับความจริง มันเป็นดังที่มันเป็นอยู่แล้ว นี่คือประเด็นที่ข้าพเจ้าพูด ไม่ใช่ว่า พระพุทธศาสนาสอนอะไร นำพาไปสู่ความหลุดพ้นได้ไหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2013
  20. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    จะสือถึงอะไร เกี่ยวอะไรกลับหัวข้อ สติ สาธุ เจริญธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...