มัชฌิมาต่างจากอุเบกขาอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มะหน่อ, 26 มิถุนายน 2013.

  1. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    มีคำจำกัด....ความมากมายเพื่อนท่านใดเสวนาไหมขอรับ
    มัชฌิมาปฎิปทา
    อุเบกขาไม่ดีอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2013
  2. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    มัชชิมาปฏิปทา เป็นหลักคิดเรื่องของการปฏิบัติธรรมที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปคือทำให้พอดี ไม่ใช่เคร่งเครียดจนเป็นบ้า หรือหย่อนยานจนแทบไม่ได้อะไร ส่วนอุเปกขาหรืออุเบกขานั้น คือการวางเฉย ซึ่งจะต้องประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตาก่อนแล้วค่อยอุเบกขา ถ้าอุเบกขาด้วนๆ นั้น ชาวบ้านเขาจะมองว่าใจจืดใจดำ
     
  3. bestsu

    bestsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +617
    อุเบกขา คือ ธรรม
    มัชฌิมาปฎิปทา คือ วิธีปฏิบัติธรรม

    อุเบกขา คือ เนื้อธรรมที่เอามาปฏิบัติ
    มัชฌิมาปฎิปทา คือ แนวปฏิบัติธรรมอย่างไม่ทรมาณตัวเอง หรือ ย่อหย่อนเกินไป

    อุเบกขา คือ หากความช่วยเหลือนั้นเกินความสามารถเรา ก็ให้ปล่อยวาง ไม่เอามาทุกข์ใจ (พรหมวิหาร4)

    มัชฌิมาปฎิปทา จะอยู่ระหว่าง อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบการทำตนให้ลำบาก...กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุข
    การปฏิบัติที่ ไม่หนัก ไม่หย่อน พอดีๆเป็นมัชฌิมาปฎิปทา (ความพอดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2013
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ขอตอบตามหัวข้อที่ตั้งไว้ "มัชฌิมาต่างจากอุเบกขาอย่างไร"

    มัชฌิมา เป็นหนทางการปฏิบัติตามมรรคมีอง ๘
    ส่วนอุเบกขานั้น เป็นเวทนา ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งสองครับ
    ดังนั้นทั้งสองจึงต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มิถุนายน 2013
  5. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...มัชชิมาปฏิปทา เป็นแนวทางการปฏิบัติ

    ...อุเบกขา เป็นอารมณ์ของใจที่เข้าถึง
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    อุเบกขาเป็นพ่อ
    มัชชิมาปฏิปทาลูก ครับ

    เป็นพ่อลูกกันครับ

    มีสายเลือดเดียวกันครับ คุณพ่อ คืออุเบกขา ท่านมีลูกเยอะครับ แต่ลูกๆของท่าน ก็ทำให้คุณพ่อได้ตามที่คุณพ่อต้องการเสมอครับ
    มัชชิมา ก็เป็นลูกคนหนึ่งครับ ที่เอาอย่างพ่อแต่ถนัดในด้านการรูจักการปฏิบัติที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปคือทำให้พอดี ไม่เคร่งเครียดจนเกินไปครับ สาธุ
     
  7. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตรงกลางของพ่อและลูกคือคุณแม่หรือขอรับ
    แล้วครอบครัวคืออะไร
    หากมีครอบครัวแล้วต้องมีที่อยู่อาศัยที่พอจะถาวรเรียกบ้านไหมขอรับ

    ครอบครัว
    บ้าน
    พ่อ
    แม่
    ลูก

    ห้าพอดีเลย
    ตรงกลางคือความรักหรือไม่อย่างไร
     
  8. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ธรรมะสองข้อนี้ เป็นธรรมะที่ช่วยในการมองโลกอย่างที่โลกมันเป็น...ไม่ใช่อยากให้เป็น
    อธิบายได้ก็คือ คนที่มองโลกตามความเปนจริงยามทุกข์จึงไม่ท้อ และยามสุขก้ไม่หลงติดในความสุขจนเกินพอดี นั่นคือ การอยู่เหนือทั้งสุขและทุกข์ตลอดกาล หรือเรียกง่ายๆว่า
    "ภาวะที่อยู่เหนือสุขและทุกข์"
     
  9. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    มัชฌิมาปฎิปทาเป็นทางสายกลางที่ไม่เอียงไปทางกามอันเป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน กามหญิงกามชาย(กามมะสุขัลลิกานุโยค) หรือการทรมารตนที่หาสาระประโยชน์ไม่ได้(อัตถะกิลลมถานุโยค) ทางสายกลางนี้เป็นการทรมารทางจิต ทางความคิด ประเด็นนี้ใช่ว่าจะไม่ทุกข์นะครับ การทรมารทางจิตนี้ทุกข์ยิ่งกว่าอัตถะกิลลมถานุโยคอีก ในโบราณจะมีคำถามสำหรับผู้ที่จะปฏิบัติเสมอว่าพร้อมที่จะถวายชีวิตเพื่อพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ หรือไม่ ซึ่งผู้ปฏิบัติต้องพร้อมต่อสิ่งเหล่านี้ แม้นพระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ พระองค์ก็ทรงปฏิญานว่า"แม้นเลือดแม้นเนื้อเราจะเหือดแห้งไป ตราบใดที่ยังไม่บรรลุอัมตธรรม เราจะไม่ลุกจากบังลังก์นี้" ซึ่งแสดงว่าทางสายกลางนี้เป็นทุกข์อย่างมาก
    คำสอนหลวงปู่ "ทุกข์เป็นปัจจจัยพาให้พ้นทุกข์ หากไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่รู้ทุกข์ เมื่อไม่รู้ทุกข์แล้วก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะดับทุกข์นั้นอย่างไร"
    ส่วนอุเบกขาเป็นผลของการปฏิบัติมัชฌิมาปฎิปทาที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น คนทั่วไปที่ยังไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติแล้วแต่ยังไม่ถึง ที่แสดงอาการวางเฉยได้นั้นจะใช้หลักขันติคืออดทนต่อเหตุการณ์นั้นๆ หรือทมะเป็นความข่มจิต ข่มใจ ให้วางเฉย แต่ในใจก็เร้าร้อนอยู่ไม่มากก็น้อย
    เจริญในธรรมครับ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สู้กับทุกข์ก็อย่างนี้แหละครับ ต้องใช้หลายวิธี

    ไม้อ่อนบ้างไม้แข็งบ้าง หนามยอกหนามโบ่ง บ้าง สารพัดทำๆไปเถอะครับ แล้วปัญญาบารมีจะเกิด ในที่สุดก็ชนะได้อย่างหน้าชื่นตาบานครับ มันพ้นจริงๆไม่มีอะไรให้ทุกข์อีกแล้วในที่สุดครับ

    อีกนิดครับ เรื่อง ครอบครัว บ้าน พ่อ แม่ ลูก ไม่รวมหลาน นี่ อุปมาได้ในความเกี่ยวโยงในพระธรรมของพระศาสดา กระผมไม่ขอกล่าวครับ เพราะเป็นเรื่องที่ลึกพอสมควร
    กลัวจะทำให้ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดพลาด ท่านมะหน่อ ทราบทุกอย่างดีแล้วลองเชื่อมโยงเอาเองนะครับ ควรตั้งชื่อว่า ครอบครัววิปัสสนาญาณ มีบ้านชื่อ บ้านสังขารุเปกขาญาณ มีคุณพ่อชื่อท่านอุเปกขา มีคุณแม่เพียงคนเดียวที่คอยจำชี้จำไชตามรู้ตามควบคุมตามดูคุณพ่อและคุณลูกอยู่ใกล้ชิด ส่วนคุณลูกมีหลายคน อยากรู้ลองเข้าไปเยี่ยมครอบครัวนี้บ่อยๆนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2013
  11. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    พระพุทธองค์กล่าวเรื่องมีมวลมีมาร
    จนถึงอากาศคือไม่มีอะไรเลย
    แต่ยังไม่จบอีก
    หลังจากนั้นมีอะไรต่อหรือขอรับ
     
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หิมะใกล้ร่วงแล้วผมต้องรีบหน่อยขอรับ

    ทำไมพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่ามัชณิมาปฏิปทา
    หรือทางสายกลาง

    ศาสนาพุทธสอนเพื่อให้คนพ้นทุกข์หรือไม่
    หรือสอนให้คนตรัสรู้

    คนไหนที่ความหมายต่างจากมนุษย์หรือไม่
    เพราะการบวชถามว่ามนุษเสโสถึงได้บวช

    เมื่อเราเป็นมนุษย์ที่ยังไม่บวชแต่ออฟไซด์ไปสอนพระ
    หรือไม่

    แล้วผลของการไม่บวชแล้วไปก้าวล้ำครึ่งล่วงเกินไปมากกว่ากลาง
    แล้วเราท่านจะเจออะไร
    เป็นคน
    เป็นมนุษย์แต่ทำตัวเยี่ยงพระเป็นนิจ
    และศึกษาเรียนรุ้เหมือนพระเพื่อตรัสรู้ธรรม
    ล้ำเส้นเข้าไปห้าหกเจ็ดแปด....สิบ
    แล้วแต่สมมุติ
    แล้วไปเจออะไรมาบ้างกับผลการปฏิบัติในอรูปฌาน

    และหากท่านเป็นพระไม่มีภาระหน้าที่อะไรนอกจากรักษาวินัย
    ดีกว่าเหมาะสมกว่าหรือไม่

    ต่อการเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดผลขึ้นมาได้จากการปฏิบัติ

    ทำเพื่อความหลุดพ้นหรือปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์

    แต่พุทธองค์ท่านตรัสว่า
    มัฌชิมาปฏิปทา
    คือทิศทางที่เป็นกลาง
    อยู่อย่างกลางๆ

    ไม่แปลกหากเพื่อหลุดพ้นปฏิบัติต่อ
    ถามอีกว่าทำไมเสด็จดับขันธ์ที่ฌานสี่
    กลางหรือไม่เอกคตารมณ์

    หากเป็นพระเราควรจะยับยั้งหรือยั่วยุ
    หากเป็นคนสามัญเราควรจะยุหรือยับยั้ง

    ให้มากว่ามัชฌิมา
     
  13. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หลังจากที่คนไม่มีคุณ
    เป็นมนุษย์ที่มีมะโนธรรมอยู่ในสำนึก
    อยากเป็นพระ
    ปฏิบัติธรรมจนรู้ว่ากายที่ตายไปแล้วไม่ได้หลุดไปไหนยังหลุดไปเป็นวิญญาน
    เวียนว่ายอีก

    ฌานสี่

    หากตายก่อนตาย
    รู้ว่าหลังตายเราหลุดออกไป
    สิ่งที่หลุดไปนั้นคือวิญญาน
    ที่จะต้องรับในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
    เมือก มูต
    เอ็น
    หนัง
    และกระดูก
    สิ่งที่ยังเจริญต่อคือเล็บ
    ขน(ผม)
    หนัง

    เล็บต้องตัดเหมือนพระที่ตายไปแล้วเอาร่างใส่ตู้เย็น
    แต่เล็บยังไม่ตาย
    ผมยังไม่ตาย
    เขายังมีอาหารที่ยังพอมีเหลืออยู่ในสังขาร

    มาว่าทางโลก
    พระที่บวชแล้วได้ฌานสี่
    หากอาจารีย์ท่านรู้ท่านจะทำอย่างไรกับศิษย์
    บอกได้ว่าไม้เกินสี่ไม่สอนแล้วท่าน
    และอาจารีย์ควรทำอย่างไร

    บอกอีกธุดงค์
    เพื่ออะไร
     
  14. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    มัชฌิมาปฎิปทา ต้องมองจากหยาบไปละเอียด คือ ตั้งแต่การปฏิบัติตน จนเป็นการวางใจหรือการเดินมรรค จนกระทั่ง ไม่ตกไปสู่ ทวินิยม ทั้งหลาย นั้นแลจึงจะพบ นิพพาน

    อุเบกขา ก็เช่นกัน อย่างหยาบก็ อุเบกขาจากสภาวะเปลี่ยนแปลงของอนิจจัง ของเวทนา จนไป อุเบกขาจากสัมมาสมาธิ อย่างละเอียดสุดก็อุเบกขาจากการเห็นตามจริง (ในโพชฌงค์) ....ครับ
     
  15. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    วงกลมมีสี่วง
    แต่ที่เห็นมีสามวง
    วงที่สี่ยังไปไม่ถึง

    เมื่อเกิดวงหนึ่งขึ้นมาแล้ว
    จะเกิดอีกวงอย่างไรที่จะสร้างความเป็นเท่าและเป็นดุลย์
    คงต้องทวิ
    แปรว่าเพิ่มมาอีกหนึ่งเท่ากันหรือไม่อย่างไร

    แต่การเกิดอีกอย่างคือการเกิดเหมือนฟองไข่
    การเกิดอีกอย่างหนึ่งคือโอปติกะ
    การเกิดอีกอย่างคือเกิดจากครรภ์มารดา

    หากเราแยกการเกิดได้
    เราก็คงจะแยกสิ่งที่เกิดได้หรือไม่อย่างไร

    ความรู้สึกเกิดอย่างไร

    อารมณ์เกิดอย่างไร

    กายเิกิดอย่างไร

    พระพุทธองค์ท่านว่า
    เกิดแก่เจ็บตาย

    สี่
    สามเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

    และยังมีชาตะ...มรณ
    หากจุติ....ใช้อะไรวิมุติอย่างนั้นหรือ

    ่ท่านใดพอจะกระจ่างเรื่องนี้ขอรับ
    หรือผมจุติเมื่อ.....และมรณเมื่อ....
    เขียนข้างหีบสังขารได้ไหม

    แล้วทำไมเรียกหีบศพทำไมไม่เรียกหีบสังขาร
    แล้วสังขารนี้ควรใช้กับ

    กาย
    หรือเวทนา
    หรือจิต
    หรือธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ลุงหมานเห็นเหมือนผมไหม
    อุเบกขาท่านกล่าวไว้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์
    แต่สิ่งนั้นมีอยู่และเท่ากัน
    เหมือนวงของหยินและหยาง

    และมัฌชิเป็นแนวทางของมรรคที่บรรจุไว้แปดอย่าง
    แสดงว่าหากเราพ้นเวทนามาได้ไมาสุขไม่ทุกข์
    พ้นจิตมาได้ดีชั่ว

    เราทำให้โตไปแปดหรือเราทำจากแปดหรือสิบให้น้อยลงแล้วทำให้หายไปขอรับ

    และอุเปกขาจะเกิดได้ไหมหากไม่อุปัทวา
    หรืออุปติขึ้นมา
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กิ้วส์ๆ หน่าไม่อาย

    มีใจให้ศาสดาอื่น ทำมาเป็น รู้เรื่องการภาวนาแบบพุทธ

    ทำมาเป็น มาบรรยาย มาแถลง นัยยะน่าขบคิด

    ธุเรศสิ้นดี โก

    โก ไป นาโน ลิบ โก !!! ชิ้วววว !!
     
  18. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ศาสนามุสลิมท่านกล่าวว่าคนเกิดมาจากเคลย์แปรว่าโคลนที่มีกลิ่นหอม
    พุทธท่านกล่าวเรื่องดินน้ำลมไฟ
    คริสท่านกล่าวเรื่องศรัทธาไปเลย
    คือศรัทธาวิริยะ

    และการไปฮัจจีคือการไปดูอะไรที่ว่างเปล่า

    ถามจลิงเลยท่าน
    มันเลี่ยงเดียวกันหรือเปล่า

    ลองอธิบายฮินดูที่มีวงกลมวงเดียวสิขอรับ
    เผื่อจะได้ข้อคิดที่แตกต่างขอรับ
     
  19. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ทุกศาสดาท่านสอนให้คนเป็นคนดีอยู่กันอย่างสงบหรือไม่อย่างไร
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กิวส์ ๆ

    พวกหลายพ่อ หลายแม่

    ธุเรศสิ้นดี โก

    โก ไป นาโน ลิบ โก !!! ชิ้วววว !!
     

แชร์หน้านี้

Loading...