พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6190 ข่าวสดรายวัน


    คำนินทา

    คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา

    นันท์นภัส ประสานทอง/กรมสุขภาพจิต



    มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ย่อมมีความต้องการอยู่รวมกลุ่ม เป็นหมู่เป็นพวก และการอยู่ร่วมกันในกลุ่มมนุษย์ก็มีการพึ่งพา การช่วยเหลือ การแข่งขัน การเบียดเบียน การทำร้ายบ้าง อาจทำร้ายด้วยการกระทำ ทำร้ายร่างกาย บ้างก็ทำร้ายด้วยวาจา ติฉินนินทาว่าร้าย พูดให้เสียหาย ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าร่วมงาน ไม่น่าคบหาสมาคม เป็นการเบียดเบียนทำร้ายกัน ในสังคมทั่วไป การนินทาว่าร้าย ซุบซิบนินทาใช้ทำร้ายคนอื่นได้ผลดี เพราะมีกลุ่มคนที่พร้อมจะรับฟังความเลวร้าย ความไม่ดีของคนอื่นและพร้อมสนับสนุน เพื่อบอกกับตนเองว่า "ฉันดีกว่าเธอ" เพื่อยกตนให้สูงขึ้นหรือเพื่อลบปมด้อยที่มีอยู่ การนินทา นั้นก็เป็นเกมๆ หนึ่งของคนที่มีความอ่อนแอในใจที่ไม่สามารถจะเอาชนะคู่แข่งเมื่อเปรียบเทียบด้วยความสามารถ จึงใช้วิธีแบบนี้ทำลายฝ่ายตรงข้าม

    เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้รับฟัง เรื่องไม่ดี เรื่องเลวร้ายของใครบางคนในสังคม ลองพิจารณา วิเคราะห์คนที่อยู่ตรงหน้าคุณว่า เขามีส่วนได้ ส่วนเสียอะไร มีอะไรอยู่เบื้องหลังข้อมูลนั้น อย่าตกเป็นเครื่องมือของเขาให้เขาชักใยและอาศัยปากของคุณไปทำร้ายคนอื่นเลยค่ะ

    http://matichon.co.th/khaosod/view_...ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNUzB4TUE9PQ==
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไม่ได้ไปงานกฐินที่ สนส.ผาผึ้ง จ.ชัยภูมิครับ มีธุระที่จะต้องทำหลายๆเรื่อง ยกยอดไว้คราวหน้าครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ ( 9 พ.ย.2550) ผมกับคุณกุ้งมังกอน ไปกราบพระอาจารย์นิลกัน

    ผมนำเงินกฐิน ,ค่ารถตู้ ไปถวายพระอาจารย์นิล

    เงินกฐิน
    1.คุณตั้งจิต จำนวน 1,000 บาท (ที่ฝากเงินไว้ที่ผมก่อน)
    2.คุณเพชร จำนวน 1,000 บาท (บูชาพระนาคปรก)
    3.คุณsithiphong จำนวน 3,000 บาท (บูชาพระนาคปรก)
    4.คุณกุ้งมังกอน จำนวน 200 บาท

    เงินค่ารถตู้
    1.คุณnongnooo จำนวน 500 บาท
    2.คุณchaipat จำนวน 500 บาท
    3.คุณsithiphong จำนวน 500 บาท
    4.คุณกุ้งมังกอน จำนวน 200 บาท

    แถมด้วยเงินที่ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ชำระหนี้สงฆ์ ที่วัดแห่งหนึ่ง โดยผมและคุณกุ้งมังกอน ร่วมกันทำบุญ

    คุณกุ้งมังกอน นำมะพร้าว ,กล้วย ,ฝรั่ง ถวายพระอาจารย์นิล ที่จะนำไปงานกฐินที่ชัยภูมิ

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธปท.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ

    นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ขอฝากเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อการแอบอ้างดังกล่าว เพราะ ธปท. ไม่เคยให้บุคคลใดๆ โทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเงินฝาก บัตรเครดิต หรือบัตร เอทีเอ็ม

    ส่วนกรณีประชาชนท่านใดไม่แน่ใจว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้ล่วงรู้ข้อมูลของท่านไปแล้วหรือไม่ ธปท.แนะนำว่า โปรดติดต่อกลับไปยังธนาคารเจ้าของบัตรหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรงเพื่อดำเนินการต่างๆ ในการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และอาจยกเลิกบัตรและเปลี่ยนบัตรใหม่ และขอความร่วมมือผู้ที่มีเบาะแสในเรื่องนี้โปรดแจ้งข้อมูลมายังฝ่ายกฎหมายและคดีที่ ธปท. หมายเลขโทรศัพท์ 0-2283-5760

    นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.คงไม่มีมาตรการอะไรออกมาควบคุม ทำได้อย่างมากสร้างแรงกดดันให้ผู้ใช้บริการทางการเงินระมัด ระวัง ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ก็ต้องดูแลลูกค้า ถ้าลูกค้าใช้บริการทางการเงินปกติ แต่เกิดความเสียหายขึ้น ธนาคารพาณิชย์ผู้ให้บริการต้องรับผิดชอบ

    http://www.matichon.co.th/prachachat...sectionid=0201
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02hmc02081150&day=2007-11-08&sectionid=0220


    วันที่ 08 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3947 (3147)​

    เทคนิคการประชุม ที่มีประสิทธิภาพ


    คอลัมน์ HR Corner

    โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา กก.ผจก. บริษัท ออคิด สลิงชอท จำกัด apiwut@riverorchid.com www.orchidslingshot.com

    จากประสบการณ์ของผมในการเป็นที่ปรึกษาให้กับหลายๆ องค์กรทั้งไทยและนานาชาติ ผมมีโอกาสพูดคุยทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการกับผู้บริหารหลายคน สิ่งหนึ่งที่ผมพบว่าเหมือนกันในแทบทุกองค์กร คือการบ่นถึงการประชุมที่มีมากมายและไม่มีประสิทธิภาพ

    ถ้าให้ผมจัดลำดับปัญหาเกี่ยวกับการประชุมจากการบ่นแล้ว ผมว่าผมได้ยินปัญหาเรื่องการประชุมที่ยืดเยื้อมากที่สุด รองลงมาคือการไม่รักษาเวลาของผู้ดำเนินการประชุมและผู้ร่วมเข้าประชุม และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือการพูดนอกเรื่อง หรือนอกวาระในระหว่างการประชุม

    ซึ่งจริงๆ แล้วผมมองว่า สองปัญหาสุดท้ายเป็นเหตุผลหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาแรก คือ การประชุมที่ยืดเยื้อ นอกจากนี้ยังมีการบ่นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมเลย และไม่รู้จะให้ผมเข้าประชุมทำไม มีแต่คนชอบเดินเข้าเดินออกระหว่างการประชุม แล้วก็ต้องมาคอยสรุปให้พวกนี้ฟังเวลากลับเข้ามา ช่างเสียเวลาจริงๆ และอีกมากมายที่ผมไม่กล้ากล่าวถึง

    ฉะนั้นในเรื่องของการประชุมที่มีประสิทธิภาพ ผมจึงมีเทคนิคสั้นๆ สำหรับผู้ที่กำลังคิดวางแผนที่จะจัดการประชุม และเทคนิคระหว่างดำเนินการประชุม ซึ่งเทคนิคที่ว่านี้ทุกคนสามารถนำไปทำได้ เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิภาพและไม่ยืดเยื้อ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังคิดวางแผนที่จะจัดการประชุม ผมจึงขอแนะนำเทคนิคที่ผมเรียกว่า "เทคนิค 3 ว." มานำเสนอ

    ว.แรก คือ ว. - วัตถุประสงค์ คือ การประชุมที่ดีควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน วัตถุประสงค์ที่ว่าควรเป็นวัตถุประสงค์ที่จบใน 1-2 ประโยคเท่านั้น เช่น วัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ เพื่อกำหนดแผนการตลาดใหม่ หรือวัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อการพิจารณาแก้ไขนโยบายการขนส่ง

    การมีวัตถุประสงค์หลายอย่างในการประชุม นอกจากจะทำให้ผู้รับแจ้งว่าต้องเข้าประชุมกลัวการประชุมแล้ว จำนวนของผู้ที่จะต้องเข้าประชุมก็จะมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน เพราะคนบางคนอาจจะต้องเข้าประชุมเพียงเพราะหนึ่งในวัตถุประสงค์ของการประชุมเกี่ยวโยงกับงานของเขา ในขณะที่อีกหลายๆ หัวข้อไม่เกี่ยวเลย แต่โดยมารยาท ก็ควรที่จะนั่งอยู่จนจบการประชุม

    คุณรู้หรือไม่ว่า การประชุมในแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ถ้าคุณลองคำนวณค่าเงินเดือนที่แต่ละคนได้รับเป็นจำนวนชั่วโมงที่เสียไปกับการประชุมแล้ว คุณจะพบว่า องค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการประชุมแต่ละครั้ง ยิ่งถ้าการประชุมไม่มีประสิทธิภาพด้วยแล้ว องค์กรกำลังจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์

    ว.ที่สอง คือ ว. - วาระ คือ การร่างวาระการประชุมไว้ก่อนจะสามารถช่วยให้การประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น การส่งวาระการประชุมไปให้ผู้ที่ต้องเข้าร่วมประชุมก่อน จะสามารถช่วยลดเวลาการประชุมได้ในระดับหนึ่ง เพราะผู้เข้าร่วมประชุมจะสามารถเตรียมข้อมูลสำหรับการประชุมไว้ก่อนล่วงหน้าได้

    นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องจดวาระการประชุม และสรุปสิ่งที่พูดคุยในที่ประชุม เพราะวาระการประชุมจะช่วยให้ผู้จดมีกรอบในการจดได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

    ว.ที่สาม หรือ ว.สุดท้าย คือ ว. - เวลา เพราะถ้าสามารถกำหนดเวลาในการประชุมแต่ละวาระได้จะดีมากๆ แต่ถ้าไม่ได้อย่างน้อยควรกำหนดเวลาเริ่ม และเวลาจบการประชุมให้ชัดเจน พยายามปฏิบัติให้ได้ในการประชุมจริง

    สำหรับเทคนิคที่จะสามารถใช้ได้ในระหว่างดำเนินการประชุมนั้น ผมมีข้อเสนอแนะหลายข้อ ซึ่งผมขอย้ำว่ามันเป็นเพียงข้อเสนอแนะเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่จะนำไปใช้จำเป็นต้องดูด้วยว่า ด้วยวัฒนธรรมขององค์กรที่ตนเองอยู่นั้นจะสามารถรับข้อเสนอแนะที่ผมกล่าวไปได้หรือไม่ หรืออาจจะจำเป็นต้องนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ไปปรับใช้ตามวัฒนธรรมขององค์กรและสถานการณ์ในขั้นเริ่มต้นของการ

    ประชุมคือ การเริ่มประชุมที่ตรงเวลา เพื่อเป็น การให้เกียรติผู้ที่มาตรงเวลา

    สำหรับผู้ที่มาสาย ผู้นำการประชุมไม่ควรที่จะกลับไปเล่า หรือสรุปใจความในสิ่งที่ได้คุยผ่านไปแล้วให้ฟัง เพราะนั่นจะเป็นการเสียเวลาผู้ที่มาตรงเวลาและทำให้การประชุมยืดเยื้อ และถ้าเรามองตามหลักความเป็นจริงแล้ว โดยส่วนมากผู้ที่มาสายจะถามผู้ร่วมประชุมที่อยู่ข้างๆ เองว่า ประชุมเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง

    นอกจากนี้การที่ผู้ดำเนินการประชุมสรุปใจ ความให้ฟังนั้นเป็นการส่งข้อความให้ผู้อื่นได้เห็นว่า การมาสายไม่ได้เป็นความผิด เพราะอย่างไรเดี๋ยว ผู้ดำเนินการประชุมก็จะสรุปให้ฟัง ในช่วงที่ไม่อยู่หรือยังไม่ได้มาอยู่ดี

    สำหรับกรณีที่ผู้จัดการประชุมมาไม่ตรงเวลาและไม่มีการแจ้งให้ที่ประชุมทราบ ขอให้ผู้เข้าประชุมตั้งสมมุติฐานได้เลยว่า การประชุมได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เราควรกลับไปทำงานต่อ ถึงจุดนี้หลายคนคงมีคำถามว่า แล้วเราควรจะรอนานแค่ไหนก่อนที่จะกลับไปทำงาน

    ในต่างประเทศซึ่งผมมองว่า น่าจะใจร้อนกว่าเมืองไทย เขาบอกว่าพวกเขาจะยอมรอแค่ 5 นาทีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมขององค์กรของคุณด้วย แต่สำหรับผมแล้ว 10-15 นาทีน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม

    อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบเด็กต้องรอผู้ใหญ่ ไม่ว่าท่านจะสายแค่ไหนก็ตาม เพราะถ้าขืนเอาเวลาไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า แทนที่จะดีอาจกลับกลายเป็นร้ายได้เช่นกัน

    ดังนั้นเมื่อเริ่มการประชุม สิ่งแรกๆ ที่ผู้นำการประชุมควรทำ คือ การวางกฎ กติกา มารยาทเล็กๆ น้อยๆ ที่จะใช้ระหว่างการประชุม ตัวอย่างของกฎ กติกา มารยาท เช่น การเปลี่ยนระบบสัญญาณมือถือเป็นระบบสั่น วิธีการรับโทรศัพท์ที่จะไม่รบกวนผู้อื่นที่ประชุมอยู่ การมีส่วนร่วมในการประชุม การรักษาเวลาการประชุมในแต่ละวาระ และวิธีการปิดวาระเมื่อหมดเวลาของวาระนั้นๆ

    หรือในกรณีที่การประชุมนี้เป็นแบบลับเฉพาะ การเน้นย้ำความลับเฉพาะก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

    เมื่อได้มีการตกลงในกฎ กติกา มารยาทต่างๆ แล้ว ผู้นำการประชุมควรเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้บนกระดานเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้เห็นตลอดเวลา ถ้ากฎ กติกา มารยาทเหล่านี้มีการใช้อยู่เป็นประจำ ผู้ดำเนินการประชุมก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มการประชุม แต่ต้องมีเขียนไว้ทุกครั้งที่มีการประชุม

    ยกเว้นในกรณีที่ผู้เข้าร่วมประชุมเป็นคนใหม่ ที่ยังไม่คุ้นเคยกับกฎ กติกา มารยาทเหล่านี้

    หนึ่งในเทคนิคที่ใช้ในระหว่างการประชุมที่ผมมองว่ายากที่สุด เห็นจะเป็นในเรื่องของการบริหารเวลาในการประชุม ถ้าสังเกตให้ดี ไม่ว่าเราจะบริหารเวลาในการประชุมดีแล้ว แต่โดยส่วนมากเวลาที่จัดไว้สำหรับการประชุมจะหมดก่อนวาระการประชุมเสียอีก ซึ่งเป็นอย่างนี้เกือบบ่อยครั้ง

    ดังนั้นเทคนิคง่ายๆ สำหรับการบริหารเวลา ถ้าคุณพอจะทราบว่า ใครในที่ประชุมที่จะเป็นคน ที่พูดยืดเยื้อ และทำให้การประชุมจบได้ช้ากว่ากำหนด การ (ซึ่งหวังว่าจะไม่ใช่คุณ...ฮา) จึงต้องกำหนดหน้าที่ให้เขาผู้นั้นเป็นผู้ช่วยคุณในการรักษาเวลาในการประชุม เป็นคนที่คอยบอกคุณว่า ควรจบวาระที่คุยอยู่และเริ่มวาระใหม่ได้แล้ว

    ถ้าวิธีการข้างต้นยังไม่สามารถช่วยรักษาเวลาได้อีก เมื่อถึงเวลาที่ควรจะจบวาระการประชุม ให้ผู้ดำเนินการประชุมขอมติจากผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนในการหาข้อสรุปของวาระดังกล่าว

    เมื่อจบการประชุม บ่อยครั้งที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะไปบ่นถึงการประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพ และเสียเวลาการทำงานของเขา ซึ่งการบ่นเหล่านี้ส่วนมากจะเกิดหลังจากที่การประชุมจบสิ้นลง และมันไม่มีประโยชน์ที่จะมาแก้ไขสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ดังนั้นเทคนิคที่ดีที่สุด คือ การขอข้อมูลป้อนกลับ (feedback) ในระหว่างการประชุม เพราะข้อมูลที่ได้ ณ จุดนี้จะช่วยให้ผู้ดำเนินการประชุมสามารถแก้ไขแนวทางการประชุมได้อย่างทันท่วงที

    วิธีการขอข้อมูลป้อนกลับสามารถทำได้แบบง่ายๆ คือ การให้ผู้ร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นอย่างรวดเร็วว่า เขาคิดอย่างไรกับการประชุมที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้

    สุดท้ายสำหรับการปิดการประชุม ถ้าเป็นไปได้จริงๆ ควรจะปิดประชุมให้ตรงเวลา หรือจะจบก่อนก็ไม่เป็นไร คงไม่มีใครร้องเรียนถึงการจบประชุมที่เร็ว แต่ถ้าจบช้า รับรองว่ามีหลายคนโวยแน่

    นอกจากนี้คือการสรุปจบว่า ใครต้องทำอะไร เมื่อไร และถ้าต้องมีการประชุมอีกในครั้งต่อไป จงใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ในการกำหนดเวลาการประชุม พร้อมทั้งถามแต่ละคนว่าจะมาได้หรือไม่ ทั้งนี้การถามจะเป็นการทำให้ผู้ตอบเกิดความรู้สึกรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้พูดหรือสัญญา

    และสำหรับการกล่าวปิดการประชุม คือ การพูดเพื่อปิดการประชุม ซึ่งควรจะเป็นการพูดปิดในแง่บวกเพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมรู้สึกดีๆ ก่อนที่จะกลับไปทำงาน เช่น ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมประชุม การประชุมในวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี เราได้ข้อสรุปหลายอย่าง และหลายเรื่องมีความชัดเจนมากขึ้น สำหรับวันนี้ผมขอปิดการประชุม

    ผมหวังว่าเทคนิคการประชุมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ คงจะสามารถช่วยให้คุณและองค์กรของคุณสามารถประชุมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ไม่มากก็น้อย ?
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้ “ทางหนีทีไล่” อุบัติเหตุวัตถุอันตราย
    http://www.manager.co.th/Science/Vie...=9500000132782
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 พฤศจิกายน 2550 17:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ซากรถบรรทุกหลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่เมื่อปี พ.ศ.2533 (ภาพจากบอร์ดของเว็บไซต์ www.bangkoknight-today.com)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>วัตถุอันตรายคืออะไร? หลายคนอาจไม่รู้จักดีนัก ที่สำคัญ เรา้จะหลีกเลี่ยงอันตรายในยามเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุเหล่านั้นได้อย่างไร ทั้งรถบรรทุกแก๊สคว่ำ รังสีรั่วไหล...จะทำอย่างไรกันดี

    นายมงคล พันธุมโกมล กรรมการสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจวัตถุอันตราย อธิบายว่า วัตถุอันตรายหมายถึงวัตถุที่เป็นข้อกำหนดร่วมกันระหว่างประเทศ จัดทำโดยองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสารเคมีหรือสารที่มีอันตราย ซึ่งมีการขนส่งหรือการส่งออกระหว่างประเทศ 9 ประเภทด้วยกัน เช่น วัตถุระเบิด สารติดไฟ สารพิษ และสารกัมมันตรังสี

    เมื่อใดที่มีการเคลื่อนย้ายต้องดำเนินไปตามระเบียบข้อบังคับ ไม่ให้เป็นพิษภัยต่อคนรอบข้างได้

    วัตถุอันตรายทั้ง 9 ได้แก่

    1.วัตถุระเบิด
    คือวัตถุที่ถูกความร้อนแล้วเกิดก๊าซจำนวนมหาศาล ให้แรงดัน และ้เกิดไฟ ทำให้ต้องมีการขนส่งลักษณะเฉพาะ โดยประเทศไทยมีกฎหมายดูแลเฉพาะ ภายใต้การดูแลของกระทรวงกลาโหม

    2.แก๊สไวไฟ เช่น แก๊สแอลพีจี แก๊สหุงต้ม และแก๊สพิษ เช่น แก๊สคลอรีน

    3.ของเหลวไวไฟ
    เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากสุด เช่น น้ำมัน ตัวทำละลาย และสีต่างๆ ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

    4.ของแข็งไวไฟ เช่น ไม้ขีด หรือธาตุฟอสฟอรัสในรูปต่างๆ

    5.วัตถุที่ทำปฏิกิริยาออกซิไดส์แล้วเกิดแก๊สออกซิเจนจำนวนมหาศาล ซึ่งช่วยให้ไฟติดดีขึ้น

    6.สารพิษและวัตถุติดเชื้อที่จะมีอันตรายต่อคนและสัตว์ เช่น ของเสียจากโรงพยาบาล

    7.สารกัมมันตรังสี ซึ่งมีสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ออกกฎหมายดูแลพิเศษ 8.สารกัดกร่อน หรือสารจำพวกกรดและด่างต่างๆ

    และ 9.สารพิษอื่นๆ ที่จัดลงใน 8 ประเภทข้างต้นไม่ได้

    นายมงคล ชี้ว่า หากประชาชนทั่วไปพบเห็นอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับวัตถุดังกล่าว จะทราบชนิดของวัตถุอันตรายนั้นๆ ได้จากฉลากหรือป้ายสัญลักษณ์ตัวเลขและรูปภาพที่ติดกับบรรจุภัณฑ์สินค้า หรือท้ายและข้างตัวถังรถบรรทุกขนส่ง ซึ่งจะจำกัดความเร็ว 60 กม./ชม.

    จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนช่วยแจ้งข่าวสารนั้นไปยังเจ้าหน้าที่ซึ่งจะเข้ามารับมือกับปัญหา เช่น การกู้วัตถุระเบิด หรือการเข้าดับไฟอย่างถูกวิธี ขณะที่ศูนย์ความปลอดภัยคมนาคมได้เิปิดหมายเลขโทรศัพท์กลาง 1356 รับแจ้งเหตุ เพื่อเป็นศูนย์กลางแจ้งเหตุจากประชาชน และประสานงานไปยังเจ้าหน้่าที่เข้าแก้ปัญหาได้

    อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องทำเมื่อประสบเหตุดังกล่าวคือ ต้องนำตัวเองออกห่างจากจุดเกิดเหตุให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วรีบโทรศัพท์แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเินินการทันที

    ไม่ควรพยายามแก้ปัญหาเองหากไม่มีความรู้จริงเกี่ยวกับวัตถุอันตราย
    แต่ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้่าที่ที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยตรง เช่น การดับเพลิงจากของแข็งไวไฟบางชนิดที่ไม่สามารถดับด้วยน้ำได้ แต่กลับยิ่งลุกไหม้และอาจเกิดการระเบิดซ้ำด้วย

    เวลาเกิดเหตุเหล่านี้จะมีอยู่ 3 จุดที่ต้องรีบทำก่อน ขั้นแรกคือต้องดับไฟ ไม่ให้การลุกลามต่อเนื่อง ขั้นที่ 2 คือ การหยุดการรั่วไหล และขั้นที่ 3 คือการช่วยเหลือคนเจ็บ” นายมงคล กล่าวและเสริมว่า ข้อปฏิบัติ 2 ข้อแรก ผู้ดำเนินการต้องไม่อยู่ใต้ลมและควรอยู่ในที่สูงจากที่เกิดเหตุ ส่วนการช่วยเหลือคนเจ็บต้องเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เช่น หน่วยแพทย์พยาบาลเท่านั้น

    ด้านสถานการณ์อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับวัตถุอันตรายในประเทศ นายมงคล ระบุว่า มีจำนวนน้อยลงกว่าในอดีตมาก เพราะมีการจัดทำมาตรฐานต่างๆ เพื่อบริหารจัดการวัตถุอันตรายอย่างชัดเจนแล้ว เช่น การกำหนดมาตรฐานของแท็งก์บรรจุวัตถุอันตราย โดยการปรับปรุงแก้ไขจากบทเรียนในอดีต

    อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องมีการรั่วไหลให้น้อยที่สุด” นายมงคล กล่าว

    ขณะที่ตัวอย่างอุบัติเหตุครั้งสำคัญในประเทศ เช่น การพลิกคว่ำของรถขนแก๊สแอลพีจีบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่เมื่อปีพ.ศ.2533 การเกิดเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมีที่ท่าเรือคลองเตยในปี พ.ศ.2534 และการเกิดแก๊สรั่้่วไหลบนทางด่วนบางนา–ตราด เมื่อ 19 ส.ค.ที่ผ่่านมา เป็นต้น โดยทางหลวงหมายเลข 3 ภาคตะวันออกจะเป็นเส้นทางที่มีการขนส่งวัตถุอันตรายมากที่สุดเพราะเป็นเส้นทางสู่จุดขนย้ายสินค้าสำคัญของประเทศ

    ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการวัตถุอันตรายขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่ออกข้อกำหนดการขนส่งวัตถุอันตรายทางบก พ.ศ.2545 และข้อกำหนดด้านการขนส่งสินค้าอันตรายทางถนนของประเทศไทยเล่มที่ 2 สำหรับเป็นแนวทางสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับแนวทางสากลของยูเอ็น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=baseline><TD vAlign=top width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD class=hit align=left height=19>ข่าวที่เกี่ยวข้อง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>รู้จัก “สารเคมีอันตราย” ผ่านเน็ต วอนเอสเอ็มอีไทยใส่ใจกฎยูเอ็น</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>สกว.จับมือพันธมิตรดึงเอกชนรับมือกฎการใช้สารเคมีของอียู</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>เปิดรั้วจามจุรีถกปัญหาระบบเฝ้าระวัง หลังพบสารเคมีนำเข้าก่อระเบิด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://search.sanook.com/knowledge/...D=&wi=&hnl=&ob=&asc=&q=%A1%B0%D4%B9&select=10

    <TABLE class=fontblacksm cellSpacing=8 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>กฐิน
    สร้างเมื่อ 02-11-2007 โดย IdealistCity</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#f7fafe><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> พิธีทอดกฐิน เป็นงานบุญที่มีปีละครั้ง ท่านจึงจัดเป็นกาลทาน แปลว่า "ถวายตามกาลสมัย" คำว่า "กฐิน" มีความหมายที่เกี่ยวข้องกันอยู่หลายความหมายดังนี้
    กฐินที่เป็นชื่อของกรอบไม้ กรอบไม้แม่แบบสำหรับทำจีวร ซึ่งอาจเรียกว่าสะดึงก็ได้ เนื่องจากในครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปลักษณะตามที่กำหนดกระทำได้โดยยาก จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ เพื่อเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่ม หรือผ้าห่มซ้อนที่เรียกว่าจีวรเป็นส่วนรวม ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ ในภาษาไทยนิยมเรียก ผ้านุ่ง ว่า สบง ผ้าห่ม ว่า จีวร และ ผ้าห่มซ้อน ว่า สังฆาฏิ
    การทำผ้าโดยอาศัยแม่แบบเช่นนี้ คือทาบผ้าลงไปกับแม่แบบแล้วตัดเย็บย้อม ทำให้เสร็จในวันนั้นด้วยความสามัคคีของสงฆ์ เป็นการร่วมใจกันทำกิจที่เกิดขึ้นและเมื่อทำเสร็จ หรือพ้นกำหนดกาลแล้ว แม่แบบหรือกฐินนั้นก็รื้อเก็บไว้ใช้ในการทำผ้าเช่นนั้นในปีต่อๆ ไป การรื้อแบบไม้นี้เรียกว่า เดาะ ฉะนั้น คำว่า กฐินเดาะ หรือ เดาะกฐิน จึงหมายถึงการรื้อไม้แม่แบบเพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสหน้า
    กฐินที่เป็นชื่อของผ้า หมายถึงผ้าที่ถวายให้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่ หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาด หรือผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว และเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าตกตามร้านก็ได้ ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นภิกษุหรือสามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้
    กฐินที่เป็นชื่อของบุญกิริยา คือการทำบุญ คือการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ 3 เดือน เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด การทำบุญถวายผ้ากฐิน หรือที่เรียกว่า ทอดกฐิน คือทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำว่าถวายในท่ามกลางสงฆ์ เรียกได้ว่าเป็น กาลทาน คือการถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน ท่านจึงถือโอกาสทำได้ยาก
    กฐินที่เป็นชื่อของสังฆกรรม คือกิจกรรมของสงฆ์ก็จะต้องมีกานสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของภิกษุทั้งหลายก็จะได้เป็นโอกาสให้ได้ช่วยกันทำจีวรของภิกษุรูปอื่น ขยายเวลาทำจีวรได้อีก 4 เดือน ทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยาก ไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน 10 วัน แต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้วอนุญาตให้แสวงหาผ้าและเก็บไว้ทำเป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาว คือจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4
    จากความหมายข้างต้นจะเห็นว่า มีความเกี่ยวข้องกัน 4 ประการ เมื่อสงฆ์ทำสังฆกรรมเรื่องกฐินเสร็จแล้ว และประชุมกันอนุโมทนากฐินคือแสดงความพอใจ ว่าได้ กรานกฐิน เสร็จแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี คำว่า กรานกฐิน คือการลาดผ้า หรือทาบผ้าลงไปกับกรอบไม้แม่แบบเพื่อตัดเย็บ ย้อม ทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง
    ยังมีคำอีกคำหนึ่งที่เราได้ยินกันก่อนจะมีการทำบุญกฐิน คือ การจองกฐิน หมายถึงการแสดงความจำนงเป็นลายลักษณ์อักษร หรือด้วยวาจาต่อทางวัดว่าจะนำกฐินมาถวาย เมื่อนั้นแล้วแต่จะตกลงกัน แต่จะต้องภายในเขตเวลา 1 เดือน ตามที่กำหนดในพระวินัย (ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12)
    อีกคำหนึ่งที่จะได้ยินในขณะที่มีพิธีการทอดกฐินคือคำว่า อปโลกน์กฐิน หมายถึงการที่ภิกษุรูปใดรุปหนึ่งเสนอขึ้นในที่ประชุมสงฆ์ถามความเห็นชอบว่าควรมีการกรานกฐินหรือไม่ เมื่อเห็นชอบร่วมกันแล้วจึงหารือกันต่อไปว่า ผ้าที่ทำสำเร็จแล้วควรถวายแก่ภิกษุรูปใด การปรึกษาหารือการเสนอความเห็นเช่นนี้เรียกว่า อปโลกน์ (อ่านว่า อะ-ปะ-โหลก) หมายถึง การช่วยกันมองดูว่าจะสมควรอย่างไร เพียงเท่านี้ก็ยังใช้ไม่ได้ เมื่ออปโลกน์เสร็จแล้วต้องสวดประกาศเป็นการสงฆ์ จึงนับว่าเป็นสังฆกรรมเรื่องกฐินดังกล่าวไว้แล้วในตอนต้น
    ในปัจจุบัน มีผู้ถวายผ้ามากขึ้น มีผู้สามารถตัดเย็บย้อมผ้าที่จะทำเป็นจีวรได้แพร่หลายขึ้น การใช้ไม้แม่แบบอย่างเก่าจึงเลิกไป เพียงแต่รักษาชื่อและประเพณีไว้โดยไม่ต้องใช้กรอบไม้แม่แบบ เพียงถวายผ้าขาวให้ตัดเย็บย้อมให้เสร็จในวันนั้น หรืออีกอย่างหนึ่งนำผ้าสำเร็จรูปมาถวายก็เรียกว่าถวายผ้ากฐินเหมือนกัน
    และเนื่องจากยังมีประเพณีนิยมถวายผ้ากฐินกันแพร่หลายไปทั่วประเทสไทยจึงนับว่าเป็นประเพณีนิยมในการบำเพ็ญกุศล เรื่องกฐินนี้ยังขึ้นหน้าขึ้นตาเป็นสาธารณประโยชน์ร่วมไปกับการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามไปในขณะเดียวกัน
    </TD><TD align=right><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini></TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini></TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [ดูภาพทั้งหมดในหมวด] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>

    หัวข้อ
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%B0%D4%B9&select=1#9862">ตำนาน
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%B0%D4%B9&select=1#9863">ข้อกำหนดเกี่ยวกับกฐิน
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%B0%D4%B9&select=1#9864">ประเภทของกฐิน
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%B0%D4%B9&select=1#9865">การจองกฐิน
    • การทอดกฐิน
    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>ตำนาน
    ครั้งพุทธกาล มีเรื่องเล่าไว้ในคัมภีร์พระวินัยปิฎกกฐินขันธกะว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ 30 รูป ซึ่งถือธุดงควัตรอย่างยิ่งยวด มีความประสงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล จึงพากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนั้นพอถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถีประมาณ 6 โยชน์ก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี เดินทางต่อไปมิได้ต้องจำพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตตามพระวินัยบัญญัติ ขณะที่จำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกต เกิดความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง ดังนั้นพออกพรรษาปวารณาแล้วก็รีบเดินทาง แต่ระยะนั้นมีฝนตกมากหนทางที่เดินชุ่มไปด้วยน้ำ เป็นโคลนเป็นตม ต้องบุกต้องลุยมาจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถีได้เข้าเฝ้าสมความประสงค์
    พระพุทธเจ้าจึงมีปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้นเรื่องการจำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกตและการเดินทาง ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลถึงความตั้งใจ ความร้อนรนกระวนกระวายและการเดินทางที่ลำบากให้ทรงทราบทุกประการ
    พระพุทธเจ้าทรงทราบและเห็นความลำบากของภิกษุจึงทรงยกเป็นเหตุและมีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนแล้วกรานกฐินได้ และเมื่อกรานกฐินแล้วจะได้รับอานิสงส์ตามที่กำหนดในพระวินัยถึง 5 ประการคือ
    1. อยู่ปราศจากไตรจีวรได้ จะไปค้างคืนที่ไหน ไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับก็ได้ ไม่ต้องอาบัติ
    2. จะไปไหนมาไหน ไม่ต้องบอกลาก็ได้ ไม่ต้องอาบัติ
    3. ฉันคณะโภชน์ได้ ไม่ต้องอาบัติ
    4. เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
    5. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอทั้งได้โอกาสขยายเขตจีวรกาล ให้ยาวออกไปอีกจนถึงกลางเดือน 4



    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>ข้อกำหนดเกี่ยวกับกฐิน
    - จำนวนพระสงฆ์ในวัดที่จะทอดกฐิน สงฆ์ผู้จะให้ผ้ากฐินนั้น จะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 5 รูป เพราะจะต้องจัดเป็นผู้รับผ้ากฐิน 1 รูป เหลืออีก 4 รูปจะได้เข้าเป็นองค์คณะ (สงฆ์) มากกว่า 5 รูปขึ้นไปใช้ได้ แต่น้อยกว่า 4 รูปใช้ไม่ได้
    - คุณสมบัติของพระสงฆ์ที่มีสิทธิรับกฐิน คือพระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดนั้นครบ 3 เดือน ปัญหาที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่าจะนำพระสงฆ์จากวัดอื่นมาสมทบ จะใช้ได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ แต่พระรูปที่มาสมทบจะไม่มีสิทธิในการรับผ้าและไม่มีสิทธิออกเสียงว่าจะถวายผ้าให้กับรูปใด (เป็นเพียงแต่มาร่วมให้ครบองค์สงฆ์เท่านั้น) แต่คณะทายกทายิกาอาจถวายของสิ่งอื่นได้
    - กำหนดกาลที่จะทอดกฐิน การทอดกฐินนั้นทำได้ภายในเวลากำหนด คือ ตั้งแต่วันแรม 1 คำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ก่อนหรือหลังจากนั้นไม่นับเป็นกฐิน
    - กฐินไม่เป็นอันทอดหรือเป็นโมฆะ การที่พระในวัดเที่ยวขอโดยตรงหรือโดยอ้อม ด้วยวาจาบ้าง ด้วยหนังสือบ้าง เชิญชวนให้ไปทอดกฐินในวัดของตน การทำเช่นนั้นผิดพระวินัย กฐินไม่เป็นอันกราน นับเป็นโมะ การทอดก็ไม่เป็นทอด พระผู้รับก็ไม่ได้อานิสงส์



    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>ประเภทของกฐิน
    การทอดกฐินที่ปฏิบัติกันในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทคือ
    - กฐินหลวง
    - กฐินราษฎร์



    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>การจองกฐิน
    การจองกฐิน ก็คือ การแจ้งล่วงหน้าให้ทางวัดและประชาชนได้ทราบว่าวัดนั้นๆ มีผู้ศรัทธาทอดกฐินกันเป็นจำนวนมากถ้าไม่จองไว้ก่อนอาจไม่มีโอกาส จึงเกิดเป็นธรรมเนียมขึ้นว่าจะทอดกฐินต้องจองล่วงหน้า เพื่อให้มีโอกาสและเพื่อไม่ให้เกิดการทอดซ้ำ วัดหนึ่งวัดปีหนึ่งทอดกฐินได้ครั้งเดียว และในเวลาจำกัด คือหลังจากออกพรรษาแล้วเพียงเดือนเดียวดังได้กล่าวมาแล้ว
    แต่อย่างไรก็ตาม กฐินหลวงไม่มีการจองล่วงหน้า เว้นแต่กฐินพระราชทาน ผู้ประสงค์จะขอรับพระราชทานกฐินไปทอดต้องจองล่วงหน้า โดยแจ้งไปยังกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวมาแล้ว
    ตัวอย่างใบจองกฐิน
    ข้าพเจ้าชื่อ ............................................................ บ้านเลขที่ ............. ตำบล ................................................. อำเภอ ..................................................... จังหวัด ....................................... มีศรัทธาปรารถนาจะทอดกฐินแก่พระสงฆ์วัดนี้ มีองค์กฐิน .................... มีบริวารกฐิน ....................... กำหนดวัน ............. เดือน ............................................. ปี ..................... เวลา ........................
    ขอเชิญท่านทั้งหลายมาร่วมกุศลด้วยกัน หากท่านผู้ใดมีศรัทธามากกว่ากำหนด ขอผู้นั้นจงได้โอกาสเพื่อทอดเถิด ข้าพเจ้ายินดีอนุโมทนาร่วมกุศลด้วย
    ถ้าหากว่ามีผู้ศรัทธามากกว่าจะนำกฐินมาทอด ณ วัดเดียวกัน ก็ต้องทำใบจองดังกล่าวมานี้มาปิดไว้ที่วัดในที่เปิดเผย เช่น ศาลาการเปรียญ เป็นต้น และเป็นธรรมเนียมที่ถือกันว่า การที่มีผู้มาจองทับเช่นนี้ไม่เป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด แต่ถือเป็นเรื่องสนุกสนานในการทำบุญกุศลอย่างหนึ่ง ในภายหลังไม่นิยมจองทับกันแล้ว ถ้ามีศรัทธาวัดเดียวกันก็มักจะรวมกันซึ่งเรียกว่า กฐินสามัคคี
    ในการทอดกฐินสามัคคีนี้ ผู้ทอดอาจเชิญชวน ผู้มีจิตศรัทธาให้มาร่วมกันทำบุญ โดยแจกใบบอกบุญหรือเรียกว่า ฎีกา ก็ได้


    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>การทอดกฐิน
    เมื่อได้ตระเตรียมพร้อมแล้ว ถึงกำหนดก็นำผ้ากฐินกับบริวารไปยังวัดที่จองไว้ การนำไปนั้นจะไปเงียบๆ หรือจะแห่แหนกันไปก็ได้เมื่อไปถึงแล้ว พักอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งที่สะดวก เช่น ที่ศาลา ท่าน้ำ ศาลาโรงธรรม โรงอุโบสถ หรือที่ใดที่หนึ่งซึ่งทางวัดจัดไว้ เมื่อพระสงฆ์พร้อมแล้วก่อนถวายกฐิน อาราธนาศีล รับศีล เมื่อรับแล้ว ทายกประกาศให้รู้พร้อมกัน หัวหน้าผู้ทอดกฐินหันหน้าไปทางพระพุทธรูป ตั้งนโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์กล่าวถวายเป็นภาษาบาลี ภาษาไทย หรือทั้งสองภาษาก็ได้ ว่าคนเดียวหรือว่านำแล้วคนทั้งหลายว่าตามพร้อมกันก็ได้ การกล่าวคำถวายจะกล่าวเป็นคำๆ หรือจะกล่าวรวมกันเป็นวรรคๆ แล้วแต่ความสะดวกของผู้กล่าวนำและผู้กล่าวตาม คำถวายมีดังนี้
    คำถวายภาษาบาลี แบบที่ 1
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า 3 หน)
    อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    ทุติยัมปิ อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    ตะติยัมปิ อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    คำแปล
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้ากฐินกับบริวารนี้ แก่พระสงฆ์
    แม้คำรบสอง ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้ากฐินกับบริวารนี้ แก่พระสงฆ์
    แม้คำรบสาม ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้ากฐินกับบริวารนี้ แก่พระสงฆ์
    คำถวายภาษาบาลี แบบที่ 2
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า 3 หน)
    อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    ทุติยัมปิ อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    ตะติยัมปิ อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    สาธุ โร ภันเต อิมัง สะปริวารา กะฐินะทุสสัง ปฏิคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
    คำแปล
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้ากฐินกับบริวารนี้ แก่พระสงฆ์
    แม้คำรบสอง ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้ากฐินกับบริวารนี้ แก่พระสงฆ์
    แม้คำรบสาม ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้ากฐินกับบริวารนี้ แก่พระสงฆ์
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงรับ ซึ่งผ้ากฐินทั้งบริวารนี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญฯ
    คำถวายภาษาบาลี แบบที่ 3
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า 3 หน)
    อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ
    สาธุ โน ภันเต สังโฆ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง ปะฏิคคันหาตุ
    ปะฏิคคเหตะวา จะ อิมินา ทุสเสนะ กะฐินัง อัตถะระตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
    คำแปล
    ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐินกับบริวารนี้ ครั้นรับแล้วจงกรานกฐินด้วยผ้าผืนนี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญฯ
    เมื่อจบคำถวายแล้ว พระสงฆ์รับสาธุพร้อมกัน องค์กฐินพร้อมทั้งบริวารนั้นถ้าปรารถถวายเป็นของสงฆ์ทั้งหมดก็ไม่ต้องประเคน ถ้าปรารถนาจะประเคนก็อย่าประเคนสมภาร หรือองค์ที่รู้ว่าจะต้องครอง ให้ประเคนองค์อื่น องค์ที่เหมาะสมก็คือองค์รองลงมา เฉพาะองค์กฐินนั้นไม่จำเป็นต้องประเคน ส่วนบริวารนั้น ถ้าจำนงถวายแก่ภิกษุสามเณรในวัดนั้นส่วนเฉพาะ ก็ช่วยกันถวายโดยทั่วกัน เมื่อประเคนเสร็จแล้วจะกลับเพียงนั้นก็ได้ แต่ถ้ายังไม่กลับจะรอจนพระสงฆ์อปโลกน์ และมอบผ้ากฐินเสร็จแล้วก็ได้
    ถ้าผ้ากฐินนั้นต้องทำต่อไปอีกเช่น ต้องซัก กะ ตัด เย็บย้อม จะอยู่ช่วยพระก็ได้ จึงมีธรรมเนียมอยู่ว่า ประเคนเฉพาะองค์กฐินแก่พระรูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น แล้วรออยู่เมื่อพระสงฆ์ทำพิธีเบื้องต้นของท่านเสร็จจึงประเคนบริวารกฐินในภายหลัง พระสงฆ์อนุโมทนา ผู้ถวายทั้งหมดตั้งใจฟังคำอนุโมทนา และขณะนั้น เจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
    เพียงเท่านั้นก็เสร็จพิธีถวายกฐินสำหรับทายกผู้มีศรัทธา ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์จะได้ดำเนินการในเรื่องกรานกฐินต่อไป
    ขอบคุณข้อมูลจาก www.isangate.com
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://search.sanook.com/knowledge/...%B7%D3%BA%D8%AD%C7%D1%B9%E0%A1%D4%B4&select=1

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>เรามีความรู้เรื่อง : การทำบุญวันเกิด มาให้ท่านศึกษาดังต่อไปนี้ </TD></TR><TR><TD class=fontblacksm>การทำบุญวันเกิด จาก สนุก! พีเดีย สารานุกรมชาวสนุก </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=fontblacksm cellSpacing=8 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>การทำบุญวันเกิด
    สร้างเมื่อ 19-06-2007 โดย AgentSmith</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#f7fafe><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> อันประเพณีที่จะ ทำบุญวันเกิด ขึ้นนี้เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำเป็นตัวอย่างตั้งแต่ยังทรงผนวช ไม่ใช่ทำอย่างจีนหรือฝรั่ง ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่าการมีอายุยืนมาบรรจบรอบปีครั้งหนึ่งๆ ไม่ตายไปเสียก่อนเป็นลาภอันประเสริฐ ควรยินดี เมื่อรู้สึกยินดีก็ควรจะบำเพ็ญกุศล ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น ให้สมกับที่มีน้ำใจยินดี และไม่ประมาท เพราะไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะอยู่ไปบรรจบรอบปีเช่นนี้อีกหรือไม่ ถึงวันเกิดปีหนึ่งเป็นที่เตือนใจครั้งหนึ่ง ให้รู้สึกว่าอายุล่วงไปต่อความตายอีกก้าวหนึ่งชั้นหนึ่ง เมื่อรู้สึกเช่นนั้น จะได้บรรเทาความมัวเมาประมาทในชีวิตเสียได้ นี้เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการทำบุญวันเกิดขึ้นเรียกว่า เฉลิมพระชนมพรรษา
    การที่ทรงทำในครั้งนั้นปรากฏว่ามีการสวดมนต์เลี้ยงพระ ๑๐ รูป เป็นการน้อยๆ เงียบๆ ครั้นต่อมาก็มีเจ้านายขุนนางทำบุญวันเกิดกันชุกชุมขึ้น แต่การทำบุญเกี่ยวกับพระลดลง เป็นแค่ประชุมคนแสดงเกียรติยศให้ปรากฏว่ามีผู้นับถึอมาก ตั้งโรงครัวเลี้ยงกันไปวันยังค่ำการมหรสพก็มีละครเป็นพื้น และนำของขวัญไปให้กันมีการเลี้ยงดูกันอย่างสนุกสนานให้ศีลให้พรกัน ถ้าเป็นวันเกิดเจ้านายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทานพระราชหัตถเลขาให้พรด้วย พระราชทานของขวัญด้วย สมัยนั้นการทำบุญถือเป็นเกียรติใหญ่ เมื่อถึงวันเกิดของใครก็อึงคนึงเป็นการใหญ่ตั้งแต่เริ่มงานจนงานแล้ว และถือว่าถ้าไม่ไปช่วยงานวันเกิดกันแล้วเป็นไม่ดูผีกันทีเดียว
    สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวชเป็นสามเณรก็ทรงทำบุญวันพระราชสมภพ ตามอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วิธีทำก็มี สวดมนต์ เลี้ยงพระและแจกสลากสิ่งของต่างๆ แก่พระสงฆ์ ทรงทำตลอดมาจนกระทั่งเสวยราชย์และทำเป็นการใหญ่เช่น หล่อพระพุทธรูปอายุ เรียกว่า “หล่อพระชนมพรรษา” ทั้งมีการตกแต่งตามชาลาพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นการครึกครื้นสนุกสนาน ตามริมน้ำและตามถนนก็สว่างไสวไปด้วยแสงประทีปโคมชวาลา จึงได้เกิดมีการแต่งซุ้มไฟประกวดประขันกันขึ้นและมีเหรียญพระราชทานแก่ผู้แต่งซุ้มไฟเป็นรางวัล อนึ่งในวันนั้นได้มีผู้ไปลงนามถวายพระพร พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการอ่านคำถวายพระพรอันเป็นเครื่องหมายแสดงความจงรักภักดี จึงถือเป็นประเพณีเนื่องด้วยทำบุญวันเกิดมาจนปัจจุบันนี้
    </TD><TD align=right><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini></TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [ดูภาพทั้งหมดในหมวด] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>

    หัวข้อ
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%D2%C3%B7%D3%BA%D8%AD%C7%D1%B9%E0%A1%D4%B4&select=1#6423">วิธีปฏิบัติในการทำบุญวันเกิด
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%D2%C3%B7%D3%BA%D8%AD%C7%D1%B9%E0%A1%D4%B4&select=1#6422">อานิสงส์หรือผลดีของการทำบุญวันเกิด
    • <A href="http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?q=%A1%D2%C3%B7%D3%BA%D8%AD%C7%D1%B9%E0%A1%D4%B4&select=1#6424">ข้อเสนอแนะในการทำบุญวันเกิด
    • ทำบุญอายุ
    </TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>วิธีปฏิบัติในการทำบุญวันเกิด
    วิธีปฏิบัติ ในการทำบุญวันเกิดอาจเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ ดังนี้
    ๑. ตักบาตรพระสงฆ์เท่าอายุหรือเกินอายุหรือกี่รูปก็ได้ตามสะดวก
    ๒. บำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บรรพบุรุษ ที่เรียกว่า ทักษิณานุประทานก่อนแล้วจึงบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันเกิด
    ๓. ทำบุญ สวดมนต์ เลี้ยงพระ หรือมีพระธรรมเทศนาด้วย
    ๔. ถวายสังฆทาน
    ๕. ทำทานช่วยชีวิตสัตว์ เช่นปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ หรือส่งเงินไปบำรุงโรงพยาบาลหรือกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์อื่นๆ
    ๖. รักษาศีลหรือบำเพ็ญภาวนา
    ๗. กราบขอรับพรจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ
    ๘. บำเพ็ญคุณประโยชน์อื่นๆ โดยมุ่งที่การให้ มากกว่า เป็นการรับ



    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>อานิสงส์หรือผลดีของการทำบุญวันเกิด
    การทำบุญวันเกิด คือการปรารภวันเกิดและทำความดีในวันนั้นเป็นเหตุให้ได้รับผลดีหรืออานิสงส์ตอบแทน ดังมีพุทธภาษิตความว่า “ผู้ให้อาหาร ชื่อว่า ให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยาน ชื่อว่า ให้ความสุข ผู้ให้ประทีป ชื่อว่า ให้ดวงตา” (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๕ ข้อ ๑๓๘ หน้า ๔๔ ) และพระพุทธภาษิต ความว่า “ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้สิ่งที่น่าพอใจ ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศ ผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐ ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐสุด ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐสุด “ (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๔๔ หน้า ๖๖)



    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>ข้อเสนอแนะในการทำบุญวันเกิด
    ๑. กิจกรรมในการทำบุญวันเกิดควรเน้นคุณค่าทางจิตใจมากกว่าวัตถุ เช่นทำจิตใจให้สงบแจ่มใสและทำบุญตามศรัทธา
    ๒. ควรเป็นกิจกรรมที่มุ่งบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม เช่นการบริจาคทาน สมทบทุนเพื่อสาธารณประโยชน์ ใช้แรงงานของตนเองเพื่อส่วนรวม
    ๓. ควรมุ่งเน้นให้เป็นการประหยัด จัดงานวันเกิดในวงครอบครัวไม่ควรจัดหรูหราฟุ่มเฟือย
    ๔. ควรอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ไม่จำเป็นต้องจัดแบบต่างประเทศ เช่นตัดเค้กวันเกิดจุดเทียน หรือเป่าเทียน ร้องเพลงภาษาต่างประเทศอวยพรวันเกิด ฯลฯ
    ๕. ในกรณีที่ผู้น้อยไปรดน้ำอวยพรวันเกิดผู้ใหญ่ นิยมอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยก่อนแล้วจึงมีคำอวยพร ส่วนของขวัญที่จะให้นั้น ควรทำด้วยน้ำพักน้ำแรงหรือของที่ประดิษฐ์ด้วยฝีมือตนเอง ถ้าเป็นดอกไม้ควรเป็นดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทย กรณีที่ผู้ใหญ่อวยพรวันเกิดผู้น้อย ผุ้ใหญ่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นมงคลแก่ผู้รับพร


    [กลับหัวข้อหลัก]
    </TD>
    </TD>
    <TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>ทำบุญอายุ
    การทำบุญอายุ มักนิยมทำกัน เมื่ออายุ ๒๕ ปี ซึ่งเรียกว่าเบญจเพสแผลงมาจาก ปัญจวีสะ คำว่าเบญจเพส ก็แปลว่า ๒๕ นั่นเอง ถือกันว่าตอนนี้เป็นตอนสำคัญ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะย่างขึ้นสู่สภาวะผู้ใหญ่ ตั้งตนให้เป็นหลักเป็นฐาน ถ้าดีก็ดีกันในตอนนี้ ถ้าเอาดีไม่ได้ก็อาจจะเสียคน ด้วยเหตุนี้จึงมีการทำบุญเมื่ออายุ ๒๕ ปีเพื่อส่งให้เจริญงอกงามต่อไป ต่อจากนั้นก็ทำเมื่ออายุ ๕๐ หรือ ๖๐ ปีอีกครั้งหนึ่ง เพราะถือกันว่าตอนนิอายุย่างเข้ากึ่งหนึ่งของศตวรรษแล้ว และเจริญมากถึงที่สุดแล้ว ต่อไปร่างกายก็มีแต่จะทรุดโทรมลงทุกวัน การทำบุญที่อายุปูนนี้จึงเป็นการทำโดยไม่ประมาท ร่างกายเสื่อมลงไปๆ จึงควรทำบุญไว้ เพื่อเป็นประกันในเมื่อจวนจะหมดลมจะได้นึกว่าทำดีไว้มากแล้ว ถึงตายก็ตายอย่างสงบ อนึ่งการทำบุญอายุนี้ บางทีทำกันเมื่อมีอายุครบ ๒ รอบ ๓ รอบ ๔ รอบ ไปจนถึง ๕ -๖ รอบฯลฯ รอบหนึ่งมี ๑๒ ปีถ้าบรรจบปีเกิดในรอบไหนก็ทำในรอบนั้น วิธีปฏิบัติ อานิสงส์ผลดีหรือข้อเสนอแนะ เช่นเดียวกับการทำบุญวันเกิด
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องเที่ยวจากทางบ้าน

    ตามไปดูพระราชพิธีเห่เรือ
    http://travel.sanook.com/hometown/hometown_09491.php<SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT><!--START--><META content="ท่องเที่ยว,ที่พัก,ร้านอาหาร,การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,โรงแรม,สิ่งแวดล้อม,การท่องเที่ยว,สายการบิน,กล้อง,เชียงใหม่,เกาะช้าง,รูป,ระยอง,รถไฟ ,นุ บางบ่อ , การเดินทาง ทัวร์ ราคาทัวร์ , ท่องเที่ยว ผจญภัย , ปีนหน้าผา ถ้ำ , กรุงเทพฯ , กรุงเทพ , เทศกาล , ประเพณี ภาคเหนือ , ภาคอีสาน , ภาคใต้ , ภาคตะวันออก , ภาคตะวันตก , ภาคกลาง , ขนส่ง , " name=Keywords><META content=ข้อมูลท่องเที่ยวไทยจากสบาย.คอม name=Description><STYLE type=text/css>.style1 { font-size: x-small; font-family: "MS Sans Serif";}.style2 { background-color: #FFFFEA;}.style3 { font-size: xx-small; font-family: "MS Sans Serif";}.style4 { color: #008000;}.style5 { color: #FF00FF; font-size: xx-small;}.style6 { color: #FF0000; font-size: xx-small;}.style8 { color: #800000;}.style9 { color: #0000FF;}.style10 { font-size: x-small; font-family: "MS Sans Serif"; text-align: center;}.style11 { text-align: right;}.style12 { font-size: xx-small;}.style13 { font-family: "MS Sans Serif";}.style14 { font-size: x-small; font-family: "MS Sans Serif"; color: #C0C0C0;}</STYLE><TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD class=style2>[​IMG]
    "พี่ขาาาาาาา"
    "what's up"
    "นุ้ยอยากขอลาวันจันทร์บ่ายไปดูเห่เรือ.. นะคะ นะคะ"
    "no problem จ้ะ"
    บทสนทนาข้างต้น เป็นการ "ขอลางาน" ผ่านโปรแกรม QQ ของนุ้ยเมื่อวัน อาทิตย์ หลังจากที่พ่อชวนว่า "พ่อมีบัตรไปดูเห่เรือ วันจันทร์บ่าย ลูกจะไปหรือเปล่า" แน่นอน.. ว่านุ้ยอยากไปดู.. เวลาไปกับพ่อเรามักจะได้สิทธิ์พิเศษนู่นนี่อยู่เสมอ... โอกาสงี้หาไม่ได้ง่ายๆ เมื่อพ่อเกษียน.. 555
    และเมื่อเจ้านายใจดี อนุญาตง่ายๆ วันจันทร์บ่าย นุ้ย พ่อ กับคุณนายก็ขึ้นรถไปที่ บริเวณกรมอู่ทหารเรือตรงถนนอรุณอัมรินทร์กัน.. ลุงชยุติ เพื่อนพ่อ เตรียมบัตรกับที่จอดรถข้างในกรมอู่เอาไว้ให้ นุ้ยมากรมอู่ทหารเรือหลายครั้งแล้ว มากี่ที ก็ยังประทับใจกับความยิ่งใหญ่ อลังการของสถาปัตยกรรมใหม่ๆ ที่ตั้ง อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทุกที
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>คราวก่อนนุ้ยมางานแต่งงานเพื่อน ระหว่างที่เกาะกำแพงยืนอยู่ริมแม่น้ำ.. มอง ขวาเห็นตะวันลับลงกับพระปรางค์วัดอรุณ พอค่ำลงอีกหน่อย ฝั่งตรงข้ามก็เป็นพระบรมมหาราชวัง.. ดูแล้วได้แต่ คิดว่า..โอ้โห.. เมืองไทยนี่สวยจังเลย....
    ใกล้ๆบ่าย 3 โมง เราเดินออกจากห้องพักรับรองไปบริเวณศาลาริมน้ำ ซึ่งทางกรมฯ จัดเอาไว้ให้คนเข้ามานั่งดูพระราชพิธี.. คนเริ่มเข้ามากันแล้ว.. พลเรือนธรรมดาจะใส่เสื้อเหลืองกันหมด ในขณะที่ วันนี้ทหารเรือ "ถูกเกณฑ์" ให้แต่งเครื่องแบบขาว...ตามคำบอกเล่าของคุณลุงชยุติ แล้วเครื่องแบบขาวของทหารเรือนี่ เท่ห์ได้ใจมั่กๆ
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>คราวก่อนที่มาดูซ้อมกระบวนเรือตอนงานฉลองครองราชย์ครอบ 60 ปี เราก็ได้ที่ แถวหน้า แต่ว่ามัวแต่วิ่งหลบฝน หัวฟูกับคุณนายอยู่ 2 คน สนุกก็จริง แต่ว่า ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่.. วันนี้เราโชคดี ได้ที่นั่งพิเศษในศาลาเล็กๆ ที่ยื่นออกไปในน้ำ..
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 168px">[​IMG]</TD><TD>นุ้ยเลือกนั่งที่ ที่หันข้าง แทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเรียงเอาไว้ให้ เพราะจะได้ดูสะดวกๆ.. ระหว่างรอกระบวนเรือ.. เจ้าหน้าที่ก็เปิดทีวีไว้ให้ เราดูด้วยว่าพระราชพิธีไปถึงไหนแล้ว.. นุ้ยก็อยากดู แต่ว่าลมเย็นๆ พัดเอื่อยๆ มาบนศาลานี่ชวนให้ง่วงชะมัดเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>นุ้ยจะเล่าเรื่องพระราชพิธีเห่เรือนี้ให้ฟังพลางๆ ระหว่างรอนะคะ...
    เห่เรือ ที่ว่านี่ ใช้ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค หรือการเสด็จพระราชดำเนิน ทางน้ำ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้ว พอมาถึงสมัยรัชกาลปัจจุบัน กระบวนพยุห ยาตรา ที่นุ้ยมาดูนี่ก็เป็นครั้งที่ 16 ถือเป็นการจัดแบบกระบวนพยุหยาตราชลมารค(ใหญ่) จะเป็นการเสด็จพระ ราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ที่ วัดอรุณราชวราราม
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 422px">โดยเส้นทางจะเริ่มตั้งแต่บริเวณท่าวาสุกรี ผ่านป้อม พระสุเมรุสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลศิริราช กรมอู่ทหารเรือ ราชนาวิกสภา พระบรมมหาราชวัง หอ ประชุมทหารเรือ วัดอรุณราชวราราม และไปจอดเรืออยู่หน้าวัดกัลยาณมิตร ใช้ฝีพายซึ่งเป็นทหารเรือ และนักเรียนนายเรือประมาณ 500 คนได้..

    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 164px">[​IMG]</TD><TD>และในขณะที่คุณนายประทับใจมากมายกับความสวยงามอลังการของกระบวนเรือ ที่แต่ละลำถูกตกแต่ง ประดิษฐ์ประดอยอย่างปราณีต จนดูราวกับจะมีชีวิต สิ่งที่นุ้ยประทับใจไม่แพ้กัน คือชื่อเรือ ค่ะ.. ชื่อเรือจะถูกตั้งไว้คล้องกันเป็นคู่ๆ อย่างเช่น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>อนันตนาคราช อเนกชาติภุชงค์ สุพรรณหงส์ นารายณ์ทรงสุบรรณ ...4 ลำแรกนี้เป็น เรือพระที่นั่ง สมเด็จพระบรมฯ ประทับในเรือสุพรรณหงษ์ ลำที่ใช้ปัจจุบันนี้สร้างเสร็จ สมัยรัชกาลที่ 6 ค่ะ เรือพระที่นั่งสำรอง นารายณ์ทรงสุบรรณ สร้างในรัชกาลที่ 9 นี่เอง ส่วนเรืออนันตนาคราชนั่นจะทอดบัลลังก์บุษบก ซึ่งมีผ้าไตร สำหรับทอดกฐินอยู่นะคะ
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 177px">[​IMG]</TD><TD>เรืออื่นๆที่ชื่อเพราะๆก็ เช่น พาลีรั้งทวีป สุครีพครองเมือง อสุรวายุภักษ์ อสุรปักษี กระบี่ปราบเมืองมาร กระบี่ ราญรอนราพณ์ ครุฑเหินเห็จ ครุฑเตร็จไตรจักร เสือทยานชล เสือคำรณสินธุ์ เป็นต้น ถ้าสังเกต จะเห็นว่าชื่อเรือพวกนี้จะเป็นสัตว์ในตำนานของไทย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่ได้อิทธิพลมาจากอินเดียนะคะเพราะตราประจำตำแหน่ง ของเสนาบดีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ใช้รูปสัตว์ทั้งสิ้น เช่น ราชสีห์ คชสีห์ ครุฑ นาค และถ้าพิจาณาตำแหน่งของเสนาบดี ก็จะตรงกับตำแหน่งที่ลดหลั่นกันของเรือพอดี
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 403px">นอกจากเรือรูปสัตว์แล้วก็จะมีเรืออื่นๆอย่าง เรือประตู ที่จะนำริ้วขบวน เรือพิฆาต เรือดั้ง เรือกลองนอก-กลองใน แล้วก็เรือตำรวจ เป็นต้น ประกอบกันเป็นริ้วขบวนงามอย่างนี้แหละ ค่ะ.. ราชทูตฝรั่งเศสซึ่งเดินทางเข้ามาในสมัยสมเด็จพระ นารายณ์ถึงกับบันทึกเอาไว้ว่า

    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 441px">"ไม่สามารถเทียบความงามกับขบวนเรืออื่นใดได้ เป็นขบวนเรือที่มโหฬาร มี เรือกว่า ๒๐๐ ลำ โดยมีเรือพระที่นั่งพายเป็นคู่ๆไปข้างหน้า เรือพระที่นั่งนั้น ใช้ฝีพายของพวกแขนแดงที่ได้รับการ ฝึกพายมาจนชำนาญ ทุกคนสวมหมวก เสื้อ ปลอกเข่า ปลอกแขน มีทองคำประกอบ เวลาพายพร้อมกับเป็น จังหวะจะโคน พายนั้นก็เป็นทอง เสียงพายกระทบเป็นเสียงประสานไปกับทำนองเพลงยอพระเกียรติของพระเจ้า แผ่นดิน"

    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 164px">[​IMG]</TD><TD>กลับมาที่สมัยปัจจุบัน...
    3 โมงครึ่ง ข่าวในทีวีบอกว่า สมเด็จพระบรมฯ เสด็จมาถึงและลงประทับในเรือพระที่ นั่งสุพรรณหงษ์เรียบร้อยแล้ว.. กระบวนเรือค่อยๆเคลื่อนออกจากท่าวาสุกรี เสียงเห่ในทีวี เริ่มต้นขึ้น พวกเรารู้ว่า อยู่ไกล แต่คนดูก็เริ่มลุกขึ้นยืนชะเง้อกันแล้วล่ะ มันกระหึ่ม ดังมาแต่ไกลเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"นั่นไงๆ ใช่มั๊ยน่ะ เรือขบวนมาแล้ว" คุณนายร้องบอก "แต่เอ๊ะ.. รถบนสะพานข้างบนยังวิ่งอยู่เลย"
    " เขาต้องกั้นถนนสิแม่.. เรือแน่เหรอ.. หรือว่าเต้นท์เป๊บซี่"
    พี่ผู้หญิง คนข้างๆ คว้ากล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่อง แล้วหันมาสงเคราะห์บอกนุ้ย เพราะเธอคงเวทนาในความตาต่ำของนุ้ยที่อุตส่าห์ เห็นริ้วขบวนเรือนพยุหยาตราเป็นเต้นท์เป๊บซี่ไปได้..
    "เรือขบวนค่ะน้อง.. แดงๆที่เห็นนั่นเสื้อ ฝีพาย!"
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เรือคู่แรกๆที่ผ่านลอดใต้สะพานมา เป็นเรือประตู ที่นำริ้วขบวน ทีนี้แหละใครมี กล้องถ่ายรูป ก็คว้าขึ้นมาซูมแล้วกด แชะ แชะ เห็นบ้างไม่เห็นบ้างตั้งแต่ระยะไกล.. และไม่กี่อึดใจนั่นเอง ภาพที่ปรากฏแก่สายตา ก็ทำให้นุ้ยนึกถึงโคลงบทที่เคย ท่องสมัยเด็กๆขึ้นมาได้อย่างกระจ่างชัด..
    "สุวรรณหงส์ทรงพู่ ห้อย งามชดช้อยถอยหลังสินธุ์
    เพียงหงส์ทรง พรหมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม"
    เรือนับสิบๆลำ ที่เคลื่อนผ่านมานั้น "งามชดช้อย" เหมือนจะ "ลอยหลังสินธุ์" หรือล่องมาตามท้องน้ำจริงๆ.. เสียงขานร้องบทเห่เรือดังกึกก้อง ทำให้ฝีพายตวัดใบพายพรึบ พร้อม เพรียงกัน..
    บทเห่เรือนี้ นอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังเป็น สิ่งที่ให้จังหวะแก่ฝีพายด้วยเช่นกัน.. ไม่ใช่จะกล่อมให้ผู้ที่ประทับอยู่ในเรือบรรทมหลับอย่างที่นุ้ยเคยคิดไว้ตอน เด็กๆ...อิอิ
    วันนี้แม่น้ำเจ้าพระยาในยามเย็น ถูกประดับไว้ด้วยกระบวนเรือ... มันเป็นความ อ่อนหวาน นุ่มนวล ซึ่งผสานกับความยิ่งใหญ่ งดงาม อลังการ ได้อย่างลงตัวที่สุดแล้ว.. "คิดถึงในหลวง..." คนดูข้างๆปรารภ ทำ ให้หลายคนพลอยเหลียวมองไปทางฝั่ง รพ. ศิริราช ไกลออกไปเกือบลับสายตา.. "ทรงเปิดพระแกลดูอยู่หรือเปล่านะ..."
    นี่ไง.. เหตุผล ที่คนรุ่นใหม่อย่างนุ้ย ยังคงสามารถตอบเพื่อนต่างชาติได้ อย่างเต็มปากเต็มคำว่า.. I'm proud to be Thai
    นุ้ย...เรื่องราว
    พลพรรค...ภาพ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ระวังตกเป็นเหยื่อรายใหม่ แฉสารพัดกลโกง การเงิน!
    http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000132464
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 พฤศจิกายน 2550 09:36 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> * มิจฉาชีพบานสะพรั่งรับน้ำมันแพง
    * แก๊งไฮเทคออกอุบายต้มคนพกบัตรเครดิต
    * กลุ่มรากหญ้าเจอ “แชร์ลูกโซ่” สูบเกลี้ยงก่อนเชิด
    * พัฒนากลโกงหลากรูปแบบล่อ “คนโลภ” ติดกับ
    * แนะทางรอดเพื่อคุณไม่ตกเป็นเหยื่อรายใหม่!


    ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 96.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำลายสถิติเดิมตลอดเวลานั้น ได้สร้างผลกระทบในด้านลบกับทุกประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมัน การวิ่งขึ้นของราคาน้ำมันที่ใกล้ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเข้าไปทุกขณะ ขณะที่ราคาน้ำมันในประเทศไทยก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการดาหน้ากันขอปรับขึ้นราคา

    แม้ก่อนหน้านี้ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมายืนยันว่าจะไม่มีการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่สุดได้ก็ต้องจำใจยอมลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 40 สตางค์ต่อลิตรเมื่อ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา(ยกเว้นน้ำมันเบนซิน 95) แต่ไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับลดลงในทันที ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอให้ลดลดลิตรละ 1 บาท แต่ยังไม่มีการตอบรับในข้อเสนอ

    นี่คือความกังวลต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันของทุกภาคส่วน ที่น่าจะส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2551 ซึ่งจะต้องเผชิญกับราคาน้ำมันแพง ในรอบ 10 เดือนของปี 2550 ราคาน้ำมันในประเทศเมื่อ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา น้ำมันเบนซิน 95 ขยับขึ้นเป็นลิตรละ 31.19 บาท เบนซิน 91 ลิตรละ 30.39 บาทและดีเซล 28.14 บาท โดยเบนซิน 95 ปรับขึ้นจากต้นปี 17.74% เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 17.52% และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 22.51%

    ภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นส่งผ่านมาจากราคาน้ำมัน ประชาชนทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากประเทศไทยมีอุปสรรคในหลายๆ ด้านที่ภาครัฐไม่สามารถออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นนั้นได้ เช่น มีภาระเรื่องเงินสมทบเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนตรึงราคาน้ำมันไว้ ซึ่งระยะนี้เป็นช่วงที่ต้องเก็บเงินเพื่อคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

    ขณะเดียวกัน แนวทางที่จะผ่อนคลายทุกข์ของประชาชนด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลงมานั้น คงไม่สามารถทำได้เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ดูแลนโยบายการเงินของประเทศ ยึดหลักการควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 2.5% สูงขึ้นจากเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้น 2.1%

    เมื่อราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตเหล่านี้จึงส่งมอบต้นทุนจากราคาน้ำมันผ่านมาทางราคาสินค้าที่จำเป็นต้องปรับขึ้น แม้ว่าช่วงสิ้นปีหลายคนอาจได้ปรับขึ้นเงินเดือนหรือค่าจ้างบ้าง แต่คงไม่สามารถชดเชยกับราคาสินค้าและค่าครองชีพที่พุ่งขึ้นไปมากกว่า

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว คงต้องหาทางแก้วิกฤตินี้จะด้วยวิธีการประหยัด ใช้จ่ายอย่างรอบคอบหรืองดรายการที่เป็นภาคบันเทิงลงไป แต่หลายคนอาจต้องการหารายได้อื่นๆ เข้ามาชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น การหางานพิเศษทำหรือการหาช่องทางลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนงามโดยที่ไม่ต้องออกแรงมากนักคงอยู่ในความคิดของทุกคน

    ตรงนี้เองจึงกลายเป็นช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้จังหวะนี้เข้ามาหาเหยื่อ ในหลากหลายรูปแบบมีทั้งการหลอกลวงกลุ่มคนในวัยทำงานตามบริษัทต่างๆ จนถึงกลุ่มชาวบ้านและเกษตรกร กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้มีความสามารถที่จะหลอกล่อนำเงินของประชาชนไปใช้ได้ด้วยวิธีการที่แยบยล แม้ว่ากลุ่มวัยทำงานในเมืองที่มีความรู้มากและมีฐานเงินเดือนไม่น้อยก็ตกเป็นเหยื่อของแก๊งค์นี้ได้ไม่ยาก ส่วนกลุ่มชาวบ้านเกษตรกรตามต่างจังหวัดก็เป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพอีกกลุ่มหนึ่ง

    แฉ 2 รูปแบบ
    กลโกงของบัตรเครดิต

    สำหรับกลุ่มคนทำงานในเมืองส่วนใหญ่แล้วแก๊งมิจฉาชีพจะเลือกฉกทรัพย์จากเหยื่อกลุ่มนี้ด้วยการดูดเงินออกมาจากบัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็ม ด้วยวิธีการที่แยบยลและกรรมวิธีอันสุดไฮเทคแม้แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึง
    กับกุมขมับเลยทีเดียว

    พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วาณิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) บอกว่า ต้องยอมรับว่าเหล่ามิจฉาชีพในปัจจุบันมีรูปแบบการทำมาหากินที่แยบยลมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในส่วนที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือ ซึ่งเท่าที่ ปศท.ได้เฝ้าติดตามกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้พบว่ามีรูปแบบที่แยบคายมากขึ้นโดยเฉพาะกลโกงการใช้บัตรเครดิต และบัตรเอทีเอ็ม

    สำหรับกลโกงการใช้บัตรเครดิตจะมี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่หนึ่งกลุ่มมิจฉาชีพจะใช้ “นกต่อ” ที่เป็นพนักงานร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน หรือร้านค้าให้นำข้อมูลของลูกค้าไปให้ โดยจะใช้วิธีการรูดบัตรเครดิตสองครั้ง ครั้งแรกเป็นการจ่ายเงินของลูกค้าตามปกติ ครั้งที่สองจะดูดข้อมูลหรือสกิมเมอร์ ของลูกค้าเก็บไว้เพื่อนำไปใส่กับบัตรเครดิตปลอมที่มีอยู่จากนั้นก็จะนำไปรูดสินค้า โดยจะเน้นสินค้าประเภทจิวเวลรี ทองคำ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งการนำบัตรปลอมไปใช้จ่ายนั้นส่วนใหญ่จะใช้ “มือปืนรับจ้าง” เป็นตัวหลักในการดำเนินการโดยจะแบ่งส่วนแบ่งให้ร้อยละ 20-25 เพราะถ้าหากเกิดพลาดถูกจับเรื่องก็จะจบอยู่ที่มือปืนรับจ้างเท่านั้น

    รูปแบบที่ 2 เป็นรูปแบบที่อันตรายมาก เพราะกลุ่มมิจฉาชีพจะเล็งจับกลุ่มชาวต่างประเทศที่เดินทางมาเมืองไทย นั่นคือการติดต่อกับ “นกต่อ” ตามโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อดูดเอาข้อมูลการใช้บัตร ก่อนจะขอสำเนาหนังสือเดินทาง และสลิปการใช้บัตรเครดิต เพื่อดูลายเซ็น จากนั้นทำบัตรปลอมขึ้นพร้อมลายเซ็นที่เหมือนกับเจ้าของเดิมและให้มือปืนรับจ้างไปรูดสินค้า หรือบางรายก็นำบัตรเครดิตปลอมไปขายตามท้องตลาด ซึ่งราคาบัตรเครดิตปลอมจะขึ้นอยู่กับคุณภาพบัตรว่า มีความใกล้เคียงกับของจริงแค่ไหน โดยบัตรปลอมที่เหมือนมากๆ เรียกว่า “บัตรปลอมโซนยุโรป” จะมีราคากว่า 1 แสนบาทต่อใบ แต่มีวงเงินรูดซื้อสินค้าได้เป็นหลักล้าน ส่วนราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่พบอยู่ในประเทศไทย สนนราคาประมาณ 6,000 บาทต่อใบ แต่จะสามารถรูดซื้อสินค้าได้เท่าไรก็ต้องไป “วัดดวง” กันเอาเอง

    “ที่ผ่านมามีการจับกุมผู้กระทำผิดได้ยากมากสาเหตุ เพราะเป็นการกระทำของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งไม่ได้ลงมือในประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่จะลงมือเวียนในหลายประเทศ เช่น ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

    นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับคนร้าย เช่น ทะเบียนราษฎร หมายเลขบัตรประชาชน ทะเบียนรถยนต์ ฯลฯ เพราะคนร้ายไม่ใช่คนไทย และไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแก๊งเหล่านี้น่าจะมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยในระยะแรกจะใช้วิธีการง่ายๆ คือ ขโมยบัตรเครดิตแล้วนำบัตรมาปลอมแปลงลายเซ็นต์

    ต่อมาก็พัฒนาการขโมยข้อมูลบัตรเครดิต โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “สกิมเมอร์” เพื่อก๊อบปี้ข้อมูล จากนั้นก็จะทำบัตรและปลอมลายเซ็นขึ้น วิธีการนี้จะมีพนักงานของร้านค้าบางแห่งรู้เห็นเป็นใจด้วย

    สำหรับวิธีการล่าสุดเท่าที่พบคนร้ายนำมาใช้ คือ การนำเอาอุปกรณ์มาดูดข้อมูลจากชุมสายโทรศัพท์ โดยจะต้องตรวจสอบดูว่า มีข้อมูลรหัสบัตรเครดิตผ่านเข้ามาในชุมสายนั้นๆ หรือไม่ ซึ่งวิธีการนี้ต้องอาศัยช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญสูงเพื่อตรวจสอบดูว่ามีข้อมูลรหัสบัตรเครดิตไหลเข้ามาในชุมสายโทรศัพท์หรือไม่ จากนั้นก็จะทำการ “แทป” เพื่อดักจับรหัสบัตรเครดิตที่จะมาพร้อมกับ “ซีเคียวริตี โค้ด” (รหัสลับ ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร)

    ด้วยเหตุนี้ แก๊งขโมยข้อมูลบัตรเครดิตจึงต้องมี “โปรแกรมถอดรหัส” เพื่อหาทางถอดรหัสและสกัดเอารหัสบัตรเครดิตมาใช้ จากนั้นก็จะบันทึกข้อมูลลงในเครื่องเอ็มพี 3 ซึ่งมีคุณสมบัติเด่น คือ สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าแผ่นซีดีทั่วไป และน่าจะเก็บข้อมูลบัตรเครดิตได้มากกว่า 100 รหัส ตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง ทั้งนี้ บางธนาคารก็เริ่มหามาตรการ “ป้องกันการแทปข้อมูล” ด้วยการเปลี่ยนระบบการส่งข้อมูลผ่านชุมสายโทรศัพท์ มาเป็นทางเคเบิลใยแก้วนำแสง ซึ่งจะฝังลงใต้ดิน แต่ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัย 100% อยู่ดี

    “ตำรวจเราเชื่อว่าอุปกรณ์ขโมยบัตรเดรดิตก็น่าจะเป็นอุปกรณ์ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ไม่มีวางขายตามท้องตลาด รวมทั้งโปรแกรมถอดรหัสก็เชื่อว่า น่าจะเป็น "โปรแกรมใต้ดิน" ซึ่งมีการเขียนขึ้นมาเอง”

    พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวเตือนผู้ใช้บัตรเครดิตเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพว่า ควรมีการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือทุกครั้งก่อนไปใช้บัตรที่สำคัญเมื่อให้บัตรเครดิตกับพนักงานควรจะรอตรวจสอบจนแน่ใจก่อนว่าเขารูดบัตรของเราเพียงครั้งเดียว และที่สำคัญผู้ใช้บัตรเครดิตควรจะกำหนดวงเงินในการใช้ไม่มากนัก

    “ที่เกิดปัญหาอยู่ตอนนี้เพราะมีคนบางกลุ่มใช้วงเงินเกินความจำเป็นกล่าวคือธนาคารเขาอนุมัติให้ใช้จำนวนเงินหลักแสก็จะใช้ตามนั้นจริงๆแล้วน่าจะมีการกำหนดจำนวนเงินตามความจำเป็นก็น่าจะเพียงพอ”

    ระวัง! สูญเงินจากตู้เอทีเอ็ม

    นอกจากการปลอมบัตรเครดิตแล้วสิ่งที่เป็นภัยที่บุคคลทั่วไปไม่ควรจะมองข้ามก็คือ การใช้บริการตามตู้เอทีเอ็มทั่วไป เพราะปัจจุบันปรากฏว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพคิดรูปแบบการโกงขึ้นมาใหม่โดยใช้เครื่องมือซึ่งเป็นพลาสติกสวมครอบไปในช่องเสียบบัตรเพื่อดูรหัสบัตรเอทีเอ็ม หรือบางกลุ่มก็ใช้พลาสติกครอบแป้นกดรหัสเพื่อดูรหัสส่วนตัว เมื่อมีผู้เข้าไปใช้บริการแล้วจะไม่มีใครสังเกตแต่เมื่อกดรหัสส่วนตัวไปแล้วเงินจะไม่ออกก็จะไม่มีใครสนใจว่าสาเหตุเกิดจากอะไร

    “เรื่องนี้เป็นอันตรายมาก พวกมิจฉาชีพมีวิธีการที่เอารหัสส่วนตัวแล้วนำไปปลอมบัตรจากนั้นก็จะสุ่มเสี่ยงกดเงินออกไป กรณีนี้มีผู้เสียหายหลายร้อยคนเข้ามาร้องเรียนแต่ท้ายสุดก็ตามจับกุมได้อย่างลำบาก”

    ผู้บังคับการ ปศท.อธิบายอีกว่า นอกจากนี้ มีข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้บริการตู้เอทีเอ็มทุกคนอีกประการหนึ่ง คือ อย่าได้ประมาท นั่นคือเมื่อคุณกดเอทีเอ็มอยู่ แล้วมีคนอยู่ด้านหลังให้ระวังไว้ เพราะพวกนี้อาจเป็นแก๊งมิจฉาชีพที่แฝงตัวมา ซึ่งพวกนี้จะรู้เทคนิคในการจำรหัสจากการกดปุ่มหน้าจอ

    ถ้าสังเกตเวลากดเอทีเอ็มจะมีเสียงซึ่งถ้าใครหูดีๆ จะจำได้ว่ากดเลขอะไรไปบ้างใน 4 ตัว เพราะส่วนใหญ่แล้วร้อยละ 70% ของผู้ที่กดเงินจากตู้เอทีเอ็ม จะทิ้ง Slip เงินลงขยะ มันก็กลายเป็นประโยชน์ของผู้ที่คิดชั่วร้าย คือเขาเอา Slip นั้นมาใช้ประโยชน์จากเงินในบัญชีของคุณเอง

    “สลิปมีเลขที่บัญชีสิบตัวปรากฏอยู่ ซึ่งแต่ละธนาคารจะมีการโอนเงินทางโทรศัพท์ โดยมีผู้ไม่ประสงค์ดีนี้จะโทร.ไปยังธนาคาร เพื่อโอนเงินผ่านทางโทรศัพท์ตามหมายเลขแล้วแต่ธนาคาร เขาก็จะได้จาก Slip ของผู้ที่ทิ้งไว้แล้ว เมื่อกดเลขบัญชีธนาคารเสร็จจะมีการให้ใส่รหัสประจำตัวสี่ตัว เมื่อกดเงินนั้นเขาก็จะจำไว้แล้วว่าหมายเลขอะไร จากนั้นก็กดหมายเลขนั้นลงไป เท่านี้เขาก็โอนเงินเข้าบัญชีของเขาได้ตามที่เขาต้องการ ข้อแตกต่างคือ ถ้าโอนเงินทางโทรศัพท์จะสามารถโอนเงินได้สูงสุด 5 แสนบาทต่อครั้ง ต่างจากเอทีเอ็มมาก ดังนั้น ถ้าใครมีเงินในบัญชีมากๆ ให้ระวังเอาไว้ด้วย หรือเขาอาจไม่เอาไปมากๆ ถ้าเขาเอาไปประมาณครั้งละห้าร้อย พันบาท ดังนั้นเมื่อกดเงินแล้วก็ให้เก็บสลิปไว้กับตัวจะดีที่สุด”

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แชร์ลูกโซ่กวาดกลุ่มล่าง

    นั่นคือภัยที่กลุ่มมนุษย์เงินเดือนต้องเผชิญมา ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและหลักการทางด้านการเงินใช้เพื่อหลอกล่อเอาเงินจากบัตรเครดิตหรือจากบัตรเอทีเอ็มไปจากตัวพวกเขาโดยที่ไม่รู้ตัว

    เมื่อมนุษย์เงินเดือนที่มีบัตรเครดิตใช้ แม้จะมีการศึกษาสูง ฉลาดรอบรู้ ไม่น่าจะถูกหลอกง่ายๆ ยังโดนมาแล้ว แล้วประชาชนทั่วไปจะเหลืออะไร เพราะในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการแจ้งความคดีฉ้อโกงทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต จากกรณี “แชร์ข้าวสาร” ไม่เพียงแค่นั้นยังมีคดีหลอกลวงชาวบ้านที่จังหวัดปัตตานีอีกราย

    ใน 2 จังหวัดแรกเป็นแชร์ข้าวสาร บริษัทที่เปิดดำเนินการเป็นบริษัทเดียวกันคือบริษัทร่วมทุนค้าปลีก จำกัด ส่วนที่ปัตตานีเป็นอีกบริษัท เอส.พี.ไอ 2 บี จำกัด ขายตรงผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และสินค้าอุปโภคบริโภค นี่เป็นเพียงแค่ 3 บริษัทที่ประชาชนที่ได้รับความเสียหายดำเนินการตามกฎหมาย แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังเปิดดำเนินการอยู่หรืออาจปิดกิจการไปแล้วแต่ยังไม่เป็นคดีความ

    ศูนย์ข่าวเชียงใหม่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายงานว่า ที่เชียงใหม่ยังมีอีกหลายรายที่เปิดบริการอยู่นอกจากร่วมทุนค้าปลีกที่ปิดไปแล้วตอนนี้บริษัทสมคิดธุรกิจก็ปิดไปอีกราย

    แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า “จริงๆ แล้วการหลอกลวงประชาชนให้เข้าไปเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่นั้นมีมายาวนาน เจ้าของปิดกิจการหนีก็หลายราย แต่คนไทยก็ไม่เข็ด ประกอบกับได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวสินค้าและสร้างแรงจูงใจในเรื่องผลตอบแทนภายใต้ระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ก็เรียกคนเข้ามาได้แล้ว”

    ยิ่งสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในเวลานี้ น้ำมันแพง สินค้าต่างๆ แพง ค่าครองชีพสูงขึ้น ยิ่งเป็นแรงหนุนชั้นดีที่จะดึงคนให้เข้ามาสู่วงจรของแชร์ลูกโซ่ได้ง่ายขึ้น

    ความโลภ : เงินต่อเงิน

    หากพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนเป็นใครก็อดใจไม่ไหว ลงทุนแค่ 650 บาท อีก 25 วันได้คืน 1,200 บาทและอีก 50 วันรับอีก 800 บาท เบ็ดเสร็จจ่าย 650 บาทได้เงินคืน 2,000 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 307.69% ดีกว่าฝากแบงก์ไม่รู้กี่เท่า แต่ถ้าพิจารณาจากความเป็นจริงแล้ว ผลตอบแทนที่มากขนาดนี้ภายในระยะเวลา 50 วันนั้นหากเป็นลงทุนในกิจการที่สุจริตคงไม่มีที่ไหนทำได้ ตรงนี้กลับไม่มีใครคิด

    สินค้าที่นำมาใช้จะเป็นอะไรก็ได้ เช่น น้ำมัน ข้าวสาร บัตรเติมเงิน อัตราแลกเปลี่ยน อาจมีสินค้าตัวอย่างให้เห็น แต่จริงๆ แล้วตัวสินค้านั้นไม่มีความหมายเลย เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของแชร์ลูกโซ่คือการหาสมาชิกเข้ามาให้มากที่สุด โดยที่เจ้าของที่เปิดกิจการนี้จะเป็นผู้รับประโยชน์สูงสุด คนที่เข้ามาทีหลังมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับเจ้าของและคนที่เข้ามาก่อนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถหาคนมาเพิ่มได้อีกเงินที่จะมาจ่ายให้กับคนที่เข้ามาก่อนก็ไม่มี สุดท้ายก็ปิดบริษัทหนีทุกราย

    การเปิดบริษัทประเภทนี้ทำได้ง่าย เพียงแค่ขอจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ ก็เปิดดำเนินการได้ แม้ว่าบางบริษัทที่มีปัญหาจะตั้งขึ้นมาเมื่อ 19 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมาก็ตามเปิดได้ 2-3 เดือนก็ต้องปิดตัวลง ทุนจดทะเบียนที่ระบุไว้ว่ากี่ล้านบาทนั้นก็เป็นแค่ตัวเลขชำระจริงๆ อาจจะไม่ถึงพันหรือหมื่นบาทก็ได้

    ที่สำคัญคือ ไม่มีหน่วยงานใดที่ทำหน้าที่ติดตามว่าเมื่อจัดตั้งบริษัทแล้วได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แม้บางแห่งจะระบุว่าเพื่อดำเนินธุรกิจขายตรง แต่เป็นขายตรงจริงๆ หรือเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ เพราะตัวแชร์ลูกโซ่แอบอิงกับหลักเกณฑ์ของการขายตรง แต่พฤติกรรมในการดำเนินธุรกิจนั้นมุ่งที่การหาเงินจากตัวสมาชิกเป็นหลัก แตกต่างกับขายตรงที่เน้นขายสินค้าหรือเพิ่มสมาชิกก็เพื่อให้ขายสินค้า

    ในการดำเนินการตามกฎหมายนั้น ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ การเอาผิดจะต้องมีองค์ประกอบครบคือมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนเข้ามาเล่นเกิน 10 คน มีสัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงิน และไม่มีการดำเนินการจริงหรือทำธุรกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะต้องมีผู้เสียหาย

    ดังนั้น กว่าจะมีผู้เสียหายนั่นคือเจ้าของกิจการนั้นหอบเงินหนีไปแล้ว แม้ว่าระหว่างที่ดำเนินการอยู่ก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้ เพราะผู้ที่เข้ามาร่วมลงทุนกำลังเพลิดเพลินกับผลตอบแทนที่ได้รับ หากเข้าไปก็จะกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ธุรกิจเขาเจ๊ง ดังนั้นแชร์ลูกโซ่นี้จึงไม่ตายไปจากเมืองไทย เพียงแต่จะบูมมากหรือน้อยในช่วงใดเท่านั้น

    ที่ผ่านมาทำได้เพียงแค่เตือนเท่านั้น ส่วนคนที่เข้าไปลงทุนก็มีทั้งกลุ่มที่ไม่รู้และกลุ่มที่รู้ โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้นั้นก็หวังจะเข้าไปเป็นสมาชิกในลำดับแรกๆ เพื่อให้กลุ่มหลังๆ เข้ามาสร้างรายได้ให้กับตัวเอง กว่ากิจการจะปิดพวกเขาก็ลอยตัว

    “คาถาเสกเงิน” ฮอลลีวูดอาย

    นอกจากนี้ยังมีการฉ้อโกงผู้คนที่หลากหลายออกไป ซับซ้อนมากขึ้น น่าเชื่อถือมากขึ้น เช่นการส่งจดหมายไปที่บ้านหรือ SMS เข้าโทรศัพท์มือถือว่าท่านเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่ แต่ต้องโอนเงินเพื่อชำระค่าธรรมเนียมก่อน หรือการเชิญชวนให้เข้ามาทำงานบนเว็บไซต์ ซึ่งมีทั้งจริงและเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่

    บางรายก็ใช้รูปแบบของไสยศาสตร์เข้ามา เช่น ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน โดยจัดรูปแบบเป็นพิธีกรรม “คาถาเรียกเงิน”

    ผู้เสียหายรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีคนนอกพื้นที่กลุ่มหนึ่งเข้ามาติดต่อกับคนท้องที่ เพื่อชักชวนชาวบ้านบริเวณนั้นให้มาพิสูจน์พิธีกรรมดังกล่าว โดยสถานที่ทำพิธีกรรมนั้นเป็นบ้านของชาวบ้านรายหนึ่งที่ตั้งห่างออกไป พื้นที่รอบตัวบ้านเป็นสวนยาง ไม่มีบ้านคนอื่นบริเวณใกล้เคียง มีการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาเหมือนพิธีกรรมทั่วไป มีคนแต่งกายคล้ายพราหมณ์มาเป็นคนสวด

    “ทุกอย่างเหมือนในหนัง มีลมพัดแรง ฟ้าร้อง เมื่อสวดไปสักพักก็มีเงินปลิวลงมา คนที่ไปก็งงว่าเงินหล่นมาจากไหน วันนั้นเงินที่ปลิวลงมาคนที่ไปชวนมาก็มอบให้กลับบ้านได้ 500 บาทบ้าง 2,000 บาทบ้าง”

    พวกเขายังบอกอีกว่าจะทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าใครจะเข้ามาร่วมพิธีจะต้องเสียค่าเข้าในพิธี 8,000 บาท แต่เขารับประกันว่าจะต้องได้เงินกลับคืนมาไม่น้อยกว่า 2 เท่า และต้องลงชื่อเสียจ่ายเงินไว้ก่อนถึงวันจริง

    คนที่ได้เงินในวันนั้นก็กลายเป็นนักประชาสัมพันธ์ชั้นดี บอกข่าวนี้ให้กับคนอื่น ๆ มีคนจำนวนไม่น้อยกว่า 30 คนที่แสดงความสนใจพร้อมทั้งจ่ายเงิน 8,000 บาทต่อหุ้นเพื่อเข้าร่วมพิธีหรือจะจ่ายมากกว่า 8,000 บาทก็ได้ เมื่อถึงวันจริงมีใครเห็นคนกลุ่มนั้น แม้กระทั่งเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านรู้จัก เหลือไว้แต่ตัวบ้านเท่านั้น

    ตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของอุปนิสัยของคนภาคใต้ หากมีการแจ้งความก็เท่ากับเป็นการประจานตัวเองว่า “โง่” กลุ่มผู้หลอกลวงจึงลอยตัวไปพร้อมเงินหลายแสนบาท

    กลุ่มงานป้องปรามเงินนอกระบบกล่าวเพิ่มเติมว่า ตราบในที่สภาพเศรษฐกิจยังเป็นอย่างนี้เหล่ามิจฉาชีพก็ยังคิดช่องทางฉ้อโกงใหม่ๆ ขึ้นมาได้ตลอดเวลา รูปแบบอาจเปลี่ยนไป มีความแนบเนียนมากขึ้น ขั้นตอนซับซ้อนขึ้น ดังนั้นประชาชนควรจะต้องไตร่ตรองให้ดีถึงเรื่องผลตอบแทนที่สูงกว่าความเป็นจริง หรือต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็ม

    *************

    “แชร์ลูกโซ่” เกิดง่ายรวยเร็ว

    แม้จะมีการปราบปรามกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้ามือแชร์ลูกโซ่ แต่เรื่องก็เงียบหายไประยะหนึ่ง จากนั้นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ก็เกิดขึ้นมาอีก ด้วยรูปแบบของตัวสินค้าที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าจะอุปโลกน์อะไรมาเป็นสินค้า แต่เป้าหมายทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือดูดเงินจากคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเอง

    วิธีการของแชร์ลูกโซ่นั้นส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่กลุ่มคนโลภ อยากได้ผลตอบแทนสูง ๆ โดยที่มีขั้นตอนในการลงทุนที่ไม่ยุ่งยาก โชว์ตัวเลขให้เห็นว่าได้ผลตอบแทนมากว่าเงินลงทุนหลายเท่าตัว หลักการแบบนี้สามารถกวาดคนได้ทุกสาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่มีการศึกษาสูง

    ดังนั้น การสร้างภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่ชื่อบริษัทต้องฟังแล้วทันสมัยหรือเป็นสากล สถานที่ทำการต้องหรูหรา ห้องสัมมนาในโรงแรมหรู การแต่งกายของทีมงานไม่แตกต่างจากนักธุรกิจ ผูกไท ใส่สูท มีแบบฟอร์มพนักงาน

    ที่สำคัญที่สุดคือ ตัวผู้บรรยายจะเป็นคนที่มีศิลปะในการพูด พูดทำให้คนคล้อยตามได้ พูดแล้วคนที่มาฟังต้องอยากเป็นสมาชิก แม้ไม่มีเงินก็ขวนขวายที่จะกู้ยืมคนอื่นมาเพื่อมาลงทุน

    ในจังหวัดเชียงใหม่ยังมีอีกหลายรายที่ยังเปิดให้บริการอยู่ บางรายคือลูกทีมของแชร์ข้าวสารที่แยกตัวออกมาตั้งกิจการเอง เนื่องจากทราบถึงหลักการใหญ่ของแชร์ข้าวสารแล้วนำมาปรับใช้เป็นของตัวเอง

    การเปิดบริษัทใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายเพียงแค่ไปขอจดทะเบียนในรูปบริษัทกับพาณิชย์จังหวัดหรือที่กระทรวงพาณิชย์ จากนั้นก็ดำเนินการได้เลย เพราะไม่มีหน่วยงานใดที่จะเข้ามาตรวจสอบในช่วงเริ่มแรก

    เมื่อมีหลายเจ้าดังนั้นการกำหนดผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะถือว่าเป็นตัวเลขที่จะเรียกลูกค้าได้ดี รวมถึงเรื่องของวันที่กำหนดให้มารับเงินปันผลแต่ละงวดก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน

    ตัวอย่างที่เชียงใหม่นั้นกำหนดราคาสินค้าไว้ที่ 1,450 บาท หากไม่รับสินค้าคืนเงิน 800 บาท ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้าไปลงทุนนั้นไม่ได้ต้องการสินค้าอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการเงินปันผลที่จะได้รับตามที่เจ้าของแชร์กำหนดไว้ เงินลงทุนเริ่มแรกจึงเท่ากับ 650 บาท จากนั้นอีก 25 วันรับเงินคืน 1,200 บาทและอีก 50 วันรับคืนอีก 800 บาท

    สมมติให้กลุ่มแรกที่เข้าไปลงทุนมี 5 คน ลงทุนคนละ 650 บาทเท่ากับเจ้าของได้เงินไปทั้งสิ้น 3,250 บาท วันถัดมาเริ่มกลุ่มที่ 2 เข้ามาหากมีเข้ามาอีก 30 คนเจ้าของจะได้เงินไป 19,500 บาท จากนั้นมีกลุ่มที่ 3 เข้ามาอีก 500 คนจะมีเงินไหลไปที่เจ้าของอีก 325,000 บาท เอาเป็นว่าพอรับกลุ่มที่สามเสร็จครบกำหนด 25 วันพอดี เจ้าของแชร์จะมีเงินอยู่ในมือ 347,750 บาท แต่จ่ายให้กับกลุ่มแรกไปเพียง 6,000 บาท เหลือเงิน 341,750 บาท

    จากนั้นก็รับลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ อีกสมมติว่าได้ลูกค้ารอบหลังอีก 1,000 คน จะได้เงินเข้ามาอีก 650,000 บาท เจ้าของจะมีเงินในมือ 991,750 บาท หากกลุ่ม 2 ครบกำหนด 25 วันก็จ่ายเงินคืน 36,000 บาท และถ้าครบช่วง 50 วันที่จะต้องจ่ายเงินให้กับกลุ่มที่ 1 อีก 4,000 บาท เจ้ามือยังเหลือเงินอีก 951,750 บาท

    หลักการของแชร์ลูกโซ่คือการเอาเงินค่าซื้อสินค้าของสมาชิกรายใหม่มาให้กับเจ้าของแชร์แล้วนำมาจ่ายต่อให้กับสมาชิกที่เข้ามาก่อนหน้าเท่านั้นเอง นั่นคือตัวธุรกิจนี้จะอยู่ได้ด้วยเงินของสมาชิกใหม่เท่านั้น หากมีสมาชิกใหม่เข้ามาน้อยวงจรการจ่ายเงินคืนให้กับสมาชิกก็จะสะดุดลง

    การกำหนดช่วงเวลาเช่น 25 วัน และหลังจากจ่ายครั้งแรกอีก 50 วันนั้นถือเป็นการประมาณการว่าในช่วงเวลาประมาณ 75 วันนั้นน่าจะเพียงพอที่จะหาสมาชิกใหม่เข้ามาจ่ายเงินให้กับเจ้าของและสมาชิกรุ่นก่อนหน้านี้ได้

    ในช่วงแรกที่ทุกคนตาโตกับตัวเลขของรายได้ เจ้าของแชร์อาจจะไม่มีเงื่อนไขให้สมาชิกเก่าต้องชักชวนสมาชิกใหม่เข้ามา แต่ถ้าประเมินแล้วว่ายอดสมาชิกใหม่เริ่มอืดก็อาจมีการให้ผลตอบแทนสำหรับสมาชิกเก่าที่สามารถแนะนำสมาชิกใหม่

    ตัวเลขที่ยกตัวอย่างนั้นเป็นการสมมติให้ทุกคนลงทุนคนละ 1 หุ้นหรือ 650 บาท ตัวเลขสมาชิกที่เข้ามาแต่ละชุดอาจจะมาหรือน้อยกว่าตัวเลขที่ยกมาก็ได้ เพราะผู้ที่เข้ามาลงทุนจริงๆ แล้วไม่ได้เข้ามาซื้อแค่คนละ 1 หุ้นแน่นอน บางคนลงทุนครั้งแรกกันเป็นแสน ลองคิดดูให้ดีว่าเจ้าของแชร์จะถือครองเงินเป็นล้าน ๆ บาทภายในเวลาไม่กี่วัน

    หากต้องการได้เงินที่มากกว่านี้เจ้าของแชร์ก็ต้องบริหารจัดการในเรื่องการหาสมาชิกใหม่ให้ดีพร้อมทั้งจัดสรรเงินให้กับสมาชิกในช่วงแรกๆ ให้ดีเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อจะได้ให้คนที่เป็นสมาชิกเอาไปบอกต่อ ถือเป็นการทำประชาสัมพันธ์ให้กับกิจการตัวเอง แม้ในบางช่วงยอดลูกค้าใหม่อาจจะไม่ตามเป้า ต้องควักเงิน(คนอื่น) จ่ายออกไปบ้างก็ตาม ตราบใดที่ยอดสมาชิกใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้วละก็โอกาสล้มก็จะช้าออกไป

    เกมนี้เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ไม่มีรายใหม่เข้ามาถือว่าจบเกม แน่นอนว่าตัวเจ้าของจะทราบว่าสถานการณ์ในขณะนั้นควรจะสู้ต่อหรือเผ่น

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=baseline><TD vAlign=top width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD class=hit align=left height=19>คลังข้อมูลข่าวธุรกิจ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>Credit Card</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000132464
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6190 ข่าวสดรายวัน
    http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREV3TVRFMU1BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd055MHhNUzB4TUE9PQ==

    ฮือฮาหมาเดิน2ขาแบบคน-เหตุขาหน้าด้วน


    เจอรถทับ จนกุดหมด มีแรงฮึด! ยืนอีกครั้ง



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    เดิน 2 ขา - สุนัขพุดเดิ้ล พิการขาหน้าขาดทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากรถทับ จึงใช้ขาหลังทั้ง 2 ข้างเดิน เป็นที่ประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก แม่ค้าร้านซ่อมคอมพิว เตอร์ ในจ.เชียงราย เจ้า ของบอกเลี้ยงเพราะสง สารและผูกพัน ตามข่าว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ฮือฮาหมาสู้ชีวิต เจ้าแม็กซี่-พุดเดิ้ลน้อย โดนรถทับจนขาถูกตัดทิ้งกุดด้วนไม่เหลือ ก็ยังยืนหยัดหัดยืนด้วยสองขาหลังที่เหลือ แล้วก็เดินได้ด้วยสองขาแบบคน สร้างความประหลาดใจระคนเวทนาให้กับผู้พบเห็น เผยเป็นสุนัขที่เลี้ยงในร้านขายคอมพ์กลางเมืองเชียงราย วันหนึ่งเคราะห์ร้ายวิ่งตามเจ้าของมาที่ถนน เจอรถกระบะทับขาบี้แบนจนสัตวแพทย์ต้องผ่าตัดช่วยชีวิต แล้วก็ปรับตัวให้เข้ากับความพิการจนสามารถเดินสองขาได้

    เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านอิน-เทคคอม จำหน่ายอุปกรณ์และรับติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เลขที่ 111/19 หมู่ 19 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าแม็กซี่ เป็นสุนัขพิการ เหลือแต่ขาหลัง 2 ข้าง ส่วนขาหน้ากุดด้วนหมด แต่ยังสามารถวิ่งหรือเดินไปมาได้ด้วยสองขาหลัง ลักษณะเดียวกับคนเดิน สร้างความสงสารและแปลกประหลาดใจให้กับผู้คนที่พบเห็น โดยเฉพาะลูกค้าที่ไปใช้บริการที่ร้านคอมพิวเตอร์แห่งนี้เป็นอย่างมาก และต้องเอ่ยปากถามที่มาของความพิการของเจ้าแม็กซี่เหมือนกันหมด

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสังเกต พบว่าเจ้าแม็กซี่นิสัยไม่ดุร้าย ท่าทางร่าเริงและฉลาด มักแสดงท่าทีต้อนรับลูกค้าที่มาเยือนร้าน แต่จะส่งเสียงเห่ารับเวลาเห็นคนแปลกหน้า และเชื่อฟังเจ้าของเป็นอย่างดี ส่วนท่าเดินนั้น เจ้าแม็กซี่ชดเชยความพิการของตัวเองด้วยการยืนสองขาได้อย่างมั่นคง แต่เดินด้วยท่าทางกะโผลกกะเผลก ภาพที่คนเห็นเป็นประจำ ก็คือเวลาเจ้าของเปิดประตูออกไปทำธุระข้างนอก เจ้าแม็กจะวิ่งสองขาตามไปส่งหน้าร้าน ก่อนจะกลับไปนอนเฝ้าในร้านเหมือนเดิม เวลาเจ้าของกลับมาก็จะรีบไปคลอเคลียประสาสุนัขทั่วไป
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นางรัตนาภรณ์ ซื่อตรง อายุ 35 ปี เจ้าของร้าน และเจ้าของหมาพิการแสนรู้ตัวนี้ กล่าวว่า เดิมอาศัยอยู่กับสามี 2 คนที่ร้าน จึงได้ขอเจ้าแม็กซี่จากเพื่อนมาเลี้ยง เพราะเพื่อนมีอยู่หลายตัว ก่อนหน้าที่มันจะพิการเราก็เลี้ยงดูอย่างดี เป็นสุนัขที่ว่านอนสอนง่าย จะเรียกให้หยุดก็หยุด หรือให้ไปไหนมาไหนก็ได้ทั้งนั้น นิสัยเรียบร้อยและรักเจ้าของ กระทั่งต่อมามันได้ให้กำเนิดลูก 2 ตัว ชื่อเจ้าถุงเงินและถุงทอง มันก็ทำหน้าที่ดูแลลูกไม่ยอมให้ซน หากลูกวิ่งไปไหนก็จะขู่ให้หยุดไม่ให้ซนหรือกัดข้าวของในร้าน เวลาพาออกไปนอกร้านก็ไม่ยอมให้ลูกลงจากรถ พวกเราจึงรักมันมาก

    นางรัตนาภรณ์กล่าวอีกว่า แต่แล้วเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ขณะที่ตนจะออกไปทำธุระนอกบ้าน เกิดลืมเปิดประตูทิ้งไว้ เจ้าแม็กซี่วิ่งตามลงไปบนถนนหน้าร้าน โชคร้ายมีรถกระบะขนสินค้าแล่นผ่านพอดี ชนที่หัวของเจ้าแม็กซี่จนแตก และล้อรถทับเท้าหน้าทั้งสองข้างและเท้าหลังหนึ่งข้างจนแหลกละเอียด พวกเราตกใจมาก รีบอุ้มไปส่งที่คลินิกหมออานนท์ ชุมชนสันโค้ง ในเขตเทศบาลนครเชียงราย หมอได้ตัดขาหน้าสองข้างออกเพื่อรักษาชีวิต เพราะอวัยวะเสียหายหมด และนำหนังขาหน้าไปรักษาขาหลัง น้ำหนักตัวของมันลดลงจาก 2.2 กิโลกรัม เหลือ 2 กิโลกรัมทันที เพราะขาหน้าหายไปหมดจนถึงใต้หน้าอก ช่วงนั้นเจ้าแม็กซี่พยายามมองหน้าพวกเราตลอด หมอจึงให้ยาสลบและผ่าตัด

    "หลังจากนอนพักที่คลินิก 1 เดือนกว่า ก็นำมาพักฟื้นที่บ้านหลายเดือนจนมันหาย หมอเองก็ยังงง เพราะปกติสุนัขพันธุ์นี้จะใจเสาะขี้กลัว หมอจึงว่าเหตุที่มันหาย เพราะรักเจ้าของมากจนไม่ยอมสลบ คอยมองหน้าตลอด ถ้าเป็นตัวอื่นคงตายไปแล้ว แต่ช่วงแรกๆ มันจะร้อง โดยเฉพาะตอนที่รู้ว่าขาหน้าหายไป เมื่อกลับถึงบ้านก็ร้อง แม้ว่าจะหายแล้ว หมอบอกว่าเกิดจากอาการเครียด พวกเราจึงพามันออกไปเที่ยวนอกบ้านบ่อยๆ ช่วงนั้นดิฉันร้องไห้ไปหลายวันเพราะสงสาร" นางรัตนาภรณ์กล่าว และว่า จากนั้น เจ้าแม็กซี่ก็ปรับตัวด้วยการหัดยืนและเดินสองขา ปัจจุบัน เจ้าแม็กซี่สามารถวิ่งไปมาในร้านได้ บางครั้งวิ่งขึ้นถึงชั้น 3 ของร้าน แต่ลงไม่ได้ ส่วนนิสัยก็เหมือนเดิมคือซื่อสัตย์และว่านอนสอนง่ายเหมือนรู้ภาษาคน เมื่อพวกตนแวะไปหาหมอที่คลินิกคราใด หมอก็มักจะถามหาเจ้าแม็กซี่เสมอ มันมีความทรหดอดทนเหนือสุนัขทั่วไป

    ด้านน.ส.อังคณา จิระดา อายุ 31 ปี ชาวบ้านและลูกค้าร้านคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า สงสารมันมาก เพราะเวลาเจ้าของร้านเปิดหน้าร้าน มันก็จะเดินสองขากะ โผลกกะเผลกออกมาส่งถึงหน้าร้าน เวลายืนก็เหมือนคนยืนย่องๆ เมื่อเมื่อยหนักก็ก้มเอาหน้าถูกับพื้น จากนั้นก็กระโดดๆ เดินๆ สองขาอย่างชำนิชำนาญ คล้ายจะคอยระแวดระวังภัยร้านและรอคอยให้เจ้าของกลับร้านเป็นประจำทุกวัน จึงนับได้ว่าเป็นสุนัขสู้ชีวิตและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่แม้จะเหลือเพียง 2 ขาก็ตาม

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตะลึง!! ช็อกโกแลตซันเดย์ถ้วยละเฉียดล้าน
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9500000132857

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 พฤศจิกายน 2550 12:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ช็อกโกแลต ซันเดย์สุดหรู</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอเจนซี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณธรรม-ความซื่อสัตย์คนไทยตกต่ำ
    http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=8720

    ศธ.ดึงเด็กเป็นสื่อกลางสร้างพลังประชาธิปไตย ไม่ขายเสียง
    <O:p</O:p
    <O:p[​IMG]
    </O:p
    หลายคนเริ่มนับถอยหลังถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.)กันแล้ว ไม่ใช่เพราะการอยากจะใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือเพื่อดำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรอก เพียงแต่ต้องการให้ผ่านพ้นภาระนี้ไปโดยเร็วที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากสภาพความวุ่นวายของแวดวงการเมืองที่ปรากฏให้เห็นกันในสื่อต่างๆ อยู่ทุกวี่ทุกวัน ที่วันนี้นักการเมืองคนนี้อยู่กับพรรคหนึ่ง แต่วันพรุ่งกลับไปซบอยู่กับอีกพรรคการเมืองหนึ่ง จนประชาชนเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเอาอย่างไรดีกับการเมืองสมัยนี้ ซึ่งคงไม่เป็นผลดีนักหากคนหมู่มากคิดเบื่อหน่ายหรือวางเฉยกับการเมืองไปเสียหมด โดยเฉพาะในหมู่เด็กและเยาวชนเพราะผลเสียจะตกอยู่กับประเทศชาติ หาใช่ใครที่ไหน... <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มีผลสำรวจจากเอแบคโพลล์ ที่ทำการสำรวจสถานภาพคุณธรรมของประชาชนในสังคมไทย ซึ่งได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายอายุ 15 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจและวางแผนพัฒนาประเทศไปสู่สังคมที่มีคุณธรรมเข้มแข็งนั้น มีผลเป็นที่น่าตกใจอยู่ประการหนึ่ง คือส่วนของคุณธรรมด้านความซื่อสัตย์สุจริต ที่พบว่าประชาชนร้อยละ 53.2 ยอมรับได้หากรัฐบาลชุดใดโกงกินแล้วทำให้ตนเองอยู่ดีมีสุข นั่นเท่ากับว่าจิตสำนึกของคนไทยในวันนี้กำลังถอยหลังลงคลองเข้าไปทุกที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านเราจะหนีไม่พ้นคำว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง เรื่อยมาจนกลายเป็นคำว่า ทุจริตคอรัปชั่น สักที<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    นอกจากนี้ยังพบว่าเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นกลุ่มที่มีคุณธรรมต่ำกว่าช่วงอายุอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มตัวอย่างที่จบชั้นประถมศึกษา กลับมีคะแนนคุณธรรมโดยรวมสูงกว่าผู้ที่จบสูงกว่าปริญญาตรี นั่นหมายความว่าการศึกษาและความก้าวหน้าของโลกปัจจุบันไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจคนในสังคมได้เลย <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แม้ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยจะละเลยความสำคัญในส่วนนี้ไปแล้ว แต่เรื่องคุณธรรมกับการเลือกตั้งก็ยังเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันเสมอ อย่างที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดรณรงค์การเลือกตั้ง<O:p</O:p
    "เด็กดี เสียงดัง แสดงพลังประชาธิปไตย" ขึ้น โดยมุ่งหวังจะให้เด็กๆ ได้เป็นเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนพ่อแม่ ผู้ปกครอง ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในการเลือกตั้งปี 2550 นี้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) วิจิตร ศรีสอ้าน ตั้งเป้าหมายจะให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ซึ่งขณะนี้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการเลือกตั้งแล้วประมาณร้อยละ 40 จึงได้จัดโครงการรณรงค์ส่งเสริมประชาธิปไตยนี้ขึ้นมาเพื่อให้นักเรียน นักศึกษาได้บอกต่อยังผู้ปกครอง สมาชิกในครอบครัวและชุมชน ให้เกิดความเข้าใจการเลือกตั้งโดยปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงให้ได้ 100% เต็ม <O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    การรณรงค์นี้เปิดโอกาสให้สถานศึกษาทั่วประเทศ ได้ทำกิจกรรมรณรงค์พร้อมกัน โดยมีคณะครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน ถือเป็นการจุดประกายที่ดีไม่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องไม่ลืมว่า บ้านเมืองของเรากำลังมืดบอดในเรื่องคุณธรรม...การรณรงค์เพียงชั่วครั้ง ชั่วคราวอาจเยียวยาไม่ได้เป็นการถาวร ถึงเวลานี้คงต้องช่วยกันคิดแล้วว่า จะกอบกู้คุณธรรมประจำใจที่ครั้งหนึ่งคนไทยเราเคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม กลับคืนมาได้อย่างไร...


    ที่มา<O:p</O:p
    ข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)<O:p</O:p
    ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  15. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ที่แท้นีโน่กะน้องนู๋ ก็คือคนเดียวกันนี่เอง.....เป็นคนขี้เหงา เข้าใจบ้างซี

    ผมยุ่งอยู่กะเรื่องโอนย้ายกับมองหาบ้านใหม่ครับ
    (b-flower)
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ใครแขวนปีระกาบ้าง?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2007
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมยังครับ จะรออีกองค์ที่พี่พันวฤทธิ์แจกปลายปีไว้ประกบหลังแล้วห้อยครับ
     
  19. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ตอนนี้มีองค์เดียวเลยยังไม่กล้าแขวนครับ กลัวหายหรือชำรุดแล้วจะไม่มีอีก เก็บไว้ทำน้ำมนต์ก่อนครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...