พระพุทธเจ้าจะทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ไปได้จนกระทั่งโลกแตกหรือสิ้นโลกจริงหรือ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 18 มิถุนายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ตัวอย่างที่ ๔ ก็คือเรื่องซื่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การสันนิษฐานเตลิดไปไกล คือ
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์เจริญอิทธิบาทแล้ว ถ้าทรงต้องการก็จะอยู่ได้ตลอดกัปป์
    ที่ท่านเมตตาฯไปเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า

    “…could live until the end of the world”

    คือบอกว่าพระพุทธเจ้าจะทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ไปได้จนกระทั่งโลกแตกหรือสิ้นโลก แท้จริงนั้น เรื่องนี้ในคัมภีร์ท่านอธิบายไว้ชัดเจนแล้ว คือท่านชี้แจ้งว่า “กัปป์” มีความหมายหลายอย่าง และกัปป์ในที่นี้หมายถึงอายุกัปป์ ไม่ใช่มหากัปป์ของศาสนาพราหมณ์ที่เป็นอายุของโลก

    อายุกัปป์ ก็คือ ช่วงอายุของคนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ในยุคนั้นๆ ซึ่งตามความหมายของยุคสมัยนั้น
    คนก็มีอายุอยู่ได้ประมาณร้อยปี หมายความว่า ถ้าพระพุทธเจ้าทรงต้องการจะอยู่ให้ตลอดร้อยปี
    เมื่อพระองค์เจริญอิทธิบาทดีแล้วก็อยู่ได้ แต่ท่านเมตตาฯคงไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อน ไม่ได้ศึกษา
    ความหมายให้ชัด ก็จับเอาเป็น(มหา)กัปป์แบบของพราหมณ์ ในเมื่อไปเข้าใจอย่างนี้ก็ทำให้มอง
    พระพุทธเจ้าว่าทรงอวดอ้างพระองค์เป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์เก่งกาจเหลือเกิน จะแสดงปาฏิหาริย์อยู่เรื่อย
    พอคิดอย่างนี้แล้วก็ตีความไปกันใหญ่ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นว่า พอจับข้อมูลผิดก็ตีความไปกันใหญ่
    อันนี้ก็เป็นตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นว่า พอจับข้อมูลผิดแล้วก็เตลิดไปไกล

    ยิ่งกว่านั้น ในตัวข้อมูลเองก็เหมือนกับอ่านผ่านๆ ลวกๆ ไม่ได้ดูให้ถ่องแท้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า
    พระองค์เองเท่านั้น แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ยสฺส กสฺสจิ” คือตรัสว่า “ผู้ใดผู้หนึ่ง” หรือผู้ใดก็ตาม
    ไม่ใช่เฉพาะพระองค์ หมายความว่าผู้ใดก็ตามเมื่อได้เจริญอิทธิบาท ๔ ดีแล้ว ถ้าประสงค์ก็จะอยู่ได้ตลอดกัปป์
    เป็นอันว่า

    หนึ่ง ความหมายของคำว่ากัปป์นี้ ท่านเข้าใจผิด เรียกว่าจับข้อมูลไปผิด
    สอง ก็ข้อมูลเหมือนกัน คือไม่รอบคอบ ไม่ตรวจตราข้อมูลให้ดี พระพุทธเจ้าไม่ใช่อยู่ๆ ก็ตรัสว่า
    ฉันนี้เก่ง จะอยู่ตลอดกัปป์เลยก็ได้ แต่พระองค์ตรัสว่า ใครก็ตามที่บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ ดีแล้ว
    ถ้าต้องการก็อยู่อย่างนั้นได้ คือเป็นหลักธรรมข้อปฏิบัติสำหรับทุกคน นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างของการจับข้อมูลผิดที่ทำให้พลาด

    กรณีเงื่อนงำ พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร โดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต)
    (คัดลอกบางส่วน)
     
  2. Anti-God

    Anti-God เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +377
    กรณีเงื่อนงำ พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร โดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต)
    (คัดลอกบางส่วน)

    เคยเข้าไปฟังก่อนที่พระองค์จะประชวร ท่านเสวยภัตราหาร ที่ปรุงด้วยเนื้อชนิดหนึ่งที่ย้อยยากมากๆ(ไม่ใช่เนื้อต้องห้าม1ใน10อย่างที่ทรงเคยปราบไว้ว่าอย่ารับบินฑบาตหรือกินเข้าไป) พระองค์ทรงรู้ จึงได้ทรงหยิบแกงถ้วยนั้นมาไว้ข้างๆพระองค์ และทรงเสวยเพื่อที่มิให้พระสาวก ฉันเนื้อนั้นเข้าไป พอตกเย็นพระองค์ก้อเริ่มทรงพระประชวรโดยปวดเป็นมวนๆที่พระนาภีน้อย และก้อทรงรับสั่งกับพระอานนท์ผู้มีศักดิ์เป็นพระอนุชาเป็นพระญาติสนิทถึงเนื้อในแกงชามนั้น แต่ก้อมิทรงได้บอกว่าเป็นเนื้ออะไร
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ก็ตรัสกะนายจุนทะกัมมารบุตรว่า :

    "ดูกรจุนทะ สูกรมัททวะใดเธอได้จัดเตรียมไว้จงอังคาสเราด้วยสูกรมัททวะนั้น
    ส่วนของฉันของคบเคี้ยวอย่างอื่นที่เธอเตรียมไว้ จงอังคาสแก่ภิกษุสงฆ์"

    ตามหลักฐานนี้ พระพุทธเจ้าพอเสด็จถึงบ้านของนายจุนทะและประทับนั่งแล้ว ก็ตรัสแยกอาหารทันที เท่ากับตรัสไม่ให้ถวายสูกรมัททวะแก่พระสาววก ต่อจากนั้นก็ตรัสให้นำสูกรมัททวะที่เหลือไปฝังเสีย เท่ากับว่า นอกจากปัองกันพระสงฆ์สาวกแล้ว ก็ป้องกันคนอื่นๆ ทั้งหมดด้วย เราก็ตีความได้ว่า พอทอดพระเนตรเห็นสูกรมัททวะ ก็ทรงทราบทันที่ว่าไม่เหมาะแก่การบริโภค แต่ก็จะรักษาศรัทธาของเจ้าภาพ ไหนๆ พระองค์ก็จะปรินิพพานอยู่แล้ว ก็ให้นำมาถวายแต่พระองค์ผู้เดียว ขั้นแรกนี้เท่ากับคุ้มครองป้องกันพระสงฆ์ไว้ ส่วนที่เหลือก็ยังทรงให้นำไปฝัง เพื่อป้องกันคนในบ้านเป็นต้นไม่ให้ต้องรับโทษจากอาหารนี้

    ถึงตรงนี้ก็เลยจะให้ดูมติของแพทย์ผู้ใหญ่และอาจารย์ชาวไทยที่อยู่ในอเมริก รวม ๓ ท่าน เพราะท่านได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วย เป็นบทความร่วมที่ทั้ง ๓ ท่านเขียนด้วยกัน ทั้ง ๓ ท่าน คือ น.พ.คงศักดิ์ ตันไพจิตร พ.ญ.นงนุช ตันไพจติร และ ดร.สุนทร พลามินทร์ สันนิษฐานหรือกล่าวถึงความน่าจะเป็นไปได้ (ไม่รวบรัดหรือด่วนวินิจฉัย) ว่า สูกรมัททวะที่ก่อเหตุครั้งนี้น่าจะเป็นเห็ดมีพิษ ดังข้อความว่า

    "ส่วนอาการของเห็ดเป็นพิษ ดูจะเข้ารูปเข้ารอยมากที่สุดกับประวัติอาการประชวรในวันปรินิพพานนั้น เพราะสามารถทำให้ป่วยได้อย่างรุนแรงกะทันหัด และทำให้ตายได้ภายในวันเดียวกันนั้น เห็ดเป็นพิษบางชนิดทำให้ผู้กินตายได้ถึงร้อยบะ ๔๐-๘๐ เป็นเห็ตพันธุ์อมานิทา (Amaita) และกาเลรินา (Galerina) ทำให้มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง อาการอาจจะเริ่มภายในไม่กี่นาทีหลังจากกินเห็ดเป็นพิษ และมักเกิดอาการภายในเวลาไม่เกิน ๘ ชั่วโมงให้หลัง"

    บทความขอทั้ง ๓ ท่าน พูดถึงเห็ดที่หมูชอบกิน เรียกว่า truffle แต่คนก็ชอบกินด้วย และบางทีคนก็เก็บพลาด ไปเอาเห็ดมีพิษมาด้วยสำคัญผิด แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบดี ดังคำของท่านว่า

    "พระพุทธเจ้าทรงใช้ชีวิตในป่าก่อนตรัสรู้อยู่ถึง ๖ พรรษาและธุดงค์ต่อมาหลังจากนั้นอีกหลายพรรษา เข้าใจว่าทรงมีความรู้ความชำนาญในเรื่องเห็ดพอควร และคงจะสังเกตเห็นแล้วว่า เห็ดที่นายจุนทะปรุงขึ้นถวายนั้นเป็นเห็ดมีพิษ"

    จึงมีข้อความในบทความนั้นอีกตอนหนึ่งว่า

    "...แต่ที่แน่ชัดคอ พระพุทธองค์ได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่า อาหารนี้เป็นพิษ จึงให้ถวายก่พระองค์เพียงผู้เดียว ส่วนสูกรมัททวะที่เหลือ ทรงสั่งให้นายจุนทะฝังเสีย"

    กรณีเงื่อนงำ พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร โดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต)
    (คัดลอกบางส่วน)
     
  4. Kiai

    Kiai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +36
    เหตุปัจจัยมีอยู่สองอย่างครับ
    ทั้งหมดที่บริโภคได้เป็นพิษ หรือ มีบางสิ่งจำกัดให้บริโภคได้แต่สิ่งที่เป็นพิษ
     

แชร์หน้านี้

Loading...