จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1E_cswOgCzo&feature=endscreen]หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ละสังขาร - YouTube[/ame]
    ลูกหลานทุกคนยังคงระลึกนึกถึง รักเคารพ เลื่อมใสและศรัทธาหลวงพ่อฤาษีลิงดำเสมอ
    ขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=g-12zFBTK0M&feature=endscreen]ประจักษ์หลักฐาน เมื่อตายกายนิ่ม.DAT - YouTube[/ame]​
    เคยชมกันหรือยัง?
    สำหรับผู้ที่ยังลังเลสงสัยใน วิถีอนุตตรธรรม ขอให้รีบรับวิถีธรรม หากมัวสงสัยจะไม่ทันกาล
    ไม่มีใครจะช่วยท่านได้นอกจากจิตใจท่านเอง ตัดสินใจอย่างไรขึ้นอยู่กับบุญกรรมของท่าน
    โปรดรับชมด้วยสติปัญญาของท่านเอง

    โปรดระลึกนึกถึงความตายของตนบ่อยๆและกำหนดที่ไปดวงจิตของตนด้วย
    เพราะความตายนั้นเรียกสติของเราได้เป็นอย่างดี
    ในขณะที่เรากำลังมี/เป็น/อยู่นั้น มันก็หยุดทั้งหมดทันที!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2013
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลักความเชื่อในพระพุทธศาสนา

    -ความเชื่อในหลักกรรมนี้...ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา...

    ...ชาวพุทธต้องเชื่อหลัก ๔ ประการ คือ...

    ๑. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้า

    ได้ตรัสรู้จริง...เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ จริง ๆ...

    ๒. กัมมสัทธา เชื่อในเรื่องกรรม เชื่อว่ากรรมมีจริง หลักธรรมที่เราทำดีได้ดี

    ทำชั่วได้ชั่วนั้นมีจริง...

    ๓. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรมคือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำไว้ว่าดีหรือชั่วย่อมได้

    ผลเสมอ จึงเป็นกิจกรรมความเปลี่ยนแปลงของชีวิตไปในทางที่เชื่อถือและถูกต้องได้.

    ๔. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่สัตว์มีกรรมเป็นของตนหรือเชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็นผล

    ของการกระทำของตนเอง ซึ่งอาจจะเป็นซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติ หรือ

    อดีตชาติ หรือทำในภพใด หรือจะทำในภพใด...

    ...จะเห็นได้ว่าความเชื่อถือศรัทธา ๔ อย่างนี้ เราจะรู้กฏแห่งกรรม และหลักกรรม

    ของเราเองเป็นการพิจารณาด้วยตน ๓ อย่าง หลักกรรมจึงเป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา

    มาก ผู้เป็นชาวพุทธทุกคนจึงควรเชื่อในเรื่องกรรม พยยยามศึกษาและทำความเข้าใจใน

    เรื่องกรรม อาตมากล่าวว่า ชาวพุทธที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม หาใช่ชาวพุทธที่แท้จริงไม่

    ...เป็นชาวพุทธแต่เพียงในนาม...ถ้าศาสนาพุทธไม่มีประโยชน์แก่เขาเพียงแต่เขาใช้เป็น

    การกรอกแบบฟอรม์...เพื่อไม่ให้ถูกว่าเป็นคนไม่มีศาสนาเท่านั้นเอง หรือประการใด...

    ...คัดมาจากหนังสือแก้กรรมปัจจุบัน ให้ทันชาตินี้ ...

    ...พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน อ. พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี.

    ... กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...

     
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ปุจฉา- วิสัชนา- โดย หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    "ปุจฉา - ลูกขอเกาะชายจีวรหลวงปู่ ไปนิพพานด้วยคนนะเจ้าคะ

    "วิสัชนา - ขี้เยี่ยวแทนกันได้หรือเปล่าล่ะ?

    "ปุจฉา - คนเราเกิดมาเพื่ออะไรคะหลวงปู่

    "วิสัชนา - เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองซี้ เกิดมาทำไมไม่ต้องวนเวียน

    - เกิดแล้วตายไม่สิ้นสุดจะเอาอีกหรือ เกิดบ่อยตายบ่อย

    ...เป็นทุกข์บ่อย ๆ สนุกหรือ?...

    ...ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2013
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    บุญที่สำเร็จมาจากการกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ได้แก่ความปลื้มใจ

    กล่าวคือ เมื่อใดใครได้กราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า แล้วทำให้รำลึกถึง

    พระพุทธเจ้ามีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วยพุทธานุสสติ เมื่อจิตใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว บริสุทธิ์

    สดใส มั่นคง เพราะการกราบไหว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุในขณะนั้นจิตเป็นบุญ

    ...เมื่อได้กราบไหว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุแล้ว จะเกิดธรรมสังเวชนั้นหมายความว่า

    ...เมื่อจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วเป็นบุญแล้ว...ได้พิจารณาเห็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง ทุกขัง

    ทนอยู่ได้ยาก และอนัตตา ความไร้ตัวตนแห่งสรรพสิ่งแม้แต่ พระสรีระของพระพุทธเจ้า

    ผู้พ้นแล้ว จากความทุกข์ทั้งปวงก็ยังต้องคืนสู่ธรรมชาติดังสังขารทั้งหลายทั้งปวง

    ...ดังที่พระองค์ตรัสพระปัจฉิมโอวาทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม

    ไปเป็นธรรมดา...ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี่คือ

    พระวาจามีในครั้งสุดท้าย ของพระตถาคตเจ้า...เมื่อพิจารณาเห็นธรรมสังเวชแล้วย่อมก่อ

    ให้เกิดความไม่ประมาท ดำรงชีวิตอยู่อย่างมีสติตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ...ผู้รู้ ผู้ตื่นและผู้เบิกบาน...คัดจากหนังสือพระธรรม พระธาตุ( ดร. พระมหาจรรยา )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2013
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปัญญาเสมือนคมมีดอาบน้ำผึ้ง
    กิเลส ตัณหาและอุปาทานของเราเปรียบเสมือนสนิมเกาะกินเนื้อเหล็ก
    พอสนิมเกาะกินเนื้อเหล็กนานวันเข้า ก็มองไม่เห็นเนื้อเหล็ก
    กิเลส ตัณหาและอุปาทานของคนเราก็เหมือนกัน
    ขืนปล่อยให้จิตหรือความรู้สึกนึกคิดของเราลื่นไหลไปกับสิ่งเหล่านี้
    ในที่สุดเราจะถูกกิเลสตัณหาฯ กลืนกินเป็นแน่แท้
    และในที่สุดเราก็จะกลายเป็นกิเลสตัณหาฯ คือมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้
    กิเลสทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปาทานขันธ์หรือการยึดมั่นถือมั่น
    แต่ถ้าหากเราคือกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาคือเราแล้ว
    และต่อไปก็ยากที่จะออกมาจากสิ่งเหล่านี้
    ยิ่งเรามาเกิดนับชาติไม่ถ้วน กิเลสตัณหาก็ยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ
    จนแยกแยะไม่ออก ว่าอันไหนคือเรา อันไหนคือกิเลสตัณหาอุปาทาน

    เพราะฉะนั้น เห็นแค่สติธรรมดาๆนั้น ย่อมแยกแยะผิดถูกหรือดีชั่วไม่ได้แน่
    แต่ถ้าหากแยกแยะกันได้ ป่านนี้เราคงไม่เห็นคนชั่วหรือคนทำผิดกันแล้ว
    มีอยู่ทางเดียว ที่จะทำให้คนเรามองเห็นกิเลสตัณหาอุปาทานของตนชัดเจน
    นั่นก็คือ กรรมฐานเท่านั้น เพราะจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ นั่นก็คือ จิต
    จิตที่ไร้ปัญญาย่อมมองเห็นแค่เฉยๆ แต่ไม่สามารถแยกแยะดีชั่วหรืออกจากทุกข์ได้
    ด้วยเหตุนี้ ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระกรรมฐานให้กับชาวพุทธทั้งหลายไว้ฝึก
    สิ่งที่แยกแยะให้กับจิตนั่นก็คือ ตัวสติ
    สติ แปลว่า ตัวรู้/ความรู้สึกตัว แต่มีกำลังไม่พอที่จะไปรู้เท่าทันสิ่งเหล่านั้น
    จิตคือผู้รู้ รู้อย่างเดียวแต่ไม่สามารถแยกแยะดีชั่วได้
    แต่ถ้าเราเจริญสติอย่างต่อเนื่อง จิตก็จะนิ่งเป็นสมาธิ ตัวปัญญาก็เกิด
    ตัวปัญญานี้คือตัวผู้รู้ ตัวที่จะช่วยแยกแยะให้กับจิตมองเห็นกิเลสได้ชัดเจน

    ธรรมชาติแห่งจิต โดยเฉพาะจิตประภัสสรย่อมอยากรู้ อยากเห็นเป็นธรรมดา
    แต่หารู้ไม่ ความอยากรู้ อยากเห็นหรือจิตซุกซนทำให้ติดบ่วงของกิเลสโดยมิรู้ตัว
    แต่กว่าจะรู้ก็แทบจะสายหรือสายเกินไปเสียแล้ว
    แต่ถ้าจิตมีปัญญาย่อมมองเห็นกิเลส ตัณหาและอุปาทานของตนได้ชัดเจน
    ตัวปัญญาจะเป็นฝ่ายนำพาเรา(จิต)ออกจากกองทุกข์หรือกิเลสของตนได้

    อย่าลืม ถ้าจิตเรารู้และเข้าใจในธรรมดีแล้ว ย่อมปล่อยวางไปโดยปริยาย
    การปล่อยวางก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย/ง่ายดาย โดยไม่มีใคร/สิ่งใดไปบอกให้จิตวาง

    เพราะฉะนั้น ตัวปัญญาที่พวกเราพยายามเจริญสติก็เพื่อให้จิตนิ่งเป็นสมาธิและเกิดปัญญา
    ตัวปัญญานี้ทำให้เรามองเห็นกิเลส เห็นทุกข์และสามารถออกจากทุกข์ของตนได้
    ยกเว้น ออกจากวัฎสงสาร/สังสารวัฎ หรือไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
    สำหรับผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน จะต้องทำปัญญาให้เป็นมหาปัญญาหรือปัญญาญาณ
    กิเลสละเอียด โดยเฉพาะนามละเอียดสองตัวสุดท้ายนั่นก็คือ สังขารกับวิญญาณขันธ์
    ปัญญาธรรมดาเห็นท่าจะไม่พอเป็นแน่แท้
    สรุปแล้วต้องปัญญาญาณอย่างเดียว จึงจะก้าวข้าม คำว่า "คราบมนุษย์"
    หรือแยกจิตออกมาจากขันธ์ ๕ ให้ได้เด็ดขาด (ชัดเจนนะครับ)

    โมทนาสาธุุกับผู้ที่สามารถก้าวข้ามหรืออยู่เหนือขันธ์ ๕ ของตนเองได้แล้ว
    สำหรับอาการ/อารมณ์ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวกันที่นี้ พูดมากไป เดี๋ยวจะโดนข้อหา(จำอวด)
    ปัจจัตตัง!...รู้ได้เฉพาะตน...
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คำถาม คำตอบ ปัญหาธรรม

    -ถาม -จิตนิ่งอยู่มันไม่เห็นอะไรเลยค่ะ?

    -ตอบ -ตอนมันนิ่งก็ไม่เห็น ถ้าเราพูด ๆ ตอนที่มันนิ่งไม่นิ่งมันเป็นตัวเหตุเวลานิ่งมัน

    ไม่ก่อเหตุ ก็ให้เราทราบว่ามันนิ่งไม่ก่อเหตุ แต่เวลามันกระดิกขึ้นมาจะคว้ามับ นั้นก่อ

    เหตุแล้ว รักบ้างชังบ้าง เกลียดบ้างโกรธบ้าง ชอบบ้าง เหล่านี้มีเรื่องก่อเหตุ ก่อเหตุจาก

    ความปรุงของจิตนี่ล่ะเป็นสำคัญ เพราะฉนั้นจิตนี้จึงต้องเรียกว่ามหาเหตุ แก้ตรงนี้หมดเหตุ

    แล้วมันไม่มีอะไร อำไรก็ไม่มีอยู่อย่างนั้น แต่อันนี้ไม่สนใจไม่ไปเกี่ยวข้อง ไม่ไปเกาะ

    ไม่ไปปรุงแต่ง ว่าดีว่าชั่ว ว่าสุขว่าทุกข์ ว่าชอบไม่ชอบ มันเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้น...

    ปัญหาธรรม ของท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

    ...น้อมกราบองค์หลวงตามหาบัวด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ชีวิตเราใครกำหนด
    ไม่ว่าทั้งสุข ทั้งทุกข์ ใครเขาเลือกให้เรา
    เราเองทั้งนั้นที่เป็นฝ่ายเลือกเอามาเอง
    จิตมันไปยึดสุขก็ได้สุข จิตมันไปยึดทุกข์ก็ได้ทุกข์
    จิตไม่ยึดอะไรเลยก็ไม่ได้อะไรเลย
    จิตไม่ยึดทั้งสุขทั้งทุกข์ จิตเราก็ว่างได้เมื่อนั้น
    อย่ามัวหลงไปดูจิตคนอื่น ดูที่จิตของเรานี่คือธรรมคือของจริง
    นอกจิตของเรานั้นคือมายาคือของสมมุติแทบทั้งสิ้น
    กำลังใจของเราต้องสร้างเอาเอง อย่าไปรอ รออะไร
    จิตตกไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องรอ เดี๋ยวมาเอง มาไวด้วย
    คนเราทุกข์เพราะจิตไม่นิ่ง คนที่จิตนิ่งนั้นไม่ทุกข์
    คนจิตนิ่งย่อมมองเห็นทุกข์แค่เกิด-ดับเป็นธรรมดาเท่านั้น นอกนั้นไม่มี
    คนรู้ธรรมหรือความจริงแห่งทุกข์ย่อมไม่เป็นทุกข์
    จิตเข้าใจธรรมด้วยปัญญาย่อมปล่อยวางกับทุกสิ่งได้แล้ว เราจึงเลิกทุกข์เมื่อนั้น
    ปัญญาเกิดได้จะต้องอาศัยจิตนิ่งหรือจิตเป็นสมาธิ
    เมื่อจิตเรานิ่งไม่เป็น จิตก็ไม่เป็นสมาธิและปัญญาก็ไม่เกิด

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ยอมกำหนดชะตาชีวิตของเราเอง
    ชะตาชีวิตก็จะมากำหนดเราแทน หรือตามยถากรรม/ตามกฎแห่งกรรมนั่นเอง
    เรารู้ทั้งรู้ แต่ไปติดอะไรเล่า ตอบว่าติดตัวรู้ เมื่อคิดว่าเรารู้แล้วๆ ก็ละเลย ละเลยปฎิบัติ
    เข้าไม่ถึงธรรมเพราะจิตไม่ปล่อยวาง ไม่บรรลุธรรมเพราะเอาสมองไปเรียนรู้แทนจิต
    อย่าลืม! คนที่เข้าถึงธรรมเพราะไม่ใช้ความคิด แต่ใช้ความนิ่งหรือความว่างแทน

    ดั่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโลกล่าวไว้ว่า...
    "คิดเท่าไรๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละจึงรู้"


    *น้องตูนUK* (จิตบุญล่าสุด) ขอเชิญฝนสติปัญญาที่นี่เล๊ววว
    ทรงอารมณ์จิตยกให้ตลอด หมั่นเจริญสติให้เป็นมหาสติตราบจนสิ้นอายุขัยแห่งตน

    หัดพร่ำธรรมะบ่อยๆ ไม่ฝึกเมื่อไหร่จะเก่ง ไม่ทำย่อมไม่รู้ว่าถูกหรือผิด
    สนามแข่งรถยังมีคนตาย คนทำงานย่อมผิดพลาด คนที่พูดมากย่อมถูกตำหนิ
    ป่านนี้แล้วโลกธรรม๘ เรายังสนใจกันอีกหรือ
     
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คนเหมือนปลา ศาสนาเหมื่อนน้ำ

    ...คนไร้ศาสนา เหมือนปลาขาดน้ำ...

    ...สังคมเลว เดือดร้อนเรา...

    ...เหมือนน้ำเน่า เดือดร้อนปลา...

    ...จิตเหมือนปลา เมตตาเหมือนน้ำ...

    ...จิตไร้เมตตา เหมือนปลาขาดน้ำ ฉันใด...

    -การปฏิบัติก็เช่นกัน จะขาดเสียไม่ได้ ซึ่งความศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธศาสนา.

    ...แล้วถามตนเองว่ามีความพร้อมหรือยังในการปฏิบัติของตนเอง ถ้าเราพร้อมแล้วนั้น.

    ...การปฏิของเราก็จะไปได้อย่างราบรื่นอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งสำคัญต้องมีความ...

    ...เชื่อมั่น ความศรัทธา ศีล ทาน ภาวนา เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ ขอให้เจริญ ๆ...

    ...ในการปฏิบัติยิ่งๆขึ้น... เหมือนคำพังเพยว่า ถูกสร้างเป็นกลอง จึงต้องถูกตี...

    ...ถ้าเป็นกลองดี ยิ่งตียิ่งดัง...
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมาทานของคุณพี่มาลินีด้วยครับ
    ที่กล่าวออกมานั้นดีแล้ว ถูกต้องแล้วครับ
    ธรรมะเริ่มผุดๆๆๆออกมาจากภายในคือ จิต
    แต่ความจริงผุดมาตั้งนานแล้ว แต่นานๆจะพูดออกมาสักทีนึง
    แหม๊ แอบดีใจ แอบปลื้มใจแทนเจ้าของจิตจริงๆ ใสกิ๊กๆ
     
  11. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    การเสียสละให้ทานได้ผลอานิสงส์

    ๑. ให้ข้าว ปลา อาหาร แก่สัตว์เดียรฉาน ให้แก่

    ก. ให้มด ปลวก ให้ ๑ ส่วน ได้ ๑๐๐ ส่วน
    ข. ให้ปู ปลา ให้ ๑ ส่วน ได้ ๒๐๐ ส่วน
    ค. ให้ นก กา ให้ ๑ ส่วน ได้ ๔๐๐ ส่วน
    ง. ให้ วัว ควาย ให้ ๑ ส่วน ได้ ๘๐๐ ส่วน

    ๒. ให้แก่ มนุษย์ ได้แก่

    ก. ให้คนยาก คนจน ให้ ๑ ส่วน ได้ ๒๐๐ ส่วน
    ข. ให้คนธรรมดา ทั้วๆไป ให้ ๑ ส่วน ได้ ๔๐๐ ส่วน
    ค. ให้คน เว้นทำความชั่ว ให้ ๑ ส่วน ได้ ๘๐๐ ส่วน
    ง. ให้คนเว้นทำความชั่ว ทำแต่ความดี ให้ ๑ ส่วน ได้ ๑๖๐๐ ส่วน

    ๓. ให้คนตรงธรรมผู้มีธรรมอย่างน้อยได้ ให้ ๑ ส่วน ได้ ๘ โกฏิ

    อย่างต่ำ

    ธรรมดาทั่วไป เท่ากับ การให้ทาน เป็นการสร้างมิตร หรือเป็นการ ผูกมิตรแก่วิญญาณทั้งหลาย ทำให้เขามีจิตเมตตาขึ้น และเป็นมิตร เป็นบริวาร หรือเป็นผู้มีอุปถัมภ์ จะทำอะไรก็ให้มีความสะดวก คล่องแคล่วขึ้น และไม่มี ศัตรู มาบั่นทอนในจิตใจ ก็จะเป็นผู้อุปถัมภ์ ในทางจิต ภาวนา สมาธิ วิปัสสนา ก็ให้มีใจสงบดีขึ้น ด้วยการแผ่เมตตาด้วย และการกระทำของเราต้องทำด้วยใจจริง ด้วยใจศรัทธา ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ และทำด้วยความมั่นใจ แต่ทั้งข้างต้นนี้ ต้องมีศิล สัจจะอยู่กับตนด้วย

    โดยหลวงพ่อ ดาบส สุมโน
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ที่มาของการสังคายนาพระไตรปิฎก
    ภายหลังพุทธปรินิพพานแล้ว มีภิกษุบางพวกกล่าวติเตียนพระศาสนา
    ทำให้พระมหากัสสปเถระเกิดความสังเวชในใจว่า ในอนาคตพวกอลัชชีจะพากันกำเริบ ย่ำเหยียบพระศาสนา
    จำต้องกระทำการสังคายนาพระไตรปิฎกให้เป็นหมวดหมู่ จึงได้นัดแนะพระภิกษุสงฆ์ให้ไปประชุมกันที่กรุงราชคฤห์
    เพื่อสังคายนาพระธรรมวินัยตลอดเข้าพรรษา
    การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งนั้นได้มีพระมหาเถระ 3 รูปที่มีส่วนสำคัญในการสังคายนา กล่าวคือ
    พระอานนท์เถระ ผู้เป็นพุทธอุปฐาก ซึ่งได้รับประทานพรข้อที่ 8 ทำให้ท่านเป็นผู้ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก
    ท่านจึงได้รับหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม ดังบทสวดคาถาต่าง ๆ มักขึ้นต้นด้วย
    “เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา.....” อันหมายถึง “
    ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า”

    พระอุบาลี ซึ่งเคยเป็นพนักงานภูษามาลาในราชสำนักกรุงกบิลพัสดุ์ และออกบวชพร้อมศากยราชกุมาร
    ท่านได้จดจำพระวินัยเป็นพิเศษ มีเรื่องเล่าในพระวินัยปิฏกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงแสดงเรื่องวินัยแก่พระภิกษุทั้งหลาย และสรรเสริญพระวินัยและสรรเสริญพระอุบาลีเป็นอันมาก
    ภิกษุทั้งหลายจึงพากันไปเรียนวินัยจากพระอุบาลี ในการสังคายนาครั้งนี้ท่านจึงได้รับหน้าที่วิสัชชนาเกี่ยวกับพระวินัย

    พระมหากัสสปเถระ ซึ่งเป็นเลิศทางธุดงวัตร เป็นผู้ชักชวนให้สังคายนาพระธรรมวินัย เป็นผู้ถามทั้งพระธรรมและพระวินัย


    ที่มา
    พระอานนท์ - วิกิพีเดีย
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    พุทธประวัติ​
    ความภักดีของพระอานนท์ที่มีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และตอนโปรดช้างนาฬาคีรี

    พระอานนท์นั้นเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ท่านยอมสละชีพของท่านเพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเช่น เมื่อพระเทวทัตได้วางอุบายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมอมเหล้าช้างนาฬาคิรี ซึ่งกำลังตกมัน แล้วปล่อยออกไปในขณะที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต โดยมีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เมื่อช้างนาฬาคิรีวิ่งเข้ามาทางพระพุทธองค์ พระอานนท์จึงได้เดินล้ำมาเบื้องหน้าพระศาสดา ด้วยคิดหมายจะเอาองค์ป้องกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสให้พระอานนท์หลีกไป อย่าป้องกันพระองค์เลย แต่พระอานนท์ได้กราบทูลว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ของพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ได้สละสิ่งซึ่งมีค่าน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามาก เหมือนสละกระเบื้อง เพื่อรักษาซึ่งแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้าฯ”
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า

    “อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์ดิรัจฉานหรือมนุษย์หรือเทวดามารพรหมใด ๆ”
    ในขณะนั้นช้างนาฬาคิรีวิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้แผ่พระเมตตาจากพระหฤทัย ซึ่งไปกระทบกับใจอันคลุกอยู่ด้วยความมึนเมาของช้างนาฬาคิรีได้ ช้างใหญ่หยุดชะงัก ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท พระพุทธองค์ทรงใช้พระหัตถ์ลูบที่ศีรษะพญาช้าง พร้อมกับตรัสว่า

    “นาฬาคิรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นดิรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนัก คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน”

    "ดูกร! นาฬาคิรี แต่นี้ไป เจ้าจงสลัดตัดเสียซึ่งปาณาติบาต อย่าได้ประมาทจิตคิดอาฆาตโกรธแค้นใครๆ จงมีเมตตาจิตทั่วไปในคนและสัตว์ จงมีจิตโสมนัสหนักแน่นในเมตตาขันติ เมื่อเจ้าวางวายจากภพนี้แล้วจะได้ไปสู่สุคติสถาน พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานต่ำศักดิ์นี้ เป็นกุศลคุณอันหนักที่เจ้ามาพบเราตถาคต จงอุตสาห์ตั้งใจกำหนดวิรัติปฏิบัติจนตราบเท่าอายุขัยนี้เถิด"
    สีแดงคัดมาจาก Buddha Main Page

    ช้างนาฬาคิรีน้ำตาไหลพราก น้อมรับฟังพระพุทธดำรัสด้วยอาการดุษฎี ในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า ในอนาคตกาลนับจากพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าไป จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกหลายพระองค์ และช้างนาฬาคิรี จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระติสสพุทธเจ้า

    เหล่ามหาชนต่างแซ่ซ้องพนมมือขึ้นสาธุการด้วยความปีติในพุทธปาฏิหาริย์

    ที่มา
    ทรงโปรดช้างนาฬาคิรี - พุทธะดอทคอม

    ปล.คุณเพ็ญUK ฝากให้คุณสำรวยUK อ่านด้วย(โดยเฉพาะเรื่องช้างนาฬาคิรี)
    ไม่มีผู้ใด แม้นกระทั่งสัตว์เดรัจฉาน มิอาจจะทำร้าย/ทำลาย/ล่วงเกินแห่งพระพุทธคุณไป​
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อดีตชาติของพระอานนท์
    ในคัมภีร์อปทานบอกไว้ว่า ท่านเคยเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชมาแล้ว ๓๔ ชาติ
    เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมาแล้ว ๕๘ ชาติ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ๘๐๐ ชาติ
    ในชาดกได้กล่าวถึงชาติกำเนิดในอดีตชาติของท่านไว้มากมายทั้งที่เป็นมนุษย์ เทวดาและ
    โดยเฉพาะสัตว์เดรัจฉาน เช่น นก สุนัข ลิง เต่า ปู ช้าง เป็นต้น


    ที่มา​

    ปล.เพราะฉะนั้น ผู้เจริญทั้งหลายจึงได้ประมาทตน
    เมื่อมีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ โปรดมีความเมตตากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
    โดยเฉพาะกับสัตว์เดรัจฉาน เช่น วัวควาย หมูหมากาไก่ เป็นต้น
    พวกเขาเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม พวกเราก็อย่าไปผูกกรรมต่อ โดยเฉพาะกรรมไม่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มิถุนายน 2013
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เห็นกรรมที่เกิด...อันกิเลสที่ผูกใจสัตว์นั้น เป็นกรรมที่เกิด ในการที่บุคคลนั้นๆ

    -ทำกรรมอันใดไว้กรรมนั้น ติดตาม ให้เห็นได้ในภพนี้ อย่างเช่นผู้เขียนได้ไปพบเห็นมา

    คือว่าเมื่อวานนี้ได้ไปเยี่ยมคนๆหนึ่ง ที่รู้จักกันมานาน และได้รู้ประวัติของเขา ที่ผ่านมาก็

    ไม่เคยเก็บมาคิดถึงสิ่งที่เขากระทำ ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไร ก็ให้อภัยเขาให้โอกาสเขายัง

    เห็นว่าเขาก็ยังเป็นเพื่อนอยู่ คิดแต่ว่ากรรมนั้นเขาก่อเขาก็เป็นผู้รับกรรมนั้งเอง...

    ...แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นผู้ที่ได้เห็นกรรมที่เขากระทำ ในภาพที่เห็นนั้น...

    ...ในร่างที่ไร้ความรู้สึกที่นอนอยู่มันเป็น การแสดงให้เห็นของกรรมที่เขากระทำ ที่ผ่าน

    มาทั้งนั้น ซึ่งเป็นกรรมที่ให้เห็นได้ในชาตินี้ ไม่ว่าการกระทำของกรรมใดๆที่ก่อไว้นั้นเห็น

    ผลทันตา กรรมที่เขาทำผ่านมาเป็นกรรมในการ ที่เขาขาดสติ ขาดความยับยั้งใจ สิ่งไหน

    ที่เขาคิดว่าตัวเองทำได้เขาก็ทำ ซึ่งเขาหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาคิดเขาทำนั้น มันไม่ใช่คนทำ...

    -การขาดสตินั้น ก่อกรรมได้ทุกเวลา แต่ผู้ที่ไม่มีศีลธรรมนั้นเขาย่อมก่อกรรมได้ทุกเวลา

    -เพราะไม่มีอะไรคอยเตือนสติของตนเอง อย่าลืมว่าถ้าเราทำดี ความดีก็ตามคุ้มครองรักษา

    ...ให้ปลอดภัย...แต่ถ้าเราทำชั่วความชั่วนั้นจะคอยหรอกหล่อนทำลายเรา แถมยังทำให้

    ...บุคคลรอบข้างตลอดถึงญาติพี่น้องเป็นทุกข์ ซึ่งบางคนทุกข์จนเป็นโรคประสาท กินไม่

    -ได้นอนไม่หลับเดือดร้อนใจ เพราะผลกรรมที่เขาทำทิ้งไว้ให้เดือดร้อน นี่คือผลกรรมที่เขา

    ...ทำไว้ทั้งนั้น คนที่ทำกรรมนั้น เขาไม่คิดหรอกว่าจะทำให้ผู้คนรอบข้างเดือดร้อน...

    ...เพราะฉนั้นผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านทุกท่านที่ได้อ่าน ในข้อความทั้งหมดนี้ที่ผู้เขียนนำ

    ...มาบอกเล่านั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมที่เขาทำ...และแสดงให้ผู้เขียนได้เห็นแล้วนำมาบอก

    -เล่าให้รู้ว่ากรรมนั้นมีจริงและเห็นผลทันตาจึงนำมาบอกเล่าด้วยความห่วงใยค่ะ...
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ในโลกนี้...ไม่มีอะไรน่ากลัว

    ...เท่ากับความกลัว...ในตัวเอง ที่ตัวเอง เพราะในตัวเอง...

    ...นั้นมีใจเป็นนาย มีกายเป็นบ่าว เป็นผู้บังคับบัญชา ออกคำสั่งต่างๆ ให้กาย

    และวาจาเคลื่อนไหว ให้แสดงออกทางกายและคำพูดที่เปล่งออกมา ทางวาจา

    จะดีก็ตามหรือว่าไม่ดีก็ตาม...ล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนของความคิดทั้งสิ้น.หากใจ

    เราคิดดีการกระทำและคำพูด ก็ออกมาดี...แต่ถ้าใจคิดไม่ดี การทำและการพูดที่

    แสดงออกมาให้ปรากฏ แก่สายตาของผู้อื่นก็จะไม่ดีไปด้วย...สมดังคำพังเพย

    ที่คุ้นหูกันมานานแสนนานแล้วว่า...ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว นั่นแหละ เพราะใจ

    เราเป็นนาย นี่แหละเราถึงต้องกลัวและระมัดระวังไม่ประมาท เพราะใจนั้นมันจะ

    สั่งแต่สิ่งที่ทำให้ออกนอกทาง คือทางที่สนุกสนาน ร่าเริง ถ้ากายที่เป็นบ่าวนั้น

    ทำตามผู้บังคับบัญชาในทางที่ผิดเมื่อไร นั่นแหละคือความผิดปกติ เมื่อใจผิด

    ปกติใจนั้นก็ผิดศีล เพราะศีลแปล่ว่าปกติ เมื่อใจผิดปกติบ่อยๆ สิ่งใดที่ทำให้ผิด

    ปกติ...สิ่งนั้นก็สะสมมากขึ้นจนเป็นพลังขับให้ใจต้องสั่งการออกมายังกายและ...

    ...วาจาเพื่อแสดงสิ่งที่ใจเก็บไว้มากจนล้นออกมา เช่นเมื่อใจนั้นสนุกสนานกับ

    มัน...มันก็จะเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งออกมาให้กายนั้นทำตาม ผู้ที่ยังคงสนุกกับ

    สิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่มีสิ่งเหนี่ยวรั้ง ก็จะทำให้ใจผิดปกติ ทำในสิ่งที่ผิดปกติ คือผู้

    ...ที่ขาดศีลธรรม ขาดสติจึงทำแต่สิ่งที่ตนนั้นพอใจ จงอย่าประมาท กับใจ กับ

    กายของเราเอง นี่แหละที่น่ากลัว จงประคับประครองตัวเจ้าของให้ได้ อย่าใช้

    ...คำพังเพยที่ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวนี้ในทางที่ผิด จึงขอฝากไว้ค่ะ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2013
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอกล่าวถึงสัญญาเก่า/กรรมเก่า
    โดยเฉพาะเรื่องกรรมไม่ดี นับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงวินาทีหรือลมหายใจทีแล้วเป็นต้นไป
    อย่าได้เก็บมาคิดหรือนำมาฝังใจ เพราะนั่นเรากำลังวางกำลังใจผิดๆ
    เพราะฉะนั้นนักภาวนาจะต้องวางกำลังใจให้ถูก แต่ถ้าไม่ถูกย่อมไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    เพราะจิตไม่ไปติดในฝ่ายบุญกุศล แต่ไปติดบาป/อกุศลกรรมเก่าแทน
    ให้วางกำลังใจใหม่ โดยการปล่อยวางเสีย แล้วนำจิตไปเดินอริยมรรค
    คือนำจิตไปตั้งอยู่แต่ในฝ่ายบุญหรือกุศลเพียงอย่างเดียว
    พูดถึงเรื่องกรรม คนเราเกิดมาเพราะมีกรรมนำมาเกิดด้วยกันทุกคน
    แต่ชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม ว่าเราเกิดมาเสวยกรรมดีหรือกรรมไม่ดี
    บางคนเกิดมาทำแต่บุญกุศลหรือความดี แต่บางคนเกิดมาทำแต่เรื่องชั่วๆหรืออกุศล
    นักภาวนาวางกำลังใจให้ถูก ก็คือให้จิตเราอยู่แต่กรรมดีในเฉพาะปัจจุบันเท่านั้น
    อย่าสนใจสัญญาหรือกรรมเก่าที่ผ่านมาแล้ว โดยเฉพาะกรรมไม่ดี
    อย่าไปสนใจอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
    ส่วนอนาคตจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กรรมปัจจุบันนี้เท่านั้น ว่าไปตามกฎแห่งกรรม
    เห็นมีแต่พระอรหันต์ยอมรับกฎแห่งกรรม ปุถุชนไม่ยอมรับจึงต้องรับทุกข์ไป
    ไม่มีผู้ใดจะหลีกหนีกฎแห่งกรรมพ้น เพราะฉะนั้นอย่าไปหนี
    และกรรมนั้นลงโทษไม่ผิดคนด้วย งานนี้ไม่มีแพะรับบาปแน่
    เรื่องกรรมอย่าไปคิดแก้ เพราะไม่มีผู้ใดแก้ไขกรรมให้กันได้
    มีแต่แก้ไขกรรมจากหนักให้เป็นเบา แก้แทนกันก็ไม่ได้ ผู้ทำต้องแก้เอง
    การแก้ไขกรรมที่ถูกต้องก็คือ ผู้ทำต้องแก้ไขเองโดยการขอขมากรรมก่อน
    แล้วตามด้วยสำนึกผิด สารภาพผิดเป็นมั๊ย เอาแบบเทคเดียวผ่าน
    คือสารภาพผิดด้วยความจริงใจหรือร้องไห้แบบธรรมชาติที่สุด
    วิญญาณหรือเจ้ากรรมนายเวร ไม่โง่อย่างทุกคนคิด หลอกตนเองได้
    แต่หลอกจำพวกที่มีกายทิพย์หรือวิญญาณผีหรือเทพพรหม..นี่ยาก
    เรื่องส่งบุญไปให้นั้น ขอเป็นอันดับท้ายสุดเลย โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร
    ที่มีจิตอาฆาตหรือพยาบาทมากนั้น บุญที่อุทิศให้ไปนั้นยังไม่สามารถรับได้
    เพราะจิตยังหยาบอยู่หรือยังไม่อยากรับตอนนี้ แต่อยากแก้แค้นให้สมใจก่อน

    พวกเราอย่าไปมักง่ายเรื่องการอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร
    เช่น ทำแท้งไปก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำบุญไปให้ ซื้อถังสังฆทานแค่ไม่่กี่ร้อยบาท
    อย่าลืม อย่าไปดูถูกทุกชีวิตมีค่าเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ทุกชนิด
    โปรดอย่ามองข้าม คนเราทุกวันนี้ยิ่งจิตหยาบเข้าไปทุกวันๆ ไร้เมตตาปราณี
    ก็เลยมองข้ามเรื่องกรรมเล็กน้อยเฉกเช่นกับศีลของตนก็ยังรักษาไม่ได้
    แล้วในเบื้องหน้าจะไปหาความสุขที่ไหนกันได้ เพราะคนที่ไร้ศีลย่อมเบียดเบียนกันง่าย
    อย่าลืม ผู้ที่รักษาศีลย่อมปิดอบายภูมิของตน ยิ่งผู้ใดมีหิริ-โอปตัปปะ
    หรือความละอาย/เกรงกลัวต่อบาป อันนี้ดีตายไปเป็นเทวดา

    แต่ถามว่า คนไร้ศีลแต่มีตังค์มากสร้างโบสถ์ สร้างพระประธาน ถามว่าตายแล้วไปไหน
    ชอบทำทานแต่ไร้ศีล อย่าลืมนะ บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป จะนำมาหักล้างกันไม่ได้
    ขอให้เราดูน้ำในแก้วที่เราจะดื่มกินเข้า บังเอิญมีนกมาขี้ใส่พอดีเลย ถามว่า..
    เรายังจะดื่มกินอยู่ไหม หรือน้ำยังสะอาดอยู่ไหม
    คนไร้ศีลแต่ชอบบุญทำทานมีเยอะแยะ เมื่อคนเหล่านี้ตายไปจะจุติที่ใด
    ตอบตรงก็คือ ไปรอลุ้นลมหายใจสุดท้ายก็แล้วกัน ก่อนจะดับจิตลง
    ว่าจิตมันกำลังเกาะอะไร เกาะบุญ/กุศล หรือ เกาะบาป/อกุศล

    แหม๊ก็น่าเห็นใจ สำหรับผู้ที่ยังไม่คิดจะรักษาศีลหรือทำภาวนา
    แต่ใช่ว่า..นักภาวนาจะพ้นนรก ยกเว้น ผู้ที่ได้มรรคผลนิพพานเท่านั้น
    อย่าไปคิดว่าจะเอาบุญใหญ่จะต้องนุ่งขาว/ห่มเหลือง แต่ถ้ารักษาศีล
    ไม่สำรวมจิต ประตูนรกก็ยังเปิดรับอยู่เช่นเคย แทนที่จะบวชได้บุญใหญ่
    แต่กลับเป็นหนีสงฆ์กันเยอะ ต้องระวังให้ดี สู้บวชจิตไม่ได้ มีพระแทนจิตตนดีกว่า

    สวัสดี+โชคดี ขอให้คนอ่านร่ำรวยทั้งทางโลกและทางธรรม
    ;aa10






     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2013
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    กรรมผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ ก็อยู่ที่บุญนํากรรมแต่ง เพราะเป็นการเกิดมาโดยเราก็ไม่รู้ว่าเราเคยทํากรรมอะไรไว้บ้างในชาติที่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้ หรือหลี่กหนีกรรมไปได้ แต่นั้นคือ กรรมในอดีตชาติ แต่กรรมในชาตินี้ที่เป็นกรรมที่จะตัดสินว่าเราผู้ก่อกรรมนั้นจะไปในทางดี หรือไม่ดี ก็คือกรรมในปัจจุบันที่จะส่งผลในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร? เพราะผู้ปฏิบัติที่ได้สร้างกรรมไว้ก็คือ ผู้ยังมีความประมาท และยังไม่รู้ความจริง คือยังมีอวิชชาที่เป็นผู้บงการ ให้เราๆท่านๆได้แสดงออกมา โดยที่ผู้ทํากรรมก็ไม่รู้ว่านั้นเป็นการแสดงออกของกิเลส เพราะเรายังไม่รู้ความเป็นจริง ผู้มาปฏิบัติธรรม คือผู้ได้รู้ว่าความจริง"กรรม" ก็คือการกระทําของเราที่จะเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่วนั้นเอง...ผู้ปฏิบัติจะกลัวการกระทําที่เป็นฝ่ายชั่วมาก เพราะจะเชื่อว่าการกระทํานั้นๆจะส่งผลให้เราแน่ๆไม่สงสัยเลย เพราะเราเชื่อกรรม แต่ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติจะไม่รู็ก็จะทํากรรมชั่วนั้นๆได้สบายโดยเจ้าของก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะเขายังไม่รู้ว่านั้นเป็น"กรรม" แต่กรรมจะส่งผลมากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ว่ากรรมนั้นๆจะหนัก-เบาขนาดไหน ถ้ากรรมหนักก็จะส่งผลอย่างเร็วไวอย่างแน่นอน แต่ถ้ากรรมเบาบางก็จะส่งผลช้าตามแต่ว่าเราผู้จะเป็นผู้รับกรรมนั้นอย่างแน่นอน เพราะกรรมเป็นสมบัติของผู้นั้นๆ ไม่สามารถรับแทนกันได้ และไม่มีใครทําแทนกันได้ จะต้องเป็นผู้ทําเอง และรับผลกรรมนั้นเองอย่างแน่นอน...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสงสัยกับความเข้าใจ
    คนละเรื่องเดียวกันเลย
    การเรียนรู้เรื่องธรรมต่างกับการเรียนรู้เรื่องทางโลกอย่างสิ้นเซิงเลยทีเดียว
    อย่าไปคิดนะว่าคนเก่งทางโลกหรือเรียนเก่งว่าจะเข้าถึงธรรมได้ง่ายๆ
    อย่าเพิ่งไปหวัง เพราะการเรียนรู้ทางโลกนั้นเอาสมองไปเรียน
    แต่ในทางธรรมจะต้องเอาสติกับจิตเข้าไปเรียนรู้
    สรุปแล้วเราคนจะปล่อยวางทุกข์ได้ก็ด้วยจิตที่มีปัญญา
    ตราบใดจิตยังไม่มีปัญญาก็ยังออกจากทุกข์ตนยังไม่ได้
    ยิ่งถ้าจะออกจากกการเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องด้วยจิตที่มีปัญญาญาณโน้น
    แค่สติปัญญาธรรมดาๆไม่พอแน่ เพราะกิเลสมันเก่งกว่าเราหรือสติเราเยอะ
    แต่กว่าจิตจะมีปัญญาก็ต้องอาศัยเจริญสติมากๆและอย่างต่อเนื่องด้วย
    การที่คนเรายังปล่อยวางอะไรๆไม่ง่ายนักก็เพราะว่า เราเจริญสติยังไม่พอ
    เจริญสติมากๆเดี๋ยวปัญญาก็เกิดเอง อย่าลืมนะว่าจิตเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ละปล่อยวาง
    ตราบใดจิตยังไม่มีปัญญามากพอ จิตเขาก็จะไม่ปล่อยวางแสดงว่าจิตยังไม่หายสงสัย

    สรุปเลยดีกว่าว่า ความเข้าใจของคนเรานั้นขึ้นอยู่กับความละเอียดแห่งจิต
    ความสงสัยมีมากเฉพาะผู้เอาแต่ถามและก็ถามลูกเดียว แต่ไม่ยอมลงมือปฎิบัติสักที
    เอาแต่ถามๆคนอื่นไปวันๆนึงเท่านั้นเอง ยังไงๆจิตก็ยังสงสัยไปตลอดชีวิต
    ศาสนาพุทธเป็นศาสตร์แห่งเหตุและผล มิให้เชื่อหรือไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
    แต่กว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ค้นหาจิตตนให้พบหรือเจริญสติมากแล้วปัญญาจะเกิดเอง
    เมื่อเรามีปัญญากันเมื่อไหร่ เราก็คลายความสงสัยกันเมื่อนั้น
    อย่าไปถามคนอื่นให้เมื่อย เพราะถ้าวันนี้เราถามแล้วได้คำตอบ แต่พรุ่งถามใหม่อีก
    อยู่อย่างนี้ไปจนตายหรือสงสัยไปจนตาย ตายแล้วนึกว่าหายสงสัย เปล่าเลย
    ไปสงสัยชาติหน้ากันต่อไปอีก ทุกคนฉลาดมิใช่โง่ แต่จะมีสักกี่คนที่ตามหาจิตปัญญาของตน
    นี่ไง๊ หาได้จากกรรมฐาน๔๐กองที่พระพุทธเจ้าให้กับพุทธบริษัททั้งหลายไปแล้วนั้น

    ตราบใดพวกเรายังมีความสงสัยมากกว่าความเข้าใจแล้ว ย่อมถกเถียงกันไม่สิ้นสุด
    ยิ่งตามธรรมารมณ์ตนไม่ทันด้วยแล้ว ย่อมเกิดความพอใจ/ไม่พอใจมาเกี่ยวข้องกันด้วยแล้ว
    จบยาก เพราะจะมีเรื่องความถูก/ความผิดเข้ามาเกี่ยวข้อง ในที่สุดก็หนีไม่พ้นต่อกรรมต่อเวรกัน

    ขอให้เจริญในธรรม ขอให้ขุมทรัพย์ปัญญาของตนเอง จะได้คลายสงสัยเสียที
    ว่าวกันซื่อๆ...โมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...