เห็นจิต เกิด-ดับ ท่านเข้าใจว่าอย่างไรกันครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 24 เมษายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ถามตรงๆเถอะ เวลาอ่านอะไร เอาแต่ท่องจำอย่างเดียวหรือ?
    เคยพิจารณาไหมว่า บางครั้งมันขัดแย้งกันเอง
    แม้อรรถกถาจารย์ที่แปลแต่ละคณะที่รับผิดชอบเป็นส่วนๆไป

    หลายครั้งที่แปลออกมาแล้วก็ขัดแย้งกันเอง จนเป็นความอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ
    แต่ก็เก่งสู่พี่ไทยไม่ให้ สามารถเอาที่ขัดแย้งกันอยู่นั้น
    มามิกซ์เข้ากันแบบขอไปทีๆ และไม่มีเหตุผลอีกด้วย

    ดูหัวก่อนข้อธรรมข้อสุดท้ายก็พอ ขัดกันแบบน่า...จริงๆ
    รูปทั้งหมดทั้งมวล อรรถกถจารย์จัดไว้ล้วนเป็นอารมณ์ของจิต
    ส่วนอสังขตธรรมนั้น ธาตุรู้(จิต) จัดเป็นแม่ธาตุ
    ที่ไม่มีใครสร้างสรรขึ้นมา มีเองอยู่ก่อนแล้ว จัดว่าเกี่ยวข้องกับจิต

    ส่วนข้อสุดท้ายนั้นชัดเจน ดูเปรียบเทียบแล้วนั่งสมาธิตริตรองดูก็จะเข้าใจเอง
    ไม่ใช่ให้ไปนั่งคิดๆๆ แต่ไปนั่งให้จิตใจสงบลงบ้าง เพราะเห็นเมาหมกอยู่ทั้งวัน
    พอสงบนิ่งดีไม่มีนิวรณ์ คำตอบก็จะผุดขึ้นมาให้รู้(โดยไม่ต้องคิด)ให้เห็นเอง
    น้ำมัน จะกล่าวว่าเจือกับน้ำก็ไม่ได้ ว่าไม่เจือกับน้ำก็ไม่ได้ คงพอเข้าใจนะ


    ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ ที่ท่านพระอาจารย์หลวงปูกล่าวไว้ก็ไม่ต้องพูดอีกแล้ว

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    http://palungjit.org/threads/บุญญาพาชีวิตรอด-โดยหลวงปู่เหรียญ-วรลาโภ.491987/

    จิตใจผูกพันอยู่กับพุทโธคุณอันประเสริฐนั้น ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้
    ความหลงความเข้าใจผิดต่างๆ นานานั้นมันก็จะระงับไปโดยลำดับ
    เพราะมันมารู้ตัว รู้ตัวนี่หมายความว่า เรารู้ว่า อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตนี้
    ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
    เราจะไปเอาจริงเอาจังกับความคิดความนึกต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เลย
    เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน มีแต่การทำใจสงบลงเป็นหนึ่งให้ได้
    อันนี้แหละเป็นสิ่งที่อุ่นใจของเรา เมื่อใครทำใจให้สงบลงไปได้แล้ว
    ผู้นั้นก็ได้รับความอุ่นใจ ความสงบนี้หมายถึงความอิ่มใจมันอิ่มทุกสิ่งทุกอย่าง
    มันไม่อยากได้อะไรในขณะที่ใจสงบอยู่นั้น

    ^
    ^
    หัดอ่านธรรมะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบ้าง
    แล้วสมาทนานำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ดีกว่ามานั่งเมาหมกอยู่ในนี้ทั้งวัน

    เมื่อได้ผลแล้วอย่างเพิ่งรีบเชื่อ รอสอบสวน ตรวจสอบ
    นำมาเทียบเคียงกับตำราอาจารย์อีกทีก่อนว่า ลงกันได้มั้ย?

    แต่โดยมากพวกตำรานิยม เวลาปฏิบัติจริงแล้วไปไม่ถึงไหน
    เพราะ สัญญาอารมณ์จากตำรา มันมาพาลากออกนอกทางเสียชิบ

    เจริฐในธรรมทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2013
  3. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    แสดงว่า ไม่มีใครเก่งเท่าท่านซินะครับ

    ไม่เป็นไรหรอก ท่านไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร มันยากที่จะอธิบายอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่ น้ำมันกับน้ำ อย่างนั้นหรอกนะครับ
     
  4. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    การเกิด-ดับ ของจิต (จิต มโน วิญญาณ)

    การท่องเที่ยวของจิตที่เปรียบเสมือนวานรท่องเที่ยวไปในป่า จับกิ่งไม้ กิ่งนี้ ละกิ่งนี้ไปกิ่งโน้น เรื่อยไป ซึ่งก็คือ จิต เกิด-ดับ ในอายตนะต่าง ๆ ของ ขันธ์ 5 นั่นเอง

    ยกตัวอย่าง ....

    1.ตาเห็นรูป เกิดการเห็น (จักขุวิญญาณ) มีความรู้สึก กับสิ่งที่เห็น ....แต่เดิน สะดุดบันได การเห็น ดับ ไปแล้ว เกิด ความรู้สึกใหม่ขึ้นที่เท้า(กาย) ก้มไปดู ไม่มีอะไร .........ดับ

    2.ได้ยินเสียงแตรรถดัง เกิด การได้ยิน (โสตะวิญญาณ) มีความรู้สึกตกใจ ใจสั่น หันไปดู เสียงมาจากรถคันไหน .....เห็นแล้ว......ดับ

    3.ได้กลิ่นควันไหม้ของไก่ย่างร้านค้าข้างทาง เกิด การได้กลิ่น (ฆานะวิญญาณ) รีบเดินไปให้พ้น กลิ่นหายไป......ดับ

    ฯลฯ
    หากเรามีสติอยู่เสมอ ย่อมเห็น การเกิด-ดับ ของสิ่งที่เป็นความรู้สึกที่เราได้ผัสสะกับสิ่งต่าง ๆ รอบ ขันธ์ 5 นี้อยู่อย่างต่อเนื่องไปตลอดวัน ตามแต่ว่า จะเกิดที่อายตนะใด ๆ ดังได้ยกตัวอย่างอธิบายแล้ว ข้างต้น....

    หากจะไม่ให้มีการ เกิด-ดับ ก็คงต้องหางานให้จิตทำ เช่น การบริกรรม การมีสติอยู่กับลมหายใจ รู้ตื่นอยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย...และ หยุด ให้ได้เมื่อ ผัสสะแล้ว ไม่ปรุงแต่งต่อการเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น .....ฯ นั้น
     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ไม่รู้จะจับตรงไหนก่อนเพราะหลายท่านเสวนารวบยอด
    คือสรุปว่าสิ่งนั้นจิต

    เอาของท่านผู้พันจุ่นไหมขอรับ
    ท่านว่าวินญานทั้งห้าทั้งหกที่ดับไปนั้น
    ดับในขั้นตอนวิญญานหรือดับตรงขั้นตอนดับจิต

    ดับจิตอย่างไร
    เขามีหน้าที่รู้อย่างเดียวหรือไม่
    บางครั้งสิ่งที่รู้นั้นเป็นอกุศลเป็นกุศลเป็นอัพยา
    หากพยาก็ตามไปอีกเพราะถูกล่อให้ตาม

    อะไรตามวิญญานก็ตามจิตก็ตาม
    หากลืมตาอยู่นี้สั่งให้กายตามไปอีก

    หากวิปัสนา
    ท่านดับกายไปแล้ว
    รูปนามหายไปแล้วหรือไม่

    เพราะมีเพียงเวทนาสัญญาสังขารแล้วมากล่าวอ้างเรื่องวิญญานก่อน
    เพื่อให้จิตเขาเข้าถึงรับรู้ในสิ่งที่วิญญานส่งมาตรงนี้เจือด้วยจิต
    หรือไม่อย่างไร

    หากกล่าวว่าจิตล้วนๆ
    เขาไม่มีตัวไม่มีตนอยู่แล้ว
    สมมุติให้เขารับ
    สมมุติให้เขารู้
    ให้เขาเกิดกามพยาบาทง่วง......ลังเล
    สมมุติให้รู้ว่านี้เรียกรูปนามเวทนาสัญญาสังขารวิญญานและจิต
    แล้วเจือด้วยธรรม

    ทำไมวิญญานไม่รู้ธรรม
    หากมโนนี้วิญญานนี้จิตนี้เป็นสิ่งเดียวกัน
    หรือไม่อย่างไร

    ถามอีกว่าหากจิตยังมีสวะอาสัยอยู่แล้วพิจารณาธรรม
    ธรรมจะเปรอะเปื้อนไหม
    เมื่อเปื้อนจะสว่างจะใสหรือไม่อย่างไร

    หากจิตใสธรรมใส
    หากวิญญานนี้ยังไม่ใสคือรับมาไม่หมด
    จิตใสไหม

    มโนบ้าง
    วิญญานบ้าง
    จิตบ้าง

    แล้วทำใส
    ใสไม่ใสก็แล้วแต่มโนวิญญานจิตหรือไม่อย่างไร
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ิส่งนี้ยังไม่ดับสิ่งนั้นมาวางสิ่งนี้ไว้ก่อนสิ่งสองยังไม่ดับสามมา
    สี่มาครึ่งๆกลางๆวุ่นวายฟุ้งซ่านเอาสิ่งใดไม่ได้
    เหมือนลิงที่กระโดดลงมาแล้วไม่รู้จะคว้าสิ่งไหน
    สุดท้ายก็มาลงที่วิตก
    หรือไม่อย่างไรเพื่อเริ่มวิจารณ์ใหม่
    ทำให้มากรอบจนไม่เหวี่ยง
    แล้วหมุนไม่สะดุดแล้วลองหมุนช้าหมุนไวหยุดดู
    ไม่ติดไม่ขัด

    เป็นอย่างนั้นหรือไม่อย่างไร
     
  7. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    อ้างอิง....

    ท่านว่าวิญญานทั้งห้าทั้งหกที่ดับไปนั้น
    ดับในขั้นตอนวิญญานหรือดับตรงขั้นตอนดับจิต

    ดับจิตอย่างไร
    เขามีหน้าที่รู้อย่างเดียวหรือไม่
    บางครั้งสิ่งที่รู้นั้นเป็นอกุศลเป็นกุศลเป็นอัพยา
    หากพยาก็ตามไปอีกเพราะถูกล่อให้ตาม

    ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบโดยอาศัย อิทัปปัจจยตา ให้เห็นกระบวนการเกิด-ดับ

    นายขันธ์ 5 เดินทางไปเที่ยว เห็นสาวสวยเดินผ่านมา(จัก๋ษุวิญญาณ)
    เกิดความพึงพอใจ (เวทนา)อยากได้มาเป็นภรรยา(ตัณหา)
    ก็คิดว่าใช่เลยสาวในอุดมคติ(อุปาทาน)
    หากได้มาเป็นภรรยาคงมีความสุขกับชีวิตคู่(ภพ)
    และคิดวางแผนที่จะอยู่ด้วยกันจะมาหากินอะไร จะมีลูกสัก 2-3 คน
    ก็เข้าไปพูดคุยด้วย และสู่ขอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน (ชาติ) อยู่ไปสัก 3 ปี
    เบื่อหน่ายครอบครัวแล้ว (ชรา)..(ดับ).. หาเรื่องหนีเมียไป (มรณะ)..โศกะ ปริเทวะ อุปายาสะ....


    แค่นี้ก็พอสมควรแก่การทำความเข้าใจเรื่องการเกิด-ดับแล้ว
    การเกิด เริ่มที่เรามีเวทนา รู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่ถูก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ....
    การดับ ก็ดับที่ เวทนา ก็ได้ หากเห็นแล้ว ไม่เกิดเวทนาในสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส...
    หากมีการฝึกสติให้รู้ทัน การเห็นก็จะเป็น สักแต่ว่าเห็น ไม่ปรุงแต่งต่อจน ตัณหาเกิด

    หากดับไม่ทัน ปล่อยให้ มีตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น ... มันก็จะสร้าง ภพ ชาติ....
    จนครบวงรอบ เป็นทุกข์ในที่สุด และก็สร้าง วัฏฏสังสาระ ขึ้นมาใหม่ ไม่มีสิ้นสุด..



    คำถามอื่น ๆ นอกนั้น ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร ...ให้คนอื่นมาตอบบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2013
  8. tangmosiam

    tangmosiam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +4,496
    .......อ่านแล้วเข้าใจยาก......ถ้าไม่เข้าใจ....แล้วนั่งสมาธิพิจารณาอนิจจัง...ทุกข์ขัง...อนัตตา...ไปเรื่อยๆ....ผมจะเข้าใจเองหรือเปล่าครับ...
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ...

    ถ้าไม่มีใครเก่งเท่า ก็แสดงว่าเราเก่งที่สุดอยู่คนเดียว ใช่หรือไม่? งงหว่ะ

    กลายเป็นคนเก่งที่สุดไปได้ยังไง ตายล่ะงานนี้กรู

    ทำไงหว่ะ(ไม่รู้จริงๆ เพราะไม่เคยคุยไว้ที่ไหนเลยว่า เก่งที่สุด)

    ทั้งที่พูดเสมอๆว่า "ยังต้องสดับ ยังต้องกระทำให้ตื้น"

    คนถึงเข้าใจเป็นยังไงไปได้55+

    เฮ้อ!!!มันไม่น่าจะอยากเกินกว่าคนเก่งอย่าง สมชาย ๓อี หรือ อี๓ตัว เลย

    รู้จักคำว่าเปรียบเทียบมั้ย? ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เข้าใจ

    ก็ของมันเนื่องกัน แต่ใช้ร่วมกันไม่ได้ แต่ต้องอาศัยกันอยู่ดีจึงเห็นได้ เฮ้อ!!! เหนื่อย

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตรงที่จิตดับนี้หากกล่าวถึงรส
    ระ.....สะ
    ชา.....ติ
    ชาติ
    ชราหรือจะลาโลกลาทำไปแล้วนี้
    และจิตมรณาหรือไม่ขอรับ

    เขาตายไปจากเราหรือไม่อย่างไร
    ตายอย่างไร
    หากไม่โศกะ ปริเวท อุปาสายะ
    จะเกิดเป็นอย่างไรไปได้อีกหรือไม่ขอรับ
     
  11. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ท่านกล่าวว่านายขันธ์ห้านี้
    หากเป็นนายฆานะที่ตาบอดไปเกิดฆานะวิญญานอย่างเดียวคือไปดมๆดู
    แล้วเกิดหน้าที่คือรส ภพ ชาติ ชรามรณานี้จะเกิดโศกะปริเวทอุปาสายะได้หรือไม่
    และหากนายขันธ์นี้เอาฆานะอย่างเดียวไปบรรลุธรรมได้หรือไม่อย่างไรขอรับ
     
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ถามอีกหลังฌานสี่ไปแล้วนั้นท่านเอาจมูกที่ไหนมาดมหรือขอรับ
     
  13. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    การเกิด-ดับทางจิต ครับ ไม่เกี่ยวกับทางกาย.....เป็นความรู้สึกที่เกิด แล้วส่งผลให้คนเราแสดงพฤติกรรมไปตามตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากเป็น สภาวะทางใจ ล้วน ๆ ส่งผลให้ กายมีความต้องการ ...ก็ปฏิบัติการไปตามที่ต้องการ ....แล้วก็ ดับ หรือ ปรุงแต่งไปเป็นอย่างอื่นอีก ตาม อายตนะที่ผัสสะ ......เรื่อยไป ไม่สิ้นสุด วัฏฎะสังสาระที่ เป็นวงรอบการเกิด - ดับ เช่นนั้นเรื่อยไป
     
  14. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ถามกลับ ก็คงได้คำตอบนี้ คนตาบอดเขายังมีราคะ เสพกาม จิตใจยังมีราคะ ไหมครับ ??? ก็ตาบอด มองไม่เห็น ไม่น่าที่จะรู้เรื่อง สวย งาม .....

    จิต....ล้วน ๆ ครับ ส่งผลต่อให้กายกระทำตาม จิต ดังกล่าว

    ภาษาบาลี ชรา มรณะ โศกะปริเทวะ อุปายาสะ......ต้องแปลมาเป็นภาษาธรรมจึงจะเข้าใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  15. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ฌาณสี่ ไม่มีกาย ไร้ความรู้สึกทางกาย เหลือแต่ รู้ เหมือนอยู่ในถ้ำมืด ๆ
    จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องมือสำหรับผัสสะ....
     
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ยังเป็นวัฏฏะอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  17. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากยังไม่เข้าฌานเอาความรู้สึก
    หากเข้าฌานได้เอาวินญาน

    เพื่อให้เกิดเวทนา
     
  18. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สัมมาสมาธิฌาณ4มีสติอันเป็น2องค์ในมรรคมีองค์8
    หากจะเกิดผัสสะก็จะเป็นวิปัสสนูปกิเลส
    อย่าเข้าใจว่าฌาณ4เป็นอัปปนาสมาธิเป็นอันขาดเพราะคนละส่วนกัน
     
  19. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เพราะหากปฏิบัติไปเรื่อยๆจะรู้ได้ยังไงว่านี้รูปภพ นี้อรูปภพ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ขอร่วมแสดงความเห็นด้วยครับ อันดับแรกสร้างเครื่องมือคือสติทางธรรม..เพื่อเข้าไปคอยควบคุมตอนที่จิตเกิดในเบื้องต้น
    เพื่อให้จิตดับก่อนในเบื้องต้น..สติตัวนี้สร้างเพื่อคอยควมคุมให้สิ่งที่ทำให้จิตเกิด ไม่มีกำลังที่จะเกิด. ให้ทันตรงจุดนี้ก่อน.ให้ได้ก่อนในเบื้องต้น


    พอนานเข้าสติทางธรรมตัวนี้หากมีกำลังเพิ่มขึ้นจะมองเห็นได้ในขณะที่จิตกำลังจะ
    เริ่มต้นเกิดถ้าเราทันตรงนี้ และเราเห็นทันได้..สิ่งที่ทำให้จิตเกิด
    จะแยกกับจิตได้เป็นขั้นต่อมา.และจะสามารถเห็นขัน ๕ ส่วนนามธรรม
    คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญานได้.


    .หลังจากนั้นค่อยมาเดินปัญญาด้วยการพยายามควบคุม
    ให้จิตว่างที่จะรับรู้.และต้องคอยควบคุมไม่ให้จิตเกิดเสมอ.และปล่อยให้จิตว่างรับรู้
    ด้วยความเป็นกลาง(คือจิตว่างแต่ไม่มีการเกิด)
    .

    .ถ้าจิตยังเกิดอีกก็ให้คอยควบคุม ไม่ให้เกิดจนกว่าจะสู่ความว่างอีก.
    .ให้จิตรับรู้ ด้วยความเป็นจริง ให้จิตได้เห็น ได้รับรู้ ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อยๆ บ่อยๆ จนกว่าจิตจะยอมรับความจริงว่า สิ่งที่เคยทำให้จิตเกิดนั้น ไร้สาระ ไม่มีแก่นสารไม่มีประโยชน์จิตถึงจะค่อยๆวางและเรื่องที่ทำให้จิตเกิดเรื่องนั้นจะ
    ไม่สามารถมาทำให้จิตเกิดได้อีกในส่วนที่เป็นเรื่องหยาบๆ.
    ช่วงนี้ต้องคอยระวังทิฐิตนเองให้ดีๆ การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เห็นจนทำให้ขาดการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นต่างๆ.


    ทำได้อย่างนี้
    ต่อไปจะเหลือแต่กิเลสส่วนละเอียด.ถ้าชอบวิธีการนี้ ให้เพิ่มสัจจะในการลด
    กิเลสต่างๆร่วมด้วย..ไม่งั้นจะใช้เวลานานมากกว่าจะคลายกิเลสส่วนละเอียดได้แต่ละเรื่อง..


    แต่หากท่านผู้ใดมีกำลังสติและกำลังสมาธิมากพอ..จะสามารถมาวิปัสสนา
    ในระดับอุปจารมาธิและระดับฌาน ๔ ได้.เพียงแต่ในระดับอุปจารสมาธิ
    กิเลสละเอียดยังจะสามารถกลับขึ้นได้อีก ต้องอาศัยการตามดู โดยไม่ไปแทรกแซง.และปัญญาที่มีมาจากขั้นก่อนหน้านั้นร่วมพิจารณา
    ตัวกิเลสละเอียดก็จะสามารถวางลงได้ แต่ต้องอาศัยการพิจารณาบ่อยๆเช่นกัน
    จนกว่าจิตยอมรับ.และช่วงนี้ต้องระวังเรื่องความสามารถพิเศษทางจิต
    ต่างๆอย่าเผลอไปยึดและระวังเรื่องการสัมผัสทางภพภูมิให้มากๆ.


    ส่วนท่านที่มีกำลังสติและสมาธิมากกว่านี้..ให้สร้างกำลังสมาธิให้ขึ้นอรูปฌาน
    ให้ได้ก่อนตามลำดับ ด้วยการสร้างรูปฌานก่อนแล้วค่อยไปอรูปฌานแล้วค่อยลดกำลังลงมา
    สู่ฌาน๔...หากไม่สร้างรูปก่อนแล้วขึ้นไปอรูปเลย.
    อาจทำได้ง่ายแต่จะไม่สามารถพิจารณาอะไรได้.จะเหมือนลอยหรือหลุดไปอยู่ในอวกาศ.อาจทำให้หลงไปนึกว่าเป็นสภาวะที่ไม่มีกิเลสได้ซึ่งอันตรายมากๆ.


    หลังจากจุดนี้ ให้รักษาอารมย์ของจิตให้ว่างให้มากที่สุด ด้วยกำลังสมาธิที่พอมีและระวังรักษาอารมย์ต่างๆที่เข้ามากระทบให้ดี
    .และก็กลับเข้าไปสู่
    อารมย์ฌาน ๔ ให้ได้และพิจารณากิเลสส่วนละเอียดที่เหลือเฉพาะตน..
    จนกว่าจะกิเลสต่างๆที่เกาะกับจิตจะวางไปได้หมด...
    ช่วงนี้จะทำอะไร ตัวสติและปัญญาจะทำหน้าที่แทน สิ่งที่ต้องระวังคือ
    เรื่องปฏิฆะอย่าให้เกิด.และการยึดติดในกองบุญกองกุศลที่ตนได้ทำ


    สุดท้ายแล้วแม้แต่ตัวจิตเองก็ต้องวาง
    คือวางการเกิด เห็นว่าการเกิดเป็นสาเหตุ
    แห่งทุกข์และวางในกองบุญกองกุศลทั้งหมดไม่งั้นก็จะไปเสวยตัวนี้และยังอาจ
    ต้องกลับมาเกิดได้อีก.ถึงจะสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างแท้จริง.
    คือ สภาวะที่จิตไม่มีการเกิด มีแต่สุข...
    ซึ่งช่วงสุดท้ายนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆส่วนร่วมกัน
    นี้ครับคือสภาวะที่เห็นจิต เกิดดับ ที่มองเห็น.ประมาณนี้ครับ.ขอบคุณครับ.
    .​
    .

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...