บทความสงสัยในพระพุทธศาสนาใครรู้ช่วยบอกเค้าที

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย undeath13, 26 ตุลาคม 2007.

  1. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    ส่วนตัวผมเชื่อในท่านหมดใจ แต่ผมไปเจอเว็บๆหนึ่งกลับต่อต้าน ท่าเรื่องกฏแห่งกรรม จึงอยากให้ท่านๆที่มีจิตใจเป้นกลาง ไม่เป้นทาสของ โทสะและโมหะ ไปบอกความจริงแก่เขาหน่อยช่วยชี้ทางสว่างที ผู้ไม่รู้คือผู้ไม่ผิด ช่วยขุดบัวใต้โคลนดอกนี้ออกมาพ้นน้ำด้วยเถิดจะเป็นกุศลอย่างยิ่ง

    อ้างอิงจากเว็บแห่งนี้ http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=212
    เนื้อความว่า


    ประเด็นของบทความนี้เกิดขึ้นตอนผมอยู่ประมาณ ม.2 ที่ผมเริ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2007
  2. แสงดาวของหัวใจ

    แสงดาวของหัวใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +112
    การวิเคราะห์ด้วยหลักการของบุคคลผู้เขียนบทความนี้ เป็นไปตามขั้นตอน ... คิดอย่างเป็นระบบ แต่มีจุดหักเหที่ทำให้คิดได้ไม่สุดทาง
    เนื่องด้วยความรู้ที่คิดว่าตนรู้มากพอ
    และเนื่องด้วยอคติที่มีอยู่ในใจ
    ทำให้พยายามเบี่ยงประเด็นจากความจริงที่ควรจะคิดได้ ออกไปสู่ประเด็นที่ตนเองต้องการ

    คำตอบง่ายๆของข้อสงสัยของบุคคลนี้ แค่เพียงอ่านคร่าวๆก็เชื่อว่า
    หลายๆคนคงจะทราบคำตอบกันดีอยู่แล้ว

    หลายคนคงส่ายหน้า บางคนคงอมยิ้มกับความไร้เดียงสา ของบุคคลผู้นี้



    ไม่ว่าจะอย่างไร...ขอให้บุคคลผู้เขียนบทความนี้ได้รู้ลึกถึงธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธองค์ในเร็ววัน ก็แล้วกัน


    ป.ล.ให้ผู้ตั้งกระทู้เปลี่ยนชื่อหัวข้อกระทู้ให้เบาลง เห็นแล้วรู้สึกไม่ลื่นสายตา
    ป.ล.2 ข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่าจะอธิบายประเด็นติ๊งต๊องนั้นออกมาเป็นภาษาคนได้ ขอรออ่านความเห็นถัดไป :)
     
  3. Inthaca

    Inthaca Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +31
    หัวข้อ หมิ่เหม่แลปรามาสพระพุทธองค์ บาปหนัก ร้ายแรง แม้ท่านเป็นพวกนอกศาสนา ก็มิบังควรทำเช่นนี้ ควรแก้ไขโดยด่วน

    เนื้อหา ขาดน้ำหนัก นำความเห็นบุคคลมากล่าวลบล้าง การประกาศธรรม
    ความเห็นเช่นนี้ พุทธแท้ มิควรเสพ
     
  4. yutthana promnaimuang

    yutthana promnaimuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +344
    เมื่อไม่รู้จริงก็ว่าไปแต่ผลนั้นได้เกิดแล้ว ความรู้จากตัวหนังสือหรือคำบอกกล่าวหาใช่ความรู้ที่แท้จริงไม่ คุณต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวหนังสือคำสอนของพระพุทธองค์ท่านให้เรารู้เอง ปฏิบัติเอง เป็นมหาสติ มีสติตลอดเวลา ไม่ใช่จาก
    ความรู้ภายนอกต้องเป็นความรู้จากภายในเท่านั้น บาปจากความคิดผิดเป็นมิจฉาทิฐินะครับ
     
  5. aonlin

    aonlin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2006
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +1,608
    โดยส่วนตัว หลังอ่านบทความนี้คิดว่าผู้เขียนคงไม่ได้เขียนเพื่อที่จะเปิดรับ
    ข้อโต้แย้งเพื่อหาบทสรุป ที่เป็นจริงใดๆหรอกค่ะ หรือถ้าเปิดรับก็เพียงใช้เอามาเพื่อวิเคราะห์สนุกๆ
    ได้อวดภูมิความรู้ที่มี เท่านั้น

    ปกติเวลาที่เห็นผู้เขียนลักษณะนี้ เราเองก็ใช้การวางอุเบกขาเสียค่ะ
    คงไม่ไปอธิบายใดๆ

    การจะเปลี่ยนความคิดของคนแบบนี้ได้
    อาจจะต้องให้เค้าได้รับรู้เรื่องกรรมต่างๆด้วยตัวเค้าเอง

    สุดท้ายขอให้ผู้เขียน ได้หลุดพ้นจากมิจฉาทิฐิ เพื่อจะได้ไม่ก่อกรรมมากขึ้น
    เพียงเพราะความไม่รู้ ด้วยเถิด /\
     
  6. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
    ถ้าคุณมีข้อกังขาเรื่อง "ทำไมคนชั่ว ในบางครั้งได้ดี และคนดีในบางครั้งรับผลชั่ว" แสดงว่าคุณยังศึกษาถึงเรื่องกรรมไม่ถี่ถ้วน แนะนำให้ลองไปหาหนังสือของทันตแพทย์สม สุจิรา มาอ่านดู ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น อะไรพวกนั้น หรือศึกษาเกี่ยวกับ Metaphysic ,Quantum Mechanic และศาสตร์สาขาอื่นๆอย่างเป็นองค์รวม หรือไม่ก็ไปฝึกกรรมฐานให้ได้อภิญญาญานแล้วก็ใช้จิตของตัวเองเป็นเครื่องมือในการค้นหาคำตอบของการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง คงจะได้คำตอบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง(มั้ง)
     
  7. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    เป็นตัวอย่างของคนที่รีบปฎิเสธิ์ก่อนที่จะศึกษาให้รู้ถึงรายละเอียดที่แท้จริง
    ปัญหาทั้งหมดที่เขาถาม ล้วนเคยมีคนนำมาโพสตอบในเวปพลังจิตนี้แล้วทั้งสิ้น
    ทุกอย่างสามารถอธิบายได้อย่างลงตัว แก่ผู้ที่เคยทดลองปฎิบัติมาแล้วเท่านั้น
    ตัวอย่างเช่น "เรื่องการบริจาคทานแล้วผู้ทำได้รับความสุขทางใจ" หากนำไปพูดให้
    ผู้ที่ไม่เคยบริจาคทานมาก่อนฟัง บางคนอาจรับฟังเพียงเฉยๆตามมารยาทผู้ฟังที่ดี
    บางคนอาจนำไปทดลองปฎิบัติดูว่าจริงหรือไม่ หรือบางคนก็อาจเถียงกลับมาว่า
    "บริจาคไปทำไม เสียทรัพย์สิ้นไปเปล่าๆ ได้รับแค่คำขอบคุณ เก็บเงินไว้ใช้เองดีกว่า"
    อาศัยแต่ปัญญาอนุมานตามประสบการณ์เก่าของตน ไม่มีการปฎิบัติหรือทดลอง
    เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตนอนุมานเอาไว้ด้วย เป็นความจริงเพียงเท่าที่ความรู้เก่าของตนมีเท่านั้น
    แต่น่าเสียที่ไม่สามารถต่อยอดให้เห็นถึงความรู้ที่จริงแท้ยิ่งกว่าได้ เมื่อเขาปิดกั้นตัวเองเช่นนี้
    ก็ยากที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้ ขออนุโมทนาให้กับผู้ที่ยอมสละเวลา
    และพยายามเพื่อที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจครับ
     
  8. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    การแบ่งชั้นวรรณะเป็นสิ่งที่ out of controlของคนที่ถูกแบ่ง คนที่ถูกแบ่งชั้นวรรณะจากคนอื่นในสังคมนั้น ถ้าตนเองอยู่ในวรรณะล่าง ไม่ว่าจะทำความดีแค่ไหน เค้าก็ยังถูกคุกของวรรณะ กีดกันจากสังคมอยู่ดี กีดกันว่า ไม่สามารถเข้าพวกได้กับพวกวรรณะสูง นั่นคือโดยหลักการแล้ว เป็นการมองว่าคนทั้งหลายมีที่มาต่างกัน และ ยังไงก็ไม่สามารถแก้ไขให้สิ่งที่แตกต่างกันนั้น รวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันได้ หลักการนี้จึงมิได้นำมาซึ่ง ความรักซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

    พระพุทธเจ้าท่านมิได้ทรงโกหก ตามความเห็นของคนที่ยังเลวอย่างผม คำว่า ศาสนาพุทธไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะนั้น หมายความว่า "แม้คนทั้งหลายจะมีที่มาแตกต่างกันเพียงไร วรรณะต่างกันเพียงไร สีผิว จริต เชื้อชาติแตกต่างกันเพียงไร รวมทั้งบุญและบาปที่เป็นต้นทุนเดิมมาแตกต่างกันเพียงไร แต่ถ้าปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริงนั้น ทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจตนเองเข้าสู่ภาวะพ้นทุกข์ได้ รวมความว่า ศาสนาพุทธก็ยอมรับความแตกต่างในที่มาของแต่ละคน แต่ไม่มีการเอาความแตกต่างที่ out of control นั้น มาบอกว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้ใด กลุ่มใด หมดสิทธิที่จะพัฒนาตนเอง เข้าสู่มรรค ผล นิพพานได้

    ไทย จีน ฝรั่ง ถ้าตัดสังโยชน์3 ข้อแรกได้ ก็เข้าสู่ความดีที่เรียกว่า "พระโสดาบัน" เหมือนกัน ได้รับการยกย่องจากศาสนาพุทธเช่นเดียวกัน ศาสนาพุทธไม่มีการแบ่งแยกว่า พระโสดาบันไทย ดีกว่าพระโสดาบันฝรั่ง คือไม่สำคัญว่าคุณจะมี background ที่แตกต่างกันมาอย่างไร บุญเก่า กรรมเก่า มาต่างกันเพียงไร ขอให้จิตคุณพัฒนาได้สะอาด ถึงจุดที่เรียกว่าพระโสดาบัน คุณก็เข้าถึงความดีเหมือนกัน ในมุมมองของศาสนาพุทธ

    ผมเองมีความรักพระพุทธเจ้ามาก รักพระศาสนามาก รักด้วยเหตุด้วยผลครับ
     
  9. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,550
    ที่ได้อ่านมาก็เข้าใจกับความคิดของทุกคนน่ะครับ คนสิบคนความคิดย่อมต่างกัน ต่อให้เกิดพร้อมกันแต่ในเวลาเดียวกันคุณเชื่อไหมว่าไม่มีใครมีความสามารถเกิดในตำแหน่งเดียวกันได้ และไม่มีใครเกิดออกมาพร้อมกันต่อให้เป็นฝาแฝดก็ตาม ต้องออกมาครั้งต่อครั้ง นี่คือข้อจำกัดซึ่งเป็นธรรมชาติ หรือธรรม มะนั่นเอง อันว่าข้อจำกัดนี้แหละที่มักเข้าใจผิดว่าคือการแบ่งชั้นวรรณะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โกหกใครหรอกแต่ตอนท่านตรัสมันกี่พันปีมาแล้วครับ แล้วนี่มันเวลาไหน คุณเข้าใจไหมว่าเวลามันเปลี่ยนไปแล้ว คุณเข้าใจภาษาโบราณเหรอครับ โอ้ะเก่งจัง คุณลองไปฝึกกรรมฐานดูสักพักก่อน เอาแบบตามตำราเป๊ะแล้วค่อยมาว่ากัน แต่ผมว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วคงไม่ต้องล่ะมั้ง เพราะปัญญามันจะเกิดเอง ติดขัดอย่างไรก็ไปถามกับพระที่ท่านมีประสบการณ์อย่างหลวงพ่อจรัญครับ อย่าให้ฝรั่งมาหลอกเราได้...?
     
  10. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    จากข้างต้นที่ลูกชายยกมานั้น แม่เอื้อมขอบอกว่า เด็กสมัยนี้เขามีความคิดเป็นของตัวเอง รวมถึงคนใหญ่ คนแก่ก็ใช่ว่าจะรู้ถูกต้องไปเสียหมดทุกอย่าง

    กรณีของเด็กคนที่วิเคราะห์พระพุทธเจ้านี้ ก็คงไม่ต่างจากที่ยายเคยคิดสงสัยว่า พระพุทธเจ้าเกิดมาเดินได้ ๗ ก้าว จริงหรอ ธรรมชาติของเด็กทุกคนสมัยนั้นมีใครทำได้บ้าง แต่ทีนี้ยายกิดสงสัยอะไรขึ้นมาแต่ไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นคน หรือ ผู้มาจากโลกอื่น แต่ยายเช่อว่าท่านต้องเคยปรากฎบนโลกนี้จริง บ้างก็มีคนมาบอกยายผีป่าว่า พระพุทธเจ้าไม่มีหรอก เป็นการรวบรวมข้อคิดของเหล่านักจิตวิทยาสมัยนั้นนำมาช่วยให้สังคมมีกฎเกณฑ์ ปั้นเรื่องขึ้น ทีนี้ถ้าคนรับข่าวสารหัวอ่อน หรอเบี่ยงไปทางใดทางหนึ่งมาก ขาดการศึกษา ขาดการอบรม ขาดตัวอย่างด้านพุทธที่ถูกต้องจริงมาเป็นแบบอย่าง ก็เขวกันหมด เขาคิดว่าเขาเจริญ แต่ที่จริงไม่ใช่

    ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์วิเคราะห์ แต่ถ้าวิเคราะหผิดพลาด จากความรู้เท่าไม่ถึงการก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี อคติต่อต้านก็ดี ทั้งหมดคนเหล่านั้น ขาดทุน!

    เดี๋ยวขอไปอาบน้ำให้ลูกใบตองตึงก่อน จะมาตอบใหม่

    ลูกสาวอีกคนรอเล่นเน็ตอยู่

    ถ้าลูกยายผีป่าตอบไม่ค่อยเข้าใจ ให้ต่อว่าแม่นะคะ เพราะลูกๆ ยายเขามือใหม่หัดโพส
     
  11. อินเดียหน้าโจร

    อินเดียหน้าโจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +259
    ผมอ่านแล้วเข้าใจเลยว่าเจ้าของบทความคิดว่ากฎแห่งกรรม
    คือการแบ่งชั้นวรรณะรูปแบบใหม่ซึ่งพูดได้เลยว่าคนละเรื่อง
    เลยยกตัวอย่างง่ายๆแบบคนทั่วไปเช่นกฎหมายสมมุติว่ากฎ
    หมายคือกฏแห่งกรรมทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วคนทำผิดย่อมได้
    รับการลงโทษปรับหรือจำคุก( สมมุติว่านั่นคือกรรม )ส่วนการ
    ได้รับทัณฑ์บนคือกรรมที่สะสมมายังใช้ไม่หมด และสำหรับ
    คนดีได้รับรางวัลใบประกาศเกีรติคุณหรือเงินรางวัลนั่นคือกรรม
    ดี แล้วถามว่ากฎหมายคือการแบ่งชนชั้นวรรณะหรือไม่คำตอบ
    ก็คือไม่ครับ ขอทาน คนรวย คนจน ต่างมีสิทธิมนุษย์ชนเท่า
    กันไม่ใช่การแบ่งชนชั้นครับเพียงแต่คนที่ทำอะไรย่อมได้รับ
    ผลนั้นซึ่งก็ถูกแล้วครับ คนที่ทำชั่วกรรมย่อมส่งมาเกิดให้ได้
    รับความทุกข์ส่วนคนทำดีก็เกิดในที่ๆดีนั่นคือผลครับไม่ใช่วรรณะ

    ปล.วรรณะคือยึดชาติกำเนิดไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่ก็ไมสามารถ
    เลื่อนชนชั้นได้แต่เราไม่ใช่ครับทำดีจะได้ดีเจริญยิ่งๆขึ้นไปยกระ
    ดับจิตใจให้สูงขึ้นบางคนเกิดมามีกรรมหมั่นทำความดีอุตสาหะ
    ก็เจริญก้าวหน้าได้นี่คือความยุติธรรมโดยแท้
     
  12. ฉัตรชัย พรหมแก

    ฉัตรชัย พรหมแก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +590
    คำว่าต่อแหล หยาบกว่า คำว่าโกหก ต่อแหลเป็นคำหยาบที่มักจะใช้กับคนที่พูดใส่ความผู้อื่นให้เดือดร้อน และ เป็นทุกข์
    หลักคำสอนของพระองค์ไม่เคยออกคำสั่ง คำสอนของพระองค์เป็นเพียงคำบอกให้รู้ว่ามี่ผลอย่างไร เหตุใดควรไม่ควร ใครจะทำตามก็ได้ไม่ทำตามก็ได้ไม่ได้บังคับใคร คุณใช้คำพูดที่รุนแรงและ หยาบคายมาก ในสาตาชาวพุทธย่อมไม่สมควรอย่างยิ่ง คำสอนทุกคำคุณไม่ได้ทดลองทำให้ถึงที่สุดแล้วตัดสินว่าพระองค์........
    เขาเรียกว่าพวกสัญญารู้้มากครับ ใจคิด วาจาพูด กายเขียน ครบ อาการ สาม พูดให้ฟังมันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ ต้องปฏิบัติให้ตัวเองรู้เองครับ
    ขอให้คุณเพียงแต่จับลมหายใจเวลานอน ให้ดูลมเฉย ๆ ไม่ต้องภาวนาใด ๆทั้งสิ้นแม้แต่คำว่าพุทโธ ให้ทำทุกวันจนครบ 1 เดือน ใน 1 เดือน ให้ รักษา ศลี 5 ด้วยทำได้หรือไม่ ไม่ต้องให้วพระ สวดมนต์ แล้วคุณค่อยมาตอบคำถามใหม่นะครับ เ.็...น้อย
     
  13. anotherthur

    anotherthur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +160
    อ่านแล้วก็ได้คิดดีนะครับ ตลกด้วย แต่เห็นใจถ้าข้อความน้องเค้าเขียนอย่างนั้นจริง ผมก็คงต้องขอขมากรรมต่อพระพุทธเจ้าให้น้องเค้าดีกว่ามั้ยครับ ที่น้องเค้าปรามาสพระพุทธเจ้า เห็นด้วยกับยายผีป่านะครับ ตัวผมเองวันก่อนก็วิเคราะห์ไปถึงจุดๆนึงเกิดความสงสัยแต่ก็ไม่กล้าไปถามใคร เพราะหนึ่งเลย กลัวที่สุดคือการปรามาสพระพุทธเจ้า ทางใจน่ะคงไม่ทันแล้วเพราะสงสัย แต่ทางวาจากับใจยังไม่ทำ ก็คงดีกว่า เรามาร่วมกันขอขมากรรมให้น้องเค้าแล้วกันนะครับ ถ้าขอแทนกันได้น่ะนะครับ

    สำหรับคำถามที่น้องเค้าถามว่าทำไมคนทำชั่วได้ดี คนทำดีไม่ได้อะไรเลย ก็ต้องถามล่ะครับ ว่าเอาเกณฑ์อะไรวัด สมมติว่ามีดินสอ1แท่ง เราบอกว่ายาว แต่เอาไปวัดกับไม้บรรทัด มันกลับสั้น พอเราว่าไม้บรรทัดยาว ไปเจอท่อนซุงเราก็ว่าซุงยาวกว่า คนชั่วคนดี ดูกันตรงไหน ตัดสินกันตรงไหน แล้วได้ดีคืออะไร ไม่ได้ดีคืออะไร อันนี้นิยามต้องแน่นนะครับ ถ้าไม่แน่นล่ะก็ สงสัย เรื่องนี้เป็นปกิณกะที่เถียงไม่จบสิ้นครับ

    มาคิดอีกอย่างเรื่องการแบ่งชั้นวรรณะ ก็เป็นเรื่องทางรัฐศาสตร์และการปกครอง ดังนั้น ถ้าคิดว่าแบ่งด้วยบาปบุญ แล้วล่ะก็ ไม่รู้จะเอาเกณฑ์ไหนมาวัดดีนะเนี่ย อย่างที่ทุกท่านบอกแหละครับ พระศาสนาเปิดกว้างให้กับโจรด้วยซ้ำ ไม่ว่าชาติกำเนิด หรือว่ากรรมแบบใด ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมได้ เพียงแต่ว่าได้ปฏิบัติแล้วหรือยัง

    ให้ความคิดเห็นไว้แบบนี้แหละครับ

    อย่าไปว่าน้องเค้าที่ไม่รู้ เพราะว่าคนไม่รู้ไม่ได้มีเพียงคนเดียวครับ แต่ว่ามาร่วมกันขอขมาเผื่อน้องเค้าดีกว่ามั้ยครับ
    ด้วยความเคารพ
     
  14. wood

    wood เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +359
    complicate

    มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากๆครับ ยากที่จะอธิบายได้เข้าใจ
    พระพุทธองค์เมื่อครั้งที่ท่านตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านยังเกิดความท้อใจที่จะทำให้คนอื่นๆเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้เลยครับ

    คือตามที่ผมเข้าใจ เรื่องธรรมะ หรือเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมนั้น มันซับซ้อนกว่าที่คนเพิ่งเริ่มเรียนรู้เข้าใจมากๆ ยากที่จะอธิบายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ต้องอาศัยเวลาหน่อย

    พระองค์พยายามทำให้เราเข้าใจ แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่นปัญญาของผู้ที่ท่านจะสอน ท่านสอนคนที่มีปัญญามากอย่างซับซ้อนกว่าที่สอนกับคนที่มีปัญญาน้อยกว่า เพราะสามารถเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนได้มากกว่า

    ยกตัวอย่างเรื่องที่ท่านสอนเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมนั้น ผมลองเทียบดูกับน้ำในทุกๆแหล่งของโลกให้ดูนะครับ เวลาท่านสอนเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างง่ายๆเช่น มีคนถามว่าทำไมจึงเกิดมาเป็นอย่างนี้ ถ้าพระพุทธองค์ท่านอธิบายอย่างง่ายๆท่านก็จะบอกว่า เพราะทำกรรมแบบนั้นแบบนี้ไว้ ซึ่งเป็นการอธิบายแบบง่ายๆเทียบได้กับท่านสอนให้เรารู้จักทะเล หรือแม่น้ำใหญ่ แต่ถ้าจะอธิบายให้ผู้มีปัญญามากเข้าใจก็จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น เช่นแทนที่จะบอกให้รู้แค่แม่น้ำ เช่นแม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะบอกว่า แม่น้ำเจ้าพระยาประกอบด้วยแม่น้ำอีก 4สายไหลมาบรรจบกันคือปิง วัง ยม น่านเป็นต้น ถ้าสอนผู้ที่มีปัญญามากขึ้นไปอีก ก็จะรู้ว่า แม่น้ำทั้ง4 ก็ประกอบมาจากแม่น้ำย่อยๆ หรือถ้าสูงขึ้นไปอีกก็จะรู้ว่ามาจากลำคลอง สายน้ำเล็กๆ คือละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ความรู้ของพระองค์ไม่ใช่แค่ละเอียดระดับสายน้ำเล็กๆนะครับ ความรู้ของท่านเทียบได้กับทุกอณูของน้ำในโลกรวมไปถึงไอน้ำในอากาศ ไม่ใช่น้ำแต่ละหยดนะครับ ผมว่าละเอียดกว่าเยอะ ระดับโมเลกุลเลยก็คงกล่าวได้

    จึงไม่แปลกใจเลยที่ท่านเกิดความท้อใจในตอนแรกที่คิดสอนผู้เบาปัญญาอย่างเราๆท่านๆหลายๆคน

    จาก คนที่รู้ตัวว่าโง่ที่สุดในโลก
     
  15. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    1. เจ้าของกระทู้ควรเปิดใจและตั้งใจศึษาหาความจริงเกี่ยวกับสาสนาพุทธให้มาก เจ้าตำรา หรือการใช้เหตุผลต่าง ๆ นา ๆ อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองด้วย
    2. ศาสนาพุทธสอนธรรมะ คือธรรมชาติของกาย และจิตเป็นหลักเพื่อให้เข้าใจสภาวะที่แท้จริง
    3. อันรากเหง้าต้นตอของปัญหาทั้งปวงคือ ความไม่รู้ "อวิชชา" ในนั้นมีความไม่รู้อดีตไม่รู้อนาคตอยู่ด้วย มีไม่รู้อีก 2 อย่างกับ การไม่เห็นสัจธรรมความเป็นจริงของสรรพสิ่ง (ไตรลักษณ์) เท่านี้ทุกอย่างก็เป็นอย่างทีเราเป็นอยู่ เห็นอย่างที่เราเห็นอยู่ คือมืดบอดเกือบสนิท ไม่ต้องไปหาคำตอบข้อสงสัยอะไร
    4. ความเห็นที่ว่ามีความขัดแย้งกันเองในคำสอน เป็นความเห็นหรือประสบการณ์ผิดเพราะผู้นั้นยังมีความรู้ไม่มากพอเกือบทุกด้าน ในทางตรงข้ามคำสอนหรือหลักการต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนากับประสานกลมกลืนโยงใยแบบใยแมงมุมที่ไม่มีการขาด เดินได้อย่างไม่มีทางตัน
    5... ควรปฏิบัติ กรรมฐานเพื่อให้ทราบความจริง เอาแค่ให้ได้ ปุปเพนิวาสนานุสติญาณ คือละลึกชาติได้ คงจะตอบข้อสงสัยของตนเองเรื่องกรรมได้ไม่น้อย (เห็นแล้วก็อย่าร้องไห้น้ำตาตกก็แล้วกัน ว่าแต่ก่อนเก่าเราทำไปได้ถึงเพียวนี้หรือ) ถ้ายังทำไม่ได้ ก็อย่าปามาสผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรมครูพระตถาคตเจ้า และก็อย่าเอาตัวเราเองซึ่งบุญบารมีและความสามารถเพียงแค่เศษฝุ่นของขยะจะไปเทียบกับพลังดวงอาทิตย์ นอกจากจะเทียบไม่ได้แล้วยังอาจจะไหม้เป็นจุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2007
  16. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ว่าไปแล้วกระทู้นี้ก็เข้าข่ายเรื่อง การสงสัยในเรื่องอะจินไตย ดังนั้นพวกเราเอ๋ย ป่วยการเปล่าจะไขข้อสงสัย มีทางเดียวทำลายความไม่รู้หรืออะวิชาให้สิ้นเชิง กพอดีบรรละพระอรหันต์จะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรอีก

    เรื่องอะจินไตย คือสิ่งที่เหนือการจินตนาการและการด้นเดาที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไม่ควรคิดมี 4 อย่างเพราะจะทำให้บ้าได้ คือไม่มีที่ลง มันเป็นเรืองที่เหนือความสามารของคนธรรมดาที่จะรู้ได้จริงและถูกต้อง

    1. ไม่ควรคิดเรื่องความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะเป็นคุณลักษณะพิเศษที่เหนือจะอธิบาย
    2. ไม่ควรคิดเรื่องฌาน อันนี้คงจะหมายรวมถึงเรื่องอภิญญา เรื่องฤทธิ์
    3. ไม่ควรคิดสงสัยเรื่องกรรม
    4. ไมควรคิดเรื่องธรรมชาติต่าง ๆ (คือวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เพราะค้นเทาไหร่ก้ไม่มีทางที่จะรู้สรรพสิ่ทุกอย่างหมด โลกก็แตกเสียก่อน)

    สรุปแล้วกระทู้นี้ ก็เข้าข่ายคิดเรื่องอะจินไตย ท่านอุตส่าห์ห้ามคนก็ยังอุตสาห์คิด เพราะคนเราปัจจุบันนี้เข้าใจว่าวิทยาการที่เรามีอยู่เหนือสิ่งใด ๆ และก็มั่นใจตนเองมากไปที่คิดว่าตนเองรู้และเข้าใจอะไรได้หมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2007
  17. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    ข้อได้โปรดปรับหัวข้อกระทู้ให้ชัดเจนเถิดนะครับ ผมตกใจมากๆ ขนหัวลุกเลย อันตรายมากๆ น่ากลัวมากไปครับ น่าจะคิดหัวข้อที่ดีกว่านี้ ใช้ข้อความที่นอบน้อมดีกว่าไหมครับ แก้ไขได้หรือเปล่าครับ ?
     
  18. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    เห็นข้อความที่ขึ้นมาก็มองเห็นความพินาศของเจ้าของบทความแล้ว ครับ

    คงไม่มีอะไรไปคอมเม้นท์พวกบัวเหล่าที่สี่พวกนี้ คงต้องปล่อยให้เป็นอาหารของ เต่า ปลา ไปน่ะ
     
  19. mmie

    mmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,986
    ลูกศิษย์ของพระพุทธองค์มีมากเท่าไหร่ ลูกศิษย์ของพระเทวทัตก็มากไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันหรอกนะ...

    เราไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้...เพียงแต่ต้องระวังความคิดของตัวเราไว้ให้ดี มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา...ระวังรักษา กาย วาจา ใจ ให้ดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

    สำหรับเรื่องนี้ อุเบกขา เถอะนะ...อย่าไปถือโทษโกรธเขาเลย จะนำพาให้จิตใจเราเศร้าหมองเปล่า ๆ...

    ขอให้เขาได้เป็นองคุลีมาลกลับใจในซักวันนึงละกัน !!! สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2007
  20. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    อ่านบทความนี้แล้วเสียวสันหลัง ว้าบๆ ตลอดเลย เหอๆ กลัวจริงๆ ไม่รู้ว่าคนเขียนจะต้องตกนรกขุมไหนกันเนี่ย ที่กล่าวออกไปอย่างนั้น

    จริงๆแล้วแค่เห็นชื่อกระทู้ก็ไม่อยากจะเข้ามาอ่านแล้ว เพราะถึงแม้เข้ามาก็คงไม่รู้จะอธิบายให้คนเห็นผิด เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นเข้าใจได้อย่างไร แต่ก็อดไม่ได้จริงเชียว

    เอาล่ะ เรื่องของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอจินไตย แต่ก็ไม่ใช่คิดไม่ได้ แต่ควรคิดอย่างมีขอบเขต เพราะนอกจากนั้นก็เหนือวิสัยที่เราจะรับรู้แล้ว เรื่องบางเรื่อง รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ส่วนหนึ่งก็ไกลตัวเราเกินไป เช่นเรื่องจักรวาลมีที่สิ้นสุดมั้ย ตรงนี้อยากจะบอก พุทธสาวก พุทธสาวิกาไว้ว่า ตราบใดที่เข้าถึงความเป็นอรหันต์เมื่อใด ตราบนั้นก็จะรู้เอง ถ้าเมื่อใดยังไม่ถึง ก็ปฏิบัติไปอย่างนั้นก่อน เพราะความลังเลสงสัย จะเป็นตัวสกัดกั้นไม่ให้การเจริญภาวนาของเราก้าวหน้าได้ ซึ่งตัวนี้เป็น 1 ใน นิวรณ์ 5 หลายๆท่านคงทราบกันดี

    ส่วนตัวผมเอง มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและศาสนาพุทธมาก สิ่งใดที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อได้เห็นข้อความที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะไปอธิบายให้เข้าใจนะ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขา จะมีทิฏฐิแรงเท่าไหน ถ้าไม่งั้นก็คงต้องทรงอุเบกขาตามเดิมต่อไป เฮ้อ!!!

    ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ร้ายแรงยิ่งนัก เป็นตัวขวางกั้นทางไปสู่นิพพานเลยล่ะ

    มิจฉาทิฏฐิ ≠ สัมมาทิฏฐิ

    มิจฉาทิฏฐิ ไปทุคติ มีนรกเป็นต้น
    สัมมาทิฏฐิ ไปสุคติ มีสวรรค์เป็นต้น

    ท่านผู้นั้นจะเลือกทางใดเล่า เมื่อทุกๆคนต่างก็เห็นว่า ความคิดเช่นนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความคิดที่เห็นผิด ถ้ายังจะเห็นอย่างนั้นอยู่ก็เอา เลือกเดินตามสบาย

    เส้นทางมีอยู่ หนทางมีอยู่ แต่อยู่ที่เราจะเลือกเดินนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...