อย่าเลยพระพุทธเจ้า อย่าเลยครูอาจารย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณฑ์, 28 มีนาคม 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    นั้นคุณปุณ ยัดจ้อหาผมแล้ว ผมบอกว่าไม่ใช่ขัดแย้งกับผมนะนั้นเป็นพุทธวจน ถ้าใครขัดแย้งเท่ากับขัดแย้งพุทธวจนนะครับ
     
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็ควรยกพระวจนะมาเลย
    อย่ากล่าวในสิ่งที่คุณเข้าใจตีความ แล้วบอกว่าเป็นพระวัจนะ
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อ้าวที่หลวงปู่หลวงตาท่านกล่าวทำไมท่านไม่ท้วงบ้างล่ะว่า เอาพุทธวจนมาหน่อยค่ะ
     
  4. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คำสอนท่านที่เกิดมาจากการปฏิบัติการเข้าถึงธรรม ท่านจะว่าเป็นพระวจนทำไม

    แล้วมีกลุ่มที่ต้องพระวจนะเท่านั้นขึ้นมา..
    เลยครูอาจารย์ไป..เลยพระรัตนตรัยไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2013
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไม่มีใครเลยอะไรหรอกครับ เพียงตั้งใจทำตามพระดำรัสพระศาสดานะครับ เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาให้คงอยู่นานตราบเท่าที่จะทำได้ เห็นนด้วยมั้ยล่ะครับ ศาสนาพระพุทธองค์เป็นศาสนาแห่งความรู้นะครับ ไม่ได้เป็นศาสนาแห่งความเชื่อ และถ้าความรู้ที่ถูกต้องถูกปิดเบื่อน ด้วยความหวังดีแต่ไม่ตรงตามความประสงค์ของพระศาสดา เราจะเดินตรงกันได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องรักษาคำแท้ของพระองค์ไว้ครับ
     
  6. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นี่คือพระวัจจนะ

         พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้นุ่งผ้า เลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้างเล่า การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้ พระบัญญัติ              ๑๔๖. ๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล. สิกขาบทวิภังค์              อันภิกษุนุ่งปิดมณฑลสะดือ มณฑลเข่า ชื่อว่านุ่งเป็นปริมณฑล.              ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้าหรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติทุกกฏ.

    เสขิยวัตรข้อแรกใน 75 ข้อ
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ส่วนที่บอกว่าสิกขาบท 150 ข้อถ้วนนั้น

    มีอะไรบ้าง และ คำว่า ถ้วน นี่แปลจากคำบาลีว่าอะไร

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสรายละเอียดไหมว่า 150 ถ้วนนั้นมีอะไรบ้าง
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านว่าจีวรพระ นั้นถูกพระวินัยเป็นอย่างไรครับ สีเหลืองอย่างปัจจุบันผิดมั้ยครับ ไม่ย้อมนำฝาดผิดมั้ยครับ
    ทำไมเสขิยวัตร ไม่เรียกว่า 70กว่า ตรงตัวเลย ที่150 บอกกว่า เราอย่าเถียงเรื่องนี้เลย มันหาข้อลงตัวไม่ได้หรอกครับ มันชัดเจนอยู่แล้วที่ท่านกล่าว
    ] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน ซึ่งกุลบุตร
    ทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลายสิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้น
    รวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คืออธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญา
    สิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓นี้แล ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด
    บาลีสยามรัฐก็แสดงชัดพระสูตรนี้ หลังจากนั้น 227ก็ไม่เคยแสดง ท่านทำกันใหม่เพราะหวังดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เรายึดในสิ่งที่เป็นพุทธวจนเท่านั้นครับ
     
  9. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้อง อาบัติทุกกฏ. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเมื่อมีอันตราย              สมัยต่อมา ณ อาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท คนชาวดงได้มาพลุกพล่านในวันอุโบสถ. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจสวดปาติโมกข์โดยพิสดาร จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มี พระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวด ปาติโมกข์ย่อ. อันตราย ๑๐ ประการ              สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ แม้เมื่ออันตรายไม่มี ก็สวดปาติโมกข์ย่อ. ภิกษุทั้งหลายจึง กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มีอันตราย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.              เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.              อันตรายในเรื่องนั้นเหล่านี้ คือ                           ๑. พระราชาเสด็จมา                           ๒. โจรมาปล้น                           ๓. ไฟไหม้                           ๔. น้ำหลากมา                           ๕. คนมามาก                           ๖. ผีเข้าภิกษุ                           ๗. สัตว์ร้ายเข้ามา                           ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา                           ๙. ภิกษุอาพาธหนักจะถึงเสียชีวิต                           ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อในเพราะอันตรายเห็นปานนี้ เมื่อไม่มี อันตราย ให้สวดโดยพิสดาร.

    นี่ก็พระวัจนะเหมือนกัน
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=04&A=4420&Z=4480
     
  10. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ชัดตรงไหน ขอแบ่งเป็นกรณีดังนี้
    1 แปลผิด คำว่าถ้วนภาษาบาลีว่าอะไร แต่เจ้าคุณประยุทธ อธิบายว่า ที่ถูกคือ แปลว่า พร้อมด้วยส่วนที่เกิน เพราะ มาจาก คำว่า สาธิกัง คือ สะหะ (พร้อมทั้ง) + อธิกัง (ส่วนที่เกิน) ถ้าแปลว่าถ้วนขอคำอธิบายเพื่อ เป็นความรู้หน่อยว่า มาจากคำว่าอะไร ที่แปลว่าถ้วน แล้วที่ท่านเจ้าคุณปยุต อธิบายมาผิดตรงไหน นี่เรากำลังวิเคราะห์พระพุทธพจน์เพื่อให้ถูกต้องตรงตามจริงอยู่

    2. แปลถูก ถ้าคิดว่า แปลเป็น 150 ถ้วน แล้ว ประกอบด้วยอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายไว้หรือไม่ ทำไมถึงแน่ใจว่า สวด 150 ข้อ นี่ รายละเอียด 150 ข้อจะถูกตรงกับที่พระพุทธเจ้าบอก

    ส่วนทำไมเรียก 150 กว่า ข้อ น่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงกลางพุทธกาล สิกขาบทยังไม่นิ่ง ยังเพิ่มได้อีก ส่วน เสขิย 75 นี่รวบรวมเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ตัวเลขจึงนิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2013
  11. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419

    ภิกษุทั้งหลาย อธิสิลสิกขา เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีศิล สำรวมด้วยปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมารยาทเเละโคจร
    มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายเเม้ว่าเป็นโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
    ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า อธิสิลสิกขา



    จะมีพระสูตรที่อธิบายชื่อเเละจำเเนกศิล ทั้ง3อย่างนี้ชัดๆอยู่
    เช่นวัตถุประสงค์ของมารยาทเเละโคจร เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส
    ซึ่งจะไปตรงกับ เสขียวัตร(วัตรของความมีมารยาท)นั่นเอง
    เเต่จำไม่ได้เท่านั้น ว่าอยู่สูตรไหน
    อย่างไรก็ตามก็ต้องสมาทานสิกขาทั้ง3 เเละจะเห็นว่า

    ศิล3ส่วนพระองค์เเยกไว้อยู่ชัดเจน จะไม่รวมกัน มี 3ระบบ เเต่ตอนนี้ที่รู้จักกัน คือ ปาฏิโมกข์ สวด277 หรือ เท่าไหร่นั้นก็ต้องให้คนที่เค้าศึกษาตรวจสอบกันเอง
     
  12. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คงต้องเป็นเช่นนั้นผมก็ว่าป็นเรื่องของพระสงฆ์เราหราวาสอย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า
     
  13. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พุทธวจนก็มี150ข้อที่ท่านให้สวด สวนหลังจากนั้นก็ให้ถือเพิ่มเติม แต่พระองค์ก็ไม่ได้กล่าวไว้เลย อาจจะเป็นไปได้ว่าไม่ต้องสวด แต่ที่เรียบเรียงใหม่ใส่เข้าไปเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ ส่วนการสวดนั้นจะผิดถกประการใดก็แล้วแต่ พระภิกษุที่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองคิด พุทธวจนมีแค่นั้น ท่านตั้งธงที่พุทธวจนก็คงต้องทำไปอย่างนั้น แต่ส่วนตัวท่านรักษาเป็นพันๆข้อ
     
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคม
    พระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    พระองค์ตรัสว่า เสขะๆ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอ บุคคลจึงชื่อว่าเป็นเสขะ
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ที่เรียกชื่อว่าเสขะ ด้วยเหตุว่ายังต้องศึกษา ศึกษาอะไร
    ศึกษาอธิศีลสิกขา ศึกษาอธิจิตตสิกขา และศึกษาอธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุ ที่เรียกชื่อว่าเสขะ
    ด้วยเหตุว่ายังต้องศึกษาแล ฯ
    สำหรับพระเสขะผู้ศึกษาอยู่ ปฏิบัติตามทางตรง เกิดญาณในความ
    สิ้นไปก่อน แต่นั้น คือ แต่มรรคญาณที่ ๔ อรหัตผลจึงเกิดใน
    ลำดับต่อไป ต่อจากนั้น ท่านผู้พ้นด้วยอรหัตผลผู้คงที่ มีญาณเกิดขึ้น
    ในความสิ้นภวสังโยชน์ว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ดังนี้ ฯ
    เสขสูตรที่ ๒
    [๕๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน ซึ่งกุลบุตร
    ทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลายสิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้น
    รวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คืออธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญา
    สิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓นี้แล ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณในสมาธิ
    เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง
    ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้แต่ว่า
    สิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน
    และเป็นผู้มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็น
    พระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไปเป็นผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะ
    ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ
    พอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
    ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะ
    ล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์สมควรแก่พรหมจรรย์
    เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้นสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท
    ทั้งหลาย เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ
    และโมหะเบาบาง จะมายังโลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำพอ
    ประมาณในปัญญาเธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะ
    เหตุไรเพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่สิกขาบทเหล่าใด
    เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงใน
    สิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นผู้ผุดขึ้นเกิด จักปรินิพพานใน
    ภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ หมดสิ้นไป ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ
    เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้น
    เพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบท
    เหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีล
    มั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายเธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ
    ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จบางส่วน ผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้
    สำเร็จได้บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่า ไม่เป็นหมันเลย ฯ
    เสขสูตรที่ ๓
    [๕๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ ย่อมมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน ซึ่ง
    กุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลายสิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท
    ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ เป็นไฉน คืออธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑
    อธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓นี้แล ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณในสมาธิ
    เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะเหตุล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่า
    สิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน
    และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระ
    สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไปท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์อย่าง
    มากเจ็ดครั้ง แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้เธอเป็นพระโกลังโกละโสดาบัน เพราะสังโยชน์
    ๓ หมดสิ้นไป ท่องเที่ยวไปสู่๒ หรือ ๓ ตระกูล (ภพ) แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เธอเป็น
    พระเอกพิชีโสดาบันเพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป มาเกิดยังภพนี้ภพเดียวเท่านั้นแล้ว จักทำ
    ที่สุดแห่งทุกข์ได้ เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป และเพราะราคะ
    โทสะ และโมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีลเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำพอ
    ประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะ
    เหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะเหตุล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด
    เป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงใน
    สิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ หมด
    สิ้นไป เธอเป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
    เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี เป็นพระอนาคามี
    ผู้อันตราปรินิพพายี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ
    ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออก
    จากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะเหตุล่วง
    สิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์สมควรแก่พรหมจรรย์
    เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้นสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
    เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา
    อันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จได้
    บางส่วนผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำเร็จได้บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขา
    บททั้งหลายว่า ไม่เป็นหมันเลย ฯ

    ท่านลองดูพระสูตรนี้นะครับ ทุกอย่างท่านบอกว่ารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมดใน150ข้อ บรรลุเป็นอรหันต์ได้แล้ว
     
  15. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419

    พระโสดาบันเป็นผู้พอประมานในสมาธิ

    เเล้วจะวัดอย่างไหน? ก็ต้องวัดต่อจากที่พระองค์ตรัสไว้ใน อธิจิตตสิกขา


    ภิกษุทั้งหลาย อธิจิตตสิกขา เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้
    สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน...ทุติยฌาน..ตติยฌาน..จตุตฌาน
    เเล้วเเลอยู่ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า จิตตสิกขา


    ^
    นี้สิกขาของพระโสดาบัน
     
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    จะเห็นได้ว่าพระสูตรที่ยกมานี้นั้น ก็บรรลุทำอาสวะได้แล้ว และพระวินัยในบาลีสยามรัฐนั้นไม่มีคำกล่าวจากพระพุทธองค์เลย เป้นการกล่าวถึงเท่านั้น แต่ออกจากปากพระองค์มีตั้งหลายสูตรกล่าวพียง150 เท่านั้น
     
  17. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อันที่จิน โคเรา มันไม่มิทัง เลย พระพุทธเจ้าอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้เลย
    ที่จะมีการ เลยพระพุทธเจ้า คำๆนี้ เป็นคำเท็จ ล้างเธอร์เซ็ง ( 1,000,000% )

    คนที่ใช้คำว่า เลยพระพุทธเจ้า จึงควรรู้ว่า กำลังกล่าวความเท็จ เป็นอันดับแรก

    แต่ถ้า กำลังกล่าวความเท็จแล้วไม่รู้ มาลอง วิแคะกันว่า เกิดจากสาเหตุใด

    แน่นอนเลยว่า ขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ ไม่มีความ รู้แจ้งเห็นจริง !

    แล้วทำไมยังกล่าว มานั่ง ตะแคงคิด ก็เห็นจะมีอยู่เคสเดียว คือ สู้นายกปู ไม่ได้ !! <img src='http://blog.eduzones.com/images/blog/entertain/20110721150946.jpg' width=64>

    หรือที่เรียกว่า เกิดอาการ เอาไม่อยู่ !! อะซิ๊ก อะซิ๊ก

    เอาอะไรไม่อยู่ ก็ เอาลูกศิษย์ในสำนักตนนั่นแหละ เอาไม่อยู่

    ทำไมเอาไม่อยู่ เพราะหญ้ามันรก เพราะฝนมันตก เพราะกบ
    มันร้อง เพราะท้องมันปวด มันหิว !!!

    หิวแล้วก็ชวนกัน สวดนอกลู่นอกทาง นอกตำรา สวดคาถาจับมาพัด สิวะลี สิวะดี
    สวดกันล่อเข้าไป 108 จบ !! นำมาสู่ สนเทศ ทุกกึ่มเดือน

    ศิษยมันก็เลยโดนความโลภ ห้อมล้อม ห้อมล้อมมากๆเข้า มันก็ไม่ ฟังครู มัน
    อยากได้ อยากรวย อวดเก่ง ทศพลยานสารพัด สวดแล้วก็ถามว่า ทำไมไม่รวย
    สักที ทำไมยังหนีภัยพิบัติไม่ได้ !! ยังต้องสะดุ้งจนเขื่อนไหว ปลาบู่ร้องกู้

    ศิษย์มีแต่ความโลภ ความงุนงง สุดท้ายเลย " เอาไม่อยู่ "

    เรียก เริ่มเกินครู เกินรัตนแกวสีแดง แรงฤทธิ์ !!

    แต่ จะอ้างว่า " เกินครู " เพียงลำพัง มันก็ ประเจิดประเจ้อ ดูแล้ว
    ก็แสนจะเก้อเขิน ก็เลยต้อง สร้างคำมาสอดรับ ให้ดูดี ซี แอน อี
    ว่า " เกินพระพุทธเจ้า "

    มันมีที่ไหน เกินพระพุทธเจ้า ......

    เอาไม่อยู่ นั่นแหละ ถ้า เอาอยู่ มีหรือจะต้องไปอาศัยคำว่า " เกินพระพุทธเจ้า "
    ขึ้นมาเป็น มายาคติซ้อนตัณหา โกโซบิ๊กตู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2013
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    จริงหรือที่ว่าไม่มี

    ลองไปดูเรื่องเสขิยะ ดูนะ

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้ . . .

    ในวินัยปิฎก ท่านก็ให้แสดงเสขิยะนี่

    เท่าที่ผมรู้ ทางวัดนาฯ ตัด เสขิยะ กับ อนิยตะ ออกไป ใช่หรือไม่

    แต่ พระพุทธพจน์ บอกให้แสดงด้วย อย่างนี้จะบอกว่า ทำตามพระพุทธพจน์หรือ

    ถ้าจะยึดตรรกว่า พระวินัยไม่ใช่คำพูดศาสดา ก็คงต้องบอกว่า พระสูตรไม่ใช่คำพูดของพระศาสดาด้วยงั้นหรือ เพราะ พระอานนท์ เป็นผู้บอกเล่า จำมาพูด

    จริงๆแล้วไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย (พระอุบาลีจำมาพูด) หรือพระสูตร (พระอานนท์จำมาพูด) ก็เป็นคำพูดของศาสดาทั้งสิ้นเพียงแต่สาวกจำมาพูด จะบอกว่าพระวินัยไม่ใช่คำพูดของพระศาสดา ก็ไม่ถูก
     
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ถ้าพุทธวจนแสดงไว้ให้แสดงก็ต้องแสดง แต่วัดจะตัดตรงไหนผมไม่ทราบนะ แต่ที่พุทธวจนกล่าวไว้150ข้อนั้น เป็นประเด็นว่า สวด150ข้อแต่จะ ส่วนไหนเกิน ส่วนไหนขาด ก็ว่ากันไปเป็นเรื่องของพระท่าน ผมไม่ค่อยสนใจนะแต่พุทธวจนนั้นยืนยันได้ว่า150ครับ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และมันสำคัญแค่ไหนอันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ เพราะที่จริงแล้วมันหาจุดสมบูรณ์ไม่ได้จริงๆเพราะพระองค์ก็แสดงไว้อย่างนั้น สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้วมันไม่ผิดเลยมันก็สวนทางกับธรรมะที่ว่า ทุกอย่างเสื่อมไปตามกาล เอาไว้ ผมจะค่อยๆดูไปเรื่อยๆ
     
  20. Satoranai

    Satoranai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +263
    ขอผมโชว์โง่หน่อยแล้วกันครับ
    พึ่งถึงบางอ้อว่า แนวทางการปฏิบัติของสำนักวัดนาป่าพง นั้น มีหัวใจอยู่ที่นี่เอง

    "เพียงท่องให้คล่องปากขึ้นใจ ก็สามารถไปบรรลุธรรม"

    ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วครับ เจ๋งจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...