ปรอทสำเร็จ ของดีจากตำนาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ทิพยจักร, 26 พฤศจิกายน 2012.

  1. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    สวยงามเข้มขลังจริงๆค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากไปชมพิธีหุงจริงๆค่ะ แต่เป็นผู้หญิงคงเข้าพิธีไม่ได้:':)'(
     
  2. ทิพยจักร

    ทิพยจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +10,078
    โปรแกรมผมอาทิตย์นี้ค่อนข้างเต็มครับ พี่ไปกราบท่านเลยอนุโมทนาล่วงหน้า ถ้าผมไปคงเป็นวันพฤหัสครับ
     
  3. torr200925

    torr200925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    753
    ค่าพลัง:
    +2,684
    อยากให้คุณพรหมณี หุงด้วยกสินไปลองดูอยู่ครับ :cool::cool::cool:
     
  4. ทิพยจักร

    ทิพยจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +10,078
    คุณพรหมณี มีประสบการณ์การทำสมาธิที่น่าสนใจมาก อีกอย่างคือประสบการณ์จากการถ่ายพลังปราณลงในวัตถุธาตุต่างๆจนเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการถ่ายธาตุไฟลงในกายสิทธิ์หรือการหาสื่อเพื่อเป็นตัวกลางในการรองรับพลังงาน ผมว่าประสบการณ์นี้หลายๆท่านอ่านแล้วคงได้ประโยชน์มากครับ เพราะเชื่อว่าหลายๆท่านอาจคิดหาวิธีการทำสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกับกายสิทธิ์ที่ตนเองมีอยู่อย่างแน่นอน และบางท่านอาจมีปัญหาเรื่องเตโชธาตุภายในร่างกาย

    ปัญหาเรื่องเตโชธาตุภายใน มีมาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากธาตุเจ้าเรือน การฝึกพลังจักรวาล การฝึกการเดินธาตุ การฝึกปราณและกุณฑาลิณี เหล่านี้มีผลต่อธาตุไฟในร่างกาย หากได้ธาตุที่เหมาะสมในการถ่ายเทความร้อนลงไปจะสามารถปรับธาตุให้สมดุลได้และเกิดความก้าวหน้าในการทำสมาธิต่อไป แต่ถ้าไม่สามารถปรับธาตุในตัวได้จะเกิดปัญหาอีกหลายอย่างติดตามมาครับ

    ประสบการณ์ในการผ่านด่านสมาธิแต่ท่านที่นำมาลงมีคุณค่ามากครับ

    ขออนุโมทนาคุณพรหมณีและทุกท่านด้วยครับ

    ปล. ภาพคตไม้งิ้วดำและพระพุทธรูปทวาราวดี สุดยอดมากๆครับ
     
  5. Thana 2

    Thana 2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +2,878

    ขอบคุณมากๆครับสำหรับข้อมูลที่ผมชอบเพราะว่าอนาคตข้างหน้าประเทศไทยคงจะร้อนมากๆนะครับ แต่บ้านใดมีเหล็กเปียกบ้านนั้นจะร่มรื่อนเย็นสบายนะครับ ผมชอบคุณสมบัตินี้มากครับ
     
  6. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    การฝึกเดินธาตุหรือการฝึกปราณนั้นจริงๆมันเป็นเรื่องของการเดินจิตล้วนๆเลยค่ะ มันเป็นการต่อยอดของการทำสมาธิให้จิตสงบ กับการฝึกสติปัฏฐาน 4 แบบเต็มรูปแบบ ตอนแรกมีปัญหาเรื่องธาตุไฟในกายมันเกินไม่สมดุลย์ ตอนหลังต้องเข้าไปนั่งเดินธาตุในถ้ำกูปเพียงคนเดียว ในถ้ำจะมีพระพุทธรูปโบราณที่ทำมาจากตะกั่วทั้งองค์ ภายหลังพระที่วัดนำสีมาทาทับเพื่อความสวยงาม

    ภายหลังจึงทราบว่าตะกั่วสามารถซึมซับธาตุแต่ละธาตุไ้ด้ดี โดยเฉพาะธาตุไฟ เวลาไปนั่งเดินธาตุ ท่านจะซับพลังงานเราไปด้วยในตัวค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2013
  7. ทิพยจักร

    ทิพยจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +10,078
    ผมเชื่อเรื่องแรงครูนะ อย่างอาจารย์โยธินท่านก็มีสูตรว่านยามานานหุงเท่าไหร่ไม่สำเร็จ แต่พอบวงสรวงบอกกล่าวครูกลับทำได้ คุณพรหมณีเองมีครูอยู่กับตัว ถ้าท่านเมตตาซะอย่างอะไรก็ง่าย เรียกว่ามติเทวดาท่านจัดให้ครับ คนธรรมดาหรือจะสู้ฟ้าบันดาล และถ้าคนพยายามมีหรือฟ้าจะไม่เป็นใจ

    การหุงปรอทเป็นเรื่องลี้ลับ มีเงื่อนกำหนดในการทำไว้หลายอย่าง แต่รวมแล้วอยู่ที่ศีลบริสุทธิ์ กายวาจาใจบริสุทธิ์ พิธีบริสุทธิ์ และมิใช่เป็นการหุงด้วยอำนาจพลังจากตัวเราเพียงคนเดียวต้องอาศัยอำนาจจากสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นช่วยกำกับการหุงทุกครั้งไป ไม่เช่นนั้นก็หุงไม่สำเร็จ ปรอทอาจไม่รวมตัวหรือรวมตัวแล้วแตกหรือแม้กระทั่งปะทุระเบิด หรือเสด็จหนีหายไปเฉยๆก็ได้
     
  8. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    พอดีเพิ่งจะ pm ไปถามคนที่รู้เรื่องการหุงปรอทอย่างดีในสายพม่า แต่ถามแล้วไม่ค่อยจะอยากตอบเท่าไหร่ค่ะ....แต่ก็ตอบมาน่าสนใจทีเดียวค่ะในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุปรอทก็คือ "การดึงกำลังธาตุภายนอกมาใช้ได้โดยตรงที่แตกต่างกับพวกนักเวทบ้านเราที่ต้องดึงธาตุต่างๆมาเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณก่อนที่จะใช้ออกมาเป็นธาตุต่างๆในรูปแบบต่างๆ"

    ตรงนี้คงเกี่ยวเนื่องกับเรื่องวิญญาณธาตุในสายสมเด็จลุน เคยคุยกับน้องเขาเหมือนกันเขาก็บอกว่าต้องฝึกธาตุขันธ์และอายาตนสัมพันธ์ถึงจะเข้าใจในเรื่องของวิญญาณธาตุ

    ก็ถือว่าเป็นการศึกษาปนกับความอยากรู้อยากเห็นของตัวดิฉันเองด้วยค่ะ
     
  9. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ไหนๆเรามาคุยเรื่องกายสิทธิ์หรือธาตุวิเศษกันแล้ว....แต่เราจะนำธาตุวิเศษที่เราได้ครอบครองนั้นมาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง...บางท่านเห็น shop กันจัง แต่ไม่รู้ว่าจะสะสมไปเพื่ออะไรกัน....วันนี้เลยขออนุญาตคุณทิพยจักรมาแชร์ความรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นของการฝึกสมาธิกรรมฐานแบบบ้านๆที่กว่าค่ะ....ส่วนใครเก่งอยู่แล้วไม่ต้องอ่านก็ได้นะคะ อายค่ะ

    เคยเข้าไปตอบน้องอยู่คนนึงในเรื่องของการปฏิบัติธรรมแล้วติดไปต่อไม่ได้ วันนี้เลย copy ของเดิมมาให้อ่านกันก่อนพอหอมปากหอมคอค่ะ


    การปฏิบัติทางจิตหรือทางศานาพุทธนั้น เริ่มต้นจากความศรัทธาเป็นตัวตั้งก่อนค่ะคุณ sangboon....เพราะฉนั้นเราจะไม่ทราบเลยว่าปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติไปเพื่ออะไร....ถึงเคยบอกว่าคนเราไม่เห็นทุกข์ก็จะไม่เห็นธรรม ไม่พบเจอความทุกข์ก็จะไม่แสวงหาธรรมะ...

    จริงๆแล้วการเริ่มต้นปฏิบัติสำหรับคนที่ไม่มีความทุกข์ก็มี แต่เกิดจากความสงสัยว่าจริงหรือ ปฏิบัติแล้วได้จริงหรือ...ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะเข้าไปศึกษาศาสนาพุทธแบบเต็มตัว...

    แต่การที่จะได้มรรคผลนิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่รู้ที่มาที่ไป...ว่าในอดีตชาตินั้นเราเคยได้สะสมความดี หรือสะสมบารมีไว้มากเพียงใด จะมีกรรมมาตัดรอนหรือไม่ บางคนทำไมปฏิบัติไปได้เร็ว บางคนปฏิบัติแล้วก็ยังย่ำอยู่กับที่ ไปไม่ถึงไหน....คือไม่พบแสงสว่างแห่งปัญญาเสียที....

    มาพูดถึงเรื่องการแยกกายกับจิตนั้น การอ่านอย่างเดียวไม่สามารถที่จะทำให้เข้าถึงสภาวธรรมนั้นได้ ถึงแม้กระทั่งนั่งสมาธิหลับตาเฉยๆก็ยังไม่ทราบว่าตอนไหนกายและจิตมันถึงแยกจากกัน....ก็คงต้องลองลงปฏิบัติจริงๆ...อย่างเช่นที่มีคนเคยเล่าไว้เรื่องคนที่บอกว่าปฏิบัติแล้วรู้ว่าฉันเข้าใจหลุดพ้นจากสังขารแล้ว...ลองลงไปลอกคลองน้ำเน่า ของสกปรกดูสักวัน...ดูสิว่าจะปลงปล่อยได้แค่ไหน....

    ถ้าจะพูดให้เต็มๆก็คือทางลัดที่จะนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแยกกายแยกจิตนั้นมีเพียงสายเดียวก็คือ การพิจารณาขันธ์ ๕ นั่นเอง...แต่การนั่งนึกเฉยๆก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็ต้องลงมือกระทำด้วยค่ะ..ตัวอย่างพระสายวิปัสสนาของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านนั่งสมาธิให้ปลงอสุภกรรมฐานเป็นหลัก....พระป่าสายท่านจะธุดงค์วัตรแบบฉายเดี่ยวในป่ากันเลย บรรลุธรรมเร็วมาก...ไม่เหมือนสมัยนี้เวลาปฏิบัติธรรมมักจับกลุ่มรวมกันเป็นหมู่ๆจะหาความวิเวกและสันโดษจากกายและจิตได้อย่างไร....

    แสงสว่างแห่งธรรมนั้นมักจะปรากฏในมุมที่สงัดเสมอ...จิตจะหยั่งรู้ได้ชัดแจ้ง...แต่การปฏิบัติทางกายนั้นอาจจมีความแตกต่างกันไปแล้วแต่จริตของคน เพื่อน้อมนำไปสู่การปฏิบัติทางจิต....เพราะกายและจิตนั้นมักจะอยู่คู่กันถึงจะเกิดสติปัญญา.....

    จึงขอแนะนำคุณsangboonว่า...ว่างๆถ้าหาที่ปลงอสุภกรรมฐานไม่ได้จริงๆ...ขอแนะนำที่มูลนิธิโรคเอดส์ของหลวงพ่ออลงกต...เข้าไปคลุกคลีกับคนไข้โรคเอดส์สักเดือนนึง...ไปช่วยเหลือคนที่ป่วยเป็นเอดส์และถูกทอดทิ้งให้อยู่แบบอนาถา ไปช่วยอาบน้ำ ทำแผลที่ร่างกายของคนเป็นเป็นแผลเน่าและเป็นหนองทั้งตัว...ก็คือร่างกายสูญสลายก่อนที่จะตายจริง ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับกรรมหรือการกระทำทางเพศ....คุณลองไปอยู่สักเดือนคุณจะปลงอสุภกรรมฐานได้อย่างแน่นอนค่ะ...รับรองเลยค่ะ...แต่ขอให้ไปด้วยใจศรัทธา เมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้งด้วยกัน...ไปช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความสังเวช....ไปช่วยให้เขาบรรเทาจากความเหม็นเน่าจากอาการโรคเอดส์ระยะสุดท้ายก่อนสิ้นลมหายใจ...และจะให้ดีก็คือเมื่อเขาสิ้นลมหายใจหามกันไปเข้าเตาเผาศพจนเหลือแต่กองกระดูกกองหนึ่ง....เมื่อนั้นคุณจะเห็นธรรมะที่แท้จริง...กายและจิตคุณจะแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด...ดีกว่ามานั่งอ่านประสบการณ์ของคนที่สามารถแยกกายแยกจิต...สู้เราปฏิบัติของจริงๆไม่ได้ ก็คือทำเอง เห็นเอง รู้เองค่ะ...

     
  10. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    การยกจิตขึ้นเหนือสังขาร

    ที่เรามาพูดเรื่องธรรมะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ของแต่ละท่านคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ...บางครั้งอาจมีกระทบกระเทือนบ้างก็ถือว่าเป็นการพัฒนาจิตของเราไปด้วยในตัว....การเอาธรรมะของครูบาอาจารย์มาโพสต์เท่ากับว่าเราก็ได้อ่านเองทบทวนความรู้ไปในตัวด้วยเช่นกันค่ะ....

    วันนี้เรามาจะมาพูดถึงเรื่องประสบการณ์ของการปฏิบัติทางจิตแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่าค่ะ...จะผิดหรือถูกสามารถวิเคราะห์วิจารณ์ได้ไม่จำกัด....เพราะเรายังไม่ได้เป็นผู้บรรลุธรรมเบื้องสูงขององค์สัมมามสัมพุทธเจ้า...แต่เราๆท่านๆก็มารถกอดคอกันเดินไปในสายธารแห่งธรรมไปพร้อมๆกัน....

    มีครั้งหนึ่งประมาณปี 2527 ช่วงนั้นคุณแม่ดิฉันปลงผมออกบวชชีและได้ปฏิบัติธรรมที่สำนักวัดป่าแห่งหนึ่งแถวๆอ.ทองผาภูมิ...ถนนราดยางยังไม่มี ถ้าใครจะไปสังขละบุรีต้องใช้รถจี๊บแลนด์โรเวอร์เท่านั้น...ถนนนั้นปกคลุมด้วยฝุ่นขนาดว่าเหยียบลงไปเท้าเราจมฝุ่นไปครึ่งแข้ง....วันหนึ่งกรมทางหลวงมาตัดทางทำถนนราดยางและโรยด้วยกรวดเล็กๆยังไม่ได้บด....พระป่าสายวิปัสนาก็ได้เชิญชวนให้เดินจงกลม...แต่ไม่ได้เดินแบบที่วัดในเมืองเขาเดินกันคือยกขาข้างหนึ่งใจก็ก็บอกว่ายกหนอ...แล้วก็ย่างหนอ...แล้วก็เหยียบหนอ...วนเวียนกันไปให้สติจับอยู่กับการยก ย่าง เหยียบ...

    พระป่าสายปฏิบัติพาพวกเรารวมถึงดิฉันด้วยไปเดินจงกลมบนถนนราดยางโรยกรวดและยังไม่ได้บด ความคมของหินเล็กๆมีครบบริบูรณ์...ข้อสำคัญคือเดินจงกลมโดยไม่ใส่รองเท้าค่ะ....เป็นระยะทาง 4 กม...

    เราครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรก็เดินไปๆบนถนนได้สัก 100 เมตร เมื่อนั้นจะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เท้าเราเหยียบไปบนเกร็ดหินเล็กๆที่มีความคม..ข้อสำคัญคือบาดเข้าไปในเนื้อได้เลือดกันเลย เพราะระหว่างที่เดินมืดสนิท ไม่มีแม้กระทั่งไฟฉาย...แถมถนนนั้นนอกจากความคมของหินแล้วยังไม่มีความเรียบ....เดินได้แค่ 100 เมตรก็จะรู้เลยว่าเลือดเราไหลออกจากเท้าแล้ว เจ็บปวดมาก ยิ่งเดินไปก็ยิ่งเจ็บปวดและทรมานมาก.... พอเดินไปได้ 200 เมตร น้ำตาซึมเลยไม่ว่าจะตะแคงเท้าไปด้านไหนก็จะโดนหินบาดทุกอณูของฝ่าเท้า...ก็ต้องหยุดเดิน แม้กระทั่งยืนเฉยๆความเจ็บปวดก็มิได้ทุเลาลงเลย....ดิฉันเลยนั่งลงกับพื้นเพราะเดินไม่ไหวเจ็บเท้ามาก...

    ระหว่างที่ดิฉันหยุดเดินก็มีแม่ชีอายุมากราว 70 กว่าท่านหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเป็นอย่างไรบ้างลูกเจ็บเท้ามากไหม...เราก็บอกว่าเจ็บมากเลยค่ะคุณแม่ คุณแม่เดินอย่างไรถึงไม่เจ็บเท้าเลย....คุณยายที่เป็นแม่ชีก็บอกปริศนาธรรมดิฉันข้อหนึ่ง...ง่ายมากๆเลยค่ะ...ท่านบอกกับดิฉันว่า...แม่ชีเดินบนถนนกรวดแบบลูกก็เจ็บเท้าแบบลูกนั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่าแม่ชีไม่ทุกข์ใจก็เลยเดินได้...ลองเดินใหม่ดูสิแล้วเราก็สังเกตว่าความเจ็บปวดทรมานมันเป็นอย่างไร...

    คราวนี้เราเห็นคุณยายท่านชราภาพเดินผ่านเราไปไม่ทุกข์ไม่ร้อน...ทำให้เรารู้สึกอยากลองใหม่ว่าเดินอย่างไรถึงไม่ทุกข์เวทนาอย่างแม่ชีผู้ชราองค์นั้น...คราวนี้สติเริ่มมาระหว่างเดินคือรสชาดของความเจ็บปวดทรมานก็ยังอยู่เหมือนเดิม จิตเราก็จับอยู่ตรงนั้น หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆถอนจิตออกมาจากเท้า..ยกขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ...ตอนนั้นเรารู้ได้เองว่า เจ็บเท้าก็ยังเจ็บอยู่...เพียงแต่ว่าทุกข์กายแต่ไม่ทุกข์ใจแล้ว....หลังจากนั้นดิฉันก็เดินจงกลมต่อไปได้ทั้งที่ยังเจ็บเท้า เนื่องจากเรายกจิตอยู่เหนือสังขารแล้วนั่นเอง....ก็เดินได้ระยะทาง 4 กม...ขืนไม่เดินต่อก็อยู่ในป่านั่นแหล่ะ คนอื่นเขาเดินกลับวัดกันหมดแล้ว ฟ้าก็รุ่งสางพอดี

    ก็เป็นประสบการณ์ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะหลังจากนั้นเท้าก็ยังระบมเป็นแผลอยู่หลายวัน สมัยก่อนก็มีทิงค์เจอร์ไอโอดีนราดแผล...บอกตรงๆค่ะว่าแสบสุดยอด...หลังจากนั้นเป็นต้นมาเรื่องการเดินบนกรวดที่ยังไม่ได้บดก็เลยเป็นต้นแบบของการนั่งสมาธิแล้วเป็นเหน็บ...ก็คือขณะที่นั่งสมธิแล้วเป็นเหน็บแต่ไม่จำเป็นต้องขยับตัวเลย เพียงแค่ยกจิตขึ้นเหนือสังขารความรู้สึกทรมานจากการเป็นเหน็บก็หมดไปเองโดยธรรมชาติเช่นกัน....ต่อมาก็พัฒนาจิตต่อไปได้อีกคือนั่งแล้วยุงกัด สมัยก่อนตบยุงตลอด..แม่ก็บ่นว่าจะนั่งสมาธิหรือจะทำบาปกันแน่...พอหลังจากฝึกเดินบนกรวดนั้นแล้วถึงยุงจะกัดเราก็ปล่อยไป คือรู้สึกเจ็บ รู้สึกคันเราก็มีสติจับอยู่ตรงนั้นแล้วยกจิตขึ้นเหนือสังขาร...ความเจ็บความคันก็ยังคงอยู่มิได้หายไป...แต่ไม่ได้ทุกข์ใจเหมือนก่อน...รวมถึงอากาศร้อนเหงื่อไหลไคลย้อย...จิตก็รู้ตัวว่าร้อนก็ทนได้ไม่ทรมาน...เมื่ออากาศหนาวก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนที่จะต้องแสวงหาผ้าห่มมาคลุมกาย..เราก็พิจารณาว่ารสชาดของความหนาวเย็นเป็นเช่นไร...

    และจะสนุกมากเมื่อไปฝึกนั่งสมาธิในป่าใหญ่ทุ่งนเรศวรเมื่อปี 2527 อย่าว่าแต่จะหาผ้าห่มเล้ย...แค่น้ำดื่มก็หายากเย็นเต็มที...น้ำท่าไม่ต้องพูดถึงไม่เคยอาบ ฟันไม่ได้แปรงหลายวัน...กินนอนอยู่ในป่านั่นแหล่ะ..ยิ่งหน้าหนาวสมัยก่อน ทรมานแสนสาหัส..ประมาณ 6-7 องศา เต็มไปด้วยหมอกหนา ไม่มีผ้าห่มเพราะโยนทิ้งระหว่างทางเดินไปหมดแล้ว ตอนนั้นมันหนักแล้วแถมร้อนมาก ไม่คิดว่ากลางคืนจะหนาวเย็นขนาดนี้...สังขารเราสู้ไม่ค่อยไหวเพราะไม่ชิน..พระท่านก็มีเมตตาหาฟืนมาจุดไฟให้เราอังลดความหนาวเหน็บและทรมาน...

    ไปนอนในป่าแค่ 7 วันไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้แปรงฟัน...ชุดที่ใส่ก็ 7 วันไม่ได้เปลี่ยน...คุณๆเอ๋ย ลองนึกสภาพตัวเองแล้วกันว่ามันน่าสังเวชเพียงใด เหม็นขี้ฟันตัวเอง...เหม็นทั้งตัว...ก็เออเนาะ ตัวเราธรรมชาติมันเน่าเหม็นเช่นนี้เอง ....ครั้งแรกเลยที่เห็นสัจธรรมของชีวิต ไม่ได้ปรุงแต่งหรือสมมติ หรือจินตนาการใดๆ....มันมาปรากฏเองตรงหน้า...เมื่อมาถึงวัดเอากระจกมาส่องดูหน้าตัวเอง...อืม...มอมแมมไปหมดลิงยังหน้าสวยกว่าเราเลย ...

    การปฏิบัติธรรมของจริงมันสนุกตรงนี้เอง...ไม่แปลกใจเลยเหล่าภิกษุผู้ทรงศิลที่ปลีกวิเวกอยู่ในป่าอย่างหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ...ท่านถือผ้าเพียง 3 ผืน...เพราะว่าท่านไม่รู้ว่าจะถือผ้าเยอะไปทำไม..เพราะมันหนัก แถมไม่มีน้ำอาบอีก...
     
  11. torr200925

    torr200925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    753
    ค่าพลัง:
    +2,684
    ถ้าใครมีอะไรที่รักษาตับอักเสบได้ บอกผมด้วยนะครับ จะลองดู แต่ขอแบบไม่ต้องฝังหรือกินนะครับ แบบดูดพลังมาใช้แบบนี้ผมถนัด...:cool::cool:
     
  12. ทิพยจักร

    ทิพยจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +10,078

    เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากครับ

    ขออนุโมทนาด้วย เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะทำได้ หากไม่มีความตั้งใจ วิริยะ ขันติ และฉันทะในการปฏิบัติ(ความพอใจ) คงไม่สามารถผ่านไดแน่ๆ :cool::cool:
     
  13. ทิพยจักร

    ทิพยจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +10,078

    ขออนุโมทนาและเห็นด้วยในแง่คิดการปฏิบัติทุกประการครับ:cool:
     
  14. Thana 2

    Thana 2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +2,878
    ขอโมทนาบุญกับพี่ พรหมณี ด้วยครับสาธุ..................ครับ ของจริงคู่กับกับคนจริง จริงแค่ไหน แค่ตายซิ เป็นคำพูดหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญครับ:cool::cool::cool:
     
  15. ทิพยจักร

    ทิพยจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,268
    ค่าพลัง:
    +10,078
    ในศาสตร์ของโยคะ การรักษาตับ สามารถใช้วิธีใส่กำไลที่ทำด้วยตะกั่วและเงิน โลหะธาตุทั้งสองสามารถเยียวยาได้ครับ ในกรณีเน้นว่ากายต้องสัมผัสถูกต้องตัวโลหะครับ ถ้าในกรณีที่เป็นพระคล้องไว้ในคอได้ผลเช่นกันแต่จะรองลงไปครับ
     
  16. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ภควัตคีตา

    เคยอ่านธรรมบทหนึ่งของภควัตคีตากล่าวเอาไว้ว่า...

    " การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น มีสองภาคก็คือภาคของความเป็นมนุษย์และภาคของจิตวิญญาณ ..เพียงแต่เราจะรักษาสมดุลย์ของการดำรงชีวิตแบบมนุษย์ที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณที่เป็นวิมุตตนั้นได้อย่างไร...."

    เอาเรื่องจริงมาเล่าดีกว่า...มีน้องที่ทำงานอยู่คนนึงทำงานเป็นข้าราชการระดับซี 7 มีหน้ามีตาในสังคม...วันหนึ่งได้ไปบวชชีพราหมณ์ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งแล้วเกิดอารมณ์ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง....นับวันก็ยิ่งมองเห็นทุกข์คน ของตัวเองและของผู้อื่นแล้วเกิดอาการปลงปล่อย...สิ่งที่เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นก็คือ...เธออ่านหนังสือธรรมะอย่างมากและไม่เคยเป็นมาก่อน...จนกระทั่งถึงธรรมบทหนึ่งก็คือให้ละวางจากกิเลสที่ยั่วยวน แม้แต่สิ่งของที่ห่อหุ้มก็คือเปลือก ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้....

    สิ่งที่ปรากฏก็คือเวลาเธอขึ้นประชุมวิชาการในวันหนึ่ง...เธอได้นุ่งขาวห่มขาว แถมเสื้อผ้านั้นยับยู่ยี่...สะพายย่ามใบนึง...ใส่รองเท้าแตะแบบหูหนีบ...แล้วเดินเข้าห้องประชุม....ทุกคนหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจ...และบางคนก็บอกว่าเธอเพี้ยน...บางคนก็บอกว่าเธอไม่รู้จักกาละเทศะ...บางคนก็บอกเธอว่าหลุดโลกไปแล้ว....

    มีอะไรอยู่ในใจเธอหรือ...เธอกำลังทำอะไรอยู่...เธอกำลังคิดอะไรอยู่...เธอเพี้ยนอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรือไม่...

    ตรงนี้ต้องระวังนิดนึง เพราะดิฉันได้ยกคำสอนของภควัตคีตาขึ้นเกริ่นนำก่อน....ก็คือ มนุษย์นั้นเกิดมามีชีวิตแบบสองภาคก็คือภาคของความเป็นมนุษย์และภาคแห่งจิตวิญญาณ....แต่เราจะยักย้ายถ่ายเทอารมณ์ในร่างกายรวมถึงจิตใจและการปฏิบัติที่ออกสู่สาธารณชนให้พอเหมาะพอควรได้อย่างไร...ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงค่ะ...เพราะมูลบทและมูลเหตุทั้งหลายที่หลายท่านค้นพบนั้นคือ ปัจจัตตัง ก็คือพบเอง เห็นเอง รู้เอง...คนอื่นเขาไม่ได้เข้าไปนั่งรู้ในจิตใจของคุณ

    แต่การที่เราพบเอง เห็นเองแล้วรู้เอง ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่เห็นหรือสัมผัสเรานั้นจะต้องเชื่อหรือมีความเห็นคล้อยตามเราเสมอ....หรือแม้เพียงแต่ความคิดและความเข้าใจที่ทุกคนพยายามสอนและบอก...และก็บอกอีกว่าสิ่งที่เราสอนและบอกนั้นคือทางที่ถูกต้องแล้ว...แท้ที่จริงก็อย่างที่คนเคยออกมาบอกก็คือเข้าใจแต่ไม่เข้าถึง....แต่จริงๆควรจะเป็นว่า เข้าใจแต่เข้าไม่ถึง....หรือเข้าไม่ถึงแก่นพุทธศาตร์นั่นเองค่ะ...เพราะเท่าที่อ่านมาหลายสังเกตมาก็หลาย..ยังมีเปลือกหุ้มหลายชั้นแบบหนาแน่นมาก...และมันยากหนักหนาในการที่จะทุบเปลือกที่ห่อหุ้มที่ละชั้น ให้เหลือแต่ความเข้าใจในพุทธะ ที่ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจอะไร....เพราะจริงๆพระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ท่านสอนนั้นก็มิได้ซับซ้อนแต่ประการใด....มิฉนั้นท่านจะสอนได้แต่ปัญญาชนเท่านั้น ส่วนคนตัดฟืนคงต้องต่อบันไดปีนขึ้นไปฟังพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ซึ่งใช้ศัพท์สูงหรือภาษาที่สูงเกินกว่าสามัญชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้....

    อีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นแม่บทในการปฏิบัติธรรมที่นิยมมากที่สุดในยุคนี้ก็คือ การละวาง... ขอบอกเลยค่ะ พูดง่ายแต่ทำได้ยาก...และมีหลายสำนักอีกเช่นกันใช้อุบายในการสละสิ่งที่รกรุงรังในชีวิตออกเสียให้หมดโดยการบริจาคทาน...เพื่อชีวิตลดการผูกยึดจากความโลภ โกรธ หลง....แต่บางสำนักดันให้ของแถมมาก็คือ เพื่อเป็นผู้ให้หรือบริจาคทานแล้วท่านจะได้...แต่ได้อะไรก็ไม่รู้...ซึ่งเป็นมิจฉาทิษฐิ...และปัญญาธรรมที่หลายคนในสังคมยังไม่ค่อยเข้าใจ หรือเข้าใจยาก...หรือพูดง่ายๆก็คือ ไม่เข้าใจนั่นเอง...การสละเพื่อให้ได้มา...

    วันนี้มาเปิดประเด็นไม่ได้กระทบสีข้างใครนะคะ...แต่อาจมีแรงกระเพื่อมนิดหน่อย...เพราะสังขารธรรมมิได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มันไหลเวียนรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติไว้ตลอดเวลา เพียงแต่เราเป็นมนุษย์นั้นจะทำตัวอย่างไรในสองสถานะนั้น...ก็คือการดำรงอยู่ของภาคความเป็นมนุษย์และจิตวิญญาณที่ควรจะไปด้วยกันได้ดี...ไม่ใช่ใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ไปด้านใดด้านหนึ่งจนชีวิตบิดเบี้ยวไป รวมถึงพาเอาครอบครัวและคนรอบข้างพาลปวดหัวเอาเสียด้วย....และข้อสำคัญก็คือยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้น ถูกต้องเสมอ.....

    สรุปก็คือที่หลายๆท่านคิดนั้นไม่ผิดหรอกค่ะ...แต่บางครั้งคนอื่นฟังแล้วไม่รู้เรื่องต่างหาก....เหมือนคนที่ฟังเพลงลูกทุ่งอยู่เป็นนิจ...วันหนึ่งคุณเอาดนตรีโอเปร่ามาบรรเลง...แล้วบอกว่าฟังดูสิ เพราะมากเลย ฟังแล้วจินตนาการเห็นต้นไม้ สายธาร สายลม แสงแดด...ส่วนคนฟังก็ไม่ขัดหรอกเพราะรู้ว่าขัดไม่ได้...ก็ได้แต่อือๆออๆไปตามเรื่อง...เขาถามว่าฟังแล้วจินตนาการเห็นไหม...นิสัยคนไทยก็ไม่ชอบขัดอยู่แล้ว เขาบอกว่าเห็น ก็คงตอบว่าเห็น ถึงแม้จะไม่เห็นอะไรก็ตาม...ก็คือเป็นลักษณะของสังคมที่ compromise หรือประนีประนอม หรือไม่หักหน้ากัน...เพราะฉนั้นก็ลำบากละทีนี้ เพราะดันมีคนเห็นด้วยซะอีก...มันเลยยิ่งถลำลึกเข้าไปอีก...ก็เหมือนกับน้องที่ทำงานนุ่งขาวห่มขาวยับยู่ยี่ เข้าห้องประชุมที่สำคัญ มีบุคคลสำคัญมาร่วมมากมาย....แต่อันตรายที่สุดก็คือเขาเข้าใจผิดไปว่าทุกคนต้องมองเห็นว่าเขานั้นเป็นคนดี สามารถสละกิเลสได้ ไม่อินังขังขอบ...และแม้กระทั่งตัวเขาเองก็เป็นตัวแทนหรือสัญญลักษณ์แห่งความดีที่ควรปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง...

    หลายท่านที่เข้ามาอ่านลองตรองดู ดิฉันมาเพียงแค่แชร์ความคิดเห็น อาจจะเป็นการคิดผิด มองผิดหรือเข้าใจผิดก็เป็นได้...แต่เอามาเล่าให้ฟังเพราะตอนนี้คนแบบนี้มีเยอะค่ะ...แล้วสังคมส่วนใหญ่มักจะกล่าวกลุ่มนี้เป็นคนหลงโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2013
  17. pana_mool

    pana_mool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +7,048
    ประเด็นนี้ก็น่าสนใจครับพี่........
    เธอคนที่พี่ยกตัวอย่าง บังเิอิญว่า เธอยังเป็นผู้ครองเรือน และ ยังทำงานอยู่
    คนก็เลยมองว่าเธอหลุดโลก

    แต่ถ้าเธอ ออกบวช เป็นนักบวช
    คนในสังคมจะมองเธอในอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นที่สักการะกราบไหว้ก็ได้ครับ
     
  18. สิริมงคลชัย

    สิริมงคลชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +1,091
    เพิ่งได้มาวันนี้ครับ....พักพวกเพิ่งกลับมาจากลาวสดๆร้อนๆ...ได้ของมานิดหน่อย....เลยเอามาลงให้ชมกันครับ....คตปรอทจากลาวครับ.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      711.1 KB
      เปิดดู:
      145
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      781.2 KB
      เปิดดู:
      114
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      749.7 KB
      เปิดดู:
      124
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      755.8 KB
      เปิดดู:
      102
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      801.9 KB
      เปิดดู:
      128
  19. pana_mool

    pana_mool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +7,048
    ปิดทองมาหรือเปล่าครับ
    สีทองๆ
     
  20. สิริมงคลชัย

    สิริมงคลชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +1,091
    หลวงปู่ทองทิพย์ องค์นี้เป็นเนื้อเหล็กเปียกครับ เป็นเมตตา ทำน้ำมนต์รักษาโรคก็ได้ครับ อยู่เย็นเป็นสุขดีครับ(ทำจากเหล็กเปียกที่นิยมนำมาติดไว้ที่ยอดเจดีย์หรือองค์พระธาตุย์กันฟ้าผ่า)

    หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ แห่ง วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร

    องค์นี้เนื้อเหล็กเปียกและแร่ธาตุ ศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงปู่นำมารวบรวมอยู่ในองค์เดียว..เรียกว่าวิชาแปลธาตุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 10.jpg
      10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.1 KB
      เปิดดู:
      92
    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.2 KB
      เปิดดู:
      84
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.7 KB
      เปิดดู:
      94
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.7 KB
      เปิดดู:
      85
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...