พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.somdejto.com/somdejto/viewtopic.php?t=21

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left colSpan=2>คำปรารภจาก อ.ระฆัง (ต่อ)

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TH class=thLeft noWrap width=150 height=26>ผู้ตั้ง</TH><TH class=thRight noWrap>ข้อความ</TH></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top align=left width=150>อาจารย์ระฆัง อริยทันโตศรี



    เข้าร่วม: 21 Sep 2007
    ตอบ: 19
    ที่อยู่: 29 หมู่ 1 ต.โคกตะบอง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120

    </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Wed Oct 03, 2007 1:41 pm เรื่อง: คำปรารภจาก อ.ระฆัง (ต่อ)</TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG] </TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>เรียน สมาชิกทุกท่าน

    ขอโทษทีครับ!... ต้องการส่งให้เสร็จสิ้นเมื่อคืน แต่บังเอิญเครื่องขัดข้อง จึงขวนขวายมาส่งในวันนี้ ได้สำเร็จ

    ๙.
    "...นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย
    เลื้อย บ่ ทำเดโช แช่มช้า
    พิษน้อย หยิ่งโยโส แมลงป่อง
    ชูแต่หาง เองอ้า อวดอ้าง ฤทธี...
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เชิญตรวจความดี
    จากจารึกแผ่นทองคำ ของ สมเด็จพระพ่อเจ้าโต พรหมรังสี
    ในการสร้างเหรียญระฆัง และเหรียญเสมาฐานสิงห์ด้วยทองคำ
    เมื่อ ร.ศ. ๖๓

    ดี ของคนว่ามี ดีตรงไหน
    ดี อะไรว่ามี ดีนักหนา
    ดี ลาภรวยสวยดี มีวิชา
    ดี ยศถาเกียรติศักดิ์ หรือดีงาน
    ดี ภูมิฐานบ้านเมือง หรือเพศศรี
    ดี ศีลธรรมมารยาท หรือชาติดี
    ดี ใครมีตรงไหน อะไรดี


    ขอบคุณครับ
    จากใจ...อาจารย์ระฆัง อริยทันโตศรี


    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=top align=left width=150>อาจารย์ระฆัง อริยทันโตศรี



    เข้าร่วม: 21 Sep 2007
    ตอบ: 19
    ที่อยู่: 29 หมู่ 1 ต.โคกตะบอง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120


    </TD><TD class=row2 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Thu Oct 04, 2007 9:17 pm เรื่อง: คำปรารถจากอาจารย์ระฆัง (ต่อ)</TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>เรียนสมาชิกทุกท่าน

    เครื่องคอมขัดข้อง อุตส่าห์เอาเข้าไปในเมืองตั้งแต่เมื่อวาน นัดรับเครื่อง 5 โมเย็นวันนี้ หลงดีใจนึกว่าเตรื่องจะใช้ได้ แต่ทางช่างกลับบอกว่าต้องไปหาซื้ออะไหล่ที่พันธ์ุทิพย์ อีก 7 วันถึงจะได้ พร้อมเมื่อไหร่จะรีบส่งข่าวทันทีครับ!

    จาก..อ.ระฆัง
    เวลา ๒๑.๒๙ น.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row1 vAlign=top align=left width=150>ตั้ม



    เข้าร่วม: 02 Oct 2007
    ตอบ: 1



    </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Fri Oct 05, 2007 12:38 am เรื่อง: </TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ชัดเจนครับ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=top align=left width=150>sithiphong



    เข้าร่วม: 18 Sep 2007
    ตอบ: 29



    </TD><TD class=row2 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Tue Oct 09, 2007 8:11 am เรื่อง: </TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ผมได้ศึกษาเรื่องของพระพิมพ์ที่เรียกกันว่า กรุวัดพระแก้วและพระสมเด็จ มาพอสมควร ผมเองมีความคิดเห็นและประสบการณ์แตกต่างจาก อ.ระฆัง จึงได้เข้ามาเสนอแนวความคิด ,ความเห็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระกรุวัดพระแก้ว และพระสมเด็จ ซึ่งก็แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละท่านว่าจะคิดเห็นอย่างไร

    ส่วนถ้าเรื่องราวที่ผมได้เสนอความคิดเห็น แล้วทำให้ อ.ระฆัง เกิดความไม่พอใจหรือไม่สบายใจ ผมก็จะยุติการนำเสนอแนวความคิดเห็นของผม ผมต้องขอโทษ อ.ระฆังด้วยครับ

    โมทนาสาธุครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row1 vAlign=top align=left width=150>อาจารย์ระฆัง อริยทันโตศรี



    เข้าร่วม: 21 Sep 2007
    ตอบ: 19
    ที่อยู่: 29 หมู่ 1 ต.โคกตะบอง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120


    </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Tue Oct 09, 2007 9:28 pm เรื่อง: </TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ตอบ...คุณสิทธิพงศ์

    ขันธสันดานเดิม... ที่ติดตัวมา จึงเป็นเหตุทำให้เผลอไผลหลงตัวไปชั่วขณะ... เมื่อได้ชดใช้วิบากกรรม ตามที่ท่านได้กำหนดไว้แล้ว...(โดยสำนึกเอง หรือมีผู้สะกิด) ก็เริ่มมีสติ และสำนึก... แสดงว่า กระแสธรรม ได้เริ่มไหลเข้าสู่กระแสจิตแล้ว...

    จาก...อาจารย์ระฆัง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=top align=left width=150>หมอผี ศิษย์สมเด็จ



    เข้าร่วม: 19 Sep 2007
    ตอบ: 4
    ที่อยู่: แผ่นดินสยามอันศักสิทธิ์

    11 ตุลาคม 2550
    </TD><TD class=row2 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Wed Oct 10, 2007 6:45 am เรื่อง: </TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ขออณุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ผู้ที่ศึกษาศิลปวัตถุขององค์สมเด็จฯท่านผมอยากให้ศึกษาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ไม่นานก็ชัดเจนเอง ผู้ที่ศึกษา สะสม และช่วยเผยแพร่บารมีขององค์ท่านมานานพอสมควร จะระมัดระวังตน เพราะเมื่อยิ่งรู้ว่าสิ่งที่ตนเคารพนั้นสูงยิ่งเพียงใดก็ยิ่งต้องอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเกรงว่าตนเองจะไปกระทำให้เบื้องสูงที่ตนเคารพแปดเปื้อน มีหลายท่านที่ช่วยเผยแพร่มาแต่เก่าจนถึงปัจจุบัน เช่นพันตรีจำลอง มัลลิกาวิน ท่านวืมล ยิ้มละมัย ท่านมัตตัญญู ท่านสนิท กัลยาณมิตร อ.ประถม อาจสาคร อ.ระฆัง อริยทันโคศรี ผมอนุโมทนากับทุกๆท่าน จะมีก็แต่มือใหม่หัดขับเท่านั้น ที่สวนผู้อื่นเขาทันควัน ตอบโต้ผู้ที่เห็นไม่ตรงกับตนเองอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่ใช่วิสัยของผู้ที่รู้เห็นมามาก ผมเสียดายครับ แต่เปิดจิตศึกษาต่อไปคงทราบได้เอง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder id=post752435 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 09:25 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #10749 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    กิจกรรมต่างๆ ของสำนักธรรมพรหมรังสี มีดังนี้:-

    ๑.การเสด็จโปรดสัตว์ ของสมเด็จพระพ่อเจ้าโต พรหมรังสี ทุกวันเสาร์ หากมีความจำเป็นที่จะงดการเสด็จโปรดสัตว์ จะติดประกาศให้ทราบล่วงหน้า


    หึ! คือ การ "ทรง" นั่นเอง

    พี่"ใหญ่" ของเราได้เคยแนะนำว่า อะไรที่ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ขอให้ยึดตามพระไตรปิฏกจะเป็นการดีที่สุด


    ๔.การฝึกอัญเชิญเทพประทับร่าง (ในระหว่าง เดือนตุลาคม ถึง เดือนมกราคม ของทุกปี) เพื่อเป็นศึกษาความผูกพันระหว่างเทวดา และมนุษย์ และเพื่อเป็นการแสดงแสนยานุภาพในทางธรรม ในพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และปลดปล่อยดวงวิญญาณทหารหาญ ณ ทุ่งยุทธหัตถี ต.ดอนเจดีย์ อ. พนมทวน จ. กาญจนบุรี ในวันที่ ๑๖ มกราคม ของทุกปี

    หึหึ!! นี่ยิ่งชัด คือ การฝึก "ทรง" นั่นเอง

    ศรัทธาอยู่เหนือปัญญาเป็นเหตุให้ถูกชักจูงไปได้ง่าย
    ปัญญาเหนือศรัทธาเป็นเหตุให้ไม่สามารถพบธรรมชั้นสูงได้


    ๖.การจัดให้เช่าบูชาวัตถุมงคล ที่สมเด็จพระพ่อเจ้าโต พรหมรังสี ทรงสร้างไว้ ซึ่งมีทั้งพระเครื่อง และพระบูชา เพื่อนำรายได้ มาสร้างพระตำหนักบนยอดภูเขาพระมหาบารมี และพลับพลาเสด็จโปรดสัตว์ ทดแทนหลังเก่าซึ่งผุพังไป

    หึหึหึ!!! สุดท้ายจบลงด้วย "เงิน" เพื่อสร้างตำหนัก "ทรง" นั่นเอง
    คำว่า"รายได้" ก็กำกวมไม่บอกให้หมดว่า "ทั้งหมด" หรือ "บางส่วน"

    ***ขอร้องคุณหนุ่มอย่านำไปลงที่เวปเขาเลยนะ ต่างคนต่างทำ ดีกว่า หากสมาชิกทางนั้นเขามาดูที่นี่ แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ต่อกันนะครับ
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left colSpan=2>คำปรารภจาก อ.ระฆัง (ต่อ)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    www.somdejto.com -> ถาม-ตอบโดย อาจารย์ระฆัง

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=top align=left width=150>ข้าแผ่นดิน



    เข้าร่วม: 28 Sep 2007
    ตอบ: 3
    ที่อยู่: ประเทศสยาม

    </TD><TD class=row2 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Thu Oct 11, 2007 12:27 pm เรื่อง: ความคิดเห็น</TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ทุกท่านคงทราบและเข้าใจในคำสอนของท่านอาจารย์ฯ เพราะอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่มีข้อกังขา
    ด้วยเพราะพระมหาบารมีของสมเด็จฯ ทำให้หลายท่านไดรับพระมหาบารมี จึงเกิดความเข้าใจ และควรหมั่นศึกษาหาความรู้จากที่ต่างๆแล้ววิเคราะห์ไตร่ตรองถูกผิดกันต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.somdejto.com/somdejto/viewtopic.php?t=21

    www.somdejto.com -> ถาม-ตอบโดย อาจารย์ระฆัง
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left colSpan=2>คำปรารภจาก อ.ระฆัง (ต่อ)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row1 vAlign=top align=left width=150>ringside



    เข้าร่วม: 15 Sep 2007
    ตอบ: 7



    </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: Wed Oct 10, 2007 8:15 pm เรื่อง: </TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ในยุคสมัยที่พระวัดพระแก้วฯ ได้แพร่หลายออกมานอกวัดใหม่ๆ ได้ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ยังชีพด้วยการขายพระ แล้วเรียกตัวเองว่าเซียนพระ
    ทำการจาบจ้วง เยาะเย้ยถากถางว่า เป็นพระนับร้อย เป็นพระตลาด เป็นพระลิเก
    แม้ในปัจจุบัน ก็มีความรู้สึกเช่นนั้น ผมว่าคนเหล่านี้แม้การหยิบขึ้นมาพิจารณา ก็ยังไม่เคย
    แค่อาจจะมองผ่านเท่านั้น แต่ก็บังอาจวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยไม่กระดากปาก
    พระกรุวัดพระแก้วฯ ต้องอดทนต่อคำปรามาสเหล่านี้ จนกระทั่งมีผู้เขียนหนังสือขึ้น
    เป็นประวัดิของพระชุดนี้
    มาบัดนี้ พระกรุวัดพระแก้ว ได้มีสังคมกลุ่มหนึ่งยอมรับและเสาะหาสะสมกัน ผู้ที่ยังไม่รู้ข้อมูลก็เสาหะหาข้อมูล ผู้ที่มีข้อมูลก็เผยแพร่กันไป

    ผมว่า พระสมเด็จฯที่อาจารย์ระฆัง ครอบครอง คงจะต้องเผชิญชะตากรรม แบบเดียวกับกรุวัดพระแก้วสักระยะหนึ่ง จึงจะเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย
    เหมือนกรุวัดพระแก้วฯ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post751165 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 08:45 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10723 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    สาธุท่าน อ.ระฆัง ท่านได้ให้คติธรรมกับพวกเรา ขอให้จำ "ท่านบอกคุณ รึ?" ไว้เป็นตัวเร่งความเพียรเน้อ.... เพราะคำๆ นี้ อาจจะทำให้เราบรรลุถึงอภิญญาญาณก็ได้ ใครจะไปรู้...


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post751252 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 09:26 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10728</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหตุเกิดขึ้นมานั้น ผมได้ข้อคิดและธรรมะหลายประการ จากอ.ระฆัง ผมยกตัวอย่างสักสอง-สามเรื่องคือ

    1.เรื่องศาสนาและการเมืองนั้น เป็นเรื่องของปัจจัตตังของแต่ละบุคคล
    2.เรื่องพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    3.เรื่องของการปฎิบัติธรรม กับพิธีกรรมต่างๆ ,ประเพณีต่างๆ

    โมทนาสาธุครับ

    .


    [​IMG]


    <TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 height=4 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" height=4>
    การก่อตั้งสำนักธรรมพรหมรังสี


    สำนักธรรมพรหมรังสี ก่อตั้งขึ้น ตามพระบรมเทวราชประสงค์ และพระบรมเทวราชบัญชาของสมเด็จพระพ่อเจ้าโต พรหมรังสี (สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) โดย อาจารย์ระฆัง อริยทันโตศรี เจ้าสำนักฯ สำนักธรรมพรหมรังสี เป็นผู้รับสนองพระบรมเทวราชบัญชา เมื่อวันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ ณ บ้านของ ดร.ประเสริฐ บุญปลูก หลังวัดช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และหลังจากนั้น ๑ ปี ได้ย้ายสำนักธรรมฯ มาที่ บ้านเลขที่ ๒๘๗/๙ ซอยพาณิชยการธนบุรี ถนนจรัลสนิทวงศ์ กรุงเทพมหานคร และในที่สุด เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๐ ได้ย้ายมาก่อตั้งสำนักธรรมฯ อย่างเป็นการถาวรซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบัน ณ บ้านเลขที่ ๒๙ หมู่ ๑ ต.โคกตะบอง อ. ท่ามะกา จ. กาญจนบุรี ณ ภูเขาพระมหาบารมี ซึ่งชาวบ้านในละแวกนี้เรียกขานว่า ภูเขาน้อย
    การย้ายสำนักธรรมพรหมรังสี มา ณ ภูเขาพระมหาบารมี นั้น ได้ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามภาพสมาธิที่สมเด็จพระพ่อเจ้าโต พรหมรังสี ทรงประทานการค้นหาสถานที่ก่อตั้งสำนักธรรมฯ ซึ่งจะทำการค้นหาถึง ๓ ครั้งจึงจะพบ โดยแต่ละครั้งจะมีคณะบุคคลทำการค้นหา ๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2007
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณร บัญชีออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม


    <TABLE class=tborder id=post749118 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 06:07 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1805 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พสภัธ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_749118", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 06:12 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: //////////////
    ข้อความ: 2,956 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 4,175 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 24,899 ครั้ง ใน 2,803 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2903 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_749118 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->รายการชีวิตที่เลือกได้" ทางช่อง 5 ได้ออกรายการเรื่องของ สนส.บ่อเงินบ่อทอง เห็นแล้วก็ดีใจครับ พึ่งดูรายการเสร็จมาเมื่อกี้นี้

    โมทนาสาธุกับทุกๆท่านครับ


    โต(กุมารน้อย) เมื่อวันที่ 9/10/50 ทางทีวี ช่อง 5 ได้เผยแพร่ภาพความเป็นอยู่ของสำนักเรียนสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง..คณะพระภิกษุสามเณรขออนุโมทนาบุญเป็นอย่างยิ่ง...ที่เมตตาช่วยเหลือในการบุญ..เพื่อให้ญาติโยมได้รับทราบ...งานการศึกษากว่าจะถึงวันนี้ได้..มีหลายท่านที่เป็นพี่เลี้ยง อยู่เบื้องหลัง..ต้องเสียสละทั้งแรงกายและทรัพย์สมบัติ..เกลี่ยลงในพระพุทธศาสนา..ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า...เพราะในตอนต้นแห่งการก่อร่างสร้างตัว..ท่านเหล่านี้เป็นผู้ช่วยโอบอุ้มช่วยเหลือมาตลอด..คุณสิทธิพงษ์..คุณโต้ง..คุณโต..คุณเม้าตาอิน..และอีกหลายๆ ท่าน..ทั้งที่ไม่ปรากฏตัวและไม่ปรากฏนาม....ที่คอยช่วยเหลืออยู่..โดยทุกท่านมีความหวังตั้งใจ ขอให้พระภิกษุสามเณรท่านได้มีสถานที่ศึกษา..มีภัตตาหารยังอัตตภาพให้เป็นไป ...ด้วยการบอกบุญ สร้างอาคารเรียน..สร้างห้องน้ำ..สร้างกูฏิดิน..เจาะบ่อบาลดาน..สร้างแท่งน้ำ....ฯลฯ และไม่ไช่ว่า..จะช่วยเหลือพระเณรที่สำนักนี้เพียงแห่งเดียว..ยังทำสาธารณประโยชน์แก่ประเทศชาติอีกหลายที่...โดยคุณสิทธิพงษ์ ฯลฯ ยังช่วยเหลืออีกหลายวัดและในส่วนสังคมอีกต่างหาก....การที่อาตมาภาพได้กลว่าเช่นนี้..ไม่ใช่จะเยินยอหวังอะไร...แต่เพื่อสดุดีแก่ท่านเหล่านี้...ที่ทำคุณแก่พระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวง...และอาตมาภาพก็เข้าใจว่า..อุดมการของท่านเหล่านี้..คือต้องการทดแทนคุณของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อให้พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรื่องสิ้นกาลนาน...สาธุ..สาธุ..สาธุ....


    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ

    ผมต้องขอขอบพระคุณหลวงพ่อแผน ,พระภิกษุทุกๆรูปที่ สนส.บ่อเงินบ่อทอง ,ขอขอบใจคุณโต ที่ได้ให้โอกาสผม ,คุณโต้ง ,ลุงเม้า และท่านอื่นๆ ได้มีโอกาสได้ร่วมทำบุญที่ผมคิดว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ ช่วยเหลือเณรน้อยได้มีโอกาสที่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ และคงเป็นกำลังเพื่อชาติ เพื่อพระศาสนา และเพื่อองค์พระมหากษัตริย์ ให้เจริญรุ่งเรื่องยั่งยืนนานตลอดไปครับ

    .
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เหงา...เหงา...เหงา...พี่น้องเพื่อนฝูงไปไหนกันหมดครับ สงสัยแต่ละท่านงานคงยุ่ง รักษาสุขภาพทุกท่านนะครับ[b-nurse]
    nongnooo...
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เบื่อชีวิต คิดอย่างไรดี ?
    http://www.manager.co.th/Lady/ViewNews.aspx?NewsID=9500000119828
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ถนอมจิต คงจิตต์งาม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 ตุลาคม 2550 10:24 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> thanomjit8@yahoo.com


    ความเบื่อเป็นของคู่กับโลก ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยไหน แต่ให้สังเกตดูว่าช่วงใดที่จิตใจเราอ่อนแอ มันพร้อมเข้ามาจู่โจม ครอบงำ เอาความเฉา เหงาหงอยหยิบยื่นให้เราทันที

    วันก่อนกลับบ้านที่นครสวรรค์ บ้านอยู่ริมแม่น้ำน่าน เห็นสองคนผัวเมียกำลังพายเรือสุ่มปลาอยู่ เลยตะโกนถามไถ่ตามประสาคนบ้านเดียวกัน

    ถามว่าได้ปลาเยอะไหม เขาบอกพอได้ แบ่งไว้กินที่เหลือก็พอแบ่งขายได้

    ถามเขาว่าแล้ว พออยู่ พอกินหรือ เขาก็บอกว่า พออยู่ได้ แต่จะให้มีมากเหมือนคนเรียนสูง คนรวยๆ ก็คงมีไม่เท่า

    สรุปว่า ก็มีความสุขบ้าง เบื่อบ้าง ทุกข์บ้างตามอัตภาพแต่ก็พออยู่ได้ แล้วก็คงจะอยู่ไปเรื่อยๆ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=220>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>คนหาปลา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ก่อนหน้านิ้ ได้ยินเรื่องราวของคนที่รู้จัก บ่นถึงความเบื่อหน่ายในชีวิตเหลือหลาย ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม จะฆ่าตัวตายก็ยังกลัวบาป คนที่บ่น เข้าข่ายร่ำรวย ทำอะไรก็สำเร็จ เลยไม่รู้จะทำอะไรเบื่อๆ อยากๆ ชีวิตดูไร้ค่ายังไงชอบกล โทรศัพท์ไปหาใครเขาก็ทำงานกันหัวซุกหัวซุน ไม่มีใครว่างมาคุยด้วย

    อีกสองคนอยากบ่นอยากตายเหมือนกัน เป็นผู้หญิง ให้เหตุผลว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม คนแรกไม่มีลูก เคยดูแลพ่อแม่ แต่ตอนนี้พ่อแม่เสียไปหมด หลานๆ ที่เคยเลี้ยงก็โตไปหมดแล้ว แยกย้ายไปเรียนต่อนานๆ กลับบ้านที ส่วนอีกคนสามีตาย ลูกไปเรียน ไปทำงาน นานๆ กลับบ้านทีเหมือนกัน สองคนหลังนี้ฐานะปานกลางไม่ได้ลำบากลำบนมาก

    พอถึงวันดีคืนดี รุ่นน้องในแวดวงสื่อมวลชนซึ่งเป็นคนรื่นเริง เฮฮา แต่งงานกับสาวสวยในแวดวงเดียวกันได้ไม่นาน เพิ่งมีลูกคนแรกอายุพอขวบได้ไม่กี่วัน หน้าตาน่ารักน่าชังชื่อน้อง “ต้นน้ำ” บอกว่าลูกเป็นโรค”คาวาซากิ” ไม่รู้สะกดยังไง แต่ภาษาไทยออกเสียงแบบนี้แหละ

    ฟังความทีแรกดิฉันหัวเราะเสียกลิ้ง คิดในใจว่า นานนานโทรมาทีก็ยังอุตส่าห์หาเรื่องมาอำให้ขำเล่น สงสัยจะหลอกเราไปซื้อรถเสียกระมัง แต่ฟังไปฟังมากลายเป็นเรื่องจริง จริงแบบเป็นวิกฤตของคนเป็นพ่อแม่เสียด้วย

    เรื่องเริ่มต้นจากลูกตัวร้อน มีไข้สูง ก็พาไปหมอ หมอให้ยามาแล้วก็กลับบ้าน แต่ไข้ก็ไม่ลด ก็พาไปอีกแต่ก็ไม่เจอว่าเป็นอะไร พอช่วงวันที่ 4 น้องต้นน้ำเริ่มมีผื่นขึ้น ตาเริ่มแดง ปากบวม เท้าบวม คราวนี้ทั้งพ่อทั้งแม่มือใหม่นั่งไม่ติด หัวใจแทบกระโดดออกมานอกอก โทรหาทุกคนเท่าที่รู้จัก ถามถึงหมอเด็กเก่งๆ จนในที่สุดก็ได้เรื่อง

    หมอบอกทำไมเพิ่งมา โรคนี้ก็คือหัดญี่ปุ่น เด็กต้องถึงมือแพทย์ภายในสิบวัน ไม่งั้นอาจหมดสิทธิ วันที่พาน้องต้นน้ำไปนั้นเป็นวันที่ 8 ต้องใช้เซรุ่มราคาแพงช่วย จนถึงตอนนี้ลูกพ้นขีดอันตรายมาแล้วแบบน่าหวาดเสียว ใจหายใจคว่ำ ใครอยากรู้รายละเอียดโรคนี้ต้องเข้าอินเตอร์เน็ตดูค่ะ เดี๋ยวดิฉันบรรยายแล้วจะกลายเป็นคนละโรคกัน

    รุ่นน้องเล่าว่า สำหรับคนอื่นอาจคิดว่าเป็นเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา แต่สำหรับครอบครัวคนข่าวที่เก่งแต่เรื่องทำข่าว แต่ยังเป็นมือใหม่ในเรื่องเลี้ยงลูกนั้นไม่ธรรมดา

    แม้จะรู้ว่าพ่อแม่รักลูกเพียงใด แต่ไม่ซาบซึ้งเท่าคราวนี้ที่ได้มาเป็นพ่อแม่เอง ความรู้สึกในช่วงเวลาแห่งการยื้อยุดฉุดชีวิตลูกนั้น หากหัวใจแยกเป็นเสี่ยงได้ คงเห็นริ้วรอยเว้าแหว่งขาดวิ่น เหวอะหวะ ตามอาการของลูก ยามลูกเจ็บอยากเจ็บแทน อยากให้อาการทั้งหลายแหล่มาเกิดที่พ่อเสียเอง จะเสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แต่ขอให้ลูกมีชีวิตรอดก็พอ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>แสนสุขริมน้ำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คนจะเป็นพ่อแม่สมัยนี้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนเสียแล้ว แค่มีการศึกษา มีความรู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องหมั่นติดตามข่าวสารใหม่ๆ ทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ การศึกษา การดำเนินชีวิต

    โลกยุคใหม่ อยู่ยากกว่าเก่าเยอะ กว่าจะรอดชีวิตได้แต่ละคน พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหายร่วมลุ้น ร่วมทุกข์ ร่ำไห้กันน้ำตาเป็นสายเลือด คนไม่เคยเป็นพ่อแม่คน ไม่รู้หรอกว่า

    การสูญเสียหรือหวิดจะสูญเสียคนที่เป็นลูกไปนั้นเป็นอย่างไร

    สามเรื่องนี้เป็นสามมิติของความคิดเรื่องของการมีชีวิตอยู่

    คนที่ต้องดิ้นรนเรื่องทำกิน แม้จะคิดเบื่อชีวิตบ้าง แต่ไม่มีเวลาคิดถึงมันมากนัก คิดแต่ว่าวันนี้จะหามาพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไหม จะมีเหลือเก็บบ้างไหม เหลือสักเท่าไหร่

    ส่วนคนที่มีทุกอย่างเกินพอแล้ว กลับคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของตัวเองด้วยเวลาอันมากมาย
    ส่วนคนที่เป็นผู้ให้กำเนิด คิดอย่างเดียวคือพยายามยื้อยุดฉุดชีวิตที่รักที่สุดนั้นไว้ จะแลกกับอะไรก็ยอม

    เชื่อว่ายามนี้มีคนมากมายที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตในปัจจุบัน มองไปทางการเมืองก็เหมือนหมดหวัง มองสังคมยิ่งย่ำแย่ มองเศรษฐกิจก็เห็นแต่ความตกต่ำ บางคนก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ไม่มีจุดหมายใดใดในชีวิต

    จะเบื่อมากขนาดไหน จะตัดสินใจอะไรแล้วแต่ อย่าลืมนึกถึงความรักของพ่อแม่ ความรักของคนในครอบครัว เพื่อนฝูงที่อยู่ข้างหลัง

    ให้คิดถึงคนที่ด้อยกว่าเราที่เขายังต้องต่อสู้ดิ้นรน

    คิดถึงความรู้สึกคนอื่นๆก่อน แล้วค่อยคิดถึงการกระทำในสิ่งที่เราคิดว่าทำแล้วจะเป็นสุข
    เบื่อนักก็พักนอน หนักนักก็วางก่อน ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นอะไร แล้วค่อยๆ คิดใหม่
    ไม่รู้จะทำอะไรหนีไปไหว้พระที่อินเดียสักพักจะได้เห็นว่า คนจนจนแสนเข็ญ สามารถนอนหลับสบายบนทางเท้าและทุกที่ สถิติการฆ่าตัวตายน้อยมาก ส่วนคนรวยล้นฟ้ามีที่นอนแสนสบาย กลับต้องกินยากล่อมประสาทให้นอนหลับ

    คิดให้ตกแล้วจะรู้ว่า ชีวิตเรายังมีค่าสำหรับคนอื่นมากมาย เลิกเบื่อ เลิกเซ็ง เลิกหมกมุ่นกับตัวเองใช้ความสามารถที่มี เอาเงินที่มากมายมาช่วยเหลือคนอื่นดีกว่า

    สรุปว่า ถ้าเบื่อชีวิตเสียหนักหนา ดิฉันว่าให้คิดยาวยาว อย่าคิดสั้น

    หากมองไปข้างหน้าแล้วเวิ้งว้างไม่เห็นใคร ให้หันมาดูข้างหลัง คนที่รักเราเขายืนอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่ว่า ที่ผ่านมา เรามีเวลาที่จะหยุดแล้วหันมามองหรือไม่เท่านั้นเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เตือนภัย “อาหารใช้น้ำมันทอดซ้ำ” เสี่ยงมะเร็งสุดๆ ชี้ “ปาท่องโก๋” ตัวดี</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 ตุลาคม 2550 14:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>เตือนภัย “อาหารใช้น้ำมันทอดซ้ำ” เสี่ยงมะเร็ง สารประกอบโพลาร์ทำลายระบบเซลล์ของร่างกาย ระบุ ปาท่องโก๋ เมนูสุดเสี่ยง ระบุร้อยละ 90 ผู้ประกอบการใช้น้ำมันซ้ำหลายครั้ง เผย คนไทยน่าเป็นห่วง บริโภคอาหารที่ประกอบจากน้ำมันทอดซ้ำโดยไม่รู้ตัว สสส.เตือนถึงเวลาแล้วที่ผู้บริโภคต้องดูแลตัวเอง ด้าน สธ.เผยกว่าร้อยละ 80 อาหารเจในท้องตลาดใช้วิธีทอด ผัดน้ำมัน แนะผู้บริโภคผู้ประกอบการใช้น้ำมันทอดจากเนื้อปาล์ม


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>วันนี้ 10 ต.ค.เวลา 13.35 น.ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงข่าว “น้ำมันทอดซ้ำอันตราย อาจตายเพราะมะเร็ง” โดย นายสง่า ดามาพงศ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จริงๆ แล้วประเทศไทยมีกฎหมายออกมาในปี 2547 ห้ามจำหน่ายน้ำมันทอดซ้ำแก่ร้านอาหารหรือผู้ปรุงอาหารอื่นๆ เพื่อนำไปทอดต่อโดยเด็ดขาด หากกระทำฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดฐานจำหน่ายอาหารผิดมาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีการดำเนินการที่เป็นทางการ เนื่องจากประชาชนไม่มีการร้องเรียน หรือปล่อยให้เลยตามเลย ส่วนเจ้าที่ก็ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เท่าที่ควร

    สำหรับผู้ขายอาหารทอดต่างๆ ไม่ควรใช้น้ำมันทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง เพราะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคเองควรเลือกซื้ออาหารทอดจากพ่อค้าแม่ค้าที่ทอดด้วยน้ำมันใหม่ๆ สีเหลืองใส หากน้ำมันมีสีดำ ผู้บริโภคไม่ควรซื้อมารับประทานโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ น้ำมันที่ใช้ทอดไม่ควรใช้เกิน 2-3 ครั้ง

    นายสง่า กล่าวเตือนว่า ผู้กินเจในเทศกาลถือศีล กินเจ ขอให้กินให้ถูก กินให้เป็น อย่ากินตามแฟชั่น ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เนื่องจากมีการสำรวจพบอาหารเจในท้องตลาดกว่า ร้อยละ 80 ใช้วิธีทอด ผัดน้ำมัน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ควรมีหลักปฏิบัติในการใช้น้ำมันทอดอาหารทั้งในระดับผู้บริโภคระดับผู้ประกอบอาหารทอดรายย่อย และภัตตาคารอาหารจานด่วน

    เพื่อให้น้ำมันทอดอาหารปลอดภัยต่อการบริโภคอีกทั้งการป้องกันการใช้น้ำมันทอดอาหารผิดวิธี คือ 1.น้ำมันปรุงอาหาร ควรเป็นน้ำมันพืชหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันสัตว์ เพื่อไม่ให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ 2.น้ำมันทอดอาหารควรเป็นน้ำมันที่คงตัวและเกิดควันช้า เช่น น้ำมันปาล์มโอเลอิน (จากเนื้อปาล์ม) 3.ไม่ควรใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันหมู น้ำมันวัวและไขมันสัตว์อื่นๆ ในการทอดอาหาร เพราะน้ำมันดังกล่าวไม่คงตัว จึงเสื่อมสภาพเร็ว 4.หากน้ำมันทอดอาหารมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ให้เปลี่ยนน้ำมันทอดอาหารใหม่ทันทีไม่ควรเติมน้ำมันใหม่ลงไปเจือจาง เช่น กลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ เกิดฟอง ควัน เหม็นไหม้ ไอน้ำมัน ทำให้ระคายเคืองตาและลำคอเมื่อโดนความร้อน 5.ควรกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทอดที่มีการชุบแป้งปริมาณมาก ควรใช้ตะแกรง หรือผ้าขาวบางกรองเศษอาหารและผงขนาดเล็กออกจากน้ำมันทอดอาหาร

    6.ควรซับน้ำมันส่วนเกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอด เพื่อลดการแตกตัวของน้ำมัน ทำให้ชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมันทอดอาหาร 7.ควรทอดอาหารครั้งละไม่มากเกินไป เพื่อให้ความร้อนของน้ำมันทอดอาหารกระจายทั่วถึง และใช้เวลาในการทอดน้อยลง 8.ไม่ควรทอดอาหารด้วยไฟแรงเกินไป 9.ควรเปลี่ยนน้ำมันทอดอาหารให้บ่อยขึ้น หากทอดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีส่วนผสมของเกลือ หรือเครื่องปรุงรสปริมาณมาก และ 10.ควรล้างทำความสะอาดกระทะทอดอาหารหรือเครื่องทอดทุกวัน เนื่องจากน้ำมันเก่าสามารถไปเร่งการเสื่อมสภาพของน้ำมันทอดอาหารที่เติมลงไปใหม่

    ด้าน ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ประธานเครือข่ายเพื่อนชวนเพื่อน กล่าวว่า การออกมาเตือนประชาชนในการเลือกซื้ออาหารเจนั้นไม่ใช่เป็นการต่อต้าน แต่เพื่อต้องการให้ประชาชนตระหนักในการเลือกซื้อหา หรือรับประทานอาหารเจให้เป็น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคเอง ส่วนปาท่องโก๋นั้น เป็นอาหารที่มีความเสี่ยงกับการเป็นโรคมะเร็งทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบอาหาร เนื่องจากร้อยละ 90 ของผู้ประกอบอาหารทั้งสองรายการนี้ใช้น้ำมันทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง รวมไปถึงอาหารทอดอื่นๆ อย่าง ไก่ทอด กล้วยทอด เผือกทอด ซึ่งอาหารเหล่านี้มักใช้น้ำมันทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง อีกทั้งมีการเพิ่มเติมน้ำมันลงไปในน้ำมันเก่าที่ผ่านการทอดมาแล้ว จนน้ำมันเปลี่ยนสีจากสีเหลืองเป็นสีดำและมีลักษณะข้นเหนียว

    ภก.สงกรานต์ กล่าวอีกว่า ผลกระทบต่อสุขภาพของน้ำมันทอดซ้ำ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตลดลง ตับและไตมีขนาดใหญ่ มีการสะสมไขมันในตับ การหลั่งน้ำย่อยทำลายสารพิษในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ไขมันที่ถูกออกซิไดซ์ปริมาณสูงอาจทำให้ไลโปโปรตีนชนิดแอลดีแอลมีโอกาสเกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนไอระเหยจากน้ำมันทอดอาหาร หากสูดดมเป็นระยะเวลานานมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งที่ปอดอีกด้วย

    “น้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง จะมีคุณสมบัติที่เสื่อมลง ทั้งสี กลิ่น รสชาติและมีความหนืดมากขึ้น ที่สำคัญจะก่อให้เกิด “สารประกอบโพลาร์” ที่สามารถสะสมในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์” ภก.สงกรานต์ กล่าว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budnet.info/webb0ard/view.php?category=texta&wb_id=138

    คอลัมน์ มองย้อนศร
    [ เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ลงตีพิมพ์ใน โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันเสาร์ เขียนโดย..ทีมงานพุทธิกา ]

    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=9 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>ปลดปล่อยความผูกโกรธออกจากใจ [ posttoday 02-09-50 ]</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE height=100 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top>อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดในจิตใจขณะโกรธนั้นมักจะปั่นป่วนแผดเผาด้วยไฟที่อยากทำร้ายทำลายคนหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่ทำให้เราโกรธ เราอยากพูดหรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้คนนั้นสิ่งนั้นพังพินาศหรือได้รับความทุกข์เจ็บปวดอย่างสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับเรา เราจึงทั้งโกรธทั้งสะใจหากเขาได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดเป็นการตอบแทนบ้าง แต่หลังจากพายุแห่งความโกรธเคืองจางคลายหายไปแล้ว มันได้ทิ้งซากปรักหักพังทางจิตใจและความสัมพันธ์ไว้เป็นริ้วรอยบาดแผลให้เราต้องแก้ไขเยียวยาต่อไปอีกนานเป็นต้นว่า ฝากเป็นร่องลึกแห่งความคุ้นเคยที่จะโกรธอะไรได้ง่าย ฝากเป็นความผูกโกรธที่พอรำลึกนึกถึงหรือเพียงเฉียดกรายเข้าใกล้คนคนนั้น เราก็รู้สึกปวดจี๊ดเข้าไปในทรวงและพร้อมที่จะนึกคิดปรุงแต่งจ้องเอาคืนหรือสาปแช่งให้เขาพังพินาศไปเลย ฝากเป็นรอยร้าวลึกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขารวมถึงเกิดบรรยากาศที่อึมครึมน่ากระอักกระอ่วนใจเวลาที่เรากับเขาต้องอยู่หรือทำงานด้วยกัน ซึ่งทำให้บรรยากาศนั้นส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นด้วย หรือบางคราวก็ฝากเป็นความรู้สึกผิดหรือความค้างคาใจเก็บลึกอยู่ในจิตใจ

    หากเราเฝ้ามองความโกรธด้วยความตระหนักรู้และใคร่ครวญลงลึกอย่างช้าๆ เราจะเริ่มมองเห็นเหตุแห่งความโกรธที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คนเรานั้นไม่ได้โกรธตอบเฉพาะกับคนเท่านั้นแต่เราโกรธได้แม้กระทั่งสัตว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ หากคนนั้นสิ่งนั้นทำร้ายทำลายเราให้ได้รับความทุกข์เจ็บปวด เป็นเหตุให้เราต้องพลัดพรากสูญเสียสิ่งที่เรารักและหวงแหน ทำให้เราเสียหน้าเสียภาพพจน์ ทำให้โดนขัดใจขัดความคาดหวังความต้องการ ใส่ร้ายป้ายสีเรา ตำหนิวิจารณ์ตัวเราจนภาพตัวตนเราถูกกระทบถูกฉีกขาด เป็นต้น

    ที่เราโกรธได้เป็นฟืนเป็นไฟเวลาประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นั้น ก็เพราะคนนั้นสิ่งนั้นได้เข้ามาขัดขวาง บั่นทอน ทำร้ายทำลายสิ่งที่เราอยากได้อยากเป็นอยากครอบครองด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ภาพพจน์ชื่อเสียง ศักดิ์ศรีที่คนอื่นจะดูแคลนไม่ได้ คนที่เรารัก ความก้าวหน้าทางการงาน หรือแม้แต่สิ่งของหรืออะไรบางอย่างที่ให้ความสุขแก่เรา ยิ่งสิ่งที่กล่าวมานี้สร้างความสุขความพึงพอใจให้เรามากเท่าใด ก็จะยิ่งหมายมั่นปั้นมือที่จะได้ที่จะเป็นและพยายามครอบครองมันให้นานที่สุด และจะยิ่งโกรธและผูกโกรธลึกซึ้งรุนแรงขึ้นหากเราถูกขัดขวางจนไม่ได้สิ่งนั้นตามต้องการ ดังนั้นยิ่งเรายึดติดสิ่งใดก็จะยิ่งโกรธได้ง่ายและรุนแรง ดังคนดีที่ดีเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างแต่กลับถือโกรธได้ง่ายหากมีใครวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นคนดีของเขา ก็เพราะด้านหนึ่งเขาติดดีจึงถูกความดีขบกัดเข้าแล้ว

    ด้วยเหตุดังกล่าวหากมองในมุมกว้างแล้ว ชีวิตในแต่ละขณะที่เรากำลังได้รับความสุขสบายความเพลิดเพลินหรือรู้สึกผูกพันหวงแหนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งใดก็ตามด้วยความไม่รู้เท่าทันจิตใจภายใน ไม่รู้เท่าทันอำนาจยั่วยวนใจของสิ่งนั้นว่ามันทรงอิทธิพลกับเราอย่างไร เราก็กำลังเดินเข้าไปสู่ดินแดนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งความโกรธที่กำลังรอวันปะทุขึ้นมา ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสุขเวทนาในด้านหนึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ารักน่าพอใจ แต่หากเราสัมผัสสัมพันธ์อย่างไม่รู้เท่าทันในอีกด้านหนึ่งมันจึงเป็นชนวนแห่งความโกรธไปในตัวด้วย

    อย่างไรก็ตามความโกรธก็ตามติดตัวเราทุกคนมาช้านานจนเป็นเสมือนเพื่อนเก่าสหายเก่า ครั้นจะผลักไสไล่ส่ง บังคับเก็บกดไม่ให้มันปรากฏก็ดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ยิ่งทำแบบนี้รังแต่จะรู้สึกเครียดกดดัน หรือบางคราวความโกรธก็แปลงร่างไปเป็นกิเลสวาสนาตัวอื่นที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ เปรียบไปความโกรธก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลงลึกในตัวเรา ก็เพราะเรารดน้ำพรวนดินจนมันเติบโตงอกงามมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจเรา เราจะเอาชนะความโกรธได้อย่างยั่งยืนแท้จริงก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและยอมรับเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธที่มีอยู่ในตัวเราเสียก่อน ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธด้วยการรบกับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย หากเราเอาแต่บังคับใจไม่ให้โกรธท่าเดียว ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเครียดกดดันภายในเท่านั้น แต่มันจะยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหนและกลับมางอกงามใหม่ทันทีที่มีปัจจัยเอื้ออำนวย

    ดังนั้นจะดีกว่านี้ไหม หากความโกรธเกิดขึ้นมาในขณะใด ขอเพียงน้อมสติหรือความรู้สึกตัวเข้ามาลูบไล้สัมผัสจิตใจภายในจนมองเห็นความโกรธที่กำลังเคลื่อนไหวปรวนแปรไปตามธรรมชาติของมัน เฝ้าดูจิตอยู่อย่างใส่ใจโดยไม่จำเป็นต้องพยายามบังคับหรือผลักไสความโกรธ ไม่ต้องประณามหรือตัดสินตัวเองว่าชั่วร้ายที่เป็นคนมักโกรธ การหมั่นมองเห็นความโกรธภายในด้วยความรู้สึกตัวบ่อยๆความโกรธก็จะค่อยๆจางคลายลง และหากหมั่นเฝ้าดูเรื่อยๆก็จะยิ่งเข้าใจธรรมชาติของความโกรธได้ดีและจะปล่อยวางมันได้ในที่สุด เพราะความโกรธก็เป็นสังขารอย่างหนึ่งที่มีความผันผวนปรวนแปรอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแก่นสารแท้จริงอะไรให้เรายึดติดเหมือนกับสังขารอื่นๆ

    จะดีขึ้นไหมหากเรารู้ชัดเจนว่า คนรอบข้างแบบไหน เป็นใคร สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมแบบใดที่มักชักจูงเราให้เข้าไปสู่ร่องแห่งความโกรธได้ง่าย หรือเรียกได้ว่าเป็นหลุมดำแห่งความโกรธของเรา ก็พึงหลีกเลี่ยงเสียบ้าง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรตั้งสติเตรียมใจไว้ให้พร้อมก่อนจะเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นคนนั้น และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเราได้ช่วยกันจัดปรับโครงสร้างหรือบรรยากาศในครอบครัว องค์กรและสังคมให้มีลักษณะเกื้อกูลกันมากกว่าเป็นบรรยากาศที่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งแข่งขันเผชิญหน้ากันได้ง่าย

    แต่ละครั้งที่เรากำลังจะเผชิญความโกรธลองคิดใคร่ครวญดูก่อนว่า จริงไหมว่าก่อนจะโกรธตอบใครเราก็สูญเสียอะไรบางอย่างไปมากมายแล้วจากเหตุการณ์หรือคนที่กำลังจะทำให้เราโกรธ ดังนั้นหากเราโกรธตอบไปอีกเราจะได้อะไรบ้างจากการโกรธตอบ ลองมองให้เห็นประโยชน์และผลเสีย มองให้ลึกถึงผลกระทบในทางจิตใจและความสัมพันธ์รวมถึงกิจการงานด้วย

    อีกแง่หนึ่งเราอาจคิดใคร่ครวญต่อไปว่า คนที่ทำให้เราโกรธเขาเองมีความอ่อนแอมีกิเลสวาสนาที่เผาลนชีวิตจิตใจให้เป็นทุกข์อยู่แล้ว เราจะไปโกรธตอบซ้ำเติมเขาเพื่ออะไรอีก หรือมองว่าที่เขาทำให้เราโกรธนั้นอาจมีเหตุปัจจัยมากมายหลายชั้นเชื่อมโยงกันทั้งที่เขารู้ตัวและไม่รู้ตัว รวมถึงสถานการณ์ต่างๆที่ผลักดันให้เขากระทำกับเรา เขาจึงไม่ใช่สิ่งๆเดียวที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ดังนั้นเราจะลงโทษโกรธคนใดสิ่งใดเป็นการเฉพาะได้ละหรือ ซึ่งเราจะใคร่ครวญมองเห็นได้อย่างลึกซึ้งก็ต่อเมื่อเรามีสติรู้สึกตัวเต็มที่ แต่หากไม่มีสติเพียงพอแล้วโกรธตอบไปแล้ว ตอนจิตว่างๆอยู่ก็ลองใคร่ครวญทำนองนี้ก็นับว่ายังไม่สาย

    ท้ายที่สุดในแต่ละช่วงแต่ละขณะของชีวิต หากเราต้องสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดก็น้อมใจให้รู้เท่าทันสิ่งนั้นตามที่มันเป็น รู้เท่าทันถึงอำนาจของสิ่งนั้นว่ามันมีอิทธิพลทำให้จิตใจเราขึ้นลงอย่างไร หากสิ่งนั้นทำให้เราเกิดความสุขกายเพลิดเพลินใจก็พึงมีหรือครอบครองมันให้เป็น เป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างไม่ยึดติดจนเป็นทุกข์ อย่าให้มันกัดเจ้าของดังคำท่านอาจารย์พุทธทาสเตือนเสมอ เราควรน้อมนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็เพียงชั่วคราว อีกไม่นานเจ้าของที่แท้จริงเขาจะต้องมาทวงคืนอยู่ดี ดังนั้นหากเราหมั่นฝึกฝนจิตให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแล้ว ความโกรธเกลียดที่ฝังรากลึกในจิตใจก็จะค่อยจางคลายสลายไปในที่สุด ความโกรธเกลียดที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นได้ยากเช่นกัน



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#e0f0f3><TABLE height=23 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="5%"></TD><TD align=right width="70%">โดย... ปรีดา เรืองวิชาธร [ 18 ก.ย. 2550 เวลา 10:34 ]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/ba133.shtml

    ปล่อยวาง

    <SMALL>รินใจ </SMALL>
    1. สุพจน์นั่งอยู่ในร้านกาแฟชื่อดัง แต่แทนที่จะมีความสุขกับคาปูชิโนรสโปรด กลับมีสีหน้าขุ่นเคือง ไม่เสบยเอาเสียเลย
      เพื่อนคนหนึ่งเผอิญเดินเข้าไปในร้าน เห็นอาการของสุพจน์แล้ว แปลกใจจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
      "ก็เจ้าพนักงานเก็บเงินที่เคาน์เตอร์น่ะสิ" สุพจน์ตอบ " ดูสายตาของมันสิ"
      "ทำไมเหรอ เขาก็ดูปกติดีนี่" เพื่อนว่า
      "แกไม่รู้อะไร มันรังเกียจคนอีสาน ดูมันมองฉันสิ "
      "เพิ่งรู้ว่าแกเป็นคนอีสาน"
      "ใครว่า หน้าตาฉันแค่เหมือนอีสาน แต่ฉันเป็นคนกรุงเทพ ฯ ทั้งแท่ง"
    ถ้าคุณเป็นเพื่อนของสุพจน์ คงอดงงงวยไม่ได้ พนักงานคนนั้นดูถูกคนอีสานจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถึงจะจริง สุพจน์ก็ไม่น่าจะไปหัวเสีย ก็ในเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นอีสานสักหน่อย จะไปเดือดร้อนทำไม ถ้าจะทุกข์ร้อนแทนคนอีสานก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับไปรับสมอ้างว่าเป็นคนอีสาน แล้วก็เลยทุกข์เสียเอง
    ฟังเรื่องของสุพจน์แล้ว ใคร ๆ ก็ต้องบอกว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี
    แต่เอ๊ะ บ่อยครั้งเราก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เวลาคนอื่นเข้าใจผิดคิดเราว่าคดโกง ไม่รับผิดชอบ เห็นแก่ตัว ฯลฯ ทำไมเราถึงโกรธในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักหน่อย เหตุใดเราถึงไปรับสมอ้างว่าเป็นอย่างเขาว่า
    ลองคิดดูว่าวันหนึ่ง ๆ เราเป็นทุกข์เพราะไปรับสมอ้างในเรื่องที่เราไม่ได้เป็น กี่สิบกี่ร้อยครั้ง ใหม่ ๆ ก็รับสมอ้างด้วยความเผลอ แต่ในที่สุดก็อาจปักใจเชื่อว่าตัวเองแย่อย่างที่เขาว่าจริง ๆ ไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกแล้ว
    มีเหมือนกันที่บางครั้งเรารู้ดีว่าตัวไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า แต่ก็ยังทุกข์อยู่ ถามว่าเป็นเพราะอะไร คำตอบก็คือ เราทนไม่ได้ที่เขาเห็นเราแย่ เราเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคนอื่นเห็นเราอย่างไร "เป็น" กับ "เห็น"นั้นต่างกันมาก แต่บ่อยครั้งเรากลับให้ค่ากับความเห็นหรือสายตาของคนอื่น ยิ่งกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่จริง ๆ
    นี้คือปัญหาของตัวตนที่ครอบงำใจเรา ตัวตนหรืออัตตานั้นปรารถนาการพะเน้าพะนอ ไม่มีอะไรที่ทำให้มันพองโตเท่ากับคำยกย่องสรรเสริญหรือการพินอบพิเทา เมื่อมีคนชื่นชม เราไม่ค่อยสนใจเหตุผลของเขามากเท่ากับคำว่า "คุณเก่ง" หรือ "คุณสวย" ในทำนองเดียวกันเมื่อมีคนตำหนิ เหตุผลของเขามีความหมายต่อเราน้อยกว่าคำว่า "เธอแย่" หรือ "เธอขี้เหร่" ตัวตนใหญ่โตเท่าไหร่ ก็เจ็บมากเท่านั้น เพราะรับเอาแรงกระแทกไปเต็ม ๆ ทั้ง ๆ ที่หลบได้ แต่ไม่หลบเพราะไปยึดถือเอาคำต่อว่านั้นมาเป็น "ของฉัน" หรือ "ของกู" ที่จริงเหตุผลของเขาอาจจะดี แต่พอไปคิดแค่ว่า "เขาว่าฉัน ๆๆ" ก็เลยได้แต่ฟูมฟาย ไม่เอาเหตุผลของเขามาพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่
    เป็นธรรมดาของตัวตนที่ชอบยึดถือสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็น "ของฉัน" เช่น บ้านของฉัน แฟนของฉัน ชื่อเสียงของฉัน ปัญหาก็คือ พอยึดจนเคยตัวแล้ว ของไม่ดีก็ยึดว่าเป็นของฉันด้วย ผลก็คือแบกเอาคำตำหนิติเตียนมาไว้ในใจทั้งวันทั้งคืน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะวางก็วางไม่เป็น เพราะยึดไว้เป็นนิสัยเสียแล้ว
    พอยึดถือหนักเข้า ทีนี้อะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้ไม่เกี่ยวข้องกับตัว ก็ไปยึดไปแบกเอาไว้จนเป็นทุกข์ เพียงแค่มีเสียงดังเท่านั้น ก็ไปคว้าเอาเสียงนั้นมาเล่นงานตัวเอง เสร็จแล้วก็ไปต่อว่าเจ้าของเสียงนั้น แทนที่จะหันมาดูจิตใจของตัวเอง
    คราวหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโรได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมในกรุงเทพ ฯ เมื่อฉันเสร็จโยมก็นิมนต์ให้ท่านเอนกายพักผ่อนก่อนเดินทางกลับวัดที่สิงห์บุรี
    ระหว่างที่ท่านพัก ก็มีเสียงเกี๊ยะดังมาจากข้างบ้านซึ่งเป็นร้านขายของ ศิษย์คนหนึ่งซึ่งอุปัฏฐากท่านอยู่ก็บ่นขึ้นมาดัง ๆ ว่า "แหม เดินเสียงดังเชียว"
    หลวงปู่แม้จะหลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ตลอด จึงพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า "เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง"
    ไม่ใช่หูเท่านั้น แต่ตาของเราก็ชอบหาเรื่องไม่ใช่ย่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะใจของเรานั่นเองที่ชอบเผลอไปยึดไปแบกอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ปล่อยวางเสียบ้าง แล้วอะไรต่ออะไรจะดีเอง
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/ba81.shtml

    ศาสนาบริโภคนิยม
    พระไพศาล วิสาโล
    </B></B>
    [​IMG]

    มนุษย์นั้นแสวงหาวัตถุเริ่มแรกก็เพื่อความอยู่รอดปลอดพ้นจากอันตราย เมื่อบรรลุจุดหมายดังกล่าวแล้ว แรงจูงใจขั้นต่อมาก็คือการแสวงหาวัตถุเพื่อความสะดวกสบายทางกายหรือปรนเปรอประสาททั้งห้า เช่น อาหารที่เอร็ดอร่อย เครื่องเสียงที่ให้ความบันเทิง แม้ว่าแรงจูงใจดังกล่าวมิใช่ของใหม่สำหรับมนุษย์ แต่เมื่อระบบอุตสาหกรรมได้พัฒนามาจนถึงขั้นที่ผลิตอย่างล้นเหลือ ลัทธิบริโภคนิยมก็เกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้คนใฝ่เสพด้วยความเชื่อว่าความสุขจะได้มาก็ด้วยการบริโภคเท่านั้น การบริโภคได้ขยายขอบเขตและมีความหลากหลายอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ลัทธิบริโภคนิยมไม่ได้ยุติที่การปรนเปรอประสาททั้งห้าเท่านั้น หากยังพัฒนาไปถึงขั้นที่มุ่งตอบสนองความสุขทางจิตใจด้วย โดยที่สิ่งเสพหรือสินค้าก็มิได้จำกัดที่วัตถุและบริการเท่านั้น หากยังขยายไปถึงประสบการณ์และสัญลักษณ์ ตรงนี้เองที่ทำให้ลัทธิบริโภคนิยมบ่อยครั้งก็ไม่ต่างจากศาสนา
    ถ้าศาสนาหมายถึงระบบความคิดความเชื่อและการปฏิบัติที่ตอบสนองความต้องการส่วนลึกของมนุษย์ โดยเฉพาะความมั่นคงในจิตใจ คนเป็นอันมากก็กำลังสมาทานบริโภคนิยมในฐานะที่เป็นศาสนาอย่างหนึ่ง เพราะจุดหมายสำคัญในการแสวงหาสิ่งเสพนานาชนิดมาบริโภคนั้น สำหรับเขาเหล่านั้น ถึงที่สุดแล้ว มิใช่อยู่ที่ความสะดวกสบายทางกาย หากอยู่ที่ความมั่นคงทางจิตใจ เสน่ห์ของรถเบนซ์มิได้อยู่ที่ขับนิ่มปลอดภัยหรือนั่งสบาย หากเป็นเพราะมันทำให้จิตใจอบอุ่นมั่นคงและเกิดความมั่นใจในตนเองมากกว่า
    ถ้าศาสนามีจุดหมายในการทำให้คนรู้สึกเต็มอิ่มในชีวิต บริโภคนิยมก็คือศาสนาอีกอย่างหนึ่ง เพราะมันพยายามทำให้ชีวิตรู้สึกเต็ม เป็นแต่ว่าวิถีของบริโภคนิยมนั้นพยายามเติมชีวิตให้เต็มด้วยวัตถุ คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกชีวิตว่างเปล่าและไร้ค่าเพราะคิดว่าขาดวัตถุมาค้ำจุน จึงพยายามแสวงหาทรัพย์สมบัติมาครอบครองให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต แน่ละวัตถุไม่สามารถทำให้ชีวิตรู้สึกเต็มอิ่มไพบูลย์ได้ แต่อย่างน้อยบริโภคนิยมก็ทำให้ชีวิตมีจุดมุ่งหมาย แทนที่จะอยู่อย่างล่องลอยลังเลสงสัย ก็กลับมีเป้าชัดเจนว่าจะเป็นเศรษฐีพันล้านให้ได้ในชั่วชีวิตนี้ ยิ่งกว่านั้นความอุทิศตัวเพื่อเป้าหมายดังกล่าวของสาวกลัทธิบริโภคนิยมนี้ยังเข้มข้นจริงจังไม่น้อยกว่าศาสนิกชนผู้มุ่งผลสำเร็จในทางจิตวิญญาณด้วยซ้ำ คนที่สับสนชีวิตเคว้งคว้างเพราะสิ้นศรัทธาในลัทธิคอมมิวนิสต์ จำนวนไม่น้อยกลับรู้สึกมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่าอีกครั้งหนึ่งเมื่อใจมาจดจ่อที่ตลาดหุ้นหรือตัวเลขในบัญชีธนาคาร
    ลัทธิบริโภคนิยมไม่เพียงช่วยให้ชีวิตมีเป้าหมายในเชิงปริมาณเท่านั้น หากยังทำให้บุคคลมีภาพฝันอันงดงามสำหรับเป็นเครื่องนำทางชีวิต กุญแจแห่งความสำเร็จของลัทธิบริโภคนิยมอยู่ที่การโฆษณาซึ่งสามารถ "ทำให้จิตใจของเราล้นหลากด้วยภาพแห่งความสมบูรณ์พร้อมและจุดหมายแห่งความสุขที่เข้าถึงได้ง่าย"(Pendergrast: 406) ทุกศาสนาล้วนสร้างโลกแห่งความสมบูรณ์พร้อมและจุดหมายแห่งความสุขเพื่อเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของผู้คน บัดนี้ลัทธิบริโภคนิยมได้เข้ามาทำหน้าที่นี้ด้วยเหมือนกัน แต่ที่ต่างจากศาสนาอื่นก็คือ จุดหมายแห่งความสุขที่ลัทธิบริโภคนิยมเสนอและสัญญาว่าจะสนองนั้นเป็นจุดหมายที่ "เข้าถึงได้ง่าย"
    สิ่งสำคัญที่ทำให้ลัทธิบริโภคนิยมมีสถานะเยี่ยงศาสนาก็คือ การที่ผู้คนมีท่าทีต่อบริโภคนิยมไม่ต่างจากศาสนา กล่าวอีกนัยหนึ่งผู้คนทุกวันนี้นับวันจะเข้าหาบริโภคนิยมด้วยแรงผลักดันเดียวกันกับที่นำพาผู้คนเข้าหาศาสนา จะเรียกว่าเป็นแรงผลักดันทางจิตวิญญาณก็ได้ มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยนั้นเข้าหาศาสนาก็เพราะแรงผลักดันพื้นฐานได้แก่ ความต้องการบรรเทาความรู้สึกพร่อง ความรู้สึกพร่องที่คอยรบกวนจิตใจอยู่เสมอนั้นไม่ใช่แค่ความรู้สึกว่างเปล่าเพราะไร้จุดหมายในชีวิต หรือรู้สึกว่าชีวิตไร้คุณค่าเท่านั้น ลึกลงไปกว่านั้นคือความรู้สึกถึงความไม่ยั่งยืนของตัวตน รวมทั้งความไม่มั่นใจว่าตัวตนมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งล้วนเป็นความรู้สึกที่ทำความทุกข์แก่จิตใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์นั้นต้องการตัวตนที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ศาสนาต่าง ๆ บรรเทาความรู้สึกพร่องดังกล่าวได้ส่วนหนึ่งก็ด้วยการทำให้ผู้คนมั่นใจว่ามีพระเจ้าอันยั่งยืนอมตะที่ตัวตน สามารถจะเข้าไปผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ อีกทั้งมีสวรรค์หรือชาติหน้าสำหรับรองรับตัวตนให้สืบต่อหลังตาย ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคนสมัยใหม่เริ่มไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า สวรรค์หรือชาติหน้า ความรู้สึกพร่องในเรื่องตัวตนจึงกลับมารบกวนจิตใจใหม่ ในสภาพสุญญากาศทางจิตวิญญาณนี้เองที่ลัทธิบริโภคนิยมได้เข้ามาแทนที่ศาสนา ด้วยการอธิบายว่าความรู้สึกพร่องที่รบกวนจิตใจนั้นเป็นเพราะยังมีไม่พอ ดังนั้นจึงต้องแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาครอบครองให้มากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือมันช่วยบรรเทาความสงสัยในความมีอยู่ของตัวตนด้วยการหาวัตถุสิ่งเสพที่สัมผัสจับต้องได้มาเป็นฐานรองรับตัวตนเพื่อให้รู้สึกว่ามีความเที่ยงแท้มั่นคงมากขึ้น ขณะเดียวกันความสุขจากการเสพก็ช่วยลดความรู้สึกพร่องคับข้องใจได้แม้จะชั่วคราวก็ตาม กล่าวอีกนัยหนึ่งความเสื่อมศรัทธาในศาสนาผลักดันให้ผู้คนหันมาสมาทานลัทธิบริโภคนิยม และทำให้ลัทธิดังกล่าวกลายเป็นศาสนาสมัยใหม่ไปในความรู้สึกของผู้คน (ประเด็นนี้จะขยายความในบทที่ ๑๑)
    การสมาทานลัทธิบริโภคนิยมด้วยแรงจูงใจทางศาสนาเห็นได้อย่างชัดเจนจากท่าทีของผู้คนในการเสพและแสวงหาสิ่งต่าง ๆ ผู้คนเป็นอันมากสะสมวัตถุที่เกี่ยวกับดารายอดนิยมหรือลายเซ็นของนักกีฬาชื่อดัง ไม่ต่างจากคนที่เก็บสะสมพระเครื่องหรือพระพุทธรูป หลายคนแย่งชิงเสื้อนักกีฬาด้วยความคลั่งไคล้แบบเดียวกับผู้ที่ดิ้นรนเบียดเสียดเป็นเจ้าของวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ดัง แม้จะเสียเงินเป็นแสน ๆ ก็ยอม (ดังการประมูลเสื้อนักฟุตบอลทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่กรุงเทพ ฯ เมื่อปี ๒๕๔๔) ของที่ระลึกในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งขายดิบขายดี ไม่ใช่เพราะคนซื้อไปฝากใคร หากเพราะต้องการเก็บไว้ประหนึ่งของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็เป็นความรู้สึกเดียวกับคนที่ชอบสะสมผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อ "ผู้คนสะสมของยี่ห้อเหล่านี้เหมือนกับที่เราเคยเก็บอัฐินักบุญ" เป็นคำกล่าวของอาจารย์สอนวิชาการโฆษณาผู้หนึ่ง (Wells: 198) สถานบันเทิงมีชื่อหรือสถานที่ที่มีประวัติเกี่ยวพันกับนักร้องคนโปรดสามารถดึงดูดผู้คนให้เดินทางไปหาด้วยความรู้สึกเหมือนการจาริกทางศาสนา แม้แต่การเยือนดิสนีย์แลนด์ก็ให้ความรู้สึกแก่ผู้คนไม่แพ้การจาริกไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา คอนเสิร์ตของนักร้องชื่อดังกลายเป็นพิธีกรรมที่ให้ความปีติดื่มด่ำแก่วัยรุ่นเช่นเดียวกับที่แฟนบอลทั่วทั้งโลกรู้สึกต่อการได้เยือนสนามเวมบลีย์ในกรุงลอนดอนอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต หรือได้มีส่วนร่วมในงานเปิด-ปิดฟุตบอลโลกในสถานที่จริง
    ลัทธิบริโภคนิยมไม่ขาดแคลนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับพิธีกรรม คนจำนวนมากไปศูนย์การค้าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ต่างจากคนแต่ก่อนที่เข้าวัดทุกวันพระ เทศกาลลดราคา ขายของถูก กลายเป็นวันสำคัญอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่มีความหมายทางจิตใจอย่างมากต่อผู้คน ครั้นถึงวันปีใหม่ คริสต์มาส พิธีกรรมที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ซื้อของขวัญและเลี้ยงฉลองกัน ถึงวันวาเลนไทน์ก็มีพิธีกรรมที่ต้องจับจ่ายใช้เงิน บริโภคนิยมไม่เพียงแต่จะยึดประเพณีหรือเทศกาลทางสังคมให้กลายเป็นวันสำคัญของลัทธินี้เท่านั้น แม้แต่เหตุการณ์สำคัญในชีวิตก็ถูกครอบงำด้วยพิธีกรรมแบบบริโภคนิยม ไม่ว่าจะสำเร็จการศึกษา รับปริญญาบัตร ย้ายงาน เลื่อนตำแหน่ง คลอดลูก วันเกิด ฯลฯ ธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติก็คือ เฉลิมฉลองด้วยการบริโภคและซื้อของจากห้างสรรพสินค้า ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลของโทรคมนาคมยุคโลกาภิวัตน์ ยังทำให้เกิดเทศกาลที่มีความยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนทั้งโลกสามารถทำให้ผู้คนเกิดความคลั่งไคล้และมีพฤติกรรมคล้ายๆ กันในเวลาเดียวกัน อาทิ เทศกาลฟุตบอลโลกและกีฬาโอลิมปิค
    การจับจ่ายใช้สอยและการช็อปปิ้งกลายเป็นพิธีกรรมได้ก็เพราะลัทธิบริโภคนิยมสามารถทำให้การบริโภคกลายเป็นสรณะของชีวิตได้ จะกล่าวว่าการบริโภคกลายเป็นพระเจ้าก็ย่อมได้ ในศาสนาต่าง ๆ สิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างพระเจ้า(หรือสิ่งสูงสุด)กับแต่ละบุคคลคือศรัทธาฉันใด ในวัฒนธรรมบริโภคนิยมศรัทธาหรือความภักดีก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ฉันนั้น เป็นแต่ว่าแทนที่บุคคลจะมีศรัทธากับพระเจ้า ก็มามอบกายใจไว้กับการบริโภคแทน แต่การบริโภคบางครั้งก็เป็นนามธรรมเกินไป ที่ตั้งแห่งศรัทธาจึงได้แก่วัตถุรูปธรรมที่แลเห็นได้ เช่น ยี่ห้อหรือแบรนด์เนม ความภักดีของคนที่มีต่อหลุยส์วิตตอง กุชชี่ ไนกี้ ฟิลิปปาเต๊ะ เป็นเรื่องที่เข้มข้นเกินกว่าที่จะดูแคลนได้ ความสำเร็จของผู้ผลิตยี่ห้อน่าจะอยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์นั้นขาดศรัทธาไม่ได้ ดังนั้นเมื่อไม่มีพระเจ้าให้ยึดถือ(เพราะพระเจ้า"ตายแล้ว")หรือถูกลดความสำคัญลง ความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องมีสิ่งใหม่ให้ใจยึดถือหรือผูกพันแทน เปิดโอกาสให้บริษัททั้งหลายเสนอยี่ห้อต่าง ๆ มาแทน
    มองอีกแง่หนึ่งยี่ห้อชื่อดังเป็นที่ใฝ่หาของผู้คนก็เพราะเชื่อว่ามันบรรเทาปัญหา"ตัวตน"(หรือปัญหาอัตลักษณ์)ของเขาได้ คนในยุคปัจจุบันนับวันจะมีปัญหาตัวตน ส่วนหนึ่งก็เพราะสิ่งซึ่งเคยเป็นตัวกำหนดหรือที่มาแห่งตัวตนของผู้คนนั้น เช่น ศาสนา เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ หมู่บ้าน หรือประเทศนั้นมีมนต์ขลังน้อยลง ลัทธิปัจเจกนิยมทำให้ผู้คนต้องการตัวตนที่เป็นของตนเอง มีลักษณะเฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบใคร ลัทธิบริโภคนิยมตอบสนองความต้องการส่วนนี้เพราะช่วยให้ผู้คนสามารถเลือกปรุงแต่งหรือกำหนดตัวตนได้อย่างอิสระด้วยการบริโภค วิธีนี้นอกจากจะทำให้บุคคลรู้สึกมีเสรีภาพอย่างกว้างขวาง(เนื่องจากของที่ให้เลือกบริโภคมีมากมายนับไม่ถ้วน) จะเปลี่ยนจะเลิกเมื่อใดก็ได้แล้ว ยังเป็นวิธีที่ง่ายเพราะไม่ต้องลงทุนลงแรง(ผิดกับการทำงานหรืออาชีพซึ่งเป็นที่มาแห่งตัวตนอีกอย่างหนึ่ง) ขอให้มีเงินก็พอ ยี่ห้อชื่อดังมีความสำคัญตรงนี้ก็เพราะมันได้เสนอภาพลักษณ์อันพึงปรารถนาที่ใคร ๆ ก็สามารถเอามาประดับตัวตนหรือกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนได้
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แม้ว่าการบริโภคเป็นวิธีที่คนเป็นอันมากใช้ในการแสดงตัวตนว่าเป็นใครหรือเป็นคนอย่างไร แต่ทุกวันนี้ยี่ห้อชื่อดังเป็นมากกว่าสิ่งแสดงตัวตน หากกลายมาเป็นสิ่งกำหนดตัวตนของผู้คน หรือสิ่งที่ผู้คนเชื่อว่า สามารถสร้างตัวตนที่พึงปรารถนาให้แก่ตนเองได้ ในส่วนลึกของมนุษย์นั้นต้องการความเป็น"คนใหม่" ศาสนานั้นมีทั้งพิธีกรรมและข้อปฏิบัติเพื่อการเป็นคนใหม่ หนุ่มไทยแต่ก่อนบวชพระแล้วถึงจะได้ชื่อว่าเป็น"คนสุก" หลายลัทธิศาสนาสร้างตัวตนใหม่ด้วยการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม (ในพุทธศาสนา เมื่อบวชพระแล้วก็ต้องมีชื่อใหม่ที่เรียกว่า"ฉายา") แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนให้ลึกกว่านั้น ก็ต้องถือศีล บำเพ็ญพรต หรือทำสมาธิภาวนา ลัทธิบริโภคนิยมก็สามารถสนองความต้องการส่วนนี้ได้เหมือนกัน โดยการทำให้เชื่อว่าเมื่อใช้สินค้ายี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้แล้วเราจะมีตัวตนหรืออัตลักษณ์ใหม่ ถ้าจะเป็น"คนรุ่นใหม่"ก็ต้องกินโค้ก ถ้าจะเป็นผู้ชนะก็ต้องใส่ไนกี้ ถ้าจะเป็นเอกบุรุษก็ต้องแอโรว์ ฯลฯ เสน่ห์ประการหนึ่งของบริโภคนิยมนั้นอยู่ตรงที่ การเปลี่ยนตัวตนใหม่หรือสร้างตัวตนที่พึงปรารถนานั้นทำได้ง่าย โดยเพียงแต่ควักเงินจ่ายหรือหายี่ห้อชื่อดังมาสวมใส่ครอบครองเท่านั้น ไม่ต้องลงแรงอะไรอย่างที่ศาสนาต่าง ๆ เรียกร้อง ด้วยเหตุนี้บริโภคนิยมตามคำนิยามของบางคนจึงหมายถึงความเชื่อว่าการบริโภค"เป็นหนทางสู่การพัฒนาตน การประจักษ์แจ้งแห่งตน และการยังตนให้ไพบูลย์ (อ้างใน Gaza: 58) พิจารณาจากคำนิยามนี้แล้ว บริโภคนิยมแทบจะไม่แตกต่างจากศาสนาเลย
    จริงอยู่ตัวตนนั้นไม่อาจเปลี่ยนได้ง่าย ๆ ด้วยการเพียงแค่ใส่ไนกี้หรือสะพายหลุยส์วิตตอง แต่สำหรับลัทธิบริโภคนิยม "ความจริง"ไม่สำคัญเท่ากับ"จินตภาพ" ตรงกันข้ามกับที่เข้าใจกัน ถึงที่สุดแล้วบริโภคนิยมไม่ใช่เรื่องวัตถุ หากเป็นเรื่องของจิตใจ สิ่งที่บริโภคนิยมนำมาเสนอแก่ผู้คนไม่ใช่วัตถุที่สนองความต้องการทางกาย หากแต่เสนอสิ่งเสพทางใจ ผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อดังเวลานี้ไม่ได้เสนอขายสิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่เขาขายจริง ๆ ก็คือ ภาพลักษณ์หรือสัญลักษณ์ ไนกี้เคยประกาศว่า "เราไม่ใช่บริษัทรองเท้า..เราเป็นบริษัทกีฬา" ในทำนองเดียวกันแมคโดนัลด์ก็เคยพูดว่า"เราไม่ได้ขายโภชนาการ และคนก็ไม่ได้มาร้านแมคโดนัลด์เพราะต้องการโภชนาการ" ส่วนมาร์ลโบโรก็ไม่เคยพรรณนาสรรพคุณของบุหรี่ที่ตนผลิต กลับเน้นแต่ภาพโคบาลในโฆษณาของตน
    ไนกี้ไม่ได้ผลิตรองเท้า สิ่งที่เขาตั้งใจผลิตจริง ๆ ก็คือภาพลักษณ์นักกีฬาหรือความเป็น"ผู้ชนะ" การเอาไมเคิล จอร์แดน หรือไทเกอร์ วูดส์มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับไนกี้ ก็เพื่อให้รองเท้าไนกี้กับความเป็นผู้ชนะกลายเป็นสิ่งเดียวกันในทัศนะของคนทั่วไป จนเชื่อว่าเมื่อใส่ไนกี้แล้วตนจะมีมาดนักกีฬา คือแข็งแรง สมาร์ทปราดเปรียว ในทำนองเดียวกันแมคโดนัลด์ก็ขายความเป็นคนทันสมัยยิ่งกว่าขายแฮมเบอร์เกอร์ (แต่ถ้าเป็นในยุโรป แมคโดนัลด์จะสร้างภาพว่าเป็น"เพื่อนที่ไว้ใจได้" หรือขายความเป็นมิตรแทน-Heilemann: 181) ส่วนมาร์ลโบโรก็ไม่ได้ขายบุหรี่มากเท่ากับการขายภาพลักษณ์ชายชาตรีและความเป็นอเมริกัน แน่ละ เพียงแค่สูบมาร์ลโบโรไม่ทำให้ใครเป็นชายชาตรีที่เข้มแข็งได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับความเชื่อของคนที่สูบบุหรี่แล้วรู้สึกว่าตัวเป็น"แมน"หรือภูมิฐานอย่างอเมริกัน
    ยี่ห้ออื่น ๆ ถึงจะไม่ได้ขายภาพลักษณ์โดยตรง แต่ก็ขายความฝัน ความหวัง ความเชื่อมั่น ความรู้สึกอันงดงาม รวมทั้งความคิดที่เป็นอุดมคติ ซึ่งก่อให้เกิดผลในทางชุบชูจิตใจ (อันเป็นหน้าที่หนึ่งของศาสนาด้วย)ไอบีเอ็มไม่ได้ขายคอมพิวเตอร์ แต่ขายความมั่นใจว่าปัญหาต่าง ๆ แก้ไขได้ โพลารอยด์ก็ไม่ได้ขายกล้องถ่ายรูป หากขายความฝันที่จะมีสัมพันธภาพที่ราบรื่น (Heilemann: 174) ฟอร์ดก็ไม่ได้ขายรถ แต่ขายความใฝ่ฝันที่จะมีวิถีชีวิตอันทันสมัยแบบชนชั้นกลาง(Jennings& Brewster: 335) ส่วนบอดี้ช็อป ผู้ก่อตั้งคืออนิตา รอดดิก ก็ย้ำเสมอว่าหัวใจของร้านเธอไม่ได้อยู่ที่การขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง หากอยู่ที่การเป็นสื่อถ่ายทอดความคิดอันยิ่งใหญ่ (grand idea) อันได้แก่ปรัชญาเกี่ยวกับผู้หญิง สิ่งแวดล้อม และธุรกิจที่มีจริยธรรม สตาร์บั๊คก็เช่นกัน ไม่ได้ขายกาแฟ หากขายสิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์สตารบั๊ค" อันได้แก่ "ความรัญจวนใจจากประสบการณ์ทางด้านกาแฟ ความรู้สึกอบอุ่นและความรู้สึกถึงสายสัมพันธ์อย่างชุมชน ที่ผู้คนได้รับจากร้านสตาร์บั๊ค" (อ้างใน Klein: 20,22)
    บางยี่ห้อไปไกลยิ่งกว่านั้น คือสามารถทำให้ตัวมันเองกลายเป็นตัวแทนของคุณค่าอันสูงส่งงดงาม อาทิ ความรัก สันติสุข ภราดรภาพ ซึ่งล้วนเป็นคุณค่าที่ทุกศาสนาเชิดชู ความสำเร็จในการโฆษณาและสร้างภาพลักษณ์ ได้ทำให้โค้กไปถึงจุดนั้นในสมัยหนึ่งจนมีสถานะไม่ต่างจากศาสนาหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาที่โหยหาความทันสมัยอย่างอเมริกันซึ่งโค้กเป็นตัวแทน และศาสนาใหม่นี้เข้าถึงชีวิตจิตใจของผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลยิ่งกว่าศาสนาใด ๆ แม้แต่ศาสนาคริสต์ซึ่งมีผู้นับถือมากที่สุดในโลก แน่นอนว่าความสำเร็จทางการตลาดของโค้กนั้นเป็นเพราะ"ผู้คนดื่มภาพลักษณ์ ไม่ได้ดื่มผลิตภัณฑ์"ดังคำของผู้บริหารบริษัทโฆษณาของโค้ก (Pendergrast: 400-406) นี้ก็เช่นเดียวกับความเห็นของผู้บริหารบริษัทเบียร์ระดับโลกแห่งหนึ่งที่ยอมรับว่า "ผู้คนไม่ได้ดื่มเบียร์ เขาดื่มโฆษณาเบียร์ต่างหาก" (Twitchell: 4)
    การที่ผู้คนนับวันจะหันมาบริโภคคุณค่าหรือภาพลักษณ์ของสินค้า มากกว่าจะบริโภคคุณสมบัติเชิงกายภาพของสินค้านั้น ๆ ทำให้บริษัทเป็นอันมากเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ผลิตสินค้า (product producer) มาเป็น "ผู้ผลิตคุณค่า" หรือผู้เติมความหมายให้แก่สินค้า(meaning broker) โดยมุ่งขายยี่ห้อยิ่งกว่าจะขายตัวสินค้า เนื่องจากให้กำไรมากกว่า และบริหารง่ายกว่า บริษัทเหล่านี้จะมุ่งผลิตและสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ยี่ห้อ ทำให้ยี่ห้อเป็นตัวแทนของคุณค่า วิถีชีวิต และประสบการณ์ที่พึงปรารถนา ส่วนตัวสินค้า บริษัทเหล่านี้จะไม่ผลิตเอง แต่จะให้เป็นหน้าที่ของผู้เช่าช่วงซึ่งส่วนใหญ่ตั้งโรงงานอยู่ในโลกที่สาม การผลิตยี่ห้อและทำให้ยี่หอมีมนต์สะกดผู้คนไม่ใช่เป็นเรื่องจิตวิทยาพื้น ๆ "ยี่ห้อจะขายได้ก็เพราะมีองค์ประกอบพิเศษซึ่งเรียกเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากจะใช้คำว่าจิตวิญญาณ" (Klein: 21) ด้วยอิทธิพลของยี่ห้อ บริษัทผู้ผลิตและบริษัทโฆษณาได้ทำให้วัตถุธรรมดากลายเป็นสิ่งทรงคุณค่าซึ่งไม่เพียงดึงดูดจิตใจของผู้คนเท่านั้น หากยังกลายเป็นสิ่งที่ให้คุณค่าและความหมายแก่ชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ รวมทั้งเป็นตัวสร้างอัตลักษณ์หรือตัวตนที่พึงปรารถนาแก่ผู้บริโภค มองในแง่นี้บริษัทดังกล่าวได้เข้ามาทำหน้าที่แทนศาสนาหรือสถาบันศาสนา เพราะหน้าที่ประการหนึ่งของศาสนาและสถาบันศาสนาก็คือการเป็นตัวกำหนดคุณค่าและความหมายของชีวิต ว่าชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร และทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีและทรงคุณค่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันหน้าที่ดังกล่าวได้กลายมาเป็นของบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นกลไกสำคัญของลัทธิบริโภคนิยม ที่น่าสังเกตก็คือผู้บุกเบิกยุคแรกๆ ของวงการโฆษณาสมัยใหม่ ซึ่งกำเนิดในสหรัฐอเมริกา บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มีภูมิหลังแนบแน่นอยู่กับการเผยแผ่ศาสนา เช่น เป็นหมอสอนศาสนามาก่อน หรืออยู่ในครอบครัวของหมอสอนศาสนา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ศาสนากับโฆษณาสมัยใหม่จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด(Twitchell: 33-34)
    ยี่ห้อยังมีบทบาทที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งก็เป็นบทบาทเดียวกับศาสนา นั่นคือ ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ใหญ่กว่าตนเอง รวมทั้งความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มนุษย์ทุกคนต้องการความผูกพันดังกล่าว ศาสนาต่าง ๆ มีพิธีกรรมและชุมชนเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว นี้คือเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ลัทธิพิธีหรือศาสนาใหม่เกิดขึ้นมากมายเมื่อศาสนาเดิมเสื่อมบทบาทลงไป แต่สำหรับหลายคนชุมชนที่ผูกพันกันด้วยสินค้ายี่ห้อชนิดเดียวกัน ตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้ดีกว่า ปัจจุบันมีผู้คนเป็นอันมากเกาะกลุ่มห้อมล้อมยี่ห้อชนิดต่างๆ โดยมีวิถีชีวิต ค่านิยม และสัญลักษณ์ และ"พิธีกรรม" คล้าย ๆ กัน จนเรียกได้ว่าเป็นลัทธิพิธีอย่างหนึ่ง (cult brands) แบรนด์เนมดังกล่าว มักจะไม่ใช่สินค้าที่บริโภคอย่างแพร่หลาย หากแต่เป็นที่นิยมเฉพาะคนบางกลุ่ม ความเป็นคนกลุ่มน้อยนี้ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกระชับแน่นขึ้น นอกจากยี่ห้อจะทำหน้าที่"ระบุว่าเราเป็นใครและบอกสังกัดของเรา" ดังที่วอลลี่ โอลินส์ นักธุรกิจผู้หนึ่งได้กล่าวแล้ว (The Economist 2001: 28) มันยังทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความต่อเนื่องที่ตนเป็นส่วนหนึ่งด้วย โรเบิร์ต เจย์ ลิฟตัน นักจิตวิทยา ได้กล่าวว่า "ถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งของยี่ห้อเช่นฮาร์เลย์ เดวิดสัน(รถจักรยานยนต์) คุณสามารถรู้สึกได้ว่าขบวนการนี้เกิดขึ้นมาก่อนคุณเกิดและจะคงอยู่ต่อไปอีกหลังจากสิ้นอายุขัยของคุณ"(อ้างใน Wells: 200) การเอาตัวตนไปผูกติดกับสิ่งซึ่งดูยั่งยืนยาวนานนี้ไม่เพียงช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงอบอุ่นแล้ว ยังตอบสนองความรู้สึกส่วนลึกของผู้คนที่ต้องการให้ตัวตนมีความยั่งยืนสืบต่อไปไม่สิ้นสุด
    ลัทธิบริโภคนิยมได้พัฒนามาจนถึงจุดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นศาสนาใหม่สำหรับยุคปัจจุบัน สถานะดังกล่าวเกิดขึ้นได้ก็เพราะผู้คนต้องการให้มันเป็นศาสนา เข้าหาและยึดติดกับมันด้วยแรงจูงใจอย่างเดียวกับที่ผลักดันให้เราพึ่งพาศาสนา แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว ลัทธิบริโภคนิยมเป็นศาสนาได้อีกส่วนหนึ่งก็เพราะมีคนจงใจให้มันเป็นศาสนาด้วย ความข้อนี้ วิคเตอร์ เลบาว นักวิเคราะห์การค้าปลีกชาวอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "เศรษฐกิจของเรามีความสามารถในการผลิตอย่างล้นเหลือ... ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำให้การบริโภคกลายเป็นวิถีชีวิตของเรา ทำให้การซื้อและใช้สินค้ากลายเป็นพิธีกรรมทำให้เราเสาะแสวงหาความพึงพอใจทางจิตวิญญาณและการสนองตัวตนด้วยการบริโภค...เราจำเป็นต้องเสพสินค้า ผลาญให้หมด ทำให้โทรม ซื้อของใหม่ และทิ้งมันให้เร็วขึ้นกว่าเดิม" (อ้างใน Dominguez & Robin: 17)
    ลัทธิบริโภคนิยมเป็นศาสนาที่จงใจให้เกิดขึ้นเพื่อสนองผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจคือ สหรัฐอเมริกาโดยตรง มันยังเป็นผลจากความพยายามที่จะครอบงำวัฒนธรรมของโลกด้วย ดังแอดไล สตีเวนสัน อดีตทูตอเมริกันประจำสหประชาชาติได้บอกเป็นนัยยะจากคำกล่าวที่ว่า "ในเมื่อซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นวิหารของเรา และเพลงโฆษณาสินค้าเป็นเสียงสวดมนต์ของเรา ถ้าจะทำให้โลกนี้เปี่ยมล้นด้วยจุดมุ่งหมายและวิถีชีวิตอันจรรโลงใจตามวิสัยทัศน์แบบอเมริกันซึ่งยากจะฝืน เราจะทำได้ไหม?"(อ้างใน Pendergrast: 405) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำตอบของเขาและของผู้นำทางเศรษฐกิจการเมืองในอเมริกาก็คือ "ได้" นี้คือเหตุผลประการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน
    สำหรับสังคมไทย ผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการแพร่ขยายของศาสนาบริโภคนิยมก็คือ การถือเงินตราเป็นสรณะ เอาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาประเทศ ถือเอาผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จของคนทั้งประเทศยิ่งกว่าจะให้ความสำคัญกับความสุขและชีวิตที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกับที่ผู้คนต่างถือเอารายได้หรือทรัพย์สินเป็นเครื่องวัดความสำเร็จของชีวิต ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเครื่องบ่งบอกว่า พุทธศาสนาถูกทุนนิยมและบริโภคนิยมเบียดขับออกไปจากการเป็นศาสนาหลักของสังคมไทยไปแล้ว การที่สถาบันสงฆ์ยอมปิดปากเรื่องสันโดษเพื่อเห็นแก่การพัฒนาเศรษฐกิจในสมัยจอมพลสฤษดิ์ในแง่หนึ่งก็เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอิทธิพลของทุนนิยมที่เหนือพุทธศาสนา และเมื่อประเทศไทยถึงแก่ความวิบัติในทางเศรษฐกิจอันมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยกันทั้งประเทศ โดยแทบจะไม่มีเสียงเตือนจากพุทธศาสนามาก่อนเลย นั่นก็เท่ากับชี้ว่าพุทธศาสนาได้พ่ายแพ้ต่อบริโภคนิยมไปแล้ว แม้ว่าวัดวาอารามและโบสถ์วิหารอันใหญ่โตจะผุดสะพรั่งทั่วทั้งประเทศก็ตาม



    บทความจาก บทที่ 4 ของงานวิจัยเรื่อง "พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและ ทางออกจากวิกฤต โดย พระไพศาล วิสาโล
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วัดใหญ่อินทาราม เป็นวัดที่มีความสำคัญกับสายบุญพวกเรากล่าวคือ ภายในวัดมีพระพุทธรูปนามว่า หลวงพ่อเฉย ซึ่งเป็นพระที่มีบารมีของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ สมเด็จองค์ปฐมของภัทรกัปป์นี้ มาดูประวัติกันครับ

    ประวัติความเป็นมา
    วัดใหญ่หรือวัดอินทาราม ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่าวัดใหญ่อินทาราม ตั้งอยู่ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมืองชลบุรี
    เดิมเป็นวัดราษฎร์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม
    พ.ศ. 2518 เป็นวัดโบราณสร้างนานปีจะสร้างมาแต่สมัยใดยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ เป็นแต่เพียงสันนิษฐานจากโบราณ
    วัตถุภายในวัดว่าน่าจะสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่มาปรากฏเด่นชัดในพงศเวตรว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ครั้น
    ยังเป็นพระยาวชิรปราการ ได้เสด็จมาพักไพร่พลเมื่อคราวมาปราบนายทองอยู่ นกเล็ก
    วัดใหญ่อินทาราม ปัจจุบันเป็นวัดตั้งอยู่ใจกลางเมืองเป็นวัดสำคัญของจังหวัดชลบุรี เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมา
    นาน ห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ตามพงศาวดารกล่าวว่า วัดนี้ห่างจากตัวจังหวัดประ-
    มาณ 80 เส้น เป็นวัดคู่กับวัดสมรโกฏิและวัดสวนตาล ซึ่งทั้ง 2 วัดที่กล่าวมานี้ได้ร้างไปนานแล้ว แต่พระพุทธรูปสำ
    ริดประจำศาลาของวัดสมรโกฏิมีอยู่องค์หนึ่ง ชาวบ้านได้แห่มาประดิษฐานไว้ ณ ศาลาการเปรียญวัดใหญ่อินทา-
    ราม ปัจจุบันทางวัดได้อัญเชิญ มาประดิษฐานไว้บนศาลามหาราช ชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อเฉย" เป็นพระศักดิ์-
    สิทธิ์ของเมืองชลบุรี มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เด็กเล็กๆซึ่งออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้กลับเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย-
    ขึ้น อย่างน่าพิศวง เวลาเย็นๆจะเห็นชาวบ้านนำเด็กขี้โรคมาจุดธูปเทียนถวายเป็นลูกหลวงพ่อเฉยกันมากมาย เสร็จ
    แล้วก็ฉีกชายจีวรที่ห่มคลุมองค์หลวงพ่อไปผูกข้อมือเด็ก เด็กก็จะหายโรคหายภัยเลี้ยงง่ายและเมื่อเห็นว่าผ้าเหลืองที่
    คลุมองค์หลวงพ่อถูกฉีกไปมากเข้า ชาวบ้านก็จะมีศรัทธานำจีวรมาห่มให้ใหม่ไม่รู้จักจบสิ้น ด้วยเหตุนี้เองหลวงพ่อ
    เฉยจึงมีผ้าห่มคลุมองค์อยู่เสมอมิได้ขาด
    พระอุโบสถวัดใหญ่อินทารามมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามหาดูได้ยาก ขณะนี้กรมศิลปากรได้ขึ้น

    ทะเบียนอนุรักษ์เป็นโบราณสถานของชาติ และทางวัดกับกรมศิลปากรกำลังร่วมมือกันทำประตูประดับมุกและเขียน
    ลายรดน้ำหน้าต่าง บานประตูประดับมุกขณะนี้ในประเทศไทยมีเพียง 17 แห่ง วัดนี้เป็นวัดอันดับที่ 18 ในพระอุโบ-
    สถ มีฐานพระพุทธรูป 24 ฐาน แต่ละฐานมีลวดลายไม่เหมือนกัน มีชาวต่างชาติแวะมาเยี่ยมชมเสมอ นอกจากนี้แม้แต่
    ประเพณีวิ่งควายก็ได้จัดขึ้นที่วัดนี้ เป็นประเพณีสืบมาแต่โบราณ
    สิ่งสำคัญของวัดใหญ่อินทารามที่สมควรนำมากล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมานี้ มีต้นหว้า
    ใหญ่ ต้นหนึ่งลำต้นประมาณ 3 คนโอบ ความสูงของต้นหว้าสามารถเป็นเครื่องหมายของชาวทะเลได้ดี แต่บัดนี้ได้
    ตายไปแล้ว เนื่องจากเทศบาลทำถนนลาดยางเข้าไปชิดต้นและรถวิ่งไปมา ทนแรงสั่นสะเทือนไม่ไหว เล่ากันว่าเมื่อ
    ครั้งพระยาวชิรปราการได้มาตั้งค่ายพักพลซ่องสุมผู้คนก็ได้มาชุมนุมกันบริเวณต้นหว้านี้และเล่าต่อกันมาว่า มีนาย-
    กองผู้หนึ่งชื่อนายกองกฤษมีความผิดฐานขัดขืนอาญาทัพร้ายแรงถูกสั่งประหารชีวิต นายกองกฤษได้ถูกประหารชีวิต
    ใต้ต้นหว้านี้ ภายหลังมีผู้สักการะบูชาโดยเชื่อว่าวิญญาณของนายกองกฤษยังสถิตอยู่ที่ต้นหว้านี้ เวลามีตรุษสงกรานต์
    ก็จะมีการบวงสรวงเซ่นไหว้กันตามความเชื่อถือ แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดคือ เมื่อต้นหว้าตายแล้วทางเทศบาลตัด
    ออกล้มลงกลางถนน ทางวัดมีประสงค์จะนำไปเลื่อยทำประโยชน์ จึงได้ขอร้อง นายประโยชน์ เนื่องจำนงค์ เจ้าของ
    โรงเลื่อยจักรบ้านบึงขอให้นำรถบรรทุกไม้หว้าเข้าไปในวัด แต่รถปั้นจั่นไม่สามารถจะยกต้นหว้าขึ้นรถบรรทุกได้ ไม้
    คานที่เตรียมมาก็หัก จนสุดความสามารถ เมื่อท่านเจ้าอาวาสทราบเรื่องท่านจึงออกไปยืนที่โคนต้นหว้าเอามือตบต้น
    หว้าแล้วพูดกับต้นหว้าว่า "นายกองอย่าอยู่ที่นี่เลยเกะกะทางเขา เข้าไปอยู่ในวัดกับอาตมาเถิด" แล้วท่านก็บอกคนงาน
    ให้เตรียมเครื่องฉุดทันที สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาประชาชนนับร้อยคือปั้นจั่นได้ยกต้นหว้านั้นขึ้นรถบรรทุกได้โดยง่าย
    เหมือนปาฏิหาริย์จึงถือโอกาสเล่าไว้ ณ ที่นี้ ไม้หว้านี้เมื่อนำมาเลื่อยแล้ว ทางวัดได้นำมาปลูกสร้างศาลาบำเพ็ญกุศลที่
    ใกล้เมรุของวัดได้หลังหนึ่ง ให้ชื่อศาลาหลังนี้ว่า "ศาลาพรหมมินทร์มาตานุสรณ์" ยังปรากฏอยู่จนบัดนี้
     
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เบื้องหลังพระประธานวัดนี้นี่สิน่าสนใจอย่างยิ่ง เห็นท่านเฉยแต่หารู้ไม่ อยากรู้ว่าอย่างไร ก๊วนวังหน้า ชาตินี้ควรไปกราบท่านให้ได้ก็แล้วกัน นี่แหละต้นตระกูลภัทรกัปป์ที่ท่านลงมาเอง อยู่เลยบ้าน อ.ประถมไปไม่กี่มากน้อย ไปไหว้พ่อซะ....


    เลียนแบบ อ.ง ก่อนหน้านี้

    ท่านบอกคุณรึ? ว่าท่านลงมาเอง
    เปล่า แต่ฌาณลาภีที่นับถือบอกมา จึงเชื่อ ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่ากราบพระแล้วได้บุญแล้ว

    แล้วทีท่านล่ะรู้ได้ไงฟ่ะว่าสมเด็จ 9 ท่า 9 บ่อ ฯ9 รส ฯลฯมี 90 องค์ เห็นท่านเขียนเองกับตาเลยรึ?
    อ้าว..ก็ที่ตำหนักมีเท่านี้ ท่านก็สร้างเท่านี้น่ะสิ เนี่ย ลายมือก็มีเขียน(ฮาหน่อย..ลายมีอท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ น่ะเนี่ย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2007
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ขอแซวพี่พันวฤทธิ์หน่อยครับ วันนี้มาแบบอารมณ์ดี ไม่ดุ(deejai) ฮิฮิ
    nongnooo...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ท่านใดที่มีความประสงค์ที่จะไปงานมหากฐิน สนส.ผาผึ้ง ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ 10-11 พย.50 ขอความกรุณาแจ้งชื่อด้วยนะครับ ผมจะได้แจ้งหมายเลขบัญชีที่จะให้ท่านโอนเงินค่าเดินทาง มาให้ก่อน จำนวน 500 บาท จะได้นำเงินไปให้พี่แอ๊ว เพื่อเป็นค่ามัดจำรถตู้ก่อน พี่แอ๊วได้จัดรถตู้ไว้ทั้งหมด 2 คันครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอต่ออีกนิดไหนๆ คุณน้องหนูก็โมทนาให้แล้ว คำว่าท่านบอกคุณรึ? สำหรับฌาณลาภีบุคคลแล้ว จะไม่มีคำถามเช่นนี้ออกมาเด็ดขาด เนื่องจากหากผู้สำเร็จฌาณ ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ อาจมาบอกกับ อ.ร จริงก็นับว่าท่านเป็นฌาณลาภีระดับสูง ย่อมมิจะกล่าวเช่นนี้ เพราะผู้ทรงฌาณระดับนี้ ย่อมต้องถึงพร้อมด้วยพรหมวิหาร 4 คงไม่ต้องบอกว่ามีคุณสมบัติอย่างไร ถึงกับมีผู้กล่าวว่า ผู้สำเร็จฌาณหรือได้กสิณแล้ว ต้องหลีกหน้าหนีไปอยู่ป่า เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นโลกียะธรรมย่อมมีความเสื่อมได้ หากขาดการระวังตน ดังนั้นคำว่า ท่านบอกคุณรึ นี้ย่อมแสดงออกมาถึงความโกรธ และปรมาสผู้อื่นในตัวเอง คุณสมบัติข้อนี้จึงไม่ครบในพรหมวิหารธรรมข้างต้นแต่ประการใด ถึงแม้คุณทั้งหลายที่เข้ามาดูในกระทู้นี้และเริ่มปฏิบัติธรรม ก็น่าจะพิจารณาได้ แต่ผมเองก็มิได้จะปรมาสในฆราวาสธรรม ของ อ.ร แต่ประการใด หรือจะยืนยันเข้าข้าง คุณหนุ่มแต่ประการใด เพียงแต่ว่า หากเรากำหนดเอาวิหารธรรมที่แต่ละท่านกระทำอยู่เป็นตัวตั้ง กอรปกับคำสั่งสอนของครูอาจารย์แต่ละท่านเป็นธงชัยแล้ว ปัญหาท่านบอกคุณรึ ก็เป็นอันยุติ ไม่ต้องต่อความยาวกันอีก ตั้งหน้าตั้งทำไตรสิกขาให้แจ้ง ถึงเวลานั้น ท่านบอกคุณรึ จะไม่มี เพราะ เรารู้แล้วหนอ เราเห็นแล้วหนอ นั่นเอง สาธุ
     
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    แหวนนารายณ์ทรงสุบรรณ

    แหวนนี้ฝากถึงพี่พันวฤทธิ์ครับ เป็นแหวนเนื้อเงินของหลวงปู่พรหมา สนใจไว้ใส่นิ้วชี้เหมือนท่านพระเจ้าชัยวรมันเวลาสั่งการต่างๆไหมครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...