พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ขอบคุณน้องเอมากครับ
    น้องเอก็ข่าวไวเหมือนกันนะครับ(b-smile)
    โมทนาสาธุ
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เดินทางปลอดภัย อาราธนาพระเครื่องวังหน้าสวมใส่ทั้งครอบครัว เห็น(ในจิต)ฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ของหลวงปู่ทั้ง ๕ พระองค์(จดจำรังสีให้ได้ชัดเจน) คลุมทั้งตัว ครอบครัว และทรัพย์สินของเรา จะแคล้วคลาด ปลอดภัย..
     
  3. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ขอบคุณคุณเพชรมากครับ โดยเฉพาะวิธีการอารธนาพระเครื่อง ต้องไปทบทวนรังสีของหลวงปู่แล้วละครับผม
    โมทนาสาธุ
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมมีความรู้สึกว่า พื้นที่ที่คุณตั้งจิตอยู่นั้นอยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยง เปรียบเสมือนธาตุไฟ หากเลือกพระเครื่องวังหน้าสวมใส่ ควรมีลักษณะสื่อของธาตุดิน และธาตุน้ำ มากเข้าไว้ เพราะทั้ง ๒ ธาตุนี้ใช้ดับไฟได้ ไม้และลม ช่วยเติมไฟ หรือกระพือให้ไฟลามทุ่ง ควรลดน้ำหนักลง และยิ่งไม่ควรมีสีแดงธาตุไฟมากกว่าเพื่อน ผมเปรียบให้เห็นแบบนี้นะครับ หากมีโอกาสได้คัดเลือกพระปัญจสิริสวมใส่ ควรเน้นหนักไปทางสีดำ และสีเหลืองไว้ อยู่ที่สีใดถูกโฉลกกับดวงของเรามากกว่ากัน แล้วแต่ความเชื่อที่เรียนรู้ และศึกษานะครับ
     
  5. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ขอบคุณคุณเพชรอย่างยิ่งใหญ่เลยครับ ความรู้ของคุณเพชรช่างรอบลึกจริงๆ อันที่จริงพระปัญจสิริ ผมเล็งในกรุคุณเพชรไว้แต่คราวก่อนที่ได้นำมามอบกับผู้ร่วมบุญสร้างเจดีย์สวยจับใจครับ กะว่าให้ตัวเลขกับการจองของผมหายยุ่งเหยิงก็จะถามคุณเพชรดูว่ายังมีเหลืออยู่หรือไม่ งั้นถามมาเลยดีกว่านะหากยังมีอยู่จักได้จับจองร่วมบุญ แต่ถ้าหมดแล้วก็ไม่เป็นไรครับ อย่างไรเราก็ร่วมกันสร้างเจดีย์อยู่แล้ว
    โมทนาสาธุครับ(b-ping)
     
  6. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ครั้งที่ผมได้เรียนถามท่านอาจารย์ประถม ท่านได้บอกว่าในการภาวนานี้อย่าภาวนาแต่คำอย่างเดียวว่า เกสา โลมา นะขา ..... แต่ให้พิจารณาหลักธรรมไปด้วย เช่นว่า... เกสา ผมนี้มันไม่คงทนสวยดกดำอยู่เช่นนั้น อีกหน่อยก็หงอกขาวร่วงหล่นจนหัวล้านไม่น่าแล(ลองนึกภาพสาวสวยซันซิลผมดกดำ ฉับพลันก็หงอกขาวผมร่วงหล่นหัวล้านหรอมแหรมแทงหงอกสั้น กื๋ยส์ )...ทันตา อันว่าฟันขาววาววับพายิ้มหวาน ต่อไม่นานก็ผุกร่อนร่อนหลอไม่น่าแล แถมเหงือกเหี่ยวแสยะยิ้มริมปากย่น..... เห่อ สาวสวยคนนั้นที่ว่างาม ก็ไม่อาจสลายใจหนุ่มหล่ออย่างเราได้แล้ว อื่อ แต่นานไปหนุ่มหล่ออย่างก็คงแห้งเหี่ยวหย่อนยานหามัดกล้ามคงมีไม่ นั่นแลตะโจเนื้อ หนังมังสาก็คงไม่น่าดู........ต้องรีบปฏิบัติแล้วครับ เพราะบางที อาจไม่ทันอยู่จนฟันร่วง ความตายมาเยือนซะก่อนพิจารณากลับไปกลับมาครับ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD class="j hc">[SIZE=-1]เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม) ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม) [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถมครับ
    โมทนาสาธุ
    [b-wai]
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การค้นหาพระองค์เฉพาะนี้ต้องใช้เวลานิดนึงครับ ต้องลงตัวทุกอย่างถึงจะได้ครับ รอซักนิดนะครับ ของคุณพรรณศิริก็ยังไม่พบเช่นกันครับ...
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    แหมคุณเพชร งั้น ผมก็โชคดีสุดๆเลยสิครับที่มี ตรงกันพอดีครับ!!!
    (ฮิๆไม่มีอะไรครับ ผมชอบยั่วน้ำลายคนอยู่ไกลครับ(deejai) )
    nongnooo...
     
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เอะผมว่าเสียงคุ้นๆนะคร๊าบ....ท่าน ปา-ทาน "นินทาอะไรกันอยู่"
    (555) (555) (555) (555) (555)
    nongnooo...
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็งเต้านมเพิ่ม30%
    http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=8510

    ก๊ง 1 ถึง 2 แก้วต่อวันเสี่ยง 10% ส่วน 3 แก้วขึ้นไปเสี่ยง 30%<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สำนักข่าววีโอเอนิวส์ของสหรัฐฯรายงานว่าหลังจากที่นักวิจัยด้านการแพทย์หลายกลุ่มได้สร้างความฉงนให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับเรื่องผลของการดื่มแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ว่าจริง ๆ แล้วการดื่มแอลกอฮอล์มีประโยชน์หรือโทษต่อสุขภาพกันแน่การวิจัยล่าสุดนี้ก็ได้ให้ความกระจ่างด้วยมีผลการศึกษาที่ระบุถึงระดับความเสี่ยงอย่างชัดเจน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    [​IMG]

    โดยก่อนที่จะมีผลการวิจัยนี้ออกมางานวิจัยหลายอันระบุว่าการดื่มแอลกอฮอล์บ้าง โดยเฉพาะไวน์แดงอาจมีผลดีต่อสุขภาพหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการวิจัยอีกหลายอันที่ระบุว่าการดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดมะเร็งหลายชนิด ซึ่งก็มีบางการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์มี่ความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านมแต่ก็ยังไม่มีการวิจัยไหนชี้ชัดลงไปว่าความเสี่ยงที่ว่านั้นมีมากน้อยสักแค่ไหน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทั้งนี้การวิจัยล่าสุดนี้นำโดย พ.ญ.หยาน ลี จากสำนักงานระบบสุขภาพไคเซอร์ เพอมาเนนท์ ในรัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐฯ และเป็นการศึกษาในประชากรตัวอย่างจำนวนกว่า 70,000 คน ซึ่งเป็นคนที่มีเชื้อสายและพื้นแพที่แตกต่างกันออกไปมากมายหลายหลาก โดยเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจาก ปี 1978 ถึงปี 1985 และข้อมูลส่วนหนึ่งได้มาจากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านสุขภาพของพวกเขา ซึ่งนักวิจัยติดตามสอบถามมาตลอดระยะเวลาทำการวิจัย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    และส่วนหนึ่งของคำถามในแบบสอบถามดังกล่าวเป็นคำถามเกี่ยวกับปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์และความถี่ในการดื่ม นอกจากนี้แล้ว พ.ญ.ลีกล่าวว่า นักวิจัยยังได้ศึกษาลึกลงไปถึงประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กลุ่มตัวอย่างเลือกดื่มด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ หรือเหล้า อีกทั้งนักวิจัยยังได้ศึกษาแม้กระทั่งความแตกต่างในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมระหว่างกลุ่มที่ชอบไวน์แดง และไวน์ขาว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผลการวิจัยที่ได้พบว่าแอลกอฮอล์ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มสูงขึ้นจริง ๆ และยิ่งไปกว่านั้นคือปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ก็มีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมโดยตรง กล่าวคือยิ่งดื่มหนักเท่าใดยิ่งมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูงเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินปลากินหอย มีสิทธิเส้นประสาทอักเสบ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=8487

    เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต โรคอหิวาต์ เพราะปนเปื้อนพิษจากสาหร่าย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว อาทิ ฝนตกหนัก น้ำท่วมขังนาน อุณหภูมิเย็นจัดหรือร้อนจัด ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของประเทศไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสาหร่ายทะเลที่มีจำนวนมากและมีความเป็นพิษสูง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    [​IMG]

    เนื่องจากพบว่ามีพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต และยังก่อให้เกิดโรคอหิวาต์ การเปลี่ยนแปลงของสาหร่ายทะเลเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการลดลงของปะการัง ที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน และเมื่อสาหร่ายกินซากปะการังดังกล่าวเข้าไป จึงกลายเป็นแหล่งสะสมพิษตัวสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อปลาทะเล หรือหอยมากินสาหร่ายดังกล่าวเข้าไปจะได้รับพิษด้วย และเมื่อคนรับประทานเนื้อสัตว์ทะเลดังกล่าวก็จะได้รับพิษจากสาหร่าย ส่งผลให้เกิดท้องร่วง หายใจติดขัด ตัวแข็งทื่อ เคลื่อนไหวไม่สะดวก<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่น่าตกใจคือ มีความสับสนในพิษของเนื้อปลาปักเป้ากับปลาทะเลหรือหอย เนื่องจากอาการใกล้เคียงกัน แต่เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมามีนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5 รายได้กินปลากะพงผัดคื่นฉ่าย ส่งผลให้เกิดท้องร่วงรุนแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ในระยะเวลาหนึ่ง จากการวิเคราะห์พบว่า ไม่ใช่พิษจากปลาปักเป้า แต่เป็นพิษชนิดใดยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด เพราะประเทศไทยไม่มีวิธีตรวจสอบพิษอื่นๆ นอกจากปลาปักเป้า ซึ่งเป็นจุดอ่อนอย่างมาก เบื้องต้นนักศึกษาทั้ง 5 รายปลอดภัยแล้ว
    <O:p</O:p

    นอกจากนี้ จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงยังส่งผลต่อวงจรชีวิตของเชื้อโรคทำให้มีความเก่งกาจและมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น โดยเชื้อโรคเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในสัตว์รังโรค อาทิ หมู ไก่ ฯลฯ โดยไม่แสดงอาการ แต่โรคจะระบาดก็ต่อเมื่อมีสัตว์ จำพวก ยุง ริ้น ไรหรือแมลงต่างๆเป็นตัวพาหะนำโรคไปแพร่กระจายสู่คน ที่สำคัญเชื้อโรคพวกนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา พบเชื้อโรคชนิดต่างๆประมาณ 1,400 กว่าชนิด แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นอีก 20 ชนิด โดยเชื้อโรคเหล่านี้ร้อยละ 75 ล้วนมาจากสัตว์เป็นพาหะทั้งสิ้น

    <O:p
    ที่มา
    เรียบเรียงโดย : Team Content www.thaihealth.or.th<O:p</O:p
    ข้อมูลจาก : [​IMG]
    ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th

    <O:p<TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD height=20>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</TD></TR><TR><TD bgColor=#990000 height=3></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left>[​IMG] ไวรัสตับอักเสบเอ ภัยร้ายในอาหารดิบ</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] สธ.ชี้คนไทย กว่า13 ล้านกำลังป่วย อัมพฤต-อัมพาต</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] สธ.แนะกินผักวันละ 5 ทัพพีช่วยป้องกันอัมพฤกษ์ – อัมพาต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภัยอ้วนคุกคามทะลุ 1.5 พันล้านคน
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=8518

    ไทยติดอันดับ 5 ในเอเชีย ทำป่วยเบาหวาน-หลอดเลือด หัวใจพุ่ง
    <O:p</O:p
    <O:p[​IMG]
    </O:p
    ขณะที่ทหารเกือบ 1 ใน 3 อ้วนเกินพิกัด ชี้บริษัทเสียค่ารักษาให้พนักงานอ้วนมากกว่าคนปกติ 77%แถมทำงานได้น้อยกว่า 2 เท่า เครือข่ายคนไทยไร้พุงจับมือ 8 บิ๊กหน่วยงาน ผุด “องค์กรไร้พุง” รีดน้ำหนักพนักงานเพื่อสุขภาพ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดแถลง “คนไทยไร้พุง ตอนองค์กรไม่มีพุง” โดยนพ.</O:p
    <O:p</O:p

    “การสำรวจภาวะสุขภาพประชากรไทย ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ.2547 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบผู้มีน้ำหนักเกินจนถึงอ้วนมีมากที่สุดในวัยทำงาน และลดลงเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป โดยในเพศหญิงสูงถึง 48% ภาพรวมคนไทยมีน้ำหนักเกินและอ้วน 34% หรือ 10 ล้านคน พบในเขตเมืองมากกว่าชนบท ขณะที่คนกรุงเทพฯ มีความชุกของภาวะน้ำหนักเกินมากกว่าภาคอื่นของประเทศ ภาวะอ้วนมีปริมาณไขมันสะสมในร่างกายมากกว่าปกติ ส่งผลให้แค่เวลา 5 ปี จากปี พ.ศ.2544-2549 คนไทยป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 2 เท่า และโรคมะเร็ง 1.5 เท่าแล้ว”นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว

    [​IMG]<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทพ.<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา</st1:personName> อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกระบุ ขณะนี้มีประชากร 1 พันล้านคนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ในจำนวนนี้ 300 ล้านคน เป็นโรคอ้วน โดยปี 2015 จะมีผู้ที่น้ำหนักเกินและอ้วนทั่วโลก เพิ่มขึ้นอีก 500 ล้านคน เป็น 1.5 พันล้านคน และการศึกษาความชุกของโรคอ้วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปี 2004 ใน 14 ประเทศนั้น ไทยอยู่ลำดับที่ 5 ที่มีความอ้วนชุกถึง 50% ส่วนอันดับหนึ่งคือ ออสเตรเลีย ตามด้วยมองโกเลีย วานูอาตู และฮ่องกง <O[​IMG]ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ</st1:personName> ผอ.สำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า การสำรวจสุขภาพกำลังพลทหาร กองบัญชาการสูงสุด จำนวน 12,227 คน ในปี พ.ศ. 2549 พบความชุกของผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 24% ขณะที่การสุ่มสำรวจน้ำหนักตัวของพนักงานบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) จำนวน 95 คน จากพนักงาน 1,848 คน เมื่อเดือนพ.ค. 2550 พบมีพนักงานน้ำหนักเกินและอ้วน เพศชาย 22% หญิง 21% ซึ่งความอ้วนนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ยังมีผลกระทบโดยตรงกับการทำงานด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    “รายงานของกลุ่มธุรกิจแห่งชาติสุขภาพสหรัฐฯ ในปี 2002 ที่สำรวจใน 87 บริษัท ระบุว่าโรคอ้วนสัมพันธ์กับวันลาหยุดงานถึง 39 ล้านวัน ส่วนใหญ่ลาหยุดไปรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน ผู้ที่อ้วนจะมีประสิทธิภาพในการทำงานด้อยกว่า ผู้มีน้ำหนักปกติ ถึง 1.7 เท่า และค่าใช้จ่ายในการรักษาของพนักงานที่อ้วน มีสูงกว่าพนักงานน้ำหนักตัวปกติถึง 77% ซึ่งประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายที่มาจากโรคอ้วน คือ 9,690,000 บาท ต่อพนักงาน 1,000 คนต่อปี”ทพ.ศิริเกียรติกล่าว

    <O:p</O:p
    <O:p[​IMG]
    </O:p
    ศ.พญ.<st1:personName ProductID="วรรณี นิธิยานนท์" w:st="on">วรรณี นิธิยานนท์</st1:personName> ประธานคณะกรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง กล่าวว่า เพื่อกระตุ้นให้องค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน ตระหนักถึงผลเสียของโรคอ้วน ใส่ใจสุขภาพของพนักงาน เครือข่ายคนไทยไร้พุงจึงร่วมกับ 8 องค์กร คือ กองทัพไทย กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดอ่างทอง อสมท. เครือซีเมนต์ไทย บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ สสส. จัดโครงการ “องค์กรไร้พุง” เพื่อจัดการกับโรคอ้วนลงพุงและโรคต่างๆที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดีของพนักงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดการสูญเสียกำลังการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในด้านการรักษาพยาบาลขององค์กร โดยเครือข่ายคนไทยไร้พุงจะให้การสนับสนุนด้านการดำเนินการ หากหน่วยงานองค์กรใด สนใจเข้าร่วมสอบถามได้ที่อีเมล์ raipoong@gmail.com หรือ เว็บไซต์ www.raipoong.com <O:p</O:p
    <O:p
    </O:p

    “การจะดูว่ามีน้ำหนักเกินหรือไม่ คำนวณได้จากน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม นำมาหารด้วยส่วนสูงที่หน่วยเป็นเมตรยกกำลังสอง ซึ่งเกณฑ์ปกติคือ 18.5-22.9 หากเกิน 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วน หรือดูง่ายๆจากรอบเอว หากผู้ชายเกิน <st1:metricconverter ProductID="90 ซม." w:st="on">90 ซม.</st1:metricconverter> ผู้หญิงเกิน <st1:metricconverter ProductID="80 ซม." w:st="on">80 ซม.</st1:metricconverter> ถือว่าอันตราย”ศ.พญ.วรรณีกล่าว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ภายหลังการแถลงมีการสาธิตวัดรอบเอว ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานโดยศิลปินดาราจากอาร์เอส ได้แก่ นายธนพล แย้มพรายภิรมย์ (น้องแชมป์) และ 3 สาวจากวงเอลิเซ่ น.ส.แพรวเพชร กาญจน์เกียรติกุล น.ส.จัสมิน เบกเกอร์ น.ส.โบนิตา วู


    ที่มา :<O:p</O:p
    ข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ<O:p</O:p
    ภาพประกอบ : Team <st1:personName w:st="on">content</st1:personName> www.thaihealth.or.th

    <O:p

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD height=20>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</TD></TR><TR><TD bgColor=#990000 height=3></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left>[​IMG] คนไทยไร้พุง...ด้วยภารกิจ 3 อ.</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] รุกสร้างกระแส "คนไทยไร้พุง" เพิ่มสุขภาพปลอดภัยห่างไกลจากโรคอ้วน</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] “โรคอ้วน” ทำเด็กเชื่องช้า ด้อยพัฒนาการ</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] เด็กนอนหลับไม่พอ โรคอ้วนถามหา</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] คนอ้วน ควักเงิน 2 พันล้าน ลดน้ำหนัก </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แต่เรื่องนี้ ผมเกลียดจริงๆ เกลียดทั้งกระทรวง คิดได้ไงก็ไม่รู้ เอะอะขึ้นค่าโดยสาร แต่เวลาที่ประชาชนถูกรถพวกนี้ชนหรือเฉี่ยว ไม่เห็นทำอะไรเลย

    ***********************************************

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>บิ๊ก "คมนาคม" ไฟเขียวขึ้นค่ารถเมล์ - ปอ.มีผล 15 ต.ค.นี้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 ตุลาคม 2550 18:09 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>บิ๊ก "คมนาคม" ไฟเขียวให้ขึ้นค่าตั๋วรถเมล์ 50 สต. รถปรับอากาศ ปอ.ปรับขึ้น 1 บ. ส่วนรถร่วม บขส.ปรับขึ้น 3 สต./กม. โดยมีผล 15 ต.ค.นี้

    วันนี้(9 ต.ค.) นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง เปิดเผยว่า ในวันนี้ที่ประชุมอนุมัติขึ้นราคาค่าโดยสารรถเมล์ธรรมดา หรือรถร้อน รวมถึงมินิบัส ในอัตรา 0.50 บาท , รถปรับอากาศ ระยะละ 1 บาท และ ค่าโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) ปรับขึ้นอีก 3 สตางค์/กิโลเมตร โดยให้มีผลในวันที่ 15 ต.ค.นี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/gossip.shtml

    " ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์ "

    1. 1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย
    2. 2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผา ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น
    3. 3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทา ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา
      อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้
    4. 4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทา คนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง
    5. 5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง
      ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยงแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก "แนวดิ่ง" ให้เป็น "แนวราบ" คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า "สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้" หรือ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะได้เลิกใช้กันเสียที
    ขอเชิญเยี่ยมหน้าแรก "สำนักข่าวชาวพุทธ" สาระดีๆ ยังมีอีกเพียบ
    1. <CENTER><TABLE><TBODY></TBODY></TABLE><TABLE cols=2 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#808080 borderColorLight=white width=700 bgColor=silver borderColorDark=gray height=100 border="+1">วิธีคิดที่ ๑ ศึกษาได้จาก โลกธรรมสูตร สุตตันตฺ เล่ม ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐกนิบาต ข้อ ๙๕ หน้า ๑๔๐
      วิธีคิดที่ ๒ ศึกษาได้จาก สุตตันตฺ เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน ข้อ ๑๖ หน้า ๒๒ บรรทัด ๑๐
      วิธีคิดที่ ๓ ศึกษาได้จาก สุตตันตฺ เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๒๖๗ หน้า ๑๗๖
      วิธีคิดที ๔ศึกษาได้จาก วิธีกำจัดความอาฆาต สุตตันต. เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิวรรค ข้อ ๔๖๐ หน้า ๓๒๔
      วิธีคิดที่ ๕ ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และ กฏอิทัปปัจจยตาทางสังคม และ เรื่อง "มานะ" อภิธรรม เล่ม ๑ ข้อ ๗๙๕
      </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>ศึกษาพระไตรปิฎกทางอินเตอร์เน็ตได้ที่เว็บไซท์ของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/flower.shtml

    <TABLE><TBODY><TR><TD bgColor=#006600>เทคนิคหายใจให้สดชื่น เพื่อสร้างชีวิตใหม่อันสดใส <TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    1. ลมหายใจของคนเรามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจิตใจอย่างแยกไม่ออก เช่นในยามจิตใจเคร่งเครียดร้อนรุ่ม ลมหายใจจะหยาบสั้น หากในยามใดจิตใจผ่องใสเบิกบาน ลมหายใจก็จะละเอียดประณีต หายใจลึกยาว นี้เป็นสิ่งที่เป็นไปเองตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติที่มีการปรุงแต่งกันและกัน
    1. เมื่อเรารู้เคล็ดลับของธรรมชาติข้อนี้ หากเรารู้จักปรุงแต่งลมหายใจให้มีความละเอียดอ่อน หายใจลึก ๆ อย่างมีสติ ลมหายใจที่ละเอียดอ่อนก็สามารถที่จะไปปรุงแต่งจิตใจของเราให้มีความสุขไปด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงขอเสนอวิธีสร้างลมหายใจแห่งความสุขด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

      1. นึกมโนภาพว่าลมหายใจของเรามีความละเอียดเบาบางเหมือนสายลมอ่อน ๆ
      2. ยิ้มน้อย ๆ ขณะหายใจเข้าออก
      3. เมื่อหายใจเข้า ให้ภาวนาว่า "ลมหายใจเข้าช่างสดชื่น"
      4.เมื่อหายใจออก ให้ภาวนาว่า "ลมหายใจออก...สบายใจ"

      การฝึกลมหายใจนี้ ท่านสามารถทำได้ในทุกสถานที่ เช่น เวลานั่งเล่นในสวน ตอนขับรถไปทำงาน หรือ โหนรถเมล์ ฯลฯ เป็นเทคนิคการสร้างความสุขชนิดประณีต อันเป็นความสุขชนิดที่แม้มีเงินทองมากมายก็ไม่สามารถที่จะซื้อหามาได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นท่านจะต้องฝึกฝนด้วยตนเอง อย่างน้อยวันละสักครึ่งชัวโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเป็นประจำ เพียงแค่นี้ก็ถือได้ว่าเป็นกำไรของชีวิตแล้ว ความสุขทางใจนี้เองที่จะเป็นภูมิคุ้มกันทำให้ชีวิตของเราได้พัฒนาก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

    <CENTER>ดั่งดอกไม้บาน
    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]
    คำร้อง/ทำนอง ทวีศักดิ์ อุชุคตานนท์
    เรียบเรียง กัมพล มณี


    [SIZE=+1]<CENTER>ลมหายใจเข้า...ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน

    ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ดั่งนภากาศ อันบางเบา </CENTER><CENTER>DOWNLOAD MP3</CENTER>
    [SIZE=+1][FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]เทคนิคการร้องเพลงนี้คือ 1.ให้นึกมโนภาพไปตามคำร้อง 2.ทำลมหายใจของตนเองให้สดชื่นในขณะที่ร้องเพลง
    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]<TABLE cols=1 width="95%" bgColor=pink border=1><TBODY><TR><TD>เครือข่ายชาวพุทธฯขออนุโมทนาขอบคุณ เสถียรธรรมสถาน ที่ได้อนุญาตให้เผยแพร่แจกจ่ายเพลงใน CD ชุด "ชมสวน" เพื่อเป็นธรรมบรรณาการแด่เพื่อนชาวพุทธไทย มา ณ โอกาสนี้

    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>เสถียรธรรมสถาน เลขที่ ๒๔/๕ ซอยวัชรพล ถนนรามอินทรา๕๕ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ ๑๐๒๓๐ โทร ๕๐๙-๐๐๘๕ ,๕๐๙-๒๒๓๗, ๕๑๐-๔๗๕๖ โทรสาร ๕๑๙-๔๖๓๓
    [/FONT][/FONT][/SIZE]
    </CENTER>[/SIZE]
    [/FONT]
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/123456.shtml


    <CENTER>"หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก โป๊ะ เชะ ! "
    (เทคนิคฝึกคิดให้รอบคอบ) </CENTER>
    [​IMG]
    <TABLE><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>
    "เป็นคนใจร้อน วู่วาม เวลาจะทำอะไร มักจะไม่ค่อยรู้จักคิดหรือไตร่ตรองให้ดีก่อน มีวิธีไหนบ้างค่ะที่จะทำให้เราใจเย็นลง "


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สมาชิกท่านหนึ่งส่งคำถามนี้มาทางเมลล์ถึงสองครั้งสองครา แสดงว่าต้องการที่จะเรียนรู้จริง ๆ
    ถ้าอย่างนั้นได้เลยครับ..! สำนักข่าวชาวพุทธ วันนี้ขอเสนอบทความ เรื่อง "หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก โป๊ะ เชะ ! " เทคนิคฝึกนิสัยตนเองให้เป็นคนรู้จักคิดไตร่ตรองแบบง่าย ๆ เสนอแด่ท่านผู้อ่านที่ปรารถนาจะฝึกตนให้เป็นคนรอบคอบ (การรู้จักใคร่ครวญทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า ขอเชิญอ่านพระไตรปิฎก) เป็นการประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักการคิดแบบวิภัชชะ(แยกแยะองค์ประกอบ) ในพระไตรปิฎก ขอเชิญติดตามได้เลยครับ

    <CENTER><TABLE><TBODY><TR><TD bgColor=#fbfcc9>


    <CENTER>หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก โป๊ะ เชะ ! (เทคนิคฝึกคิดให้รอบคอบ) </CENTER>

    ข้อตกลงที่ ๑
    1. คุณควรตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า คุณเป็นคนที่ปรกติมีนิสัยชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
    1. ไม่ค่อยรู้จักคิดใคร่ครวญอะไรให้รอบคอบหรือเปล่า ถ้าหากคุณมีปัญหานี้จริง อ่านข้อตกลงที่
      ๒ ต่อไปได้เลย แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่มีนิสัยรอบคอบ ชอบใคร่ครวญก่อนที่จะทำอยู่แล้ว
      เครือข่ายฯขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณเป็นชาวพุทธที่มีคุณภาพ ไม่ต้องฝึกเรื่องนี้ก็ได้ครับ
    ข้อตกลงที่ ๒
    1. คุณยอมรับหรือไม่ว่าชีวิตของคนเราเกิดมาจะได้ดิบได้ดีนั้น ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ จะมีใครมาดล
    1. บันดาลให้ คุณสมบัติที่ดีในตัวของคุณทุกอย่าง หรือที่เรียกว่า"วาสนา" นั้น ล้วนสามารถ
      เกิดขึ้นมาได้จากการฝึกฝนพัฒนาตนด้วยความเพียรของคุณเองทั้งสิ้น ถ้าคุณเห็นด้วย
      ขอเชิญคุณอ่านกระบวนการฝึกคิดต่อไปได้เลย แต่ถ้าไม่เห็นด้วย สงสัยคงต้องไปใช้
      วิธีสวดอ้อนวอนหวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ
    กระบวนการปฏิบัติ
    1. เริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการฝึกคิด เราขอเสนอวิธีคิด ๓ ขั้นตอน โดยให้คุณคิดตามลำดับ
    1. ทุกครั้ง เมื่อคุณคิดจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างในชีวิตประจำวัน
      โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
      1. ๑.ให้ตั้งคำถามกับตัวคุณเองว่าสิ่งที่คุณต้องการจะกระทำนั้นมีประโยชน์ หรือ มีคุณค่า
      1. ต่อคุณหรือผู้อื่นอย่างไร แจกแจงมาสัก ๓ ข้อ
        ๒.จากนั้นให้ถามตัวเองว่า สิ่งที่คุณต้องการจะกระทำนั้น มันมีข้อเสีย จุดอ่อน หรือ
        มีโทษ อย่างไรบ้าง แจกแจงมาสัก ๓ ข้อ
        ๓. คิดทั้งสองด้านแล้วให้ตัดสินใจได้เลยว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะถ้าหากคุณคิด
        ได้ถึงขั้นนี้แล้ว ถือได้ว่าคุณเป็นคนมองอะไรรอบคอบพอสมควรทีเดียว
    <SMALL>ยกตัวอย่าง</SMALL>

    <SMALL><SMALL>คุณอรทัยเกิดความคิด"ชะแว้บ"ขึ้นมาว่าวันนี้น่าจะออกไปช้อปปิ้งที่ประตูน้ำสักหน่อย ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้
    เธอคงคว้ากระเป๋าก้าวพรวดพราดออกไปแล้ว แต่นี่เธอเริ่มตั้งสติแล้วถามกับตัวเองว่า
    1. ขั้นที่ ๑ เราออกไปอย่างเนี้ยมันจะได้อะไรมาบ้าง
      1. ๑. ก็พักผ่อนหย่อนใจไงล่ะ โด่..ถามได้
      1. ๒. บางทีอาจจะได้เสื้อผ้าสวย ๆ มาใส่อวดแฟนสักตัว
        ๓. ของอร่อย ๆแถวนั้นก็มีเยอะแยะ หาอะไรแปลก ๆ กินแก้เหงาปาก

    1. ขั้นที่ ๒ ทีนี้มันจะมีข้อเสียอะไรบ้างล่ะ
      1. ๑. มีหวังหมดอีกหลายร้อย ชัวร์ !
      1. ๒. อากาศดีจังเลยนะ ประตูน้ำเนี่ย สูดไอเสียเต็มปอดอีกแล้วเรา
        ๓. เสียเวลาไปอีกอย่างน้อย ๕ ชั่วโมง

    1. ขั้นที่ ๓ เอายังไงดี ! เรา
    1. ในขั้นตอนนี้ คำตอบจะออกมา "โป๊ะเชะ ! " ข้อเดียวครับ
      การตัดสินใจของคุณอรทัยอาจจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ อาทิเช่น
      1. " แหวะ..ไม่ไปดีก่า ซื้อก๊วยเตี๋ยวเป็ดหน้าซอยมากิน แล้วดูทีวีก็ได้ "
      1. หรือ
        "เอ้า..! ไปก็ไป แต่ให้ใช้เงินไม่เกิน ๓๐๐ บาท ตกลงกับตัวเองตรงนี้ไว้ก่อนเลย"
        หรือ
        " เอายังงี้ เปลี่ยนไปเที่ยวตลาดนัดจตุจักร ของก็ถูก อากาศยังดีกว่าประตูน้ำ"
        <CENTER>ฯลฯ</CENTER>
    </SMALL></SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณจะประจักษ์ด้วยตัวของคุณเองว่า ก่อนที่จะตัดสินใจจะทำอะไร หากคุณรู้จักยับยั้งชั่งใจ แยกแยะข้อดีข้อเสีย พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน คุณจะมีการตัดสินใจที่ดีขึ้น ผิดพลาดน้อยลง ทำให้คุณใช้ชีวิตด้วยสติปัญญามากขึ้น สมัยนี้คนส่วนใหญ่จะทำอะไร ก็มักจะทำไปตามความชอบใจ ไม่ชอบใจ กันเกือบทั้งนั้น ดังนั้นการที่คุณได้เริ่มต้นฝึกฝนพัฒนาตน ใช้ชีวิตด้วยปัญญา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับว่าคุณกำลังเริ่มจะเป็นชาวพุทธที่มีคุณภาพคนหนึ่งแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ




    <CENTER><TABLE><TBODY><TR><TD bgColor=#d2e3d5>


    <CENTER>เทคนิคส่งเสริมการฝึกฝนให้ได้ผลดี</CENTER>

    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>การฝึกฝนให้เป็นคนที่มีนิสัยใคร่ครวญพิจารณาไตร่ตรองรอบคอบนี้ ไม่ใช่จะฝึกกันหนสองหนแล้วมันจะติดเป็นนิสัยนะครับ
    โห..สะสมนิสัยตามใจตัวเองมาตั้ง ๒๐-๓๐ ปี มันคงจะไม่เปลี่ยนนิสัยไปได้ง่าย ๆ หรอกครับ ยกตัวอย่างพระภิกษุที่บวชตาม
    พระธรรมวินัย ท่านยังต้องใช้เวลาตั้ง ๕ ปีอยู่กับครูบาอาจารย์ กว่าจะได้นิสัยดี ๆ จากครูบาอาจารย์ติดตัวถาวรตลอดไป จนสามารถ
    ปกครองตัวเองได้
    การฝึกนิสัยให้เป็นคนรอบคอบ มันคงต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันครับ เพื่อให้เกิดเป็นความเคยชิน
    จากความเคยชิน มันจึงค่อยกลายเป็นนิสัย นาน ๆ เข้ามันก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพ ตรงนี้แหละครับที่ภาษาพระท่านเรียกว่า
    "วาสนา" คือ คนเราฝึกมาดี ก็มีวาสนาดี ถ้าไม่ฝึกอะไรเลย ท่านก็เรียกว่า คนวาสนาไม่ดี หรือ คนไม่มีวาสนา ก็ได้
    ( มี"วาสนา" ไม่ได้แปลว่า ดวงดี หรือ มีโชคลาภ นะครับ ตรงนี้คนไทยเข้าใจผิดมานานนับศตวรรษแล้ว )

    ดังนั้น นอกจากวิธีการฝึก ๓ ขั้นตอนข้างตนแล้ว เครือข่ายฯขอเสริมเทคนิคช่วยในการฝึกตนเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

    ๑.อธิษฐานบารมี ประกาศความตั้งใจเลยว่า ต่อไปนี้คุณจะฝึกตนให้เป็นคนรอบคอบ บอกพ่อแม่ ครูอาจารย์
    ให้เป็นพยาน ถ้าหากคุณชอบพิธีกรรม ก็ให้จุดธูปไหว้พระ ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระเลยครับ
    มันจะทำให้เรามีพลังแห่งความมุ่งมั่น ฝึกฝนตนจนประสบความสำเร็จ

    ๒.ตั้งกติกาให้แน่ชัด คุณอาจจะสร้างกติกาให้กับตัวเองว่า จะฝึกตอนไหน เรื่องอะไร กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน
    เพื่อให้มันเริ่มต้นได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องคิดใคร่ครวญไปเสียทุกเรื่องหรอกครับ อย่างนั้นไม่ไหว เพราะ
    มันจะเฟื้อเกินไปจนปฏิบัติไม่ได้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการตั้งกติกาของแต่ละคนนะครับ

    คุณปรีชา " ผมจะฝึกทุกครั้ง ก่อนที่จะใช้เงินซื้อของ จะได้เก็บเงินอยู่เสียที"
    คุณโสภา " ดิฉันจะฝึกทุกครั้งตอนไปจ่ายกับข้าวในตลาด "
    บอย " ผมจะฝึกบ่อย ๆ ตอนเล่น เน็ท "
    ลูกปลา "หนูจะฝึก วันละ ๕ เรื่อง ทุก ๆ วัน "
    เป็นต้น

    ๓. หิริโอตตัปปะ คุณธรรมชุดนี้เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันให้เราไม่ให้เผลอเรอครับ คือ ทุกครั้งที่ลืม หรือ ไม่ใส่ใจ
    ให้คิดตำหนิตัวเองจนเกิดความละอาย (หิริ) หรือ คิดให้เห็นผลร้ายจากความประมาท (โอตตัปปะ )
    จะเน้นข้อไหนก็ได้ครับ ความรู้สึกละอายและเกรงกลัวนี้จะช่วยคุ้มครองให้เราไม่ให้ประมาทในภายหน้า
    ยกตัวอย่าง
    คุณอดิศักดิ์ทำงานเป็นผู้จัดการบริษัทตั้งใจว่าจะคิดใคร่ครวญทุกครั้งก่อนจ่ายเงินซื้อหนังสือ (ชอบซื้อหนังสือมาก)
    แต่เกิดเผลอเรอไม่ได้คิดก่อนทำ ควักกระเป๋าซื้อไปจนได้ แกจึงตำหนิตัวเองทันทีว่า

    " ฮิ้วๆ.. ผู้จัดการอะไร ไม่รู้จักคิดก่อนทำ นี่ถ้าลูกน้องรู้เข้า เราไม่อายแย่หรือเนี่ย " (หิริ)
    หรือ
    " ถ้าเราคิดหน้าคิดหลังอะไรไม่เป็นอย่างนี้ อีกหน่อยทำการงานอะไรคงไม่สำเร็จ
    คงต้องเจออุปสรรคปัญหาไปตลอดชาติ คราวหน้าอย่าพลาดอีกล่ะ " (โอตตัปปะ)


    สรุปอีกครั้งนะครับ

    ๑.มีจิตสำนึกฝึกตน
    ๒.ตั้งใจเอาจริง
    ๓.สร้างกติกาให้แน่ชัด
    ๔.ฝึกฝนคิดผลดีผลเสียอย่างละ ๓ ข้อ (รวมเป็น ๖ ) แล้วตัดสินใจ !(โป๊ะเชะ ! )
    ๕.ทุกครั้งที่ประมาท ให้เตือนตนอยู่เสมอ

    สุดท้ายนี้เครือข่ายชาวพุทธฯขอส่งกำลังใจมายังทุก ๆ ท่าน ขอให้ประสบความสำเร็จในการฝึกคิดให้เป็นคนรอบคอบ
    โดยเร็ววันนะครับ / สวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...