ทางสายนี่เป็นทางสายเดียว ที่จะถึงมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีทางสายอื่นอีกแล้ว

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มทิพย์, 10 ตุลาคม 2012.

  1. หนุ่มทิพย์

    หนุ่มทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +152
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒
    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    มหาสติปัฏฐานสูตร
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า
    "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้เหล่าสัตว์บริสุทธิ์ได้ ล่วงพ้นความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ ดับทุกข์และโทมนัสได้ บรรลุอริยมรรคเพื่อเห็นแจ้งพระนิพพานได้ หนทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ"

    ๔ ประการนั้นมีอะไรบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้

    ๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เสมอ
    ๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เสมอ
    ๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เสมอ
    ๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เสมอ
    เธอพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมอย่างมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ นี้เป็นอีกประการหนึ่ง
    ****************************************
    ถ้าใครคิดจะไปนิพพาน ในทางอื่นที่มิใช่ทางสายนี้ คงไม่ใช่ไปนิพพานแล้วละ
     
  2. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    น่าเสียดายที่สำนักวิปัสสนาส่วนใหญ่ไม่ใช้มหาสติปัฏฐานสูตรในการสอนการปฏิบัติ
     
  3. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นการปฏิบัติของสายสุขวิปัสโกมุ่งตรงพระนิพพานอย่างเดียว

    ส่วนที่เหลืออีกสามสายท่านเน้นกีฬาสมาบัติเมื่อปรารถนาพระนินพานท่านก็เดินตาม

    สายสุขวิปัสโก เรื่องของอัชฌาสัยคนเราชอบไม่เหมือนกัน

    ในทางทั้งสี่สายสายสุขวิปัสโกเข้าถึงพระนิพพานได้ยากที่สุดเพราะต้องใช้กำลังใจ

    สูงกว่าอีกสามสายและมีโอกาสพลาดได้ง่าย
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ในการปฏิบัติสายเจโตวิมุตติขั้นสุดท้าย ก่อนจะหลุดพ้น ต้องพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เปลี่ยนแปลง ไม่เป็นตัวเขาตัวเรา ไหมครับ?
     
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    สงสัยต้องให้พระอรหันต์มาตอบแล้วละครับ อันนี้เป็นธรรมลึกซึ้งมาก
     
  6. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางแนวทางการปฏิบัติไว้ ๔ แนวทาง

    คือ สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>แต่ละสายจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าปฏิบัติเหมือนกันคือการละสังโยชน์

    ความเป็นพระอรหันต์เหมือนกันตัดกิเลสได้เหมือนกันแต่ต่างกันตรงความรู้รอบ

    และความสามารถไม่เหมือนกัน

    ส่วนการเจริญวิปัสนาญาณจนดวงตาเห็นธรรม(เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)นั้นเป็น

    อารมณ์ของพระโสดาบัน


    ส่วนเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราเป็นเพียงดวงจิตผู้อาศัยอยู่นั้น

    เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ท่านตัดความรักความพอใจ ในมนุษย์โลก เทวโลก

    พรหมโลก พอใจในพระนิพพาน

    (กระผมตอบตามสัญญาความจำที่ได้อ่านจากหนังสือขององค์หลวงพ่อพระราช

    พรหมยานมหาเถระครับ)
     
  7. หนุ่มทิพย์

    หนุ่มทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +152
    ขออ้างอิงจากพระสูตรหรือพระไตรปิฎกดีกว่าครับ แน่นอนแน่แท้ ดีกว่าอ้างจากครูอาจารย์ที่เป็นเพียงศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราควรยึดถึงจากพระพุทธพจน์หรือพระธรรมของพระพุทธเจ้ามากกว่า หรือว่าคุณจะปฏิเสธพระสูตร พระไตรปิฎก?
     
  8. หนุ่มทิพย์

    หนุ่มทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +152
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    ทีฆนิกาย มหาวรรค
    [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
    อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
    พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
    ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
    ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
    ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
    หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
    เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
    ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
    เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
    ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
    อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
    พระอนาคามี ๑ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า
    สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ
    บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔
    ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว
    แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต
    ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ
    **************************************************
    ทางสายเอก สายเดียวที่จะสามารถเข้าถึง นิพพาน อันเป็นบรมสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2013
  9. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ลองหาอุทุมพริกสูตรอ่านดูแล้วกันนะครับคุณ หนุ่มทิพย์

    มหาสติปัฏฐานสี่เป็นทางเอก(ขอเน้นว่าสายเอก)แน่นอน เพราะธรรมทุกอย่างย่อมมาลงที่สติปัฏฐาน ๔
    เพราะอย่างไรก็ต้องพิจารณาที่อริยสัจ ในสัจจบรรพ

    ถ้าอ้างอิงพระไตรปิฏก ผมขอให้อ่านพระสูตรเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเบื้องต้นเลยครับ
     
  10. TaoTaoJung

    TaoTaoJung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +47

    อืม ผมว่า เท่าที่ได้วิธีปฏิบัติจาก ครูบาอาจารย์ มา

    มันก็ เป็นวิธี มหาสติปัฏฐาน เหมือนกันนะครับ

    ผมเข้าใจว่า อาจารย์ท่านผ่านมาทางนั้น เลยเชี่ยวชาญมากเฉพาะทางนั้นๆ
    ทางอื่นท่านก็คงทราบ แต่อาจไม่ชำนาญเท่า

    อย่าง มีสติ และการติดตามเฝ้าดูลมหายใจ ติดตามอิริยาบททางกาย
    ก็คือ ข้อ 1 แห่งมหาสติปัฏฐาน อันนี้ สอนเหมือนกันเกือบทุกที่

    บางแห่ง ก็เพิ่มการบริกรรมเข้าไป เช่น พุทโธ ฯลฯ
    ก็เป็นข้อดี สำหรับคนที่ฟุ้งซ่านมากๆ หรือพวกชอบคิดต่างๆ นาๆ ทำให้สงบได้ไวขึ้น
    และเมื่อมันสงบลง บริกรรม ก็หายไปเอง อันนี้ประสบการณ์ผมเองน่ะครับ

    อาจารย์บางท่าน ก็เพิ่มการตามรู้ เวทนาทางกาย
    ก็คือ ข้อ 2 แห่งมหาสติปัฏฐาน

    บางท่าน ก็เน้นให้เพียรเฝ้าดูความคิด และจิตใจ
    อันนี้ก็ ข้อ 3 แห่งมหาสติปัฏฐาน...
    .
    .
    .
    ทีนี้ก็ แล้วแต่ใครถนัดอะไรแล้วแหล่ะ
    และก็ลุ่มหลงทางไรมาก ก็พิจารณา และเดินทางนั้น จิตใจก็อาจพัฒนาได้ไว

    แต่หาก สอนให้นำสติไปจับ สิ่งอื่น อย่างอื่น ที่นอกเหนือ กาย ใจ
    ก็ลงเหวแล้วแหล่ะ เช่น ดวงแก้วเอย อะไรเอย ฯลฯ
    เพราะทางเหล่านั้น ผมเข้าใจว่า มันไม่อาจทำให้ผู้ปฏิบัติ
    คลายความกำหนัดในอารมณ์ทางกาย และวางความเป็นเจ้าของ ความคิด และจิตใจ ลงได้เลย

    มนุษย์สมบัติ ก็มีเพียง กาย-ใจ นี่แหล่ะ

    ก็ ความเห็นส่วนตัวน่ะครับ ตอบจากที่ทำ และเข้าใจ

    ^^!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  11. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ดวงแก้ว.. ดวงแก้วก็กสิณนี่แหละครับ
    เรื่องการทำสมาธิโดยใช้รูปภายนอกก็ต้องบอกว่ามีในบาลีนะครับ
    ทั้ง ปสาทกรธัมมาทิบาลี และกสิณสูตรเลยก็มี
    เวลาเราคุยเรื่องกรรมฐาน สิ่งสำคัญก็คือ ต้องรู้ให้รอบในกรรมฐานนั้นๆ
    เช่น เพ่งดวงแก้ว... แล้วเรารู้หรือเปล่าว่าเมื่อเพ่งจนเกิดสมาธิแล้วท่านสอนอะไรต่อ..?

    หรืออย่างพระที่ท่านสำเร็จกิจในสมัยพุทธกาล ท่านก็มองสิ่งรอบตัวท่านมาพิจารณา
    เช่น น้ำไหล กองไฟ ซากศพ ผ้าขาว เป็นต้น
    แล้วสุดท้ายท่านก็น้อมเขามาหาตน เข้าสู่ขันธบรรพ จบที่สัจจบรรพ

    หรืออย่างการเจริญวิปัสสนาในเบื้องต้น โดยมากมักอิงกับมหาสติปัฏฐานสูตร
    แต่ทำไมไม่ค่อยจะแจกแจงกันว่า มหาสติปัฏฐานสี่นั้น เมื่อพิจารณา กาย เวทนา จิต หรือธรรมแล้ว ให้ไปลงตรงไหน
    นั่นแหละที่ผมว่า ไม่ค่อยจะใช้มหาสติปัฏฐานสูตรในการสอนกัน
     
  12. หนุ่มทิพย์

    หนุ่มทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +152
    เมื่อพิจารณา กาย เวทนา จิต หรือธรรมแล้ว สุดท้ายก็ลงมาที่ใจที่เดียวเท่านั้นครับ สติปัฏฐาน เป็นเพียงอุบายที่จะทำให้เห็น "ใจ" โดยต้องน้อมเข้ามา "โอปานะยิโก" รู้เองเห็นเองได้เฉพาะตน "ปัจจัตตังเวทิตัพโภวิญญูหิ" เห็นสังขารไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นธาตุเป็นขันต์แค่นั้น เมื่อถึงจุดนั้นแล้วมันจะไม่มีสมมติหรือคำพูดใดๆ ออกมาอีกเลย
    การเถึยงกันก็ได้แค่ระดับสมมติ ไม่จบหรอกครับ ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติให้รู้ให้เห็นเอง...
     
  13. LiKeLuCk

    LiKeLuCk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +109
    ข อ ข อ บ พ ร ะ คุ ณ ทุ ก ท่ า น
    ที่ ไ ด้ นำ ค ว า ม รู้ มา ใ ห้ ผ ม
    ข อ บ คุ ณ ค รั บ
     
  14. bteezi

    bteezi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +43
    เอะอะก็จะหลับตาปี๋อย่างเดียวเลย มีลำดับ อยู่น้า ตาม พระสูตร น่ะครับ :D
     

แชร์หน้านี้

Loading...