จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. fein

    fein เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +463
    ก่อนอื่น ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
    ขอให้บุญกุศลที่ฝ้ายได้ทำในทุกๆ ชาติส่งไปถึงท่านพ่อ
    ครูบาอาจารย์ทุกท่าน, คุณแม่ คุณพ่อ ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดู,
    ครูดัช ครูผึ้ง ครูริน ครูหน่อย ครูเมิล ที่เมตตาฝ้าย
    สละเวลาช่วยผลัก ช่วยดัน ให้คำปรึกษา ตลอดเวลา
    โดยเฉพาะสามเดือนที่ผ่านมาค่ะ, คุณภูที่สร้างกระทู้นี้
    ไม่มีกระทู้นี้ก็คงไม่ได้ฝึก, และครูเพ็ญ ถ้าไม่ได้ตามครูเพ็ญ
    จากกระทู้อื่นมาที่นี่ ฝ้ายก็คงไม่เห็นธรรมเช่นนี้ ^^
    รวมไปถึงจิตบุญ และผู้ไม่ใช่จิตบุญทุกท่านที่โพสต์ธรรมทานในกระทู้นี้
    เป็นกำลังใจที่ดีตลอด

    จากคนไม่ค่อยทำบุญ ไม่เคยถือศีล ไม่ค่อยสวดมนต์
    ไม่เคยฟังเทศน์ อ่านธรรมะ หรือรู้จักครูบาอาจารย์ที่ไหน
    ศัพท์ทางศาสนาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยฝึกอะไรเลย
    แค่มีใจอยากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ได้ก้าวเข้ามาที่นี่แล้วทำเลย มันเป็นธรรมะจัดสรรจริงๆ ค่ะ

    ส่วนเรื่องความผิดพลาดนั่น มันไม่มีอะไรหรอกค่ะ

    ถือว่าเราทำเหตุให้ดีที่สุด ให้ถูกตามแก่นที่ครูสอน
    เดินไปให้ตรงด้วยความศรัทธาพระพุทธเจ้า
    ศรัทธาในธรรมะของพระพุทธเจ้า
    เชื่อมั่นในคำสอนของครูบาอาจารย์

    ส่วนผลจะเป็นอย่างไร เมื่อไหร่
    ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปกำหนดได้
    มันก็เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา
    เรามีหน้าที่เพียรทำไปอย่างเดียว

    สิ่งใดๆ ที่ได้กับตัวฝ้าย ซึ่งเป็นผลจาการปฏิบัติในครั้งนี้
    ถือว่าเหนือความคาดหมายมากๆ
    แต่สุดท้าย....ไม่ว่าจะเกิดอะไร
    เราไม่ยึดไว้ มันก็ไม่ทุกข์ อิอิ

    ฝ้าย




     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
    พี่ภูขอโมทนาสาธุ กับดวงจิตน้อยๆ ของน้องฝ้ายด้วยจ้า
    ยกโทษให้พี่ภูทีนะจ๊ะ ที่ลืมตอบเธอไปในคราวที่แล้วน่ะ
    แต่ตอนนี้ ก็ดีใจกับดวงจิตเธอด้วยเน๊อะ จิตรอดแล้ว แต่ระวังเรื่องสติ
    พยายามให้สติอยู่กับจิต มีสติอยู่กับปัจจุบัน
    คอยหมั่นเจริญสติภาวนาให้เป็นนิจ ตราบจนจะดับขันธ์นะครับ
    ไม่มีผู้ใด จะมาดูแลสติและจิต ดีเท่าตัวเราหรอกนะ
    เทคแคร์นะครับ

    จากคนไม่ค่อยทำบุญ ไม่เคยถือศีล ไม่ค่อยสวดมนต์
    ไม่เคยฟังเทศน์ อ่านธรรมะ หรือรู้จักครูบาอาจารย์ที่ไหน
    ศัพท์ทางศาสนาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยฝึกอะไรเลย
    แค่มีใจอยากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น


    นี่คือคำบอกเล่าของน้องฝ้าย(คนเก่ง) นี่คือตัวอย่างกับอีกหลายๆคน ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Ye1VqmFg0qo]เธอจะเลือกใคร หญิง ธิติกานต์ - YouTube[/ame]
    น้องหญิง(ธิติกานต์)เป็นคนร้องนะครับ
    ผมไม่เกี่ยว อย่ามาโทษผมอีกนะ ฮ่าๆ จะให้ดูวิวสวยๆแค่นั้นเอง

    สำหรับคนขี้เหงา ต้องมาปฎิบัติธรรม เดี๋ยวก็ดีขึ้น
    แต่ถ้าไม่ดีขึ้น นั่นแสดงว่า คุณปฎิบัติธรรมไม่ถึง จึงไม่หลุดพ้น
     
  4. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,104
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ สาธุ สาธุ
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๓๒ และ ๑๓๓
    และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  5. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆ อิริยาบท

    กราบ กราบ กราบ
    หลวงพ่อชา

    และโมทนาสาธุกับคุณแนท ที่นำธรรมทานมาให้อ่านกันค่ะ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ภูทยานฌาน2

    555+ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เอ๊ย! ปู่ภูเฝ้ากระทู้
    ในที่สุดจากกระทู้ที่เคยติดฮิต ติดชาร์ต ก็ตกมาสู่สามัญจนได้ เห่อๆ
    นี่ละหน๋อ โลกนี้มันช่างไม่เที่ยงเอาซะเล๊ย ดูเข้าไว้นะพวกเรา นี่คือธรรมะจริงๆ

    ว่าแต่ว่า คนหรือกระทู้ในนี้ ก็สอนธรรมะพวกเราเป็นอย่างดีเลยนะ
    นี่แหล่ะ! ชีวิตจริง

    วันนี้ ออกมาแนวบ่นๆซะงั้น ฟังไปเห่อน่ะ ตามดู ตามรู้จิตไปด้วย เหมือนคนเขียนนี่แหล่ะ
    คือ ตามดูความเลวของตนต่อไป แต่อย่าหลงไปแอบดูความดี ความเบวคนอื่นๆเขานะ
    เพราะว่า ตราบใด เรายังเอาความเลวของตน ออกไปยังไม่หมด เท่ากับเราก็ยังหาความดีของตนเอง ไม่ได้
    พยายามต่อไป เคทาชิ..สู้ๆๆ

    ถามว่าท้อไหม๊ ท้อน่ะ หน้าตามันเป็นยังไงหรอ เคยเห็นแต่ ลูกท้อ(ผลไม้เมืองหนาว)
    อ่านไปด้วย มองเห็นความคิดของตนเองผุดขึ้นมากันไหม๊
    ตามให้ทันนะ โดยเฉพาะจิตบุญ ตามให้ทัน รู้ให้เท่าทันการเกิดและดับกิเลสของตน
    ตามให้ทันความคิดของตน
    สำหรับผู้ที่จะตามทัน เห็นมีแต่ผู้เจริญสติบ่อยๆเท่านั้น เพราะคนเจริญสติบ่อยๆนั้น ปัญญามันเกิด
    และตัวปัญญานี้เอง ถึงจะมีสิทธิ์ตามดู ตามรู้จิต และด้วยใจเป็นกลางได้
    หรือรู้เท่าทันการเกิดและดับของกิเลสตน และเจตสิกของตนเอง
    นอกนั้น ไม่มี (NO WAY!)

    สติธรรมดาๆ แบบคนสามัญๆ ไม่มีวันตามทันอย่างแน่นอน
    พวกเราอย่าเพิ่งไปพูดถึง จิตของบุคคลธรรมดาๆ ที่มิเคยปฎิบัติธรรมกันเลย
    นี่ขนาดพวกเรา โดยเฉพาะจิตบุญ ส่วนใหญ่ยังเอาตัวแทบไม่รอดกันเลย
    ใครพูดถึงอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ ยังวิ่งตามหรือคิดตามซะงั้น ทำไม๊จิตไม่นิ่งกัน เพราะสติสะตังมัน ไม่มีกันนี่ไง๊

    เพราะอะไร ก็เพราะว่า ลืมสติตนเอง หรือ ไม่คอยหมั่นเจริญสติภาวนาเป็นนิจ
    เพราะมนุษย์นี่ชอบอ้างเหตุผล 108 ประการ คือต้องทำการงาน ต้องดูแลครอบครัว
    ต่างๆนานา สารพัดจะอ้างกันเข้าไป เหตุผลมนุษย์โลก หาที่สุดมิได้
    คนจะใฝ่ธรรม เขาไม่มีข้อแม้นกันหรอก ทำไปๆๆ ทำแบบคนโง่น่ะ

    แหม๊! คนอะไร๊ ปากก็พร่ำคำว่า นิพพานๆ อย่าเอาแต่พูด ทำสิ! ทำมากๆ
    แค่สติตนเองยังเอาไม่รอดเลย จะไปถึงนิพพานตรงไหน ไปแค่สถานีตะพานหินน่ะสิ

    แต่ถ้าใครหลงทาง หลงการปฎิบัติ โดยเฉพาะเดินมรรค
    อย่าเพิ่งมาเชื่อผมนะ ขอให้ดูคำสั่งสอนหรือปฎิปทาของพระอริยเจ้าทั้งหลายกันบ้างนะ
    นั่นแหล่ะ! วิชากันหลงทางและหลงตนเอง
    อย่าไปตนว่า ข้าแน่ ข้าวิมุตติกันนะพวกเรา ทำไปๆจนกว่าจะละขันธ์
    ถ้าถึงไม่ต้องไปประกาศ ไปบอกกับผู้อื่นเขาหรอก ถึงจริงๆก็ไม่มีใครเขาไปโอ้อวดกันหรอก อายผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆเขาบ้าง
    เดี๋ยวจะโดนข้อหา อุตริมนุษยธรรม
    ยิ่งคนที่เคยได้อภิญญาหรือกำลังจะได้อภิญญาก็ตาม ท่องจำกันไว้ให้ดี
    มีได้ ก็เสื่อมได้ ถ้าใช้ไปในทางที่ผิด ระวังนะ พวกที่ใช้ฌานผิดประเภทก็เหมือนกัน

    ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หรือหลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านก็เฝ้าสอนสั่งกับเหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายกันว่า
    ถ้าผู้ใดได้อภิญญา ก็จงนำไปดับกิเลสของตนซะ
    มิใช่ ไปดับกิเลสของคนอื่น หรือ ไปส่องจิตผู้อื่น หรือไปดูกรรม ไปดูหมอกัน
    อันนั้นๆไปในแนวทางโลกๆแล้ว

    ตัวของผู้เขียนเอง ก็ยังเลวอยู่มาก ก็พยายามปรับปรุง แก้ไขตน
    หรือพยายามปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    โดยเฉพาะพระอริยเจ้าทั้งหลาย หรือ พระผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบนั้น

    พอแร๊ะๆเริ่มยาว เดี๋ยวครูดัชชี่จะมาพร่ำต่อ

     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ฝึกสติยากมั้ย
    มีคนบอกมาว่า ฝึกสติ นี่ยากแท้ เราก็มานั่งมองนั่งดู นั่งพิจารณาไป
    ว่ามันยากจริงมั้ย แล้วก็สรุปออกมาว่า เออ...มันยาก เพราะเราชอบลืมปฎิบัติ
    เช่น ตอนสมัยฝึกสติแรกๆ ท่านบอกมาว่า
    เวลาก้าวเท้าเหยียบย่ำลงพื้นให้รู้สึกเท้ากระทบพื้นนะ
    รู้เฉยๆไม่ได้นะ ให้รู้สึกจริงๆรู้ถึงความอ่อน แข็งของพื้นไปได้ยิ่งดี
    หรือพื้นเย็นนะ ร้อนนะ หยาบนะ รู้ตอนมันกระทบกันน่ะ รู้แล้ว ก็จบเลย
    รู้แล้วทิ้งไป เอาก้าวใหม่ อั่ยเราก็เดินวางเท้ากำหนดไป โดนอีก
    ไม่ต้องกำหนดมันหรอก มันลืมก็เอาใหม่ รู้ว่าลืมก็จบ เป็นใช้ได้
    เดินไปให้เป็นธรรมชาติ เดินไปกำหนดไปอย่างนี้ไม่ต้องไปตลาดกันนะ
    เดินให้เหมือนกับเราเดินธรรมดาๆนี่แหละ แต่ให้รู้การกระทบ จบทีเดียวไป
    เราก็เดินไปมา ให้รู้ว่าเท้ากระทบ ผลคือไม่ถึง 10 นาที
    ดันลืม เพราะตาไปกระทบกับนั่นนี่แทนซะแล้ว อั่ยย๊ะ..เอาใหม่ แล้วก็
    เอาใหม่เป็นร้อยๆรอบ ฮ่าๆๆ ทีนี้ มาใหม่ ท่านบอก ก้าวละ ห้าแสน
    สิบก้าวได้ห้าล้าน โอ๊ะๆ คราวนี้ ได้เยอะนานพอดู ตกลงวันนั้นกว่าจะ
    ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็เดินกันเป็นร้อยกิโลฯ ไม่ถึงร้อยล้านซักที ฮ่าๆๆ
    อนึ่ง การลืมตอนขาดสติ ต่างกับตอนลืม ตอนมีสติอย่างมาก
    เมื่อใดที่เราฝึกสติมากๆ จะเกิดการลืมขึ้น เพราะจิตเราเดินไป
    รู้วางไปเป็นขณะๆ เหมือนรถเมล์ที่คอยจอดให้คนลงเป็นป้ายๆไป
    คนไหนลง รถเมล์ก็จะจบกับคนนั้น ป้ายต่อไป ก็จบอีก จบเป็น
    ป้ายๆไป หมดเป็นทีๆไป
    พอมาถึงเวลานั่งบ้าง ทำไงดีหล่ะ เราก็เลยใช้วิธี กำมือ คลายมือ
    แต่เวลานั่งคุยกับใครนี่ มันจะเบลอไปมั้ย เราเลยใช้วิธี เอาก้นหอยของ
    นิ้วมือลูบๆกันไปมา ให้รู้สึกถึงการสัมผัสเป็นดี มันก็ได้ผล
    ว่าแล้วกลับมาคุยกันเรื่องความยากง่าย
    เราว่า มันไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอก เราเคยท้อกับการฝึกสติ
    มาแล้ว แต่ก็ยังเดินหน้า ทำไป ช่วงหลังๆมา มันไม่ได้รู้การกระทบสัมผัส
    อย่างเดียวมันพาลงลึก มันพารู้ข้างในกาย พานไปถึงลมหายใจ
    แล้วลงลึกเข้าไปในจิต รู้เห็นจิต ที่มันชอบสอดส่าย ย้ายโยก
    วิ่งวุ่น วิ่งวน อลหม่าน น่ารำคาญ น่าตี
    แต่ช่างปะไร เห็นแล้ว เราถูกฝึกมาว่า ทิ้ง เราก็ทิ้ง
    รู้แล้ว เราถูกฝึกมาให้ ปล่อย เราก็ปล่อย
    ว่านอนสอนง่าย ทำอะไรให้มันง่ายๆ ไม่มีอะไรที่ยากมาก่อนง่าย
    มันต้องง่ายมา แล้วความยากมันจะโผล่ออกมาทดสอบ เรื่อยๆ
    เมื่อเราผ่านความยากไปได้ สุดท้ายอั่ยที่เราเห็นว่ามันยาก
    มองย้อนไป เออนะ...ทำไมมันง่ายจัง
    ทุกวันนี้ หากเราเข้าไปมองในจิตเราทันเราก็จะดูมันไป
    หากเมื่อไหร่มันเร็ว ตามมันไม่ทัน เพราะเราต้องทำนั่นๆนี่ๆ
    เราก็ใช้วิธี ตามดูกายเรา หรือ ขยับนิ้วมือ รู้สัมผัสไป
    การเดินมรรค มันต้องใช้สติเปิดทาง ไม่ว่า เราจะ
    ทำอะไร นั่ง ยืน เดิน นอน ทำให้มันติด ให้มันชิน
    ให้มันเป็นนิสัย แล้วอย่าตกใจ เวลากระพริบตา....
    เฮ๊ย เราเห็นตัวเองกระพริบตา......
    จึงมาแชร์ประสบการณ์กัน ณ โอกาสนี้
    โมทนาสาธุ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระพุทธศาสนาสอนให้เราสำรวมจิต คือ ระวังจิต

    เมื่อจิตมันจะคิดนึกอะไร ไม่ว่าดี หรือชั่วให้รู้ตัวอยู่เสมอ
    ให้รู้เท่าทันมัน มิใช่รู้ตามจิต รู้ตามจิตไม่มีวันจะตามทัน
    เมื่อรู้เท่าทันมันแล้ว มันก็จะอยู่นิ่งเฉย ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง
    ไม่เป็นอดีต ไม่เป็นอนาคต อยู่เป็นกลางเฉย ๆ ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นบาป

    พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิตถึงใจอันเดียว
    กิเลสทั้งหลายเกิดจากจิต จิตเป็นผู้ยึดเอากิเลสมาไว้ที่จิต จิตจึงเศร้าหมอง
    เมื่อจิตเห็นโทษของกิเลส สละถอนกิเลสออกจากจิตได้แล้ว
    จิตก็ผ่องใสบริสุทธิ์..นี่เป็นหลักพระพุทธศาสนา


    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ​


    ลูกขอกราบแทบเท้าของหลวงปู่เหรียญ...ด้วยเศียรเกล้า
    _/l\_ _/l\_ _/l\_

    คนเรานี่ ขอให้จิตใจใสอย่างเดียว
    ขอให้ดูพระธาตุของพระอริยเจ้า เป็นตัวอย่างกันนะครับ
    สาธุๆๆ

    (ทำไม๊ พระอริยเจ้า เกิดที่แดนอิสานเยอะจัง!)
    (ไหนๆ คนอิสาน ขอมือหน่อยดิ่)​
     
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ปลูกต้นธรรม. ธรรมะคำสั่งสอนของหลวงปู่ดู่.

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดู่ เคยเปรียบการปฏิบัติธรรม เหมือนการปลูกต้นไม้

    ท่านว่า...ปฏิบัตินี้มันยาก ต้องคอยบำรุงดูแลรักษา เหมือนกับเราปลูกต้นไม้

    ศีล คือดิน สมาธิ คือ ลำต้น ปัญญา คือ ดอกผล.

    ออกดอกเมื่อใดก็มีกลิ่น หอมไปทั่ว การปฏิบัติธรรมก็เช่นกันผู้รักษาศีล

    และผู้รักการปฏิบัติต้องคอยหมั่นลดน้ำพรวนดิน ระวังรักษาต้นธรรม

    ให้ผลิตดอกออกใบ มีผลน่ารับประทาน ต้องคอยระวัง ตัวหนอน

    คือ โลภ โกรธ หลง ไม่ให้มากัดกินต้นธรรมได้

    อย่างนี้...จึงจะได้ชื่อว่า ผู้รักธรรมรักการปฏิบัติจริง.

    ลูกขอน้อมรับธรรมะของหลวงปู่เพื่อการปฏิบัติตามเจ้าค่ะกราบหลวงปู่เจ้าค่ะสาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติก็เรา จิตก็เรา(อีก)

    เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าได้นำสติห่างจิตตนเองเด็ดขาด
    เพราะถ้าสติไปทางนึง จิตก็ไปอีกทางนึง ก็ไม่ต่างจากบ้านแตกสาแหรกขาด

    พวกเราเคยอยู่คนเดียวไหม๊?
    ยามเมื่อเราอยู่คนเดียว เหมือนจะรู้สึกว่า มีคนคุยกันสองคนอยู่ภายในร่างกายของเรา
    ใช่ เข้าใจถูกต้องแล้ว สองคนนั่นก็หมายถึง สติกับจิตของเรานี่เอง ที่คุยกัน

    พอกลับมาพูดถึง ความทุกข์กันบ้าง
    ความทุกข์เกิดที่ไหน ก็ให้ดับที่นั่น
    ทุกข์เกิดที่ไหน เกิดที่ในใจ งั้นก็ต้องดับทุกข์กันที่ใจ
    ใจใคร ก็ใจใครใจมันน่ะสิ! จะไปดับทุกข์แทนกันไม่ได้

    ในตอนแรก เมื่อสติเป็นพี่เลี้ยงจิต พวกเรายังจำกันได้ไหม๊
    การปฎิบัตินั้น ก็เพื่อความหลุดพ้นกันใช่ไหม?
    ถามว่าอะไรหลุดพ้น ถ้าไม่ใช่จิต
    เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรม ก็เพื่อฝึกจิตกันนี่เอง
    พระพุทธองค์ก็ทรงมีพระกรรมฐาน ตั้ง 40 กอง เพื่อให้พุทธบริษัทได้ฝึกจิตกัน
    แต่จู่ๆ พวกเราจะฝึกจิตกันไม่ได้ หรือต้องมาเจริญสติ(ฝึกสติ)กันก่อน
    เพื่อทำให้จิตที่ยังไม่นิ่ง ให้จิตนิ่งกันก่อน
    พระกรรมฐานทั้ง 40 กอง มีไว้เพื่อ เป็นกุศโลบาย ทำให้จิตของคนเรานิ่งนี่เอง
    เคยฟังพระท่านเทศน์อยู่บ่อยกันไหมว่า จิตนิ่งเมื่อไหร่ ก็สุขเมื่อนั้น
    นี่ไง๊ ที่มาของคนทุกข์ เพราะจิตไม่นิ่งกันนี่เอง
    สอบสวนกันไปมา ก็เพราะว่า ไม่หมั่นเจริญสติภาวนา หรือ ชอบตกฌานกันนี่เอง
    หรือจิตไม่มีสมาธิ เมื่อจิตไม่มีสมาธิ แล้วพวกเธอจะไปเอาปัญญาที่ไหน ไปรู้เท่าทันการเกิดกิเลสต่างๆ
    หรือไปรู้เท่าทันการเกิดและดับของกิเลสกัน
    สติเพียวๆของคนเรานี่ ก็เปรียบเสมือนควายตัวนึงเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่คอยหมั่นฝึกสติกันก่อนนะ
    ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องจิต เรื่องธรรม หรือเรื่องทุกข์กันแร๊ะ ไหนจิตจะตก ไหนจะทุกข์เข้ามารุมเร้าเข้าหาเราทุกวันๆ
    มันเข้ามาทางประตูอายตนะ และก็ส่งผ่านมายังสมองและมีสายปลายทางกันที่ สติเรา นี่ไง๊
    เพราะสมองกับสติมันทำงานร่วมกันตลอดเวลา ยกเว้นโดนยาโด๊ปหรือหมดสติ หมอผ่าตัดยังไม่รู้เลย
    เพราะฉะนั้น ยังไง๊ๆ สติกับสมองนี้นะ มันก็ทำงานตามปกติ เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว และสติมันรายงานเก่งซะด้วยนะ
    เวลาคนชม หัวใจพองเลย แต่เวลาถูกตำหนิหรือคนด่าว่าเรา หัวใจก็แฟ๊บหรือเป็นทุกข์ทันทีเลย

    แต่ถ้าผู้ใดคอยหมั่นนเจริญสติภาวนาเป็นนิจ หรือจิตเป็นสมาธิหรือทรงฌานเป็นนิจกันแล้ว
    กิเลสตัวไหนก็เข้าไปไม่ถึงจิต ไม่ถึงใจ ทุกข์ต่างก็ไม่เกิดขึ้น
    เพราะจิตเป็นสมาธิหรือจิตทรงฌานนั้น เป็นจิตมีสติสัมปชัญญะ หรือจิตมีปัญญา
    เมื่อจิตเรามีปัญญาเป็นนิจแล้ว ไม่ว่ากิเลสตัวไหน จะมาเมื่อไหร่ ก็เชิญ
    เพราะเมื่อจิตมีปัญญา เราก็รู้เท่าทันกิเลสต่างๆ เรารู้แล้วว่ากิเลสทุกตัวหรือธรรมทุกตัวนั้น
    คงหนีไม่พ้น ไตรลักษณ์ หรือเกิดมา ตั้งอยู่ และก็ดับไป เป็นธรรมดา
    คำว่านี้ คำว่าธรรมดาๆนี้ พวกเราท่องจำกันตั้งแต่เด็กๆ เพราะเราเอาสมองไปจำ
    เรามิได้เอาจิตไปจำ แต่เราเอาสติไปนำจิตกันเสียแล้ว

    การเรียนรู้ทางธรรมหรือความจริงของความเป็นไปของสรรพสัตว์หรือสรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ ล้วนแต่ไม่เที่ยง
    เราต้องเอาจิตไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ มิใช่เอาสติหรือสมอง ซึ่งจะต่างกับการเล่าเรียนทางโลก
    แต่ถ้าหากผู้ใด เล่าเรียนหนังสือแบบเอาจิตไปเรียนรู้เหมือนกับทางธรรม
    คอยสังเกตดูนะว่า เมื่อจิตนิ่ง จิตเป็นสมาธิดีแล้ว จะเป็นคนเรียนเก่งหรือเรียนดีขึ้นกว่าเดิม
    เพราะในโรงเรียน ในมหา'ลัย เรียนรู้กันหรือใช้สมองจำซะมากกว่า

    อย่าลืมนะ สติจะเสื่อมสภาพไปตามสมอง และสมองจะเสื่อมสภาพไปตามร่างกาย หรืออายุของร่างกายมนุษย์

    สรุปแล้ว อะไรไปสวรรค์ พรหมหรือพระนิพพาน สติหรือจิต???
    (ให้ทาย)

    ปล.เล่าสู่กันฟังนะ มิใช่มาเพื่อสอนสั่งพวกเรากันนะครับ ผิดถูกอย่างไร ปล่อยให้ฟ้าดินลงทัณฑ์เอง เพราะกฎแห่งกรรมของตน บันทึกทุกวันของเขาเองอยู่แล้ว
    ไม่ใช่ หน้าที่ของมนุษย์หน้าไหน มาบอกว่าคนโน้นผิด คนโน้นถูก
     
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุ กับครูพี่ภูที่ได้นําเอาภาพพระธาตุของหลวงปู่เหรียญมาลงขอน้อมกราบ "อหังวันทามิ หลวงปู่เหรียญ ธาตุโย อาหังวันทามิสัพโส"
    และเหตุผลที่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบส่วนใหญ่เป็นชาวอีสานนั้นก็เพราะว่า ภาคอีสานเป็นภาคที่ไม่มีความอุดมสมบูรณ์ คือ "ยากจน" ความยากจนนี้ทําให้คนมีความอดทนสูงและพระธรรมก็เกิดจากความไม่ฟุ้งเพ้อ ถ้าสิ่งไหนมีมากเกินก็มีความโลภเกิดขึ้นได้ง่ายคือเกิดการติดสุขนั้นก็ว่าได้ และธรรมนั้นก็อยู่กับความขาดแคลนทางวัตถุแต่ทางธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องอดๆยากๆเพราะจะเป็นการฝึกความอดทนสูงต่อทุกสถานะการณ์ และภาคอีสานก็มีเวลาว่างเยอะเพราะอาชีพส่วนใหญ่ คือ การทําไร่ทํานาเพราะต้องอาศัยธรรมชาติอย่างเดียวไม่ต้องมาแข่งแย่งกันเหมือนเมืองใหญ่ คนมีนิสัยซื่อและการเป็นอยู่ก็แตกต่างกันโดยสื้นเชิง จึงทําให้คนมีความอดทนสูง เพราะการปฏิบัติธรรมต้องมีความอดทนเป็นเลิศต้องอดทนต่อกิเลสมารที่มาคอยก่อกวนเราอยู่เสมอค่ะ จึงขออธิบายตามความเข้าใจนะค่ะ สาธุค่ะ
     
  13. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออนุโมทนา กับ คุณฝ้าย จิตบุญ ดวงที่ 133 และคุณครูผู้สอนที่เกี่ยวข้อง ทุกท่าน ด้วยค่ะ สาธุ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=gLhg3wEOQGA]คำไหว้พระจุฬามณี - YouTube[/ame]​

    ถ้าจิตของเราพร้อม
    ความตายก็เป็นเรื่องเล็กทันที ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิดอีกต่อไป


    รีบฝึกจิตกันไปไวๆ เพราะไม่มีผู้ใด จะหายใจอยู่ได้ตลอดเวลา
    เพราะคนเรานั้น มีความตายรออยู่เบื้องหน้ากันทุกคน
    รีบกำหนดการไปของดวงจิตแต่เนิ่นๆ หรือ ฝึกตาย ก่อนตายจริง
    อย่าหายใจทิ้ง อย่าปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
    เพราะเราเองเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนกรรมของตนเองได้
    กรรมในปัจจุบันเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่กรรมในอดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จงทำแต่กรรมดี(บุญและกุศล)ในปัจจุบัน ส่วนกรรมในอดีตอย่าได้ไปสนใจ
    ขอให้เริ่มต้นที่ลมหายใจเข้านี้ ให้กระทำแต่กรรมดีลูกเดียว ละชั่วให้หมด
    โดยพากันรักษาศีลให้ครบบริบูรณ์ก่อน คือสัจจะหรือความตั้งใจดี

    สรุปแล้ว
    ตัวเราเอง เป็นผู้กำหนดการไปยังภพหรือโลกหน้าหรือโลกหลังความตาย
    นรก สรรค์ พรหม หรือ พระนิพพาน เลือกเอากันเองนะ
    (นรกบนดิน หรือ นิพพานบนดิน เลือกเอาเอง)
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    การปล่อยวาง

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    ว่าด้วยเรื่องการปล่อยวาง...แบบควาย


    -----------------------------------------------------------------

    ถาม : การที่มีอุเบกขามากไป ทำให้เป็นคนไม่ยอมคนหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : มันต้องดู คนที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ ไม่ใช่เป็นคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่เขารู้ว่าอะไรมันเหมาะมันควรกับวาระกับเวลาอย่างไร โบราณเรียกว่ากาลเทศะ เรื่องที่ดิ้นรนไปแล้วไร้ประโยชน์ เขาก็นอน มันเสียเวลาไปดิ้นทำไม รถชนกันตูมพังกระจาย จะเสียเวลาไปเข็นรถหรือ ก็โทรเรียกประกันมาแล้วก็นอนรอมันสิ

    อุเบกขา เป็นอุเบกขาที่ประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ใช่ปล่อยวางแบบลูกศิษย์หลวงพ่อชา ลูกศิษย์หลวงพ่อชา เป็นพระด้วยนะ โดนลมตีหลังคากุฏิเปิดไป หลังคามุงด้วยแฝก ท่านเองท่านก็ปล่อยมันไปเรื่อยแหละ ฝนจะตกแดดจะออกก็ช่าง กูจะนั่งกรรมฐานของกู หลวงพ่อชาทนไม่ได้ ไปถึงก็คุณซ่อมหลังคาสักหน่อยสิ ท่านบอกผมปล่อยวางซะแล้วครับ หลวงพ่อชาบอกว่า ปล่อยวางแบบนี้มันปล่อยวางแบบควาย ...(หัวเราะ)...ควายมันตากแดดตากฝนทนกว่าคุณอีก

    คนเรามีปัญญามันต้องแก้ไข แก้ไขให้สิ้นกำลังตัวเอง สิ้นกำลังปัญญา สิ้นกำลังคน สิ้นกำลังทรัพย์ ถ้าแก้ไขไม่ได้ แล้วค่อยยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ถ้ายังมีช่องทางให้ดิ้นรนแม้แต่นิดเดียว ก็ต้องทำก่อน ปล่อยวางแบบนั้นนะควายอึดกว่าเราเยอะเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    มากกว่ารัก คือเมตตา

    มากก่วาเมตตา คือให้อภัย

    มากกว่าความให้อภัย คือปล่อยวาง

    มากกว่าปล่อยวาง คืออโหสิกรรม

    อโหสิกรรม คือ การให้อภัยกรรมอย่างเป็นทางการ.

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.สาธุ สาธุ สาธุ.
     
  18. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ปล่อยวางอย่างรับผิดชอบ

    โดย : พระไพศาล วิสาโล


    ผู้คนมักคิดว่าวางเฉยแบบงัวแบบควายเป็นการปล่อยวางแบบพุทธ นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ปล่อยวางเป็นเรื่องภายในใจ แต่หน้าที่การงานเราก็ต้องทำตามสมควรแก่เหตุปัจจัย โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งแก่ตัวเราเองและต่อผู้อื่นด้วย พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตโต) ได้สรุปสั้นๆ ว่า ปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องการทำ “จิต” ส่วนการทำงานต่าง ๆ ด้วยความรับผิดชอบนั้นเป็นเรื่องการทำ “กิจ” ในเมื่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนเป็นนิจ ในแง่จิตใจเราจึงควรปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง แต่ขณะเดียวกันอะไรที่สมควรทำเราต้องรีบทำ ไม่เฉื่อยแฉะเฉื่อยเนือย เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียตามมา การทำกิจนั้นบางทีท่านก็เรียกว่า "ความไม่ประมาท"

    เหมือนกับเรือที่จะพาเราข้ามฟาก เราก็ต้องดูแลเอาใจใส่ ถ้ารั่วก็ต้องอุด ถ้าเสียก็ต้องรู้จักซ่อมแซม เรารู้อยู่ว่าเมื่อถึงฝั่งแล้วเราจะไม่แบกเอาเรือไปด้วย แต่ในขณะที่ยังไม่ถึงฝั่งเราก็ต้องดูแล คอยซ่อมแซมเพื่อนำเราไปถึงจุดหมายให้ได้ เรามีหน้าที่ต้องซ่อมแซมดูแลเรือ ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่ใช่เรือของเราก็เลยปล่อยวางไม่สนใจ ถ้าเช่นนั้นเราจะถึงจุดหมายได้อย่างไร

    การปล่อยวางและการทำงานด้วยความรับผิดชอบ หรือทำด้วยความไม่ประมาท เป็นสิ่งที่เราต้องเชื่อมให้เป็นอันเดียวกันให้ได้ อย่าไปแยกกัน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการปล่อยวางตามอำนาจของกิเลสหรือความหลง มิใช่ปล่อยวางเพราะมีปัญญา
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การทำความเข้าใจเรื่องกรรม

    เป็นการศึกษาและเตรียมพร้อมที่จะรับภาระของตัวเราเอง

    ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกรรมที่ทำไว้ ตามพุทธภาษิตที่ว่า

    .....กรรมจำแนกสัตว์ให้ทรามและปราณีตต่างกัน

    กรรมนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากที่สุด

    ไม่มีอะไรเหนือกรรมโลกอันนี้ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรม

    ท่านแสดงไว้ในบาลีว่า....นตุภิ กมุม สุมิ พล ไม่มีอิทธิพล

    ไม่มีอิทธิพลที่จะเหนืออิทธิพล แห่งกรรมดีและกรรมชั่ว

    ไม่ได้ ใครทำก็ทำได้เวลาทำ เพราะมีอำนาจทำทั้งชั่วและดี

    ทำให้สมใจก็ทำได้ทำชั่วแต่เวลา เวลาผลที่เกิดขึ้นมานั้น

    มันตรงกันข้ามจะไม่สมใจ จะตำหนิโทษกรรมของตัว ก็สักแต่ตำหนิไปเปล่าๆ

    เพราะเราได้ทำกรรมชั่วลงไปแล้ว จึงต้องยอมรับผลที่ทำกรรมชั่วของตน

    นี่เรียกว่ากรรมให้ผลให้เห็นอย่างชัดเจน.

    ธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ศีล ๕ หรือศีลข้ออื่นๆ เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิหรือไม่อย่างไร ?

    “ ศีล ๕ หรือศีลอื่นๆ มีความเกี่ยวพันต่อการปฏิบัติสมาธิอย่างมาก ศีลเป็นการปรับพื้นฐาน ปรับโทษทางกายวาจา ซึ่งเปรียบเสมือนเปลือกไข่ ส่วนใจเปรียบเหมือนไข่แดง..

    การทำสมาธิ เหมือนการนำไข่ไปฟัก จึงต้องรักษาเปลือกไม่ให้มีรอยร้าว รอยแตก เราจึงจำเป็นต้องรักษาศีล ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงจะได้ผลในทางสมาธิ..

    ทีนี้ถ้าหากจะถามว่าคนที่มีศีล ๕ จะสามารถปฏิบัติให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ไหม เป็นข้อที่ควรสงสัย อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ นางวิสาขา ก็มีศีล ๕ แล้วปฏิบัติ ก็บรรลุมรรค ผล นิพพานได้...เพราะฉะนั้นศีล ๕ นั้นก็เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ เกิดสติปัญญา เกิดมรรค ผล นิพพานได้ ”

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ที่มา fb ธรรมโอสถ
     

แชร์หน้านี้

Loading...