จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พุทธนุสติกรรมฐานและกสิณ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ

    [​IMG]

    พุทธานุสติกรรมฐาน และกสิณ

    หลวงพ่อฤาษีได้สอนไว้ การจับภาพพระ เป็นพุทธานุสติกรรมฐานควบกับกสิณ หากเป็นพระพุทธรูปสีเหลือง หรือพระสงฆ์ ก็จะเป็นปิตกสิณ หากเป็นพระพุทธรูปสีขาว ก็จะเป็นโอทากสิณ หากเป็นพระพุทธรูปสีเขียว ก็จะเป็นนีลกสิณ ฯลฯ

    เมื่อจับภาพพระจนภาพพระติดในใจ ภาพพระจะเปลี่ยนสี เป็นสีขาว (เป็นอุปจารสมาธิ) และสีขาวจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเป็นภาพสีขาวนูน ช่วงนี้จะเป็นอุปจารสมาธิขั้นสูง(ใครจะฝึกทิพย์จักษุฌาน จะฝึกในขั้นนี้) เมื่อจิตเข้าสู่ฌาน ภาพจะเปลี่ยนเป็นแก้ว ในขั้นแรก ให้ดูอารมณ์ในองค์ฌานประกอบด้วย ซึ่งในขึ้นของฌาน1 จะไม่รำคาญในเสียง ต่อมาภาพเป็นแก้วใสชัดขึ้น จิตใจจะสบายอิ่มเอิบ จะเป็นฌาน2 ขั้นต่อไปเป็นแก้วใสสะอาดยิ่งขึ้น ความอิ่มเอิบในใจหายไป ใจดิ่ง หูได้ยินเสียงแว่ว ลมหายใจแผ่วเบา เป็นฌาน3 และในขึ้นสุดท้ายภาพจะเป็นแก้วใสเป็นประกาย หูจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ อารมณ์ดิ่งลึกเป็นฌาน4

    (เมื่อถึงขึ้นฌาน4 ในส่วนของมโนมยิทธิเต็มกำลังก็ใช้ฌานสี ยกจิต(อาทิสมานกาย)ขึ้นไปบนพระนิพพานได้ บางท่านแม้ไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง แต่ก็สามารถขึ้นไปได้ด้วยกำลังของฌาน4...ช่วงนี้ขอให้พิจารณาให้ดีนะ เป็นแค่ฌาน4 เท่านั้น..ไม่ใช่บรรลุมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด)

    หลวงพ่อฤาษีสอนไว้ว่า เมื่อได้ฌานสี่แล้ว หากปฏิบัติวิปัสสนาเพื่อมรรคผลนิพพานเร็วที่สุด ไม่เกิน 7 วัน อย่างกลาง 7 เดือน อย่างช้าไม่เกิน7ปี ..พุทธานุสติกรรมฐานและกสิณ จึงเป็นกรรมฐานที่เร็วและลัดสั้นสู่มรรคผลนิพพาน แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ถึงขึ้นตอนและเป้าหมาย การที่จิตได้ยกขึ้นไปบนพระนิพพาน ขึ้นตอนนี้ยังไม่เสร็จกิจ ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ...แต่ต้องนำฌานสี่ มาปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางที่พระพุทธองค์ และหลวงพ่อฤาษีสอนไว้ ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง หากเข้าใจผิดว่าเสร็จกิจแล้ว..ก็จะเสียคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง

    นิมิตของปุถุชน บางครั้งอาจจะผิดพลาดได้ นิมิตของพระอริยะเท่านั้นจึงจะเชื่อได้ ดังนั้นจึงควรเทียบกับคำสอนของครูอาจารย์ โดยเฉพาะคำสอนของหลวงพ่อฤาษี

    (ได้แนบไฟล์คำสอนของหลวงพ่อฤาษี ในเรื่องนี้(อยู่ในช่วงเกือบท้ายๆเทป) เพื่อจะได้นำมาเทียบเคียงกับการปฏิบัติ)

    รวมไฟล์เสียง หลวงพ่อฤาษี จำนวนมาก และคุณภาพเสียงชัดเจน คลิกไปที่
    Logutara File Explorer - Viewing Directory -

    ข้าพเจ้าทำไป ก็เพื่อตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ท่าน มิได้มีเจตนาล่วงเกินท่านผู้หนึ่งผู้ใด ท่านผู้ใดที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุด้วย...สุดท้ายนี้ หากล่วงเกินจิตท่านผู้หนึ่งผู้ใด ข้าพเจ้าขอกราบขมากรรมด้วย ..สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ขอบพระคุณมากๆค่ะท่านนาฬาคิริงcatt1;aa57
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ป่า
    สมัยเมื่อยังเด็ก(นานมามากแล้ว)เห็นผู้ใหญ่เขาคุยเรื่องป่าในป่านอก ก็เกิด
    สอดรู้สอดเห็นถามไป ก็ได้ความว่า ป่านอกคือป่าที่ไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากนัก
    ป่าในคือป่าที่รกมีต้นไม้เยอะแทบไม่มีทางเดิน ต้องมีมีดคอยไปถางทางเพื่อเดิน
    เข้าไป อยู่ห่างจากหมู่บ้านผู้คนเข้าไปลึกมาก
    เมื่อโตมาเป็นผู้ใหญ่ก็ลืมเรื่องป่าไปซะสนิท เพราะได้เข้ามาอยู่ในป่าอย่างเต็มตัว
    ทั้งป่าในป่านอก การเข้ามาคลุกอยู่กับสิ่งใดๆมักลืมเรื่องอื่นไปซะหมด
    ที่รู้ว่าเข้ามาอยู่ในป่าเพราะได้เข้ามาปฎิบัติการฝึกจิต จึงเห็นป่าชัดเจนขึ้น
    ป่าที่พูดถึงก็คือ ป่าแห่งกิเลส มองย้อนไปอีกก็สามารถเปรียบได้กับป่าจริง
    คือป่านอก ป่าใน กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด
    กิเลสหยาบมีอยู่ทั่วไป มองเห็นได้ง่าย บางท่านหนีป่านอกเข้าไปอยู่ในวัด
    เพื่อไปค้นหาป่าใน บ้างก็เจอ แต่บ้างก็ไปเพิ่มป่าในให้รกเข้าไปอีก
    บ้างก็หลงคิดว่า ป่า คือ สวรรค์ ไม่งั้นคงไม่มี...
    เห็นกงจักร เป็นดอกบัว.......
    แท้จริงแล้ว การจะหนีไปทางไหนก็เจอป่าทั้งนั้น กิเลสมาได้ทุกทาง
    การจะถางป่าให้เตียนต้องใช้มีดที่คมมิด มีดคมเฉยๆยังไม่สามารถตัด
    รกพงหญ้าให้ขาดได้สนิท ต้องใช้มีดที่คมมิด มีดที่พูดถึงก็คือ สติ เหลาสติให้คมกล้า
    เมื่อไหร่ที่ตัดร้างถางพงป่านอกได้เราต้องเดินหน้าเข้าหาป่าในต่อไป
    แต่ก็ใช่ว่าจะทิ้งป่านอกซะหมดก็ต้องคอยดูอยู่ตลอด มิให้รกขึ้นมาอีก
    ป่าในที่ว่า คือกิเลสละเอียด เกิดขึ้นลึกในจิตเรา มันมีรากที่แข็งแกร่ง
    ตวัดกิ่งก้านไปทั่ว ดูให้ดีๆ มันรกมาก รกมาตั้งแต่ชาติไหนๆ สะสมมา
    เรื่อยๆ จนบางครั้งต้องวางกำลังใจให้ได้ด้วยตนเอง คอยนึกถึงคำสอนของ
    ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไม่งั้นกำลังใจมันลดด้วยเพราะเราเห็นป่าที่มันรกชัด
    รกจนไม่มีทางเดิน กำลังใจทำให้เราสามารถฝนคมมีดลับคมมีดให้คมกล้าขึ้นมา
    เจริญสติไปเรื่อยๆ ไม่ให้ขาดสาย เพราะต้องคอยหันกลับมาดูป่านอก พร้อมๆ
    กับตัดถางรางป่าในไปตลอด เหนื่อยก็แอบนั่งพักบ้าง แต่ก็ไม่ให้ค้างไว้นาน
    เพราะป่าแห่งกิเลสนี้มันเจริญเติบโตเร็วเกินกว่าจะพักนานได้ การปฎิบัติการ
    ฝึกจิตก็เหมือนการแปลงร่างเป็น...คนถางป่า...อย่างเต็มตัวนั่นเอง
    สิ่งที่น่ากลัว คือ คนถางป่า หลงอยู่ในป่า ไม่รู้จะตัดอะไรก่อน
    เลยไม่ได้ใช้มีด นอนเนืองเกลือกกลั้ว อยู่ในป่าที่คิดว่าตนกำลังถางอยู่
    ปล.อย่าลืมหมั่นคอยลับมีดให้คมมิดเข้าไว้เด้อพวกเรา
    โมทนาสาธุ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    aomnitta+จับได้แล้วเดี๋ยวจะส่งตัวไปให้ครูหน่อย อิอิhello2
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    natatik,
    ดีใจจังที่่ท่านแวะมาที่นี่ค่ะ ตามดูกระทู้คุณบ่อยๆเลยค่ะ เยี่ยมๆๆ
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ::: ใจใหม่ที่มีสุข กับความทุกข์ที่มีเท่าเดิม :::

    “... ทุกอย่างมีวินัยลูก มันมีข้อวัตรลูก วัตรตัวนี้เป็นตัววัด วัดเพื่อจะวัดตัด ตัดข้อวัตรต่างๆ ที่เป็นฝ่ายของกิเลส เพราะข้อวัตรนี้เป็นข้อวัตรฝ่ายของคุณธรรม ทำลายข้อวัตรฝ่ายของอธรรม เราต้องสร้างข้อวัตรของตัวเองขึ้นมา สร้างระเบียบตัวเองขึ้นมาทุกวัน ไม่ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดาที่เขากินแล้วก็นอน แล้วก็แล้วๆ กันไป เรามีชีวิตที่มีคุณค่าขึ้น เรากำลังจะเป็นมนุษย์ เรากำลังจะยกฐานะตัวเอง ตระกูลตัวเองขึ้นมาเป็นตระกูลอริยบุคคล พึงยกตระกูลขึ้นมาเป็นตระกูลมนุษย์เสียก่อน อริยบุคคลต้องเป็นตระกูลของมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่ตระกูลของคำว่าสัตว์... แล้วเธอจะนั่งสมาธิได้ดีขึ้น เธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น ทั้งๆ มันก็ทุกข์อยู่เหมือนเดิม เธอจะมีครอบครัวใหม่ทั้งๆ นี่คือครอบครัวเก่าและหยุงเหยิงวุ่นวายที่สุดแต่มันคือครอบครัวใหม่ เพราะสิ่งหนึ่งที่มันใหม่กว่าทุกอย่างทั้งหมดคือ “ใจ” เราได้ใจใหม่ ใจแห่งความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ...”

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี พระราม 2 (04/11/55)
    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
    ที่มา fb ธรรมคำสอน หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
     
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    สมมุติ...วิมุตติ
    หลวงพ่อชา สุภัทโท


    .........สิ่งทั้ง หลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ที่เราสมมุติขึ้นมา เองทั้งสิ้น สมมุติแล้วก็หลงสมมุติของตัวเอง เลยไม่มีใครวาง มันเป็นทิฐิ มันเป็นมานะ ความยึดมั่นถือมั่น

    อันความยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้ มันจบลงไม่ได้ สักที เป็นเรื่องวัฏฏสงสารที่ไหลไปไม่ขาด ไม่มีทางสิ้นสุด ทีนี้ถ้าเรารู้ จักสมมุติแล้ว ก็รู้จักวิมุตติ ครั้นรู้จักวิมุตติแล้ว ก็รู้จักสมมุติ ก็จะเป็น ผู้รู้จักธรรมะอันหมดสิ้นไป

    ก็เหมือนเราทุกคนนี้แหละ แต่เดิมชื่อของเราก็ไม่มี คือตอน เกิดมาไม่มีชื่อ ที่มีชื่อขึ้นมาก็โดยสมมุติกันขึ้นมาเอง อาตมาพิจารณา ดูว่า เอ ! สมมุตินี้ ถ้าไม่รู้จักมันจริงๆแล้ว มันก็เป็นโทษมาก ความจริง มันเป็นของเอามาใช้ให้เรารู้จักเรื่องราวเฉยๆ เท่านั้นก็พอ ให้รู้ว่าถ้าไม่ มีเรื่องสมมุตินี้ ก็ไม่มีเรื่องที่จะพูดกัน ไม่มีเรื่องที่จะบอกกัน ไม่มี ภาษาที่จะใช้กัน

    เมื่อครั้งที่อาตมาไปต่างประเทศ อาตมาได้ไปเห็นพวกฝรั่งไป นั่งกรรมฐานกันอยู่เป็นแถว แล้วเวลาจะลุกขึ้นออกไป ไม่ว่าผู้หญิง หรือผู้ชายก็ตาม เห็นจับหัวกัน ผู้นั้นผู้นี้ไปเรื่อยๆ ก็เลยมาเห็นได้ว่า โอ! สมมุตินี้ถ้าไปตั้งลงไว้ที่ไหน ไปยึดมั่นหมายมั่นมัน ก็จะเกิดกิเลส อยู่ที่นั่น ถ้าเราวางสมมุติได้ ยอมมันแล้วก็สบาย.

    .........อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า พวกเราทั้งหลายที่มาบวชเป็นพระนี้ แต่ก่อนก็เป็นฆราวาส ก็สมมุติว่าเป็นฆราวาส มาบวช สมมุติให้เป็นพระ ก็เลยเป็นพระ แต่เป็นพระเณรเพียงสมมุติ พระแท้ๆ ยังไม่เป็น เป็นเพียงสมมุติ ยังไม่เป็นวิมุตติ นี่ถ้าหากว่าเรามาปฏิบัติให้จิตหลุด พ้นจากอาสวะทั้งหลายเหล่านี้เป็นขั้นๆไป ตั้งแต่ขั้นโสดา สกิทาคามี อนาคามี ไปจนถึงพระอรหันต์ นั้นเป็นเรื่องละกิเลสแล้ว แต่แม้เป็น พระอรหันต์แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องสมมุติอยู่นั่นเอง คือสมมุติว่าเป็นพระ อรหันต์ อันนั้นเป็นพระแท้ ครั้งแรกก็สมมุติอย่างนี้ คือสมมุติว่าเป็น พระ แล้วก็จะละกิเลสเลยได้ไหม ก็ไม่ได้

    เหมือนกันกับเกลือนี่แหละ สมมุติว่าเรากำดินทรายมาสักกำ หนึ่ง เอามาสมมุติว่าเป็นเกลือ มันเป็นเกลือไหมละ ? ก็เป็นอยู่ แต่ เป็นเกลือโดยสมมุติ ไม่ใช่เกลือแท้ๆ จะเอาไปใส่แกงมันก็ไม่มี ประโยชน์ ถ้าจะว่าเป็นเกลือแท้ มันก็เปล่าทั้งนั้นแหละ นี่เรียกว่า สมมุติ ทำไมจึงสมมุติ ? เพราะว่าเกลือไม่มีอยู่ที่นั่น มันมีแต่ดินทราย ถ้าเอาดินทรายมาสมมุติว่าเป็นเกลือ มันก็เป็นเกลือให้อยู่ เป็นเกลือ โดยฐานที่สมมุติ ไม่เป็นเกลือจริง คือมันก็ไม่เค็ม ใช้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ มันสำเร็จประโยชน์ได้เป็นบางอย่าง คือในขั้นสมมุติ ไม่ใช่ในขั้นวิมุตติ

    ชื่อว่าวิมุตตินั้น ก็สมมุตินี้แหละเรียกขึ้นมา แต่ว่าสิ่งทั้งหลาย เหล่านั้นมันหลุดพ้นจากสมมุติแล้ว หลุดไปแล้ว มันเป็นวิมุติแล้ว แต่ ก็ยังเอามาสมมุติให้เป็นวิมุตติอยู่อย่างนี้แหละ มันก็เป็นเรื่องเท่านี้ จะขาดสมมุติได้ไหม ? ก็ไม่ได้ ถ้าขาดสมมุติแล้ว ก็จะไม่รู้จักการพูดจา ไม่รู้จักต้น ไม่รู้จักปลาย เลยไม่มีภาษาจะพูดกัน

    ฉะนั้นสมมุตินี้ก็มีประโยชน์ คือประโยชน์ที่สมมุติขึ้นมาให้เรา ใช้กัน เช่นว่าคนทุกคนก็มีชื่อต่างกัน แต่ว่าเป็นคนเหมือนกัน ถ้าหาก ไม่มีการตั้งชื่อเรียกกัน ก็ไม่รู้ว่าพูดกันให้ถูกคนได้อย่างไร เช่นเรา อยากจะเรียกใครสักคนหนึ่ง เราก็เรียกว่า “คน คน” ก็ไม่มีใครมา มัน ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะต่างก็เป็นคนด้วยกันทุกคน แต่ถ้าเราเรียก “จันทร์มานี่หน่อย” จันทร์ก็ต้องมา คนอื่นไม่ต้องมา มันสำเร็จ ประโยชน์อย่างนี้ ได้เรื่องได้ราว ฉะนั้นได้ข้อประพฤติปฏิบัติอันเกิด จากสมมุติอันนี้ก็ยังมีอยู่

    ดังนั้นถ้าเข้าใจในเรื่องสมมุติ เรื่องวิมุตติให้ถูกต้อง มันก็ไปได้ สมมุตินี้ก็เกิดประโยชน์ได้เหมือนกัน แต่ความจริงแท้แล้วมันไม่มีอะไร อยู่ที่นั่น แม้ตลอดว่าคนก็ไม่มีอยู่ที่นั่น เป็นสภาวธรรมอันหนึ่งเท่านั้น เกิดมาด้วยเหตุด้วยปัจจัยของมัน เจริญเติบโตด้วยเหตุด้วยปัจจัยของ มัน ให้ตั้งอยู่ได้พอสมควรเท่านั้น อีกหน่อยมันก็บุบสลายไปเป็นธรรม ดา ใครจะห้ามก็ไม่ได้ จะปรับปรุงอะไรก็ไม่ได้ มันเป็นเพียงเท่านั้น อันนี้ก็เรียกว่าสมมุติ ถ้าไม่มีสมมุติก็ไม่มีเรื่องราว ไม่มีเรื่องที่จะปฏิบัติ ไม่มีเรื่องที่จะมีการมีงาน ไม่มีชื่อเสียง เลยไม่รู้จักภาษากัน ฉะนั้น สมมุติบัญญัติตั้งขึ้นมา เพื่อให้เป็นภาษา ให้ใช้กันสะดวก

    .........ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน ไม่ยึด มั่นถือมั่นทำไมจะปฏิบัติได้ ? ปฏิบัติไปเพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่ จะเอาปัญญาแทนเข้าไปในที่นี้ยากลำบาก นี่เพราะที่ไม่ให้ยึดมันจึง เป็นของยาก มันต้องอาศัยปัญญาแหลมคมเข้าไปพิจารณา มันจึงไป กันได้ อนึ่ง ถ้าคิดไปแล้วเพื่อบรรเทาทุกข์ลงไป ไม่ว่าผู้มีน้อยหรือมี มากหรอก เป็นกับปัญญาของคน ก่อนที่มันจะทุกข์มันจะสุข มันจะ สบายหรือไม่สบาย มันจะล่วงทุกข์ทั้งหลายได้ เพราะปัญญาให้มัน เห็นตามเป็นจริงของมัน

    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้อบรม ให้พิจารณา ให้ภาวนา ภาวนาก็คือ ให้พยายามแก้ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ให้ถูกต้องตามเรื่อง ของมัน เรื่องของมันเป็นอยู่อย่างนี้ คือเรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย มันเป็นเรื่องของธรรมดา ธรรมดาแท้ๆ มันเป็นอยู่อย่างนี้ ของมัน ท่านจึงให้พิจารณาอยู่เรื่อยๆ ให้ภาวนาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย บางคนไม่เข้าใจ ไม่รู้จะพิจารณามันไปทำไม เกิดก็รู้จักว่าเกิดอยู่ ตายก็รู้จักว่าตายอยู่นั่นแหละ (หมายเหตุ 3) มัน เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน มันเป็นเรื่องความจริงเหลือเกิน ถ้าหากว่าผู้ใดพิจารณาแล้วพิจารณาอีกอยู่อย่างนี้ มันก็เห็น เมื่อมันเห็น มันก็ค่อยแก้ไขไป ถึงหากว่ามันจะมีความยึดมั่นหมายมั่น อยู่ก็ดี ถ้าเรามีปัญญาเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันก็บรรเทาทุกข์ ไปได้ ฉะนั้นจงศึกษาธรรมเพื่อแก้ทุกข์

    ในหลักพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีอะไร มีแต่เรื่องทุกข์เกิด กับทุกข์ ดับ เรื่องทุกข์จะเกิด เรื่องทุกข์จะดับ เท่านั้น ท่านจึงจัดเป็นสัจจธรรม ถ้าไม่รู้ มันก็เป็นทุกข์ เรื่องจะเอาทิฐิมานะมาเถียงกันนี้ไม่มีวันจบ หรอก มันไม่จบ มันไม่สิ้น เรื่องที่จะให้จิตใจเราบรรเทาทุกข์สบายๆ นั้น เราก็ต้องพิจารณาดูเรื่องที่เราผ่านมา เรื่องปัจจุบันและอนาคตที่ มันเป็นไป เช่นว่าพูดถึงความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทำยังไงมันจึงจะไม่ให้เป็นห่วงเป็นใยกัน ก็เป็นห่วงเป็นใยอยู่เหมือนกัน แต่ว่าถ้าหากบุคคลมาพิจารณา รู้เท่าตามความเป็นจริง ทุกข์ทั้งหลายก็จะบรรเทาลงไป เพราะไม่ได้กอดทุกข์ไว้

    ที่มา fb วัดป่า ศิริสมบูรณ์
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอขอบพระคุณมากๆเลยค่ะสำหรับธรรมะทั้งหมด

    ที่ทุกๆท่านนำมาเป็นธรรมทานทั้งธรรมะของพระพุทธเจ้าและธรรมะของครูอาจารย์

    และขอขอบพระคุณ คุณภู ที่ขยายธรรมะให้ได้เข้าใจมากขึ้นสุดยอดเลยตื่นมาเช้านี้

    ได้ธรรมะที่ท่านขยายมาธรรมะทั้งหมดวันนี้ยิ่งอ่านยิ่งสว่างจริงๆ โดยเฉพาะเรื่อง

    จิต กับ กาย เพราะเจอเมื่อวานนี้เอง คือตัวผู้เขียนได้ไปหาหมอเพื่อส่องกล้องเข้า

    ไปในลำใส้ ระหว่างที่หมอกำลังตรวจอยู่ กายนั้นมันเจ็บ แต่จิตมันบอกว่ามันเป็นเรื่อง

    ธรรมดาของสัตว์โลกอย่างเรา เมื่อความชรามันมาเยือนแล้วโรคภัยต่างๆมันก็ตามมา

    เป็นธรรมดา กาย กับ จิต ตอนนั้นมันกับทำงานคนละอย่างทั้งๆที่มันอยู่บ้านเดียวกัน

    ความคิดตอนนั้นมันถามตัวเองขึ้นมาว่า ทุกครั้งที่เราปฏิบัติเราจะจ้องมองบ้านของเรา

    ให้เห็นกว่าที่จะเห็นนั้นมันต้องใช้เวลาอบรมบ่มนิสัยตัวเองอยู่นานกว่าจะเห็น วันนี้เรา

    จะได้เห็นจริงๆแล้วขอมองมันให้สะใจเสียที ผู้เขียนแปลกใจตัวเองมาก เพราะเวลานั้น

    รู้สึกเฉยๆธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเกิดความสงบเงียบและได้ความรู้ดีๆกับตัว

    เองจนหมอตรวจเรียบร้อยมันรู้สึกเหมือนจะใช้เวลาแป๊บเดียว จึงถามหมอว่าเรียบร้อยแล้ว

    หรือ? เขาตอบว่าเรียบร้อยแล้ว. แล้วหมอก็พูดว่า มาลินี ไอ แฮ้บกูดนิว ฟรอยู เอฟวิติ่ง อิท

    ไฟน์ โนพรอมแพร่ม, ยูอาร์ ออลเคลียร์. ความสุขความสว่างกับมาเป็นธรรมดานั่น

    กลับย้อนไปคิดถึงตอนที่ไปกราบหลวงปู่ สังวาล หลวงปู่เกื่อน หลวงปู่จันทา และ

    หลวงปู่หล้า ท่านทั้งสี่รูปอาพาธอยู่ แต่ท่านนอนเฉยไม่พูดไม่จา แต่ท่านมองดิฉันด้วย

    ความเมตตา ท่านนอนเฉยเหมือนท่านไม่ได้เป็นอะไร ผู้เขียนก็เลยถามพระอุปฐากของ

    หลวงปู่ ถึงอาการของหลวงปู่ท่านก็บอกอาการให้ฟัง แต่ละองค์อาพาธไม่เหมือนกัน

    แต่การปฏิบัติของท่านเหมือนกันคือ ความนิ่งและความเฉย และไม่เจ็บ ไม่ปวด เพราะท่าน

    แยกจิต แยกกายได้ จึงนำมาเล่าสู่กันฟังถึงผลของการปฏิบัติที่ได้พบเห็นกับตัวเองที่ย้อนคิดไปถึงตอนไปกราบท่าน.

    ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่นำธรรมะมาเป็นธรรมทานและขออนุโมทนากับธรรมะที่ท่านนำ

    มาเป็นธรรมทาน ขอน้อมรับทุกๆธรรมะคำสั่งสอนค่ะ. สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2013
  9. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    ขอบคุณค่ะ คุณ supatorn
    ติ๊กก็แวะเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้จากเพื่อน ๆ สมาชิก เวปพลังจิต ที่เมตตานำข้อมูลดี ๆ มาเป็นวิทยาทานให้ศึกษา ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสตร์
    สำหรับกระทู้นี้ติ๊กก็ติดตามคุณภูทยานฌาน2 มาตั้งแต่ กระทู้ เตรียมตัว เตรียมใจไปสู่ยุคภัยพิบัติ แล้วค่ะ

    พักหลังได้รู้จักกับสหายธรรมที่ดีมากท่านหนึ่ง แนะนำให้ศึกษาเรื่อง จิตเกาะพระ ก็เลยได้เข้ามาดูในกระทู้นี้บ่อยขึ้นค่ะ
    อนุโมทนากับเพื่อนสมาชิกที่ได้นำความรู้ภูมิธรรมต่าง ๆ มาเผยแพร่นะค่ะ


    สวัสดีค่ะ คุณภูทยานฌาน2 จำกันได้มัยเอ่ย ตาม link ข้างล่าง คุณกลัวจะมีคนตามมาแค่ 2 คน แต่ตอนนี้กระทู้นี้ ยาวไปเกือบ 600 หน้าแล้วนะค๊ะ....

    http://palungjit.org/threads/การเตรียมตัว-เตรียมใจ-ไปสู่ยุคภัยพิบัติ.330377/page-28#post5956134
     
  10. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    กงจักรแห่งจิต

    การฝึกจิตเกาะพระเป็นอีกวิธีหนึ่งเพื่อทำการหมุนกงจักรธรรมมะในจิต
    ให้เดินไปในทิศทางแห่งความหลุดพ้น กงจักรจะหมุนไปได้ตลอดเวลา
    ก็ขึ้นอยู่กับการปฎิบัติของบุคคลนั้นๆ
    จิตเกาะพระ
    มีแนวทางการปฎิบัติเพื่อให้กงจักรธรรมะในจิตได้หมุนไปอย่างต่อเนื่อง
    ตลอดเวลา เราจะมานั่งหมุนกงจักรไปแค่
    วัตรเช้าสองชั่วโมงกับวัตรเย็นอีกสองชั่วโมง
    อีก20 ชั่วโมง กิเลสเอาไปแด๊รกจนหมดสิ้น
    กลับไปลิ้มรสกับสิ่งที่กิเลสปรนเปรอกันต่อไปนั้น
    มันออกจะเป็นการเสียเวลาการปฎิบัติไป
    กงจักรที่ว่า ก็เหมือนกับพัดลมที่เมื่อไหร่ที่เปิด ใบพัดก็จะหมุน
    หากการปฎิบัติเข้มข้น เมื่อเราโยนสิ่งใดเข้าไปในพัดลมที่กำลังพัดอยู่
    สิ่งนั้นๆก็จะกระเด็นออกมา ถ้าหากไม่แน่ใจว่า
    ความแรงของมันดีมากจริงมั้ย แรงจริงมั้ย ก็ลองเอานิ้วมือเข้าไปแหย่ดู
    หากนิ้วมือเราขาดก็แปลว่า มันเก่ง มันแรง มันคม มันกล้า
    มันสามารถตัดนิ้วเราได้ สิ่งที่พุ่งเข้าไปก็เหมือนกับกิเลส
    เช่น รัก โลภ โกรธ หลง
    พัดลมยิ่งเพิ่มความแรงไปได้ยิ่งตัดหรือดีดสิ่งต่างๆออกไปได้
    พัดลมที่พัดเพียงแค่ยามเช้าสองชั่วโมง แล้วถูกปิดทั้งวัน
    รอเวลาพัดอีกทีตอนเย็นสองชั่วโมง
    ในหว่างวันก็จะถูกฝุ่นเกาะเขรอะ เหมือนเปิดโอกาสให้กับ
    กิเลสวิ่งเข้ามาหาจิต
    ฉะนั้นการเดินมรรค ก็ควรให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดวัน
    เพื่อทำการล้างบางกิเลสที่ถาโถมเข้ามาหาจิตอยู่ตลอดเวลา
    การขับเคลื่อนของกงจักรแห่งธรรม จะหมุนไปไม่ได้หาก
    ขาดกำลังแรงที่หมุน เปรียบไปได้ดัง สติ
    หากต้องการให้กงจักรแห่งธรรมในจิตหมุนไปอย่าง
    ราบรื่นก็จงหมั่นเติมน้ำมันลงไปเพื่อความลื่นไหลไปได้คล่อง
    คือการเจริญสติให้ได้อย่างต่อเนื่อง
    จนมันติด ติดอยู่ในจิตของตนว่า กำลังเจริญสติอยู่นะ
    การเจริญสติ เป็นหนทางนำไปสู่การเป็นมหาสติ
    เป็นกุญแจ สู่ดินแดนนิพพาน
    เมื่อไหร่สติอยู่กับจิตได้อย่างต่อเนื่องเป็นอัตโนมัติแล้ว
    ก็ไม่ต้องกลัวการตกฌาน สติเป็นตัวดึงฌานให้ทรงอยู่
    กุญแจดอกนี้ดอกเดียวที่จะทำให้กงจักรแห่งธรรมให้จิตเราเคลื่อนไหว
    หมุนเวียนไปเรื่อยๆ หมุนอยู่ต่อเนื่อง ตลอดเวลา
    กุญแจดอกนี้หาได้ไม่ยาก ลองตามหาดูให้ดีๆ
    แล้วจะเห็นประตูแห่งปัญญา
    ที่จะนำพาเราสู่ดินแดนแห่งนิพพาน
    โมทนาสาธุ
     
  11. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ธรรมจักร ย่อมที่จะหมุนๆๆไป..

    โมทนาสาธุกับครูดัชด้วยครับ
    มาถูกทางแล้วครับ..
    พระศาสดาทรงตรัสว่า"มหาสติปัฏฐาน4คือทางสายเอกสู่ปัญญาวิมุติ"
    เจริญสติ ==> มหาสติ ==> มหาปัญญา
    แล้วจะรู้ได้อย่างไร? 
    ก็ทำไปเถิด.. เจริญสติให้มากๆ(ตามรู้ตามดูจิต/กายเวทนาจิตธรรม) จนปัญญาอัตโนมัติมันเกิด(หยาบ-กลาง-ละเอียด)
    "ธรรมจักร"นี้มันก็จะค่อยๆหมุนๆๆๆอบรมจิตตนเองไปเรื่อยๆ(ละวางสรรพสิ่งต่างๆลงไปเรื่อยๆทั้งรูปและนาม) 
    จนถึงที่สุดแห่งที่สุด "ภาวนามยปัญญา"เกิด.. จิตจะเป็นผู้บอกเองว่า"ถึงแล้ว..แจ้งแล้ว.."
    สภาวะนั้นเป็นปัจจัตตัง เป็นอจิณไตย ไม่ควรไปคาดเดาให้เสียเวลา (สภาวะดับหมด/วางหมด/ทิ้งหมด..)
    (หลวงตามหาบัวปฎิบัติธรรมอย่างอุกฤษใช้เวลาถึง9ปีในการบรรลุธรรม)

    ปัญญาก็คือความคิด คิดอะไรก็ได้ คิดโลก คิดธรรม
    ความคิดที่มีสติตามรู้ทันอยู่ทุกขณะจิตนั่นคือ"ปัญญาในสมาธิ"

    สาธุครับ

    ปล. 
    สติ, ปัญญา, วิตก(นึก), วิจาร(คิด), เอกัคตา(ฌาน) และอื่นๆอีกรวม52ดวง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเจตสิกทั้งสิ้นต้องเกิดขึ้นพร้อมกับจิต
    จิตเปรียบเสมือนน้ำ เจตสิกต่างๆเปรียบเหมือนสีต่างๆ ที่หยดลงไปในน้ำ
    บุคคลผู้บรรลุธรรมชั้นสูง จะมีคุณสมบัติคือ จะมีเจตสิกสติ+เจตสิกปัญญา ประทับ/เกิดอยู่ในจิตตลอดเวลา นี่คือสภาพจิตที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว(เจริญสติ/มหาสติ) ณ.สภาวะปกติ
     
  12. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สวัสดีครับพี่ภู ...

    สภาวะปัจจุบัน เรือลำนี้ไม่จม ... นี่คือปัจจุบันครับ อิอิ ...
    เราก้อทำงานถวายท่านพ่อต่อไปครับ มิได้ทำเพื่อใคร ใดๆ ทั้งสิ้น ขอรับ อิอิ

    ส่วนวัสดุของเรือลำนี้นั้น ไม่มีอะไรเลยครับ ว่างๆ โล้นๆ เปลือยๆ 5555

    เรือจะมีกี่ลำ ผมไม่สนใจขอรับ ปล่อยมันไป ดูแค่เรือเรา ก้อเมามันแล้วครับพี่ภู อิอิ


    สุขกันเถอะเรา ...
    ช่วงนี้สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ดูแลสุขภาพด้วยนะครับพี่ภู อิอิ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  13. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233

    โมทนากับครูดัชชี่ และครูลูกพลังสุดหล่อของผม ชาวป่าชาวเขาด้วยนะขอรับ อิอิ(จากชาวป่าตัวน้อยๆ แต่ไขมันเยอะๆ 5555)

    สิ่งใดๆ เมื่อยังคงต้องพยายามทำ สิ่งน้น ก้อยังมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามที่เราต้องการหรือพยายาม เพรมะความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน ...

    แต่เมื่อใด ที่เราเข้าถึงสิ่งนั้น โดยธรรมชาติ มิต้องพยายาม ต่อให้จะโยนทิ้ง จะขว้าง จะวาง จะลบ หรือแล้วแต่ศัพท์บัญญัติใดๆก้อแล้วแต่ เมื่อนั้น สิ่งนั้น จะคงอยู่ตลอดไปโดยอัตโนมัติ ...

    หมดพยายาม ก้อจะเป็น ธรรมดา
    หมดฝืน หมดลาก หมดเค้น ก้อจะเป็นธรรมชาติ

    ขอให้ทุกท่านมุ่งมั่นเดินทางสายมรรคต่อไป เพื่อเป็นธรรมดา ธรรมชาตินะครับ


    อย่าหยุดเดินนะ ... ตราบใดที่ยังทรงขันธ์ อย่าประมาทเด็ดขาดนะครับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  14. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ครูดัช ชอบเข้าป่า ....
    ครูลูกพลังอีกคน ก้อชาวป่า ...

    อันเรา ก้อขอเป็นหนอนน้อยมั่ง 5555


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=p5HZhr4HhEU]หนอนผีเสื้อ - YouTube[/ame]
     
  15. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=o4UwQIh3Jxo]เติมใจให้กัน มัม ลาโคนิค - YouTube[/ame]

    ขอวางไม้พายชั่วคราว
    มาสวมเสื้อดีเจ จั๊กกะหน่อย 555
     
  16. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=yEmJwyyeFmM]Belle - เสียงที่เปลี่ยน (Official Music Video) - YouTube[/ame]

    สิ่งใดๆเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน
    สถานที่เปลี่ยน .... เป็นธรรมดาของธรรมชาติ

    เปลี่ยนเถิด เปลี่ยนไป ... ให้เป็นไป

    แต่เรานั้นห้ามเปลี่ยน ... แก่นคือสิ่งใด จงทำไป
    อะไรๆ ไม่มี

    จะมี จะหาย จะตาย ...ก้อ ธรรมดา

    จงเปิดตา แล้วอยู่กับแก่นที่พ่อสอน
    แก่นแห่งมรรค ...

    ทำไปนะ(ยืมหน่อยนะครับพี่สุดหล่อติงลี่แห่งภูเก็ต)

    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  17. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=W_NT7IaK9V0]นาฬิกาเรือนเก่า - palmy [Official MV] - YouTube[/ame]

    ควรยึดไหม ถือไหม ...
    อย่าเป็นนาฬิกา ... จงเป็นปัญญา


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  18. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=scZ31f8PWOM]mv เพลง น้ำตาฟ้า (สามโทน) - YouTube[/ame]

    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านขอรับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  19. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=buy_3PDh7pU]ร่มสีเทาOst.ตะวันฉายในม่านเมฆ - Klear [MV] - YouTube[/ame]

    แว้ปปปปปปปปปป ... ของแถมคร้าบบบบ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=YCzqiKYqh_w"]???????? - WhatChaRaWaLee Plus - YouTube[/ame]
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XIsF7cUE4TM]ไม่พูดก็เข้าใจ - แพรว, โต๋ [Official MV] - YouTube[/ame]

    ฟังไป เกาะพระไปเด้อ 555555
     

แชร์หน้านี้

Loading...