ผมขอรบกวนถามผู้รู้ครับว่า ตกลงภัยพิบัติจะเกิดไหมหรือจะเลื่อนไปอีก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย m997, 2 มกราคม 2013.

  1. m997

    m997 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2006
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +66
    ที่เรียนถามแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะหลบหลู่ท่านใดนะครับเพราะผมได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่เห็นหลายคน หลายท่านวิตกจริตมาก หรือมากจนเกินไป อยากให้พวกเราหลายๆคนหันมามุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อ รักษาศีล ผมว่าข่าวภัยพิบัตินี่ก็ดีนะครับ คนบางคนไม่เคยทำบุญก็หันมาทำบุญเพราะข่าวนี้ คนบางคนไม่เคยสวดมนต์แต่หันมาสวดมนต์ข้ามปีเพราะข่าวนี้ สังเกตุได้ว่าปีนี้คนแห่มาสวดมนต์ข้ามปีกันเยอะมาก ผมแค่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้ลบหลู่ท่านผู้ใด เพียงแค่คิดว่า มีเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่่านั้นที่ทำนายอนาคตได้เป็นจริง100% แม้แต่พระอรหันต์ท่านไม่สามารถทำนายได้ถูกต้อง 100%
     
  2. หนุ่มทิพย์

    หนุ่มทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +152
    เลื่อนไปไม่มีกำหนด จนกว่าจะถึงปีพ.ศ.5000 โน้น (รอต่อไป...)
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ภัยพิบัติธรรมชาติขนาดใหญ่ ระดับหนัง 2012 นั่น มันเป็นภัยมวลรวมสหประชาชาติ ไม่รู้ว่ามันจะเกิด รึไม่เกิด ยังไง เมื่อไร เพราะโลกมันไม่เที่ยง

    เอาแค่ภัยพิบัติส่วนตัวของแต่ละคน คือ ความเจ็บป่วย และความตาย อย่างคุณดังตฤณแกว่า นี่ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือให้ดีแล้ว เพราะมันจะมาเมื่อไรเราไม่รู้ใช่ไหม


    นึกถึงความตาย สบายนัก

    มันหักรัก หักหลง ในสงสาร

    บรรเทามืด โมหันต์ อันธกาล

    ทำให้หาญ หายสะดุ้ง ไม่ยุ่งใจ


    (สุนทรภู่)

    กลอนกินใจของสุนทรภู่บทนี้ คนทั่วไปฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ หรือเข้าใจ แต่ทำใจให้คล้อยตามได้ยาก เพราะส่วนใหญ่เมื่อนึกถึงความตาย ก็มักไม่สบายใจกันอย่างยิ่ง เพราะดูเหมือน ความตายจะเป็นวาระที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ใครสบายใจสบายคอได้ลง ก็คงแปลก

    คำว่า ‘สงสาร’ ในกลอนของสุนทรภู่ ไม่ใช่น่าสงสารหรือน่าเห็นอกเห็นใจ แต่หมายถึง ‘วัฏสงสาร’ ซึ่งทางพุทธเราหมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เกิดอย่างไม่รู้ว่ามาจากไหน ตายอย่างไม่รู้ว่าจะต้องไปไหนต่อ

    รู้แต่ว่า ตอนอยู่นั้น อยากทำอะไรก็ทำ มันจะมีผลข้ามภพข้ามชาติหรือเปล่า ไม่สน ไม่เชื่อ

    ให้พูดตรงไปตรงมา นาทีนี้รู้สึกว่า โลกแตกเป็นเรื่องไกลตัว ส่วนกายแตก ใจแตกนี้ ใกล้ตัวกว่า เป็นไปได้จริงมากกว่า

    เพราะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายหน คือ อยู่ดีๆ ร่างกายก็จะทำตัวเป็นเครื่องประหารตนเองบ้าง หรือเหตุการณ์บนท้องถนน กลายเป็นวินาทีระทึกบ้าง

    ผมมองว่าช่วงนี้เกิด ‘ความหวาดกลัวที่สูญเปล่า’ เป็นวงกว้าง

    คือกลัวแบบไม่ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติม ไม่มีการระวังตัว ไม่มีการเตรียมใจ มีแต่หวาดกลัว มีแต่จิตหม่นมืด หาความสบายใจไม่พบ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะคนเราขี้เกียจหาข้อมูลข้อเท็จจริง แล้วก็ไม่อยากนึกถึงความตายกัน

    ชาวไทยเป็นพุทธ แต่เป็นพุทธในแบบที่ไม่รู้ว่า พุทธชวนรู้เรื่องอะไร พุทธเรานี่ชวนคุยกันเรื่องเตรียมตัวตายกันถี่ที่สุด สมัยพุทธกาลท่านเตรียมตายกันแทบทุกลมหายใจเข้าออก หรือเดี๋ยวนี้ ไปดูพระแถวธิเบต ท่านอบรมกันก็ได้

    พุทธในท้องถิ่น ที่ไม่อบรมกันเรื่องเตรียมตัวตาย ได้ชื่อว่าห่างพระธรรมเดิม พากันเห็นการพูดคุยเกี่ยวกับความตาย กลายเป็นเรื่องอัปมงคลกัน พอถึงเวลาขึ้นมาถึงค่อยรู้ตัวว่า ไม่เตรียมตัวนั่นแหละ เรื่องอัปมงคลเป็นที่สุด

    อยากฝากไว้ว่า นี่เป็นโอกาสอันดี ที่พวกเราชาวพุทธ จะถึงเวลาสำรวจใจตัวเองกันดู ถ้า ‘สมมุติ’ ว่าอะไรๆ จะเกิดขึ้นจริง เรามีความเตรียมพร้อมทางนามธรรม กันมากน้อยเพียงใด

    ผมเคยเขียนหนังสือประกอบเสียงอ่านไว้ อ่านและฟังฟรี คือ ๗ วิธีตายอย่างสบายใจ

    Downloads | ๗ วิธีตายอย่างสบายใจ | หนังสือ

    ข้อความต่างๆ ตั้งแต่บรรทัดแรกถึงบรรทัดสุดท้าย น่าจะเหนี่ยวนำให้เข้ามาดูใจ สำรวจความพร้อมกันได้ครับ โลกข้างนอกแตก ไม่รู้จะเตรียมอะไรได้ มันสายเกินไปแน่ๆ แต่โลกข้างในแตกนี่ เตรียมแบบพุทธได้สารพัด

    มาเตรียมตัวเตรียมใจ เรื่องโลกข้างในที่ไม่แน่นอน กันดีกว่า แล้วจะรู้ว่า มีวิธีตายอย่างสบายใจอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่เรื่องทำนายทึกทักกันไปเองเลย

    ดังตฤณ

    ดังตฤณมัลติมีเดีย
     
  4. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    อีกอย่าง อยากจะบอกว่า แต่ละคน ที่มาเกิดในภพภูมินี้ ได้อัตภาพความเป็นคนมาด้วยความยากลำบาก คือต้องมีฐานบุญเก่าจากการสั่งสมคุณงามความดี บากบั่นกันมานานหลายชาติ

    ถึงเกิดมาแล้ว จะมีอะไรๆ ไม่เท่ากัน เช่น รูปร่างหน้าตา สติปัญญา ชาติตระกูล ครอบครัว คนอุ้มชู สิ่งแวดล้อม การศึกษา หน้าที่การงาน ญาติมิตร อะไรทำนองนี้ ก็ยังถือว่าล้ำเลิศประเสริฐกว่าไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ

    เพราะการเกิดเป็นคน สามารถสร้างบุญสร้างกุศลได้ เรียกว่าสามารถอัพเลเวลคะแนนบุญให้ตัวเอง เพื่อส่งไปภพภูมิที่ดีขึ้นได้ อาจจะถึงขั้นปิดอบาย ถ้าได้ระดับตั้งแต่โสดาบัน

    ทำให้ไม่ต้องเวียนว่ายมาเกิดอีกบนความเสี่ยง ว่าอาจจะไม่ได้เป็นคนในชาติถัดไป รึถ้าเพลี่ยงพล้ำทำบาปมาก ก็อาจลงนรก

    นี่แหละ รีบอัพเลเวลเข้า วันเวลาไม่รอท่า นาฬิกาชีวิตแต่ละคนมันมีเวลาไม่เท่ากัน มันเคาน์ดาวน์มาเรื่อยๆ แล้ว เคยเห็นใช่ไหม เด็กตายก่อนคนแก่ รึคนที่แข็งแรงเป็นนักกีฬา อยู่ดีๆ หัวใจหยุดเต้นไปซะงั้น

    แล้วการมามัวใช้เวลาแต่ละนาที ด้วยอาการปัสาสาวะเหนียว เต้าเจี้ยวเหลือง อยู่กับการหวาดกลัวภัยพิบัตินี่ มันเสียเวลาชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นคนไหม....?
     
  5. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    ผมต้องถามย้อนท่านเจ้าของกระทู้ก่อน ที่ผ่าน ๆ มา มันมีไหมครับกับการที่ทำนายออกมา​
    แล้วไม่เลื่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  6. phoom5502

    phoom5502 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +412
    โลกภายนอกจะแตกดับไม่สำคัญ
    แต่ใจฉันมีสุขไม่ทุกข์หนอ
    ภายในจิต รู้ตื่น สดชื่นพอ
    ในใจขอ ให้เห็นธรรม แม้วันวาน
    จะมามัว แตกตื่น ให้ขื่นขม
    มัวระทม ในจิต คิดสงสาร
    มัวห่วงหวง ทรัพย์ศฤงคาร
    มัวเกียจคร้านปฏิบัติธรรมอยู่ทำไม
    เชิญหมู่พวก มาร่วมบันทึกจิต
    สร้างชีวิตให้มีธรรมล้ำสมัย
    สร้างดวงจิต ผลิตธรรม ผ่องฤทัย
    และสดใส แม้คราวตายหรือวายปราณ
    เชิญทุกท่าน มาลิขิต ชีวิตน้อย
    ทีรอคอย การเกิดดับกับสงสาร
    ที่เวียนว่ายในวัฏฏะชั่วกาลนาน
    เชิญสิ้นชาติด้วยนิพพานอันเร็วพลัน
    สดชื่น สดใสในวันปีใหม่คร้าบ
     
  7. เดินหน

    เดินหน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +91
    ขอให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทนะครับ
    คอยรับฟังข่าว ที่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือทางสถิติ
    จากนั้นก็ดูแนวโน้มเอาว่าจะเกิดไหม โดยใช้วิจารณญานของเราเอง

    ภัยพิบัติ ไม่น่ากลัวเท่าธรรมวิบัติครับ
    ธรรมวิบัติเมื่อไหร่ เดือดร้อนทั่วทุกหัวระแหงด้วยการเบียดเบียนกัน

    จากความเชื่อส่วนตัว คิดว่าขณะนี้ กำลังที่จะส่งและสืบทอดพระศาสนา
    ให้คงทนไปอีก 2500 ปี คงไม่มีกำลังนอกจากเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างเพื่อพลิกผัน
    เพราะศีลธรรมเสื่อมลงมาก ครับ
     
  8. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    ถ้าจะว่ากันไปผมว่าไม่ใช่ครับ ศีลอยู่เฉย ๆ แต่คนนี่แหละเสื่อมลง อุปมาดังว่าถ้าบริษัทใดตั้งกฏระเบียบมาให้พนักงานปฏิบัติแต่.....พนักงานดันแหกคอกฝ่าฝืนกฏจะไปอ้างว่ากฏระเบียบหย่อนยานมิได้ครับ
     
  9. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ไม่เห็นมันจะมีอะไรเกิดเลย...??? เห็นมีคำทำนายคนมีชื่อเสียงหลายท่านก็ไม่เกิด...ใช่ไม่เกิดนะดี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  10. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    อันนี้ ตรง :cool::cool::cool:
     
  11. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    ภัยพิบัติ เป็นภัยธรรมชาติอ่ะใช่... เพราะน้ำมือมนุษย์ไปทำ เช่น ขุดน้ำมันใช้ หรือเผา ทำให้บรรยากาศโลกเราแย่ลง... ก็จะเริ่มมีทั้ง แผ่นดินไหวใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ... ถี่ๆ กว่าสมัยก่อน มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย...

    เราก็ไม่เห็นเหมือนที่นักทำนายคนอื่นเค้าบอกเหมือนกัน ทั้ง โลกขาดสมดุล หรือ น้ำท่วมโลกในวันเดียว... แต่ที่ปูเห็นก็คือ ภัยพิบัติ จากธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวในประเทศต่างๆ ที่จะมีแรงๆ อีกแน่นอนในปีนี้... และมีน้ำท่วม ภัยแล้ง โรคระบาด ... ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย... ที่กลัวๆ จะเป็นฝันที่เคยบอกว่า เห็น อินโดนีเซียเกิดสึนามิ ในเวลากลางคืน และ โบสถ์พังในแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ มากกว่าจ้า...

    ส่วนที่นักทำนาย มาทำให้เกิดความกลัว ก็ เพราะเราไปวิตกเกินไป... แต่ก็เสียใจ ที่เค้า หากินด้วย ความกลัวของมนุษย์จริงๆ
     
  12. Reflect

    Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    ได้ข่าวมาล่าสุดว่า เจ้าของมหากาพย์พีระมิดออกมาบอกแล้วว่าพรุ่งนี้จะไม่เกิดอะไรขึ้น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหยื่อรายไหนถูกหลอกไปก็สามารถคืนเงินได้นะ

    https://www.facebook.com/SmunphirPhlangPhiramidPhraXacaryRatnRatnYano

    ไม่รู้โพสนี้จะโดนลบไหม เจ้าที่ยิ่งแรงๆอยู่ด้วย
     
  13. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    ว่าจะไม่แล้วเชียว......กลัวโดนอุ้มเหมือนกัน แค่สงสัยว่าทำไมเจ้าสำนักพีระมิดนั่นน่ะ ไม่ได้ทำนายเหตุการที่จะวุ่นวายนี้ล่วงหน้าเลยเหรอ มัวแต่ไม่มองกำไร กำไร จากแถบ ห่วง ตุ้งติ้ง อะไรก็ไม่รุ้ ความวุ่นวายไม่ว่าบ้านเอย พีระมิด ตัวสฟิงค์ ฮิ้วววววววววววว นี่แหละครับภัยพิบัติของแท้
    พอจ.ท่านพูดนะคะว่าถ้าครั้งนี้หากเหตุการณ์ไม่เกิดขึ้น ท่านก็จะไม่ลงมาจากดอยอีกเลยค่ะ.. แต่ท่านก็กำชับว่าให้เตรียมตัวให้ดีๆ วันที่ 3-4 มกราคมนี้ค่ะ ^^"
    โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730

    คงไม่ถูกลบหรอกค่ะ(ได้แต่คาดคะเน)
    แต่ถ้าจะลบ ก็ต้องลบโพสต์ของเราด้วย(มาด้วยกัน ไปด้วยกัน แม้ไม่ใช่เลือดสุพรรณก็ตาม^_^)

    เพราะเราเอง เวลาโพสต์แสดงเหตุผลว่าจะไม่เกิดภัยพิบัติที่ว่านี้
    (3 มกราคม – 14 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นเวลารวม 42 วัน อาจจะไม่มีการเดินทางด้วยยานพาหนะทุกชนิด และ อาจไม่มีการทำงาน และ ไม่มีการประกอบอาชีพใดๆบนโลกใบนี้ก็อาจเป็นได้ หากทุกคนไม่สามารถยืนทรงตัว และ ไม่สามารถเดินได้ด้วยสองขาของตนในช่วงเวลาดังกล่าว)
    โพสต์เราก็อันตรธานหายวับไปกับตา เชื่อเลยว่าปาฏิหาริย์มีจริงค่ะ :cool:
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730

    จะติดตามชมด้วยความระทึกฤทัยค่ะ^-^
    (อีกไม่นาน กระทู้นี้อาจถูกปิดตาย แล้วก็ค่อยๆเลือนหายไปกับสายลมและแสงแดด....เหมือนหลายๆกระทู้ ...)
     
  16. dome47

    dome47 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +33
    เขาบอก...ถ้าใจคนเราตกต่ำ...ทำร้ายธรรมชาติจนถึงขีดสุดเมื่อไหร่...เมื่อนั้นแหละครับ :mad:
     
  17. minini

    minini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +186
    เราไม่เห็นจะถือสาเลย แต่เราแค่จัดกระเป๋าเตรียมพร้อมไว้ เพื่อควา่มสบายใจ ไม่เิกิดก็ดีไป

    ของกินก็กินได้ ของใช้ก็เก็บไว้ได้ ไม่เห็นเสียหาย
     
  18. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    แหม....พอดีท่านอาจจะถามผิดกระทู้ ผิดห้อง นะครับ....อิอิอิอิ

    เพราะว่าแถวนี้ไม่มีผู้รู้จริงสักราย ครับ
    ส่วนใหญ่ก็แค่คาดเดาตามความเห็นและวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้มา

    ส่วนรายที่แน่นอนฟันธง ถึงวันนี้ธงหักด้ามธงฟาดหน้าบาดเจ็บสาหัสไปหลายท่านแล้ว....คร๊าบ...บบบบบบบ 5555555555
     
  19. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บรรดา หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ท่านไม่ เคยสอนให้
    ยึดในนิมิต ไม่ว่า พระธรรมยุติ หรือ มหานิกาย


    "แนะวิธีละนิมิต"


    ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่
    หลวงปู่บอกว่ายังเป็นของภายนอกทั้งหมด
    จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิต
    นั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็น
    ด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร
    จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบ
    ก็เข้าถึงภาวะนั้นทันทีหลวงปู่โปรดได้แนะวิธี
    ละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผลฯ

    หลวงปู่พูดว่า

    "เออ นิมิตบางอย่างนั้นมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลิน
    อยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า
    วิธีละง่ายๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น
    ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง"

    เหตุวุ่นวาย ทั้งปวงนั้นเกิดจากการหลง นั่นเอง
    ถ้ายึดปฎิบัติตามครูบาอาจารย์ ก็ไม่หลงทาง ถ้ายึดตัวเอง ความวุ่นวายจะไม่มีวันจบ




    http://palungjit.org/threads/แนะวิธีละนิมิต-โดยหลวงปู่ดูลย์-อตุโล.386979/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2013
  20. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญาด้วย ท่านสาธุชนทั้งหลาย

    http://www.songpak16.com/aticle/sattha.html

    หลักศรัทธาในพระพุทธศาสนา

    โดย พระสถาพร ฐานวโร (อายุศะนิล)
    ครูสอนพระปริยัติธรรมวัดท่าไทร

    พระพุทธศาสนาสอนว่า การที่จะเชื่ออะไรลงไป ไม่ควรเชื่ออย่างงมงาย (อธิโมกขสัทธา=น้อมใจเชื่อ)

    ควรเชื่ออย่างมีเหตุผล (สัทธาญาณสัมปยุต=เชื่อประกอบด้วยปัญญาหยั่งรู้) ในที่ใดสอนเรื่องศรัทธา ในที่นั้น ก็สอนให้มีปัญญากำกับอยู่ด้วยเสมอ

    ผู้นับถือพระพุทธศาสนา จึงชื่อว่า มีเสรีภาพในการใช้ความเชื่ออย่างเต็มที่ เพราะศาสนานี้ไม่นิยมการบังคับ การล่อลวงให้เชื่อในสิ่งใด ๆ

    พระสารีบุตรเถระ ผู้เป็นอัครสาวกก็เคยตอบว่า ท่านไม่ได้เชื่อเพราะพระพุทธเจ้าบอกให้เชื่อ แต่เชื่อเพราะพิจารณาเห็นด้วยใจของตนเอง

    คนที่ได้บรรลุมรรคผลทางพระพุทธศาสนา มีคำแสดงคุณลักษณะอยู่อย่างหนึ่งว่า "อปรัปปัจจัย" คือ ไม่ต้องมีคนอื่นเป็นปัจจัยหรือเป็นเครื่องสนับสนุนจูงใจให้เชื่อ เขาเชื่อตัวของเขาเอง เหมือนการกินมะม่วงรู้รส ผู้กินย่อมรู้เองไม่ต้องเชื่อตามที่คนอื่นอธิบาย

    วิชาวิทยาศาสตร์ (Seience) พยายามค้นหาความจริงด้วยการทดลองและสังเกต และถ้าสิ่งใดสูงหรือประณีต (ละเอียด) เกินกว่าที่จะทดลอง หรือสังเกตได้ วิทยาศาสตร์ก็เข้าไม่ถึง เมื่อวิทยาศาสตร์ จนก็ต้องเอาวิชาปรัชญา (Philosophy) มาช่วย

    วิชาปรัชญา พยายามอธิบายข้อเท็จจริง ตามหลักวิธีหาเหตุผล หรือที่เรียกว่าตรรกวิทยา (Logic) แต่ถ้าสิ่งนั้น ลึกซึ้งเกินกว่าจะแสดงข้อเท็จจริงให้เห็นได้ก็ต้องใช้ การเก็งความจริง (Speculation)

    การเก็งความจริงนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับ "การเก็งกำไร" ของพ่อค้าด้วยวิธีกักตุนของแล้ว อาจเก็งถูกบ้างผิดบ้าง เพราะฉะนั้น การเก็งความจริงก็คือ "การเดา" "การคาดคะเน" "การตรึกตามอาการ" ทางพระพุทธศาสนาห้ามไม่ให้เชื่อนั้นเอง

    พระพุทธศาสนาถือว่า การที่ต้องเดา คาดคะเน หรือตรึกตามอาการนั้น ก็เพราะยังไม่พบความจริง เพราะฉะนั้น จึงวางหลักปฏิบัติเพื่อให้บรรลุความจริงไว้ตั้งแต่ต่ำจนถึงสูงที่สุด และถือเอาการรู้ประจักษ์ความแท้จริงขั้นสุดท้ายด้วยตนเอง เป็นข้อมุ่งหมาย

    เพราะฉะนั้น วิธีการของพระพุทธศาสนา จึงลงกับวิธีของวิทยาศาสตร์ เป็นแต่ว่าวิทยาศาสตร์ยังเจริญอยู่ เพราะยังติดค้นความจริงได้ไม่หมด จึงยังไม่ถึงที่สุด

    ส่วนพระพุทธศาสนา ค้นคว้าหาความจริงได้ถึงที่สุดแล้ว เป็นความจริงที่ทำให้พ้นไปจากทุข์ได้ จึงนิยมให้ปฏิบัติไปตามทางที่จะให้พบของจริงนั้น เพื่อผู้ปฏิบัติจะได้รู้แจ้งประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเดา หรือ "เก็งความจริง"

    การหาความจริงของวิทยาสาตร์ ส่วนมากหนักไปทางสิ่งภายนอก หรือทางวัตถุ ส่วนทางพระพุทธศาสนาหนักไปทางในจิตใจ เพราะมุ่งให้พ้นจากทุกข์ถึงที่สุดทุกข์เป็นเกณฑ์

    และเมื่อสรุปแล้ว หลักความเชื่อถือตามที่พระพุทศาสนาสั่งสอน ก็คือความเชื่ออย่างมีเหตุผล หรือภายหลังที่ได้ค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติตนประจักษ์แล้ว ไม่ให้เชื่ออย่างงมงาย หรือขู่ให้เชื่อ ถ้าไม่เชื่อจะตกนรก ดังนี้เป็นต้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...