ประวัติความเป็นมาของพระอมิตาภะพุทธเจ้า(阿彌陀佛)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธัชกร, 3 สิงหาคม 2009.

  1. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    คาถาประจำพระอมิตาภะพุทธเจ้า ​
    (อุปัติสุขาวดีธารณี)

    นโม อมิตาภายะ ตถาคตายะ ตัทยาถา อมฤโตทภะเว
    อมฤตะ​
    -สิทธัมภะเว อมฤตะ-วิกรานเต อมฤตะ-วิกรานตะ คามิเน
    คคน กิรตะ
    -กเร สวาหา

    คาถาประจำพระอมิตาภะพุทธเจ้า ​
    (ทศอมฤตธารณี)

    นโม รัตนะ ตรายายะ นมะ อารยะ มิตาภายะ ตถาคตายะ อรหัตเต
    สัมยัก สัมพุธายะ ตัทยะถา โอม อมฤเต อมฤโตทภเว
    อมฤตะ​
    -สัมภเว อมฤตะ-ครเภ อมฤตะ-สิทเธ อมฤตะ-เตเช
    อมฤตะ
    -วิกรานเต อมฤตะ-วิกรานตะ-คามิเน อมฤตะ-คคน-

    กิระติกะเร อมฤตะ​
    -ทุมัม ทุภิ-สวเร สรวารถะ-สาธเน
    สรวะ
    -กรัมะ เกเลศะ กัษยัม-กเร สวาหา

    คาถาประจำพระอมิตาภะพุทธเจ้า​
    (ย่อ)

    โอม อมริตะ เต เช หะระ ฮุม​
    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้มีพระนามในภาษาจีนอยู่หลากหลายตามคุณสมบัติประจำพระองค์
    อาทิ ​
    ออนีท้อ คือพระอมิตา, บ่อเหลี่ยงซิว(無量壽) คือพระอมิตายุ(Amitayus) แปลว่าผู้มีอายุ
    กาลไม่มีประมาณ หาประมาณไม่ได้
    , บ่อเหลี่ยงกวง (無量光) คือพระอมิตาภา(Amitabha)

    แปลว่าผู้มีแสงประภาสส่องสว่างไม่มีประมาณ ไม่ติดขัดในโลกธาตุในทิศทั้งสิบ และตามพระสูตรแล้วจะมี​
    (​
    ไม่ต่ำกว่า) ๑๓ พระนามมี อกิญจนประภาพุทธะ(無礙光佛) อนันตประภาพุทธะ (無邊光
    ) วิสุทธิประภาพุทธะ(淨光佛) เกษมประภาพุทธะ(樂光佛) ปรัชญาญาณประภาพุทธะ(
    慧光佛
    ) อจินไตยประภาพุทธะ(不思議光佛) ฯลฯ ถ้าทางประเทศจีนนิยมให้พระอมิตาภะ

    มีพระวรกายสีทอง แต่ทางธิเบตว่าเป็นสีแดง ดั่งพระอาทิตย์ยามอัสดง ตามทิศของแดนสุขาวดี และถวาย

    พระนามว่า ​
    อมฤตราช(甘露王) โดยให้เหตุผลว่าพระอมิตาภะทรงนิรมาณกายเพื่อเทศนา
    ธรรม ประดุจฝนอมฤตโปรยปรายสู่โลก
    ปฏิมากรของพระองค์จะทรงมีลักษณะอย่างมหาบุรุษ ทรงเครื่องเหมือนกับพระพุทธรูป
    ทั่วไป แต่จะมีข้อสังเกตคือ ในพระหัตถ์ซ้ายจะทรงถือแท่นปัทมอาสน์ หรือดอกบัว
    (บางแห่งจะปั้นหรือวาด
    ให้ทรงถืออยู่ทางด้านขวา
    ) ทรงแบพระหัตถ์ขวาแนบไว้กับพระวรกาย(มีทั้งปางประทับยืนและประทับนั่ง)

    มีความหมายว่าพระองค์จะทรงรับสรรพสัตว์หรือดวงวิญญาณของผู้ที่ศรัทธาแล้วภาวนาในพระนามของ
    พระองค์ ไปกำเนิดยังดอกบัวในสุขาวดีโลกธาตุนั่นเอง บางครั้งจะทรงขัดสมาธิเพชร และประสานหัตถ์ใน
    ท่าสมาธิก็มี
    แต่พระวรกายของพระองค์ใน​
    คัมภีร์อมิตายุรธยานสูตร พรรณนาไว้ว่า พระวรกาย
    ของพระอมิตายุพุทธเจ้านั้น
    (มีวรรณะ)ประดุจทองชมพูนุชจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิบนยามาเทวโลก พระ
    วรกายนั้นสูงเป็นจำนวนโยชน์ เท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาจำนวน ๖๐๐
    ,๐๐๐ โกฏินยุตสายพระอุณา
    โลมมีสีดั่งหิมะหรือเงินบริสุทธิ์และเวียนไปทางขวาประดุจเขาสุเมรุทั้งห้า พระพุทธเนตรประดุจห้วงสาคร
    ของมหาสมุทรทั้งสี่ที่เลื่อมพราวผุดผาด บรรดาพระโลมาชาติทั่วพระสรรพางค์กายนั้นก็เปล่งรัศมียิ่งใหญ่
    ประดุจเขาพระสุเมรุ อันพระพุทธรัศมีที่กลมสมบูรณ์นั้น
    (แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่ว)ประดุจตรีสหัส
    มหาสหัสโลกธาตุจำนวนร้อยโกฏิ และรัศมีอันกลมนั้นก็บังเกิดมีพระพุทธเจ้าจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน
    แม่น้ำคงคาจำนวนร้อยโกฏินยุตะสายพระองค์ และพระพุทธนิรมาณหนึ่งๆนั้นก็ยังมีบรรดาพระโพธิสัตว์
    จำนวนอสงไขย ฯลฯ
    และ

    “​
    พระอมิตายุพุทธเจ้าทรงมีมงคลลักษณะ ๘๔,๐๐๐ ประการ ในลักษณะหนึ่งๆก็มีรัศมี
    อีก ๘๔
    ,๐๐๐ ประการ ในรัศมีประการหนึ่งๆยังแผ่ฉายไปยังสรรพสัตว์ที่ระลึกถึงพระองค์ในทศทิศโลกธาตุ
    เพื่อสงเคราะห์มิได้เพิกเฉย อันพุทธรัศมีอันประเสริฐและพระพุทธนิรมาณนั้น มิอาจจักพรรณนาให้สมบูรณ์
    ได้เลย

    ซึ่งพระพุทธลักษณะวิเศษที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ เป็น ๑ ใน ๑๖ วิธี ที่นิกายสุขาวดีนำไปเพ่ง​
    ในจิตเพื่อน้อมนำพระพุทธคุณของพระอมิตาภะ ที่จะกล่าวถึงต่อไป
    พระอมิตาภะทรงมีมหาโพธิสัตว์ผู้เป็นอัครสาวกอยู่ ๒ พระองค์ องค์ที่ประทับทางเบื้อง
    ซ้ายของพระอมิตาภะคือ ​
    พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (觀世音菩薩) และทางเบื้องขวาคือ พระ
    มหาสถามปราปตโพธิสัตว์
    (大勢至菩薩) ซึ่งในคัมภีร์กรุณาปุณฑริกสูตร กล่าวว่าพระโพธิสัตว์
    ทั้งสองพระองค์นี้ เคยทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตและองค์รองจากทั้งหมดจำนวน ๑
    ,๐๐๐ ของพระอมิ
    ตาภะพุทธเจ้าในครั้งทรงเสวยพระชาติเป็นมหาจักรพรรดิราชาพระนามว่า
    อวิวาทสติเมื่อครั้งอดีตที่
    แสนยาวนาน และทั้งสามพระองค์นี้ก็ทรงได้ถวายมหาสักการะต่อ
    พระรัตนครรภ์พุทธเจ้า”(寶
    藏佛)
    และเหล่าอรหันตสาวกตลอดเวลา ๓ เดือน ได้ประกาศมหาปณิธานว่าจะโปรดสรรพสัตว์ให้หลุด
    พ้นพร้อมกันในสมัยนั้น และอวิวาทสติมหาราชก็ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าในอนาคตกาลเบื้องหน้าจะได้สำเร็จ
    พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญานในโลกธาตุชื่อ
    สุขาวดี(極樂世界) และจะมีพระพุทธนามว่า

    “​
    อมิตาภะจึงส่งผลให้ทั้งสามพระองค์สถิตอยู่ในดินแดนพุทธเกษตรแห่งเดียวกัน ซึ่งชาวโลกแห่งนี้
    น้อมถวายพระสมญานามแด่พระองค์ว่า
    พระมหาอริยเจ้าทั้ง ๓ แห่งปัจฉิมทิศ” (西方三聖)

    และในวัชรธาตุมณฑลพระอมิตาภะทรงมีพระมหาโพธิสัตว์สาวกอยู่ ๔ พระองค์คือ ​
    .วัชรธรรมโพธิสัตว์

    (​
    อวโลกิเตศวร) .วัชรตีกษณะโพธิสัตว์ ๓.วัชรเหตุโพธิสัตว์ ๔.วัชรวาจโพธิสัตว์ และทรงประทับบนม
    ยุรอาสน์
    ทั้งพระองค์ยังทรงมีพระมหาโพธิสัตว์ที่สถิตในสุขาวดีโลกธาตุอีก ๘ พระองค์ ซึ่งเรียกว่า
    มหาโพธิสัตว์ทั้ง ๘ แห่งสุขาวดี คือ
    .อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ๒.มัญชุศรีโพธิสัตว์ ๓.สมันตภัทรโพธิสัตว์
    .เมตไตรยโพธิสัตว์ ๕.วัชรปาณิโพธิสัตว์(มหาสถามปราปต) .อากาศครรภ์โพธิสัตว์ ๗.สรวนี วรณ
    วิษกัมภินโพธิสัตว์ ๘
    . กษิติครรภ์โพธิสัตว์

    ใน​
    คัมภีร์กรุณาปุณฑริกสูตร ยังกล่าวอีกว่า ในสมัยอดีตกาลแสนยาวนานมี
    พระพุทธเจ้าพระนามว่า
    มหาวิชยอภิญญาญาณก่อนหน้าที่จะทรงสำเร็จพระพุทธญาณนั้นทรงเป็น
    กษัตริย์เมืองหนึ่ง มีพระราชโอรส ๑๖ องค์ ต่อมาภายหลังเมื่อตรัสรู้แล้ว จึงประทานพระธรรมเทศนาแก่
    โอรสเหล่านั้น เมื่อเหล่าโอรสได้สดับแล้วจึงได้ออกบวชเป็นสามเณร และมีมโนสิการระลึกว่า
    พวกหม่อม
    ฉันมีปณิธานที่ตั้งมั่นอยู่เช่นใดนั้น พระตถาคตทรงทราบดี ด้วยจิตได้เฝ้าระลึก
    (ถึงพระโพธิญาณ)อยู่ทุก
    วาระเช่นนี้ พระตถาคตเจ้าจักทรงเป็นสักขีได้ ภายหลังเมื่อพระโอรสเหล่านั้นได้สดับพระธรรมบรรยายชื่อ

    สัทธรรมปุณฑริกสูตรเพียงครั้งเดียว แล้วได้กล่าวแสดงเผยแผ่แก่มหาชน ภายหลังจึงได้สำเร็จซึ่งพระ
    อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และโปรดสรรพสัตว์ไปทั่วในทศทิศ และหนึ่งในพระราชโอรสนั้นก็คือพระอมิ
    ตาภะพุทธเจ้าในครั้งนี้นั่นเอง​

    หากจะกล่าวว่า พระอมิตาภะทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่มีพุทธศาสนิกชนเคารพนับถือมาก
    ที่สุดในโลกพอๆกับพระศากยมุนีก็เห็นจะไม่ผิด เนื่องจากอิทธิพลของพระสูตรมหายานที่พระอมิตาภะทรง
    มีอยู่เฉพาะของพระองค์เองหลายปกรณ์ และมีการกล่าวถึงมาก ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ใดๆ
    แม้ว่าพระสูตรบางปกรณ์จะเป็นของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์อื่นๆ ก็ตามที แต่ภายในนั้นก็ยังมีการ
    กล่าวถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าทุกครั้ง
    พระสูตรของพระอมิตาภะที่เป็นของพระองค์เองโดยเฉพาะนั้นมี​

    ๑​
    . จุลสุขาวดีวยูหสูตร หรือ อมิตายุสูตร (阿彌陀經) ฉบับแปลจากภาษาสันสกฤตสู่
    ภาษาจีน ยึดถือเอาฉบับของพระกุมารชีพมหาเถระ
    (..๙๔๓) พระภิกษุอินเดียสมัยห้าราชวงศ์ของจีนเป็น
    หลัก ซึ่งถือว่ามีความไพเราะสละสลวยที่สุด และพระภิกษุจีนทั่วโลกก็ใช้สาธยายในบทวัตรเย็น งาน
    อวมงคล
    (งานศพ) และงานต่างๆที่มีจุดประสงค์เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ ด้วยมีเนื้อความไม่ยาว
    จนเกินไปนัก
    . มหาสุขาวดีวยูหสูตร (無量壽經 ) แปลสู่ภาษาจีนโดยพระสังฆวรมันมหาเถระ(..

    ๗๙๕​
    ) และพระคังเจ็งไค้มหาเถระ กล่าวว่ามีข้อความที่ละเอียดพิศดารมาก แสดงถึงพระประวัติดั้งเดิมของ
    พระอมิตาภะพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นภิกษุธรรมากร
    (法藏比丘)ที่ได้ตั้งปณิธานต่อพระพักตร์แห่งพระ
    โลเกศวรราชาพุทธเจ้า
    (世自在王佛 : หนึ่งในกลุ่มพระพุทธเจ้า ๕๓ พระองค์) ไว้ ๔๘ ประการ
    . อมิตายุรธยานสูตร(觀無量壽經) แปลสู่ภาษาจีนโดยพระกาลยสมหาเถระ(..๙๖๗)

    ๔​
    . อมิตายุสูตรอุปเทศ ของพระวสุพันธุ์มหาเถระ และพระโพธิรุจิมหาเถระเป็นผู้แปล
    ทั้ง ๔ พระสูตรนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงถึงโลกธาตุอันบริสุทธิ์และน่าอภิรมย์ที่มี
    นามว่า
    สุขาวดีซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเราแห่งนี้ห่างออกไปไกลแสนไกล คือต้องผ่านโลกธาตุ
    อื่นๆ ไปอีกจำนวนหนึ่งแสน
    โกฏิมีพระอมิตาภะประทับอยู่เป็นองค์ประธาน ทรงตรัสรู้มาแล้วถึงปัจจุบัน

    เป็นเวลาสิบกัลป์ แม้นปัจจุบันก็ยังทรงแสดงธรรมบรรยายแก่หมู่พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์และพระสาวก
    [SIZE=5][LEFT]อีกคณานับจำนวนมิได้ ซึ่งแสดงว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ตามนัยยะแห่งนามว่า อมิตายุ แล้วใน
    โลกแห่งนั้นล้วนมีแต่พระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้าและสัตบุรุษมากมาย เป็นที่ชุมนุมแห่งสัตบุรุษคนดี
    ปราศจากความชั่ว สิ่งบีบคั้นและอบายภูมิทั้งปวง สิ่งก่อสร้างในโลกแห่งนั้นล้วนแต่เป็นเงินทองและแก้วรัต
    นมณีมีค่าทั้งสิ้น ฯลฯ แต่ถึงกระนั้นพระอริยเจ้าทั้งปวงในที่นั้น ก็มิได้ยินดีหรือยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้นว่ามีค่า
    แต่กลับพิจารณาว่าเป็นเพียงแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ที่เราเรียกสมมุติว่าสิ่งที่เป็นโลหะสีเหลืองอร่าม กำหนดชื่อให้
    ว่า [/LEFT][/SIZE][LEFT][/left]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ทอง[/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]หินชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแร่หิน ชาวโลกตั้งชื่อให้มันว่า [/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพชร[/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]และพร้อมกับตีค่าให้มันเสร็จ ว่านั่น
    คือมีค่า นี้คือด้อยค่า โดยกำหนดวัดด้วยกิเลสของตนเอง ซึ่งเงินทองของมีค่าในโลกแห่งนั้น สำหรับพระ
    อริยเจ้าแล้วก็คงมีค่าเท่ากับอิฐ หิน กรวด ทรายของโลกที่เราอยู่นี้
    ใน[/SIZE][/FONT]
    [SIZE=5][FONT=Times New Roman]คัมภีร์อมิตายุธยานสูตร[/FONT][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]กล่าวว่า พระนางวิเทหิ พระราชมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรู
    ทรงเศร้าโศกเสียพระทัยที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทำปิตุฆาต[/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ฆ่าพ่อ หนึ่งในอนันตริยกรรมคือกรรมที่สาหัส
    ที่สุด ๕ ประการ[/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]โดยการยุยงของพระเทวทัต พระนางจึงทูลขอประทานพระธรรมเทศนาถึงโลกธาตุที่
    พร้อมด้วยความสุขารมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระเมตตา ยังให้โลกธาตุอันน่าสุขารมณ์ในทศทิศ มา
    ปรากฎต่อพระจักษุของพระนาง แล้วพระนางวิเทหิจึงทรงเลือกที่จะไปอุบัติยัง [/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][SIZE=5][FONT=Times New Roman]สุขาวดีพุทธเกษตร[/FONT][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ของ
    พระอมิตาภะพุทธเจ้า แล้วจึงทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัสแสดงถึงวิธีที่จะได้ไปเกิด พระองค์จึงตรัสแสดง
    พระสูตรเหล่านี้ ที่ภายในประกอบด้วยการเพ่งนิมิต ๑๖ ประการอันมีการเพ่งจิตต่อรัตนวิหาร ดอกบัว รัตน
    บัลลังก์อาสน์ รัตนพฤกษ์ สระทิพย์ พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปตและสิ่งต่างๆในแดนสุขาวดี
    แบ่งเป็น ๙ ขั้นตอน สำหรับเป็นองค์สมาธิในการยังจิตให้เข้าถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้า ในบันทึกประวัติของ
    พระมหาเถระจีน เล่มที่ ๒๐ กล่าวว่า [/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]พระคณาจารย์เต๋าเฉียกทุกวันจะนั่งบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตก และ[/SIZE][/FONT]
    [SIZE=5]
    ภาวนาต่อพระนามของพระอมิตาภะถึงวันละเจ็ดหมื่นจบ[/SIZE]
    [SIZE=5]”
    [/SIZE]
     
  2. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    พระมหาปณิธานของพระอมิตาภะพุทธเจ้า

    ตามอรรถาธิบายของจีนได้กล่าวสรุปความพระมหาปณิธานของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ที่
    เคยทรงประกาศไว้เฉพาะเบื้องพระพักตร์แห่งพระโลเกศวรราชาพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นธรรมากร
    ภิกษุทั้ง ๔๘ ประการดังนี้
    ๑​
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากในโลกธาตุของเราหากมีนรก เปรต เดรัจฉานแล้วไซร้
    เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุภายหลังที่สิ้นชีพลงแล้ว

    ยังตกสู่อบายภูมิทั้ง ๓ อีกไซร้ ก็จักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓​
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ทั้งหมดในโลกธาตุมิได้มีรูปกายดั่ง
    สุวรรณบริสุทธิ์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน
    ยังมีศุภลักษณ์และอัปลักษณ์อยู่ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุไร้ซึ่ง
    บุพเพนิวาสานุสติญาณ มิสามารถล่วงรู้ย้อนไปอย่างน้อยร้อยพันโกฏิ
    นยุตะกัลป์ได้แล้วไซร้ เราจักมิขอ
    สำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงทิพยจักษุ
    แล้วแลเห็นพุทธประเทศต่างๆจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิ
    ญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงทิพยโสต
    ได้สดับในพระพุทธวัจนะทั้งปวงจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระ
    สัมโพธิญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงเจโตปริย
    ญาณ ได้ล่วงรู้ถึงความระลึกแห่งจิตของสรรพสัตว์ในพุทธประเทศจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้
    แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงอภิญญา
    ฤทธิ์ โดยในชั่วขณะหนึ่งหากมิสามารถผ่านล่วงบรรดาพุทธประเทศจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้
    แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๐
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุเกิดสัญญาความยึดมั่น
    ยังละโมบมีแผนการณ์เพื่อสังขารแห่งตนแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๑
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจธำรงมั่นในสมาธิ
    ตราบถึงพระนิพพานได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๒
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากรัศมีประภาสถูกจำกัดขอบเขตปริมาณ มิอาจฉาย
    ส่องไปยังพุทธประเทศจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๓
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากอายุกาลถูกจำกัดขอบเขตปริมาณ อยู่น้อยกว่าร้อย

    พันโกฏินยุตะกัลป์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๔​
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสามารถคณนาซึ่งปริมาณของบรรดาสาวกในโลกธาตุ
    ได้ ฤๅสามารถคณนาถึงปริมาณสรรพสัตว์ในตรีสหัสมหาสหัสโลกธาตุที่ล้วนได้สำเร็จเป็นปัจเจกโพธิ หาก
    ด้วยอาศัยระยะเวลาหนึ่งร้อยกัลป์ในการคำนวณนับจนสามารถทราบถึงจำนวนทั้งหมดนั้นได้แล้วไซร้ เรา
    จักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๕
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุไร้ซึ่งอายุกาลที่มิอาจ
    ประมาณได้ เว้นเสียแต่เป็นปณิธานที่จักย่นอายุกาลของตนเอง
    (เพื่อนิพพาน) เท่านั้น หากมิเป็นเช่นนี้แล้ว
    ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๖
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ ยังได้สดับยลยินถึงนาม
    ของอกุศลอยู่ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๗
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากบรรดาพระพุทธเจ้าจำนวนอนันตะในทศทิศโลกธาตุ
    มิได้สรรเสริญสดุดีในนามของเราอย่างอุโฆษเลื่องลือแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๑๘
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสรรพสัตว์ในทศทิศ ที่ยินดีในศรัทธาด้วยความเป็น
    ที่สุดแห่งใจ ปรารถนาอุบัติยังโลกธาตุของเรา แม้นกระทั่งได้ระลึกถึงเรา ๑๐ วาระ
    แล้วมิได้ไปถืออุบัติแล้ว
    ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ เว้นเพียงแต่ผู้ก่ออนันตริยกรรม และผู้ทำลายพระสัทธรรม
    ๑๙
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสรรพสัตว์ในทศทิศได้บังเกิดมีโพธิจิต ได้บำเพ็ญซึ่ง
    สรรพกุศลมีปณิธานมุ่งมั่นยิ่งเป็นที่สุดแห่งใจ ปรารถนาไปอุบัติยังโลกธาตุของเรา แลเมื่อคราวายชนม์แล้ว
    สมมติว่าเราและบรรดามหาชนผู้แวดล้อมมิอาจไปปรากฏกายเบื้องหน้าของผู้นั้นได้แล้วไซร้ เราจักมิขอ
    สำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๐
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสรรพสัตว์ในทศทิศได้สดับนามของเรา มีจิตพันผูก
    ระลึกถึงโลกธาตุของเรา เป็นผู้สั่งสมไว้ซึ่งกุศลมูลทั้งปวง แล้วมีจิตอุทิศเพื่อมุ่งไปอุบัติยังโลกธาตุของเรา
    ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ หากมิอาจสำเร็จซึ่งผลนั้นแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๑
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ มิได้สำเร็จบริบูรณ์
    ในทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะทั้ง ๓๒ ประการแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๒
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาคณะโพธิสัตว์ทั้งปวงจากพุทธเกษตรอื่นๆ ที่มาถือ

    อุบัติยังโลกธาตุของเรานั้น หากเป็น
    เอกชาติปฏิพันธ์โพธิสัตว์แล้วไซร้(เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิ
    ญาณ​
    )เว้นแต่จักเป็นผู้ที่มีมูลปณิธานดั้งเดิมของตนที่ยังจะสั่งสอนสรรพสัตว์ต่อไปเป็นเหตุ แลด้วยความ
    ตั้งใจนั้นอันเป็นคุณธรรมมูลฐานที่ตนได้สั่งสมไว้ด้วยความเหนื่อยยาก ในการโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้น
    เพื่อท่องเที่ยวไปในพุทธเกษตรทั้งปวงเพื่อบำเพ็ญโพธิสัตวจริยา เพื่อถวายสักการบูชาพระพุทธตถาคตเจ้า
    ในทศทิศทั้งปวง เพื่ออนุศาสน์สอนสั่งสรรพสัตว์จำนวนอเนกอนันต์เท่าเม็ดทรายของคงคานทีหลวง เพื่อได้
    ตั้งมั่นในอนุตรสัมมาสัตยมรรคแล้วได้ก้าวพ้นออกจากจริยาแห่งภูมิทั้งปวง ได้ปรากฏสำแดงว่าได้บำเพ็ญ
    ซึ่งคุณธรรมแห่งพระสมันตภัทร หากมิเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๓
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากด้วยอาศัยพุทธานุภาพในการ
    ถวายสักการบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง แม้นในชั่วขณะภัตรกิจคราวเดียว หากมิอาจ
    (ถวายสักการะ)ไปได้ถ้วน
    ทั่วถึงพุทธเกษตรจำนวนอสงไขยอนันตโกฏินยุตะแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๔
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากแม้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพุทธ
    พักตร์แล้ว ก็ย่อมจักสำแดงซึ่งการปลูกฝังกุศลมูล อันเครื่องสักการะบรรดาที่ต้องการใช้บูชานั้น หากมิ
    สามารถได้ดั่งสมประสงค์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๕
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากมิอาจกล่าวแสดง(ธรรม)ด้วย
    ความเป็นสัพพัญญู
    (รู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งปวง)แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๖
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากมิได้บรรลุถึงวัชรนารายณกาย๑๐

    แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๗​
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว เทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุหากในบรรดาสรรพสิ่งทั้ง
    ปวง อันบริสุทธิ์อลังการและสว่างสุกใส มีรูปลักษณ์อันวิเศษพิศดาร วิจิตรประณีตบรรจงซึ่งมิอาจกล่าวถึง
    ปริมาณได้ แม้นบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นจักได้บรรลุซึ่งทิพยจักษุแล้ว หากสามารถล่วงรู้ถึงนามและนับ
    จำนวน
    (ของสรรพสิ่งอันวิเศษในโลกธาตุ)ได้หมดสิ้นแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๘
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุตราบถึงผู้ที่มีกุศลน้อย มิอาจได้รู้แล
    ได้ประสบซึ่งโพธิพฤกษ์
    (แห่งตน) ว่ามีประภาวรรณะจำนวนอเนกอนันต์ และมีความสูงถึงสี่ล้านลี้๑๑แล้วไซร้
    เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๒๙
    . เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากสาธยายพระธรรมสูตร อ่านท่อง

    กล่าวแสดงแล้ว หากมิได้บรรลุซึ่งปฏิภาณแลปัญญาญาณแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    [LEFT]๓๐[/LEFT]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากมีปัญญาญาณแลปฏิภาณที่อาจ
    หยั่งวัดถึงขอบเขตปริมาณได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓๑[/SIZE]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว อันความบริสุทธิ์แห่งโลกธาตุจักฉายส่องโชติช่วงไปยัง
    บรรดาพุทธเกษตรจำนวนอสงไขย จำนวนอนันต์ จำนวนอจินไตยในทศทิศโดยทั่ว ประดุจกระจกที่สว่างใส
    ที่ฉายส่องอยู่ตรงหน้า หากมิดุจฉะนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓๒[/SIZE]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว อันพื้นพสุธาขึ้นไปเบื้องบนจรดความว่างเปล่าแห่งอากาศ
    พระตำหนักมณเฑียรสถาน พระวิหารแลหอทัศนา สระโบกขรณี พฤกษาแลมาลี อีกสรรพสิ่งบรรดามีใน
    โลกธาตุ ให้ล้วนสำเร็จจากรัตนชาตินานาชนิดและเครื่องสุคนธานับร้อยพันประการมิมีประมาณ ซึ่ง
    ประกอบตบแต่งกันอย่างอลังการและวิจิตรพิศดารยิ่งกว่าของเทพยดาทั้งปวง อันกลิ่นสุรภีคันธมาลย์นั้น
    หอมหวนโชยระรื่นไปยังโลกธาตุทั่วทศทิศ โพธิสัตว์ผู้ได้สูดดมแล้ว ย่อมล้วนบำเพ็ญในพุทธจริยา หากมิ
    เป็นดังประการนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓๓[/SIZE]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาสรรพสัตว์หลากสายพันธุ์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่
    มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อผู้ที่กายนั้นได้สัมผัสต้องกับประภารัศมีแห่ง
    เราแล้ว กายแลจิตจักได้อ่อนโยนยิ่งกว่าเทพและมนุษย์ หากมิได้เป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระ
    สัมโพธิญาณ
    ๓๔[/SIZE]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาสรรพสัตว์หลากสายพันธุ์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่
    มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อได้สดับนามของเรา แล้วมิได้บรรลุใน[/SIZE]

    [SIZE=5][LEFT]อนุตปตติก ธรรมกษานติ[/LEFT][/SIZE][LEFT][/left]
    [FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=3]๑๒ [/SIZE][/FONT]
    [SIZE=3][/SIZE][SIZE=5]และธารณีอันคัมภีรภาพทั้งปวงแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓๕[/SIZE]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหา
    ประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น ภายในนั้นหากจักมีอิสตรีที่ได้สดับนามของเรา แล้วปีติยินดีศรัทธาปสาทะ
    ได้บังเกิดโพธิจิต เอือมระอาอย่างหนักหนาในสตรีกาย เมื่อหลังจากชีวาดับสิ้นแล้วยังมีรูปลักษณ์เป็นสตรี
    อีกไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓๖[/SIZE]
    [SIZE=5]. [/SIZE][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวน
    อจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อได้สดับนามของเรา แลเมื่อภายหลังที่วายชนม์แล้ว
    ย่อมจักบำเพ็ญในพรหมจริยาวัตรโดยนิจศิล ตราบจนสำเร็จพุทธมรรค หากมิได้เป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิ[/SIZE]

    ขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]๗[/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาประชากรชาวสวรรค์และมนุษย์ในพุทธเกษตร
    ทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อได้สดับนามของเรา แล้วจักกระทำ
    เบญจางคประดิษฐ์อภิวาทนมัสการ จิตบังเกิดความปีติยินดีน้อมใจศรัทธา ได้มาบำเพ็ญในโพธิสัตวจริยา
    แล้ว อันบรรดาเทพแลมนุษย์โลกทั้งหลายจักมินอบน้อมยำเกรง[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]แก่ผู้ที่อภิวาทนมัสการนั้น[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5])[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ก็หาไม่ หากมิ
    เป็นดังประการฉะนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๓๘[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ เมื่อต้องการพัสตรา
    ภรณ์แพรพรรณก็ย่อมได้ตามความระลึกนั้น ประดุจที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญในเครื่องนุ่งห่มอันเลิศที่
    สมธรรม อันจักอยู่บนกายได้เอง หากมีการย้อม เย็บ ซักและตากอยู่แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิ
    ญาณ
    ๓๙[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากบรรดาเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ ได้เสวยซึ่ง
    ความสุขสวัสดีทั้งปวง มิดั่งเช่นภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพผู้ปราศจากกิเลสาสวะแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระ
    สัมโพธิญาณ
    ๔๐[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุ เมื่อปรารถนาจักทอดทัศนาความวิ
    สุทธิอลังการของพุทธเกษตรต่างๆจำนวนไม่มีประมาณในทศทิศ ใน เพลานั้นย่อมจักได้สมดังมโนรถ ด้วย
    ในรัตนพฤกษ์ล้วนจักสำแดงปรากฏให้เห็นได้ ประดุจคันฉ่องสะอาดใสยังให้ประจักษ์อยู่เบื้องหน้า หากมิได้
    เป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๑[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เราแล้ว ตราบจนได้บรรลุความเป็นพระพุทธะ [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ในระหว่างนั้น[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5])[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]หากสรรพอินทรีย์เกิดอัปลักษณ์มิ
    สมประกอบบริบูรณ์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๒[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เราแล้ว ให้ล้วนบรรลุถึง[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=Times New Roman][SIZE=5][SIZE=5]วิสุทธิวิมุตติสมาธิ[/SIZE][/SIZE][SIZE=3][SIZE=3]๑๓ [/SIZE][/SIZE][/FONT][/B][FONT=Times New Roman][SIZE=3][SIZE=3][/SIZE][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เมื่อดำรงในสมาธินี้แล้ว ในชั่วขณะหนึ่งจักสามารถถวาย
    สักการะบรรดาพระพุทธโลกนาถเจ้าทั้งหลายจำนวนอนันตอสงไขยได้ โดยจิตมิบกพร่องในสมาธินี้ หากมิ
    เป็นดังประการนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๓[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เรา แลเมื่อวายชนม์แล้วในภายหลัง จักได้ไปบังเกิดยังตระกูลที่สูงส่ง หากมิเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    สำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]๔๔[/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เราแล้ว ให้เกิดอุเพคาปีติจนโลมาลุกชัน ได้บำเพ็ญโพธิสัตวจริยา สมบูรณ์พร้อมในพีชะแห่งคุณธรรม หาก
    มิประดุจฉะนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๕[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เราแล้ว ล้วนแต่บรรลุในสมันตนุคตสมาธิ เมื่อดำรงในสมาธินี้แล้ว ตราบจนได้สำเร็จความเป็นพระพุทธะ
    ย่อมจักได้ประสบกับบรรดาพระพุทธเจ้าจำนวนอนันตอสงไขยทั้งปวงโดยนิจศิล หากมิเป็นไปดังเช่นนี้แล้ว
    ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๖[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุ ย่อมจักได้สดับพระธรรมกถาตามใจ
    ปรารถนา โดยจักได้สดับเฉพาะตน หากมิประดุจเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๗[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เราแล้ว ยังเป็นผู้ที่มิบรรลุซึ่งความมิเสื่อมถอยย้อนกลับแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
    ๔๘[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]. [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
    เราแล้ว ยังมิบรรลุใน[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=Times New Roman][SIZE=5][SIZE=5]ธรรมกษานติ[/SIZE][/SIZE][SIZE=3][SIZE=3]๑๔[/SIZE][/SIZE][/FONT][/B][FONT=Times New Roman][SIZE=3][SIZE=3][/SIZE][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ประการที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ แลในสรรพพุทธธรรม มิสามารถบรรลุถึง
    ความเป็นผู้มิเสื่อมถอยย้อนกลับแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ ด้วยประการฉะนี้แล
    พระสูตรกล่าวว่าเมื่อธรรมากรภิกษุได้ประกาศมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่และจักยังพุทธ
    เกษตรให้อลังการยิ่งกว่าพุทธเกษตรใดๆ ในทศทิศแล้ว พระโลเกศวรราชาพุทธเจ้าจึงทรงบรรยายถึงพุทธ
    เกษตรจำนวน ๒๑๐ โกฏิแห่งแก่ธรรมากรภิกษุ ครั้งนั้นธรรมากรภิกษุจึงนำเอาคุณสมบัติวิเศษของพุทธ
    เกษตรแต่ละแห่งนั้น มารวมไว้เป็นคุณสมบัติของสุขาวดีโลกธาตุ
    ด้วยการที่มีพระสูตรและพระมหาปณิธานอันวิเศษจำนวนมากมาย สามารถเข้าถึงจิตใจ
    ผู้คนที่ใฝ่หาความสุขที่แท้จริงเช่นนี้เอง จึงทำให้พระอมิตาภะทรงเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือของคน
    ทุกเพศทุกวัย เนื่องจากมีข้อปฏิบัติในการเข้าถึงพระองค์อย่างง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถปฏิบัติได้ ก็คือการ
    สวดภาวนาพระพุทธนามว่า [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][SIZE=5][SIZE=5][FONT=Times New Roman]นำ มอ ออ นี ท้อ ฮุก [/FONT][/SIZE][/SIZE][/B][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]หรือ [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][SIZE=5][SIZE=5][FONT=Times New Roman]นโม อมิตาภะ พุทธายะ [/FONT][/SIZE][/SIZE][/B][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]หรือ [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=Times New Roman]ข้าพเจ้าขอนอบ[/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/B][/LEFT][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5]
    น้อมแด่พระอมิตาภะพุทธเจ้า [/size][/font][/size][/font][/B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ใน[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5]คัมภีร์จุลสุขาวดีวยูหะสูตร[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ก[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][I][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][LEFT]จนได้หลุดพ้นในโลกธาตุแห่งนั้น และหากมีความเมตตาปรารถนาจะกลับมาเกิดเพื่อโปรดสรรพสัตว์เพื่อสั่ง
    สมบารมีอีก ก็สามารถกระทำได้[/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/left][/I][LEFT][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ด้วยความวิเศษเช่นนี้พุทธศาสนิกชนเมื่อวาระที่ตนหรือญาติมิตรจะ
    สิ้นชีพ จึงภาวนาพระพุทธนามของพระอมิตาภะพุทธเจ้าให้ผู้วายชนม์ได้ฟังเป็นอนุสสติและบูชา เพื่อขอให้
    พระองค์มารับไปเกิดยังแดนสุขาวดี
    คล้ายๆ กับคติของเถรวาทเราที่จะให้ผู้ใกล้วายชนม์ได้มองเห็นภาพเจดีย์ที่สมมติว่าเป็น
    เจดีย์พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ เพื่อให้ผู้นั้นได้ไปนมัสการพระธาตุจุฬามณีของจริง หรือจะเอ่ยคำ
    ว่าอรหันต์ให้ผู้นั้นได้ยิน ทั้งนี้เพื่อเป็นอุบายดึงจิตของผู้นั้นให้แนบติดอยู่กับกุศลเบื้องสูง เนื่องจากเชื่อว่า
    ดวงจิตของผู้ใกล้จะวายชนม์นั้นหากไม่มีบุญกุศลที่สั่งสม หรือมิเคยได้บำเพ็ญสมาธิญานมาก่อนก็จะทำให้
    จิตใจซัดส่ายและเกรงกลัวต่อมรณะภัย ฉุดรั้งจิตให้สับสนส่งผลให้ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้
    และในแดนสุขาวดีก็แบ่งเป็น ๙ ระดับชั้น ในพระสูตรว่าเป็นดอกบัว ๙ ชั้น เป็นการแบ่ง
    ระดับของผู้ที่มีบุญญาธิการบารมี ๙ ระดับ ซึ่งบัวชั้นล่างสุดจะเป็นดอกบัวตูม ผู้ที่ไปเกิดจะต้องบำเพ็ญ
    เพียรภายในบัวนั้นเป็นระยะเวลานานแทนการชดใช้วิบากกรรมที่ภพภูมิอื่นๆ จนตนเองมีบารมีสูงขึ้น จึงจะ
    ได้เลื่อนไปอุบัติยังบัวชั้นสูงขึ้นต่อไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องบำเพ็ญตนภายในดอกบัวตูมระดับนั้นๆต่อไป
    อีก จนกว่าจะได้อุบัติยังบัวบานชั้นสูงสุด และผู้ที่ไปอุบัติยังบัวบานชั้นสูงสุดนั้นก็ว่าล้วนแต่เป็นพระ
    โพธิสัตว์ผู้มากด้วยบุญญาธิการทั้งสิ้น ในคำอธิษฐานของชาวพุทธมหายานจะว่า [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][/SIZE][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=Times New Roman]ขอตั้งจิตบังเกิดยังวิสุทธิ[/FONT]
    ภูมิเบื้องปัจฉิมทิศ มีปุณฑริกมาศ ๙ ระดับชั้นเป็นบุพการี แลเมื่อดอกบัวบานขึ้นก็จงได้ประสบกับพระ
    พุทธองค์ ได้รู้แจ้งแล้วลุถึงภาวะอันไม่มีการเกิดอีก และจงมิต้องเสื่อมถอยย้อนกลับจากการมีพระ
    โพธิสัตว์เป็นกัลยาณมิตรเคียงคู่เทอญ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]กล่าวคือหากบัวบานแล้วได้พบกับพระพุทธเจ้าในทันทีนั้น ก็คือผู้
    ที่เกิดยังบัวชั้นสูงสุดมีบารมีถึงพร้อม เมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ให้รู้แจ้งบรรลุถึงการไม่ต้องเกิด
    อีกต่อไป และจะได้ดำรงตนเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสรรพสัตว์ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และการที่ดอกบัวจะบาน[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    ในชั้นสูงสุด หมายความว่า ดุจบัวพ้นน้ำ ได้รับพุทธรังสีอันประดุจแสงอาทิตย์ทำให้ดอกบัวบานออกได้
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]การสรรเสริญในพระพุทธนาม เช่นพระนามของพระอมิตาภะ หรือพระพุทธเจ้าอื่นๆ ก็เป็น
    การน้อมนำอำนาจแห่งพระพุทธคุณ หรือเป็นการเจริญพุทธานุสสติอย่างหนึ่ง ซึ่งทางมหายานได้อาศัย
    ข้อความในพระพุทธธรรม[/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][B][SIZE=5][SIZE=5][FONT=Times New Roman]คัมภีร์พุทธธยานสาครสูตร [/FONT][/SIZE][/SIZE][/B][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ว่าด้วยการเพ่งจิตถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จะ
    ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติเจริญด้วยเมตตากรุณา มีบารมีคุณแห่งพระพุทธเจ้าประดับในตน จึงให้แคล้วคลาดจาก
    ภยันตรายและอบายภูมิทั้งปวงได้ ด้วยประการที่ว่าหากจิตมุ่งมั่นแต่พระพุทธเจ้าแล้วจิตย่อมไม่ฝักใฝ่ใน[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    ธรรมฝ่ายอกุศลแน่นอน จึงเป็นการปิดหนทางแห่งอบายของตนเองได้
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]ด้วยความนิยมและแพร่หลายนี้ให้ก่อเกิดเป็น [/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=Times New Roman][SIZE=5][SIZE=5]นิกายสุขาวดี[/SIZE][/SIZE][SIZE=5][SIZE=5]”[/SIZE][/SIZE][/FONT][/B][FONT=Times New Roman][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]淨土宗[/SIZE][/FONT][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ซึ่งก่อตั้งโดย[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][LEFT]พระคณาจารย์ฮุ่ยเฮี้ยง [/LEFT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เป็นพระเถระสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]พ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5].[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ศ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5].[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]๘๖๐[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]–[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]๙๖๓[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]มีสำนักเป็นวัดตังนิ่ม
    บนเขาหลู่ซาน มณฑลกังไส ได้ร่วมกับภิกษุ ๑๘ รูปก่อตั้งปุณฑริกสมาคม[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]กลุ่มบัวขาว[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ขึ้นในปี พ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5].[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ศ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5].[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]๙๔๕
    บนภูเขานั้นมีการขุดสระใหญ่และปลูกดอกบัวขาวเต็มสระ คณาจารย์ฮุ่ยเฮี้ยงพร้อมศิษย์จำนวนหลายพัน
    คนนั่งภาวนาอยู่หน้าสระนี้ โดยสมมติว่าเป็นสระโบกขรณีทิพย์ในแดนสุขาวดี ซึ่งท่านตั้งจิตจะไปเกิดเมื่อ
    สิ้นชีพจากโลกนี้
    ใน[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][SIZE=5][SIZE=5][FONT=Times New Roman]คัมภีร์ทศยมราชาขมาสูตร [/FONT][/SIZE][/SIZE][/B][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ก็ว่าพระอมิตาภะทรงนิรมาณกายเป็นพญายมราชปกครอง
    นรกขุมที่ ๑๐ พระนามว่า [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][SIZE=5][SIZE=5][FONT=Times New Roman]จ๋วงหลุ่งเม้งอ้วง[/FONT][/SIZE][/SIZE][/B][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]มีหน้าที่ให้สัตว์ที่ชดใช้กรรมหมดแล้วได้ไปเกิดใหม่ตามสภาพ
    กรรมของตนต่อไป
    พุทธศาสนิกชนมหายาน ถือเอาวันที่ ๑๗ เดือน ๑๑ [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ตามจันทรคติของจีน[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]เป็นวันคล้าย[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    วันพระพุทธสมภพ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า

    ข้อมูลจาก[url=http://www.mahaparamita.com/indexs.html]มหาปารมิตาดอทคอม :: mahaparamita.com :: 摩訶波羅蜜多[/url]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT]
     
  3. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    ปุณฑริก ๙ ระดับชั้นแห่งสุขาวดี(แปลจาก อมิตยุรธยานสูตร ภาคภาษาจีน)

    สรรพสัตว์ผู้ปรารถนาจักไปอุบัติยังดินแดนสุขาวดี พึงต้องมีจิต ๓ ประการ ถึงจะไปบังเกิดได้ มี ๑​
    .

    มีจิตตั้งมั่น ๒​
    .มีจิตศรัทธาลึกซึ้ง ๓.มีจิตปณิธาน หากมีจิตทั้ง ๓ ประการนี้ ย่อมได้อุบัติที่สุขาวดีพุทธเกษตร
    แน่นอน
    ยังมีสรรพสัตว์อีก ๓ ประเภท ที่จักได้ไปอุบัติด้วย คือ ๑
    .ผู้มีจิตเมตตา ไม่ฆ่าสัตว์ มีศีลสมบูรณ์ ไม่
    ด่างพร้อย ๒
    .ผู้สาธยาย อ่านท่องพระธรรมมหายาน ๓.ผู้ปฏิบัติอนุสสติ ๖(พุทธานุสติ ธรรมานุสติ
    สังฆานุสติ ศีลานุสติ ทานานุสติ เทวานุสติ
    ) แล้วตั้งจิตมุ่งไปเกิดยังสุขาวดีโลกธาตุ หากเมื่อสมบูรณ์ในกุศล
    เหล่านี้ครบ ๑ ถึง ๗ วันก็จักได้อุบัติที่สุขาวดีพุทธเกษตรแน่นอน

    ชั้นที่ ๙ ​
    (สูงสุด)

    ด้วยเหตุที่บุคคลนั้นมีความเพียรแกล้วกล้า พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระ
    มหาสถามปราปตโพธิสัตว์ และพระพุทธนิรมิตจำนวนอสงไขย พระภิกษุจำนวนร้อยพัน​
    (๑๐๐,๐๐๐) หมู่
    เทพยดาจำนวนไม่มีประมาณ ปราสาท ทิพยมณเฑียรสถาน อันประดับด้วยสัปตรัตนะ จะมาปรากฎภาพอยู่
    เบื้องหน้าบุคคลนั้น
    พระอมิตาภะพุทธะ จะทรงเปล่งมหารัศมีโอภาส มายังกายของบุคคลนั้น และพระโพธิสัตว์ทั้งปวง
    จะยื่นพระหัตถ์ออกมารับ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ ก็จะกล่าวสดุดีถึงจิตที่
    พากเพียรนั้น
    เมื่อผู้นั้นได้ประสบเช่นนี้ จึงเกิดความปราโมทย์ยินดี เป็นอุเพงคาปิติ
    (โลมาลุกชัน) จักแลเห็นตนเอง
    นั่งอยู่ในวชิรอาสน์
    (ที่นั่งเพชร) ลอยเคลื่อนตามพระพุทธเจ้าไป เวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไปอุบัติยังสุขาวดี
    เมื่ออุบัติยังสุขาวดีแล้ว จักได้พบพระพุทธกายที่มีมงคลลักษณะสมบูรณ์ ได้พบพระโพธิสัตว์
    ทั้งหลาย ที่มีรูปลักษณ์สมบูรณ์ จักได้สดับพระธรรมเทศนา เมื่อได้ฟังแล้วจักบรรลุ อนุตปตติก ธรรม
    กษานติ จากนั้นจักท่องเที่ยวไปกระทำพุทธกิจยังโลกธาตุทั่วทศทิศ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า

    พระองค์เหล่านั้น แล้วกลับมาสู่สุขาวดีโลกธาตุ บรรลุธารณีธรรมจำนวนอมิตะร้อยพันประการ
    ชั้นที่ ๘​
    ผู้ที่ไม่เพียงแต่น้อมรับ ยึดมั่นในพระธรรม แต่ยังสามารถกล่าวแสดง จำแนกปรมัตถสัตย์ได้อย่าง
    ช่ำชองพิศดาร ในจิตมิตระหนกหวาดหวั่น เชื่อมั่นในเหตุผลแห่งกรรมยิ่งนัก มิให้ร้ายโพธิสัตวธรรม​
    (​
    มหายาน) โดยอุทิศกุศลนี้ เพื่อขอไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุ
    บุคคลนี้ เมื่อกาลจักสิ้นชีพ พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต
    โพธิสัตว์ และพระอริยบริษัทจำนวนไม่มีประมาณ จะทรงชมพูนุชปัทมา
    (ดอกบัวทองคำชมพูนุช) มายังเบื้อง
    หน้าบุคคลนั้น แล้วกล่าวว่า
    ดูก่อนธรรมาบุตร เธอเป็นผู้ดำเนินตามโพธิสัตวจริยา(มหายานจริยา) รู้แจ้ง
    แลจำแนกซึ่งปรมัตถสัตย์ ด้วยเหตุนี้เราจึงมารับเธอ

    พระพุทธเจ้าจำนวน ๑​
    ,๐๐๐ องค์ที่พระอมิตาภะพุทธะทรงนิรมิตจักยื่นพระหัตถ์ออกมารับบุคคลนั้น
    พร้อมกัน ผู้นั้นจักแลเห็นตนเองนั่งอยู่บนแท่นทองชมพูนุช พนมมือ และสรรเสริญพระคุณแห่งพระพุทธเจ้า
    ทั้งปวง แล้วในเวลาขณะเดียว ก็ไปอุบัติยังสัปตรัตนโบกขรณี ในสุขาวดีโลกธาตุทันที
    แลสุวรรณชมพูนุชอาสน์นั้นก็จักแปรเปลี่ยนเป็นปุณฑริกมาศดอกมหึมา แล้วค่อยๆ ผลิบานออก
    อันกายของผู้นั้นจักอร่ามเรืองรองดั่งสีแห่งทองชมพูนุช ใต้บทบาทจะมีสัปตรัตนปทุมมาลย์รองรับอยู่
    ในเพลานั้น พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวง จะทรงเปล่งพระรัศมีไปยังบุคคลนั้นๆ จึงลืมตาขึ้น
    ด้วยเหตุที่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญมาแล้วแต่กาลก่อน เมื่อได้สดับเสียงแห่งธรรมต่างๆ ที่กล่าวแสดงถึงปรมัตถสัตย์
    อันคัมภีรภาพแล้ว จึงก้าวลงจากสุวรรณอาสน์ แล้วพนมกรถวายอภิวาท และสรรเสริญต่อพระพุทธองค์
    ผ่านไป ๗ วัน ก็จักเป็นผู้มั่นคงต่อพระอนุตรสัมโพธิญาณ ไม่เสื่อมถอยอีกต่อไป สมัยนั้นจักจาริก
    ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสิบ เพื่อกระทำพุทธกิจ แล้วได้ดำรงอยู่ในสมาธิทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรง
    บำเพ็ญแล้ว

    ผ่านไปอีก ๑
    จุลกัลป์๑๑ จักได้บรรลุอนุตปตติก ธรรม กษานติ และได้รับพุทธพยากรณ์
    ชั้นที่ ๗​
    สรรพสัตว์ผู้ศรัทธาเชื่อมั่นในเหตุผลแห่งกรรม มิทำลายโพธิสัตวยาน​
    (มหายาน) ได้ประกาศพระ
    อนุตรสัมโพธิจิต แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุ
    บุคคลนี้เมื่อคราจะสิ้นอายุขัย พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต
    โพธิสัตว์ พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งปวง จะทรงสุวรรณปทุมชาติ แล้วนิรมิตพระพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ เพื่อมา
    รับบุคคลนี้
    ก็อันพระพุทธเนรมิตทั้ง ๕๐๐ นี้ จะยื่นพระกรออกมาพร้อมกัน แลตรัสว่า
    ดูก่อนธรรมาบุตร เธอ
    เป็นผู้บริสุทธิ์นิรมล ได้ประกาศ
    (บังเกิด)พระอนุตรโพธิจิต เราตถาคตมารับเธอ

    เมื่อบุคคลนี้ได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จักยลเห็นตนเองนั่งอยู่ในบัวทองคำ เมื่อนั่งลงแล้วบัว
    นั้นจักหุบ แล้วลอยตามพระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ นั้นไปจนถึงสัปตรัตนโบกขรณี ในสุขาวดีโลกธาตุ
    เป็นเวลา ๑ ทิวาราตรี ปทุมชาตินั้นจักบานออก ใน ๗ วารจักได้พบพระพุทธองค์ แต่ทว่าแม้นจักได้
    เห็นมงคลลักษณะแห่งพระพุทธกายนั้นแล้ว ในจิตก็ยังมิรู้แจ้ง ผ่านไปอีก ๒๑ วาร จึงได้รู้แจ้งพระสัทธรรม
    จักได้สดับซึ่งสรรพเสียงทั้งปวง ที่ล้วนแต่กล่าวเป็นสัทธรรม แล้วเที่ยวไปในทิศทั้งสิบ เพื่อถวาย
    สักการะพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังเบื้องพระพักตร์นั้นแล จักได้สดับพระพุทธเทศนาจากพระพุทธโลกนาถ
    เหล่านั้น
    ผ่านไปอีก ๓ จุลกัลป์ จักได้สำเร็จ ศตธรรมทวาร แล้วบรรลุ​
    ปฐมภูมิแห่งพระโพธิสัตว์๑๒

    ชั้นที่ ๖​
    สรรพสัตว์ผู้สมาทานเบญจศีล อัฏศีล และศีลทั้งปวง มิกระทำอนันตริยกรรม ๕ และความผิดชั่วทั้ง
    ปวง แล้วอุทิศกุศลนี้ เพื่อขอไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุ
    เมื่อเพลาจักสิ้นใจ พระอมิตาภะพุทธะ พร้อมด้วยภิกษุบริษัทผู้ติดตาม จักทรงเปล่งสุวรรณประภาส
    เรืองรองสว่างไสว มายังบุคคลนั้น แล้วประทานพระธรรมเทศนาเรื่องทุกข์ ศูนยตา อนิจจตา อนัตตา
    สรรเสริญเนกขัมมะ​
    (การออกบวช, การออกจากกาม) และวิมุตติคุณ อันหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
    ก็เมื่อบุคคลนั้น ได้สดับแล้ว ในจิตย่อมเกษมยินดีมหาศาล ยลเห็นกายแห่งตนนั่งอยู่บนปัทมอาสน์
    คุกเข่า
    (แบบยืดตัวขึ้น) แล้วพนมกร ถวายอภิวาทพระพุทธองค์อยู่
    เมื่อเงยหน้าขึ้น จักพบว่าตนเองได้มาอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้ว แล้วแลปัทมชาตินั้นจักค่อยๆ
    ผลิบานออกทีละน้อย ก็เมื่อขณะที่กำลังผลิออกนั้น จะได้สดับเสียงที่สรรเสริญจตุราริยสัจ ในบัดดลก็จักได้

    บรรลุอรหันตผลในทันที สมบูรณ์ซึ่งวิชชา ๓ อภิญญา ๖ แลสมบูรณ์ในวิโมกษ์ ๘

    ชั้นที่ ๔​
    กุลบุตร กุลธิดาผู้มีความกตัญญู เลี้ยงดูบุพการี ดำเนินอยู่ในโลกด้วยความเมตตากรุณา บุคคล
    เหล่านี้ เมื่อคราจะสิ้นชีพ จะได้พบกัลยาณมิตร มากล่าวถึงเรื่องราวของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ความสุขของ
    สุขาวดีโลกธาตุ และพระมหาปณิธาน ๔๘ ประการของภิกษุธรรมกร​
    ๑๔

    เมื่อได้สดับแล้ว จึงค่อยๆสิ้นใจลง อุปมาช่วงเวลาที่ผู้มีกำลัง เหยียดแขนจนสุดแล้วดึงกลับ บุคคล
    นั้นก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้ว
    ผ่านไป ๗ วารจักได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ แล้วได้สดับพระ
    ธรรมเทศนา จิตเกิดความยินดีปราโมทย์ จักได้บรรลุโสดาปัตติผลในขณะนั้น ผ่านไปอีก ๑ จุลกัลป์ จึงได้​
    สำเร็จซึ่งความเป็นพระอรหันต์
    [SIZE=5][LEFT]ชั้นที่ ๕[/LEFT]
    [/SIZE]
    [LEFT]สรรพสัตว์ผู้สมาทานอุโบสถศีล แม้เป็นเพลา ๑ ทิวากับทั้ง ๑ ราตรี หรือสมาทานสามเณรศีล [/LEFT]
    [FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=Times New Roman]สม[/FONT]
    บูรณศีล[/SIZE][/FONT]
    [SIZE=5][/SIZE][SIZE=2]๑๓ [/SIZE][SIZE=5]เป็นเพลา ๑ ทิวาราตรี สำรวมระวังซึ่งอิริยาบท แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อขออุทิศไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธ
    เกษตร
    อันบุคคลผู้มีความหอมด้วยศีลาจารนี้ เมื่อคราที่จะกระทำกาละจะได้พบกับพระอมิตาภะพุทธเจ้า
    พร้อมด้วยบริษัทบริวารทั้งปวง ที่ทรงเปล่งสุวรรณประภาสสว่างไสว ทรงสัปตรัตนปทุมมาลย์ ประทับมายัง
    เบื้องหน้าบุคคลนั้น
    ผู้นั้นจะได้ยินเสียงก้องมาในนภากาศ เฉพาะตนคนเดียวว่า [/SIZE]
    [SIZE=5]“[/SIZE][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=Times New Roman]ดูก่อนกุลบุตร เธอผู้เป็นกุศลบุคคล[/FONT]
    ผู้บำเพ็ญตามพระธรรมแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายในตรีกาล เราตถาคตมารับเธอ[/SIZE][/FONT]
    [FONT=Times New Roman][SIZE=5]”[/SIZE][/FONT]
    [SIZE=5]
    [/size]
    [LEFT]บุคคลนั้นจักพิศเห็นตนเองนั่งอยู่ในปทุมชาติ บัวนั้นจักหุบแล้วลอยไปอุบัติยังสัปตรัตน
    ปทุมในแดนสุขาวดี
    ผ่านไป ๗ วาร ปทุมชาตินั้นจักบานออก แล้วลืมตาขึ้น ประนมกร กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ ได้
    สดับพระธรรมเทศนา แล้วได้บรรลุโสดาปัตติผลในเบื้องต้น
    ผ่านกาลไปอีกครึ่งกัลป์ จักได้บรรลุซึ่งความเป็นพระอรหันต์แล[/LEFT]
    [SIZE=5][LEFT]ชั้นที่ ๔[/LEFT]
    [/SIZE]
    [LEFT]กุลบุตร กุลธิดาผู้มีความกตัญญู เลี้ยงดูบุพการี ดำเนินอยู่ในโลกด้วยความเมตตากรุณา บุคคล
    เหล่านี้ เมื่อคราจะสิ้นชีพ จะได้พบกัลยาณมิตร มากล่าวถึงเรื่องราวของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ความสุขของ
    สุขาวดีโลกธาตุ และพระมหาปณิธาน ๔๘ ประการของภิกษุธรรมกร[/LEFT]
    [SIZE=2]๑๔[/SIZE]

    [LEFT]เมื่อได้สดับแล้ว จึงค่อยๆสิ้นใจลง อุปมาช่วงเวลาที่ผู้มีกำลัง เหยียดแขนจนสุดแล้วดึงกลับ บุคคล
    นั้นก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้ว
    ผ่านไป ๗ วารจักได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ แล้วได้สดับพระ
    ธรรมเทศนา จิตเกิดความยินดีปราโมทย์ จักได้บรรลุโสดาปัตติผลในขณะนั้น ผ่านไปอีก ๑ จุลกัลป์ จึงได้[/LEFT]
    สำเร็จซึ่งความเป็นพระอรหันต์
    [B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][LEFT]ชั้นที่ ๓[/LEFT]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]สรรพสัตว์ที่ทำความชั่วทั้งปวง แม้นจักมิได้ทำลายพระธรรมให้เสื่อมเสีย แต่กระทำอกุศลกรรม
    นานา ไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะ
    กาลจะสิ้นชีพนั้น หากได้ประสบกัลยาณมิตร มาแสดงหัวข้อหรือนามของพระธรรมบทต่างๆ ให้ฟัง
    เมื่อได้ยลยินแล้ว จักกำจัดบาปกรรมที่หนักหนา[/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ครุบาป[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]จำนวนพันกัลป์ให้สิ้นไป
    หากผู้มีปัญญานั้นได้สอนให้ พนมมือเพื่อภาวนาว่า [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=Times New Roman][SIZE=5][SIZE=5]“[/SIZE][/SIZE][SIZE=5][SIZE=5]นโม อมิตาภายะ พุทธายะ[/SIZE][/SIZE][SIZE=5][SIZE=5]” [/SIZE][/SIZE][/FONT][/B][FONT=Times New Roman][SIZE=5][SIZE=5][/SIZE][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]แล้วไซร้ วิบาก
    กรรมแห่งสังสารวัฏจำนวน ๕๐ โกฎิกัลป์ก็จักดับสิ้น
    ในเวลานั้น พระอมิตาภะพุทธะ จะทรงนิรมิตพระพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระ
    มหาสถามปราปตโพธิสัตว์ มายังเบื้องหน้าของบุคคลนั้น แล้วตรัสขึ้นว่า [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][I][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][/SIZE][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=Times New Roman]ดูก่อนกุลบุตร ด้วยเหตุที่เธอ[/FONT]
    สรรเสริญพระพุทธนาม วิบากกรรมทั้งปวงจึงมลายสูญไป เราจึงมารับเธอ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=Times New Roman][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]”[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/I][/LEFT][I][FONT=Times New Roman][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]
    [/size][/font][/size][/font][/I][FONT=Times New Roman][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]เมื่อตรัสเช่นนี้แล้ว บุคคลผู้นั้นจักทัศนาเห็นพุทธรัศมีจากพระพุทธนิรมิตนั้น เปล่งแสงสว่างไสวไป
    ทั่วห้อง เมื่อได้แลเห็นก็เกิดปิติยินดีเป็นที่สุด จึงสิ้นใจลง แล้วโดยสารรัตนปัทมาเคลื่อนลอยตามพระพุทธ
    นิรมิตไปอุบัติยังรัตนะโบกขรณี
    ผ่านไป ๔๙ วัน ปัทมชาตินั้นจักบานออก แลเมื่อบานแล้ว พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ผู้มหากรุณา
    และพระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ จะเปล่งมหารัศมีไปยังเบื้องหน้าบุคคลนั้น ได้ประทานพระธรรมเทศนา
    อันคัมภีรภาพนานัปการ เมื่อบุคคลนั้นได้สดับ ก็เกิดศรัทธายิ่ง แล้วบังเกิดโพธิจิต
    ผ่านไป ๑๐ จุลกัลป์ ก็จักสมบูรณ์ในศตธรรมประภาสทวาร แล้วเข้าสู่โพธิสัตวปฐมภูมิ[/LEFT]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][LEFT]ชั้นที่ ๒[/LEFT]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]สรรพสัตว์ผู้ละเมิดเบญจศีล อัฏศีล และสมบูรณศีล เป็นโมหบุรุษ ลักขโมยของสงฆ์ แสดงธรรม
    ด้วยความไม่บริสุทธิ์ [/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]หวังลาภสักการะ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5], [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]บิดเบือนพระธรรม[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]ปราศจากหิริและโอตตัปปะ มากด้วยความชั่ว
    สารพัน กระทำบาปทั้งปวง ด้วยวิบากกรรมนี้จะทำให้ตกสู่นรกภูมิ
    ก็เมื่อสมัยแห่งกาลกิริยา จะมีเพลิงนรกปรากฏให้เห็น หากได้พบกัลยาณมิตร ผู้มีมหาเมตตากรุณา
    กล่าวสรรเสริญทศพละแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้า และสรรเสริญสดุดีพระพุทธคุณอีกนานัปการ ทั้งสรรเสริญ
    อิทธิพละ คุณแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และคุณแห่งวิมุตติอีกอเนกประการ
    เมื่อได้รู้เห็นตามนั้น บุคคลนั้นจักมีวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ที่สูญสิ้นไป นรกอัคคีกลาย
    เปลี่ยนเป็นสายลมเย็น พัดพาเอาทิพยบุปผามา ก็อันบุปผชาติเหล่านั้นมีพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    ประทับอยู่ภายใน ซึ่งล้วนเสด็จมารับบุคคลนั้น
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]ในชั่วขณะเดียว ก็ได้ไปอุบัติที่ปทุมชาติในสระโบกขรณีที่ประดับตกแต่งด้วยรัตนอัญมณี ๗
    ประการ
    ผ่านกาลเวลาไป ๖ กัลป์ ดอกบัวนั้นจึงบานออก พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต
    โพธิสัตว์ จักปลอบโยนบุคคลนั้น แล้วแสดงพระโพธิสัตวมหายานธรรมอันคัมภีรภาพ ด้วยพรหมโฆษะ
    เมื่อบุคคนั้นได้สดับธรรมแล้ว ในเวลานั้นจึงเกิดพระอนุตรสัมโพธิจิต[/LEFT]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][LEFT]ชั้นที่ ๑ [/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5]([/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5]ต่ำสุด[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5]) [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/left][/B][LEFT][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=2][FONT=DilleniaUPC][SIZE=2]๑๕[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=2][FONT=DilleniaUPC][SIZE=2]
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][LEFT]ผู้กระทำกรรมชั่ว อนันตริยกรรม ๕ อกุศลกรรมบท ๑๐ มิกระทำกุศลความดีทั้งปวง เป็นโมหบุรุษ
    ด้วยอกุศลวิบาก ยังให้ตกสู่อบายภูมิรับโทษทรมานหลายกัลป์มิรู้จบสิ้น
    หากโมหบุรุษนี้ เมื่อเวลาจวนสิ้นใจ ได้พบกัลยาณมิตรมาปลอบโยน ให้กำลังใจ แล้วแสดงธรรม
    สอนให้ระลึกนึกถึงพระพุทธนาม แต่ด้วยวิบากกรรมของเขา ยังให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานมิอาจระลึกถึงได้
    กัลยาณมิตรนั้นจึงกล่าวว่า [/LEFT][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][/left][/SIZE][LEFT][/left][/FONT][LEFT][I][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]“[/SIZE][/FONT][/SIZE][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=DilleniaUPCItalic][SIZE=5][FONT=Times New Roman]หากเธอไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ ก็จงภาวนาพระนามของ[/FONT]
    พระอมิตาภะพุทธะเถิด[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=Times New Roman][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5]” [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/I][FONT=Times New Roman][SIZE=5][FONT=Times New Roman][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]โมหบุรุษนั้นจึงตั้งใจภาวนาต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง เพราะด้วยเหตุที่ได้ภาวนาพระ
    พุทธนามนี้ โดยขณะที่ภาวนาอยู่นั้นวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ถูกกำจัดให้สิ้นไป
    ก็เมื่อคราที่จักสิ้นใจนั้น จักได้แลเห็นสุวรรณปุณฑริกดอกมหึมา ดุจดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นมงคล
    นิมิตยังเบื้องหน้า และในขณะเดียวก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรทันที
    ผู้นั้นจะต้องอยู่ในดอกปุณฑริก ๑๒ มหากัลป์ เมื่อปุณฑริกมาศนั้นผลิบานออก จะได้พบพระอว
    โลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ นี้จะประทานพระธรรมเทศนาด้วย
    สำเนียงแห่งมหากรุณา เรื่องธรรมสัตยลักษณ์ทั้งปวง กล่าวธรรมที่ยังให้กรรมสิ้นไป ก็เมื่อได้สดับแล้วจึง[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/LEFT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5]
    บังเกิดความปิติปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ในเวลานั้นจึงได้บังเกิดพระอนุตรสัมโพธิจิต อันประเสริฐ[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5].[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][FONT=DilleniaUPC][SIZE=5][B][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=4][FONT=DilleniaUPCBold][SIZE=4]*** [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][I][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4]พระสูตรมหายานแปลไทย จาก [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=Times New Roman][SIZE=3]www.[/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4].[/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][FONT=Times New Roman][SIZE=3]mahaparamita.com [/SIZE][/FONT][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4]สงวนลิขสิทธิ์ในการแก้ไข ดัดแปลง จำหน่าย
    [/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/I][/B][I][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][/size][/font][/size][/font][/I][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][FONT=DilleniaUPCBoldItalic][SIZE=4][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT]
     
  4. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    นะโม อามิตตาพุทธ
     
  5. SRWNCHOOCHAI

    SRWNCHOOCHAI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +31
    หากผู้ใดต้องการหนังสือ สุขาวดียุหสูตร และ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มหาปณิธานปริหสูตร (1 ชุด มี 2 เล่ม) แปลโดย อาจารย์วิเชียร เพ็ชรพรประภาส สามารถส่งที่อยู่มาได้ที่ srwnchoochai@hotmail.com นะคะ แจกฟรีค่ะ
     
  6. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    [FONT=汉鼎简舒体]南無阿彌陀佛[/FONT]
    [FONT=汉鼎简舒体]อนุโมทนายิ่งครับ[/FONT]<O:p</O:p
     
  7. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    อนุโมทนากับผู้ที่นำเรื่องสมเด็จพ่ออมิตภะพุทธเจ้ามาเผยแพร่ด้วยครับ
     
  8. อนันตพุทธะ

    อนันตพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +9,701
    อยากได้เพื่อศึกษาครับ
     
  9. P184

    P184 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +809
    南无阿弥陀佛
    南无阿弥陀佛
    南无阿弥陀佛

    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...