ปรอทสำเร็จ ของดีจากตำนาน

วิชาปรอท เป็นหนึ่งในวิชามหัศจรรย์ที่คนโบราณพยายามคิดค้นและพยายามทำให้สำเร็จ แต่มีน้อยคนนักที่จะสำเร็จปรอทขึ้นมาได้ ปรอทตามธรรมชาติเป็นโลหะธาตุเหลว และแม้ว่าจะเป็นโลหะเหลวที่ยังไม่ได้หุง แต่ก็มีอำนาจในตัว เช่นมีอำนาจด้านการกันไข้ป่า และโรคภัยต่างๆ และหากนำมาฆ่าพิษปรอท และหุงขึ้นรูปจนสำเร็จปรอทออกมาแล้วก็ยิ่งมีอานุภาพมากขึ้นทั้งคงกระพันชาตรี มีตบะอำนาจ เมตตามหานิยม กันโรคภัยไข้เจ็บและทำให้อายุวัฒนะยืนยาวอีกด้วย

ในปัจจุบันผู้ที่หุงปรอทจนขึ้นรูปมาได้มีอาจารย์โยธิน คล้ายดี อยู่ย่านพระสมุทรเจดีย์ ได้ศึกษาหาความรู้เรื่องปรอทมานานหลายสิบปี จนในที่สุดได้ไปขอความรู้จากสำนักหอสมุด แต่ก็ไม่พบเรื่องราวของปรอทเลย ต่อเมื่อถามกับเจ้าหน้าที่ จึงบอกว่าเรื่องเก่าๆแบบนี้ต้องไปดูที่ห้องสมุดโบราณ แต่บุคคลทั่วไปไม่ให้เข้าต้องเขียนคำร้องทิ้งเอาไว้รอท่านอธิบดีเซ็นต์จึงสามารถเข้าไปค้นดูตำราได้ อาจารยฺโยธินไม่ละความพยายามได้เขียนคำร้อง โดยให้สาเหตุว่าเพื่ออนุรักษ์ภูมิความรู้แต่โบราณไม่ให้สาบสูญไป ทางสำนักหอสมุดได้อนุญาติในที่สุด และทางอาจารย์โยธินได้เข้าคัดลอกตำราเก่าแก่ซึ่งล้วนเป็นสมุดข่อยโบราณ มีอายุราวปลายกรุงศรีอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ บางเล่มมีอายุราวสมัยรัชกาลที่ ๖ การคัดลอกสูตรยาวิธีเล่นแร่แปรธาตุต้องอาศัยการตีความ ตีปริศนา และต้องแปลตัวขอมรวมทั้งคำไทยโบราณ จากนั้นต้องมาถามคนเฒ่าคนแก่ถึงชื่อว่านยาต่างๆ และต้องหามาปลูกเอง จากการได้ตำรามาต้องเตียมการกว่า ๒ ปีจึงหุงปรอท และในที่สุดก็สำเร็จปรอทในระดับต้น คือสามารถหุงปรอทเหลวๆ โดยไม่ต้องเข้าตะกั่ว ให้กลายเป็นก้อนขึ้นมาได้ ดังภาพที่เห็นครับ

 

อาจารย์โยธิน คล้ายดีกับหม้อหุงปรอทที่ต้องอาศัยการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินจนจนหม้ออาจระเบิดและเป็นอันตรายได้

 

อาจารย์โยธิน คล้ายดีกับพระฤๅษีที่ท่านปั้นเองจากดินจอมปลวก

จากตำราที่อาจารย์โยธินค้นคว้า ที่สำนักหอสมุดแห่งชาติมีการกล่าวถึงตำราปรอทของพระฤๅษีหลายตนเช่น พระฤๅษี ทั้ง ๕ ผู้เป็นอาจารย์ปรอทได้แก่ พระฤๅษีตาไฟ พระฤๅษีตาไว พระฤๅษีตาวัว พระฤๅษีนารอด และพระฤๅษีกัสสปะ ทั้ง ๕ ท่านนี้สำเร็จปรอท ๕ ชนิดคือ ปรอทเพชร ปรอทธาตุ ปรอทอ้ายงั่ง ปรอทสยมภู ปรอทตายพราย นอกจากนี้ยังมีตำราของพระฤๅษีสัจจพันธ์ แห่งเขาพระพุทธบาทสระบุรี และพระฤๅษีอีกหลายตน ล่วนแต่น่าอัศจรรย์น่าศึกษาทั้งสิ้น เป็นที่น่ายินดีที่ปัจจุบันอาจารย์โยธินตั้งใจอนุรักษ์และค้นคว้าวิชาปรอทเพื่อไม่ให้สูญหาย เราจึงได้เห็นภาพการกวนปรอทและปรอทสำเร็จชั้นต้น ซึ่งเป็นปรอทเพชรมาให้ดูกันแบบนี้ครับ

 

วิชาการทำปรอทนั้นลึกลับพิสดารมาก ตั้งแต่การหาปรอทมาใช้ มีทั้งการดักจับจากน้ำครำ การดักปรอทจากดอกลำโพง การดักปรอทดิน และปรอททะเล การดักนี้นับว่ายากแล้ว แต่การฆ่าพิษไล่โทษของปรอทยากยิ่งกว่า เพราะซับซ้อนมากและยากอย่างยิ่ง เมื่อไล่พิษฆ่าโทษได้การหุงขึ้นรูปยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะปรอทเหลวๆจะแปรเป็นก้อนได้ไม่ใช่เรื่องสามัญธรรมดาอีกเช่นกัน

การกวนปรอทให้เป็นก้อนโดยใช้ว่านยาซัดไปนั้นลำพังเพียงอำนาจจากว่านยาอย่างเดียวไม่พอ ในตำราฤๅษีสุพรรณคีรี กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ทำพิธีนั้นต้องมีศีลสัจจะ ผู้ใดผิดมุสาวาทหรือกล่าวคำเท็จแล้วไม่มีทางสำเร็จได้เลย อนึ่งการทำพิธีปรอทนั้นต้องบริสุทธิ์ด้วยศีลอย่างยิ่ง การทำพิธีนั้นอาศัยความสงบสงัดเป็นพื้นฐานปัจจัย ห้ามมิให้อิสตรีย่างกรายเข้ามาเด็ดขาดจะเสียพิธีได้ ระหว่างพิธีผู้หุงต้องประกอบด้วยสมาธิ มีสติ ไม่เผลอเรอ หากมีปัจจัยดังนี้ร่วมกับบุญวาสนาเก่าสั่งสมมาดีแล้วย่อมสำเร็จลงได้ ปรอทที่แปรธาตุออกมาย่อมมีฤทธิ์ มีเดช มีอำนาจ มีกำลัง

การหุงปรอท คือ การปฏิบัติธรรมดีๆนั่นเองทุกขั้นตอนต้องกำหนดสติ กำหนดสมาธิติดตาม จิตใจว่อกแว่กก็เสียพิธีทั้งสิ้น หากหุงปรอทสำเร็จก็เสมือนว่าเราสำเร็จสมาธิวิธีในระดับหนึ่งเช่นกัน

ส่วนผู้ได้สำเร็จปรอทไปนั้น ให้เอาปรอทไปบำเพ็ญเพียรทำสมาธิต่อไป ปรอทสำเร็จในเบื้องต้นจะพัฒนาไปตามกำลังจิตของแต่ละบุคคล บางท่านรับไปคราวแรกเกล็ดเพชรก็ไม่มากแต่พอไปปฏิบัติมากเข้าคราวนี้เพชรวาวเต็มเลย หรือบางท่านปรอทกลับสีสันตัวเองเป็นสีทองหรือเหลือบเขียวก็มี ล้วนเป็นที่อัศจรรย์ทั้งสิ้น

ปรอทถือได้ว่าเป็นมงคลวัตถุที่มีชีวิตจิตวิญญาณ มีการเสพทองคำเปลวเป็นอาหารหรือไอธาตุบริสุทธิ์รอบๆตัว ถ้าเป็นปรอทเพชรจะไม่กินทองเพราะเป็นปรอทอิ่มตัวแล้ว แต่ปรอทธาตุหรือปรอทอื่นๆยังกินทองอยู่ ผู้มีปรอทวิเศษหมั่นเลี้ยงปรอทด้วยสมาธิประการหนึ่ง ศีลสัจจะประการหนึ่งและทองคำเปลวประการหนึ่งจะเพิ่มฤทธิ์เดชแก่ปรอท เพิ่มพูนบารมีผู้เป็นเจ้าของด้วย

 

วิชาปรอทกับการปฏิบัติธรรมมีส่วนสัมพันธ์กันมาก ปรอทมาจากน้ำครำเสมือนจิตวิญญาณที่เสพกิเลสจนเป็นอนุสัย นอนเนื่อง ฆ่าพิษปรอทด้วยว่านยาก็เสมือนชำระกิเลสด้วยธรรมะหมวดต่างๆจนจิตสำรอกกิเลสออกมา หุงปรอทจนสำเร็จเป็นกายสิทธิ์ ก็เสมือนกับการบ่มธรรมะภายในด้วยสมถะและวิปัสสนาเผากิเลสให้สิ้นไปจากขันธสันดาน ผู้ทำตามนี้ก็สำเร็จเป็นอรหันต์กระดูกกลายเป็นแก้ว ดุจเดียวกันกับปรอทที่แปรสภาพเป็นแก้วกายสิทธิ์

วิชาปรอทจริงๆแล้วก็คือกีฬาฌาน ประเภทหนึ่งซึ่งเป็นการฝึกจิตแนวหนึ่งให้เกิดอานุภาพจิตตานุภาพ ยิ่งๆขึ้นไปมากกว่าการเข้าฌานตามปกติ เป็นการทดลองศักยภาพของจิตที่ฝึกมาเพื่อให้เห็นอานุภาพของจิตที่สามารถแปรสภถานะของธาตุหนึ่งไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ การแปรสภาพปรอทให้ได้ในระดับไหนเท่ากับเป็นการวัดว่าใจของตนศีลของตนบริสุทธิ์และมีพลังแก่กล้าระดับไหน ดังนั้นแม้ว่าคนได้สูตรๆเดียวกัน ไปทำเหมือนๆกัน แต่ผลของปรอทที่แปรสภาพออกมาก็ต่างกันอยู่ดี

จากการสัมภาษณ์กับอาจารย์โยธิน คล้ายดี กล่าวว่าใช้สูตรที่คัดมาจากสำนักหอสมุดหลายปีกว่าจะได้ปรอทเพชรทั้งๆที่ตัวยาเดียวกัน แต่ตอนแรกที่ทำไม่ได้ตั้งเครื่องบวงสรวง ใช้ตัวยายังไงมันก็ไม่แข็งตัว ต่อมาตั้งเครื่องบวงสรวงทำซ้ำเหมือนเดิมกลับแข็งตัวได้แต่ไม่เกิดประกายขึ้นมา จนจัวจุดได้ว่าเพราะเรายังขาดการปฏิบัติธรรม พอเริ่มสมาทานศีล นั่งกรรมฐาน แล้วมากวนปรอทเข้ากับตัวยาใหม่ก็ทำเหมือนๆเดิมที่ทำมาแต่ปรากฏว่ากลับขึ้นเกล็ดประกายเพชรขึ้น ต่อแต่นั้นจึงจับจุดได้ว่าปรอททำมาแล้วดีไม่ดีขึ้นอยู่กับตัวเรานั่นเอง ทุกวันนี้อาจารย์โยธินมักหาเวลาปลีกตัวไปปฏิบัติกรรมฐาน ทั้งนี้ท่านว่าคนเราเกิดมายังไงก็ตายทุกคน เจ้าของตำรากี่ท่านต่อกี่ท่านก็ตายมาแล้วทั้งนั้น การเล่นปรอทเป็นการสืบวิชาแต่โบราณเพื่อไม่ให้สาบสูญไปตามกาลเวลา แต่ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง นี่คือข้อคิดที่ท่านทิ้งไว้ให้ครับ

 

เป็นจริงดั่งว่า ขอบคุณครับ

 

อาจารย์โยธิน ท่านได้นำปรอท มาใช้กับการทำเบี้ยแก้ บ้างหรือไม่ครับ เช่น การดักปรอท เข้ามาประกอบสร้างเป็นเบี้ยแก้ ท่านอาจารย์ได้ศึกษาทางด้านนี้มาหรือไม่ครับ

 

ปัจจุบันอาจารย์โยธินไม่ได้ดักปรอท เนื่องจากธรรมชาติเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ถ้าสมัยก่อนนั้นดักปรอทได้ง่าย แต่เดี๋ยวนี้ยาก ที่สำคัญสถานที่ดีกปรอทที่ดีต้องเย็น มีหมอกลงเรี่ยดิน ปรอทที่อาจารย์โยธินใช้เป็นปรอทซื้อจากร้านขายยา แล้วนำมากวนกับว่านยาจนแข็งเป็นก้อน สำหรับตอนนี้ท่านยังไม่ได้ทำเบี้ยแก้ครับ แต่ต่อไปก็ไม่แน่ ที่ผ่านมาท่านบอกว่างานปั้นฤๅษีเยอะ เลยใช้เวลาส่วนใหญ่กับการปั้นฤๅษี ส่วนตอนเย็นๆรักษาคนที่เป็นเริมงูสวัสดิ์ และโรคต่างๆด้วยวิชาน้ำมนต์โองการมหาหมื่น

อาจารย์โยธิน ได้รับความเชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์เล่นแร่แปรธาตุจากคุณตา สมัยเด็กๆเคยฝังคุณตาเล่าถึงเสือกรับเป็นโจรร้ายที่มีวิชาอาคมสูงแต่ที่สุดก็ถูกจับได้ ตอนประหารชีวิตเสือกรับ เจ้าหน้าที่เอามีดดาบคมๆฟันลงบนคอแต่ฟันไม่เข้ามีดเด้งออกเหมือนฟันยาง เจ้าหน้าที่บอกให้เสือกรับยอมเอาของดีที่ซ่อนไว้ออกมาไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนแทงสวนทวาร เสือกรับเลยเปิเผยว่าอมปรอทวิเศษเอาไว้ ตอนเสือกรับบ้วนปรอททิ้ง คนที่ไปมุงดูการประหารเสือกรับรีบเข้าไปแย่งแต่น่าแปลกที่ปรอทของเสือกรับล่องหนหายตัวไป เลยไม่มีใครได้ไว้ มีแต่คนเอาหัวไปชนกันเพราะความโลภ ที่สุดเสือกรับก็โดนประหารไปตามระเบียบ นี่คือส่วนหนึ่งของหลายๆเรื่องที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์โยธินสมัยเด็กจนกระทั่งถึงวันนี้ครับ

 

เป็นความรู้ดีครับ เข้ามาตามอ่านครับ

 

ถ้าดิฉันมีปรอทดิบที่ยังไม่ได้ฆ่าพิษ จะสามารถหุงปรอทได้เองหรือไม่ หรือจะทำได้เฉพาะผู้มีวิชาเท่านั้นค่ะ


ตอนนี่มีอยู่บนหิ้งหนักหลายบาทอยู่ค่ะ ไปดักมาจากทางลาว จึงขอเรียนปรึกษาค่ะ

 

สวัสดีครับ ขอบคุณที่เข้ามาติดตาม ถ้าคุณมีปรอทที่ดักเองอยู่แล้ว มีข้อแนะนำดังนี้ครับ
๑ ปรอทเหลวที่ดักเองแบบนี้มีฤทธิ์ในตัวเองอยู่แล้ว ใช้ในทางกันไข้ป่า ภูติผีปีศาจได้สารพัดกันคุณไสยได้ดีครับ ครูบาอาจารย์หลายท่านอาศัยปรอทดักแบบยังไม่ชำระโทษพกพาใส่ขวดเวลาเข้าป่าเลยก็มีครับ การทำเบี้ยแก้หลายสำนักไม่ได้ชำระโทษปรอทออกก็ไม่เป็นไรเพราะปรอทอยู่ในเบี้ย อาศัยรัศมีปรอทเหลวๆก็กันได้สารพัดกัน หากนำมาเสกก็ได้คงกระพันชั้นยอดอีก

๒ หากจะหุงปรอท ต้องชำระโทษปรอทออก ขั้นตอนนี้แหละครับยุ่งยากมาก เพราะผู้ทำให้สมาทานศีลสัจจะประกาศความบริสุทธิ์ศีลของตัวเองเสียก่อน ทำน้ำมนต์ไว้ชำระอาถรรพณ์ปรอทด้วย จากนั้นมาถึงตัวยาชำระโทษปรอท หากเอาง่ายๆก็ข้าวสุกนี่แหละครับนำมาบดใส่กับปรอท เอาปรอทเทมาทีละน้อยค่อยๆขยี้ค่อยๆกวนปรอท ขั้นตอนนี้เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายนะครับ เพราะทำไปทำมาปรอทติดยางเหนียๆของข้าว เวลาจะเอาปรอทกลับคืนมาต้องค่อยๆซาวน้ำ หากขยี้ข้าวสุกให้เข้ากับปรอทได้ดี มันจะคายขี้เป็นผงสากๆตั้งขึ้นมาเป็นแท่งเลยครับ แต่ถ้าทำไม่ถึงอย่างนั้นก็พอชำระโทษเพียงบางส่วน จากนั้นนำน้ำมะนาวมาล้างปรอทโดยการแช่เอาไว้ ๑ วัน วันต่อไปใช้เกลือมาล้างปรอท วันถัดไปใช้เปลือกมังคุดบุจนน้ำเปลือกมังคุดออกมาแช่ปรอทไว้อีก ๑ วัน วันถัดไปใช้น้ำต้มตะไคร้มาแช่ปรอท วันถัดไปแช่ปรอทลงในน้ำผึ้ง วันถัดไปอีกแช่ปรอทลงในน้ำจากต้นฟ้าทะลายโจร ที่กล่าวมาเป็นการชำระโทษปรอทออกครับ อยากทราบราบละเอียดแบบลึกๆไม่ต้องรอผมนั่งพิมพ์โทรไปเลยที่อาจารย์โยธินมีเบอร์ลงไว้ให้แล้ว

ที่นี้มาถึงการหุงปรอทไม่มีข้อห้ามใครๆก็หุงได้ อยู่ที่ใจเป็นสำคัน ศีล สมาธิ ปัญญาใครๆก็สร้างขึ้นได้ในตัว แต่สูตรยาในการหุงเป็นเรื่องสำคัญด้วย ก่อนหุงเท่าที่ฟังมาจากอาจารย์โยธินท่านต้องดูฤกษ์ยามก่อน เมื่อได้กำหนดก็เซ่นสังเวยบวงสรวงเทพยดาครูบาอาจารย์ด้วยบายศรี หัวหมู ส่วนสูตรยาโทรไปถามอาจารย์โดยตรงเลยครับเพราะตรงนี้ละเอียดอ่อนมาก ข้อบอกว่าท่านไม่หวงความรู้และเป็นกันเองมากครับ

ตอบแบบสรุปนะ การหุงปรอททำได้ทุกคน ขอให้มีศีลมีความเพียรความตั้งใจจริงทำได้ทั้งนั้นครับ

 

ต้องขอขอบคุณคุณทิพยจักรเป็นอย่างสูงเลยค่ะที่นำวิธีการทำปรอทมาเขียนให้อ่านอย่างละเอียด คงต้องใช้เวลาศึกษาอีกสักระยะหนึ่งค่ะ กว่าจะหุงปรอทเป็นให้ได้ใช้ยุ่งยากทึเดียวค่ะ

ต้องขอบคุณอีกครั้งค่ะ

 

ไม่เป็นไรครับ สงสัยอะไรสอบถามมาได้เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือศีลสัจจะ ผู้ที่จะหุงปรอทได้สำเร็จก็เป็นไปด้วยบุญที่อมรมสั่งสมมา ครูบาอาจารย์เล่าไว้ว่า อันว่าตามตำราเรื่องปรอทสำเร็จเป็นวิทยาธร หรือเป็นอมตะไม่ตายมีอายุยืนยาวเป็นกัปล์นั้นคือผู้สั่งสมบุญมานับแสนชาติ ได้แก่ ๑ ผู้บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ ๒ ผู้จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๓ ผู้ปรารถนาเป็นวิทยาธรมาแต่เดิม ๔ ผู้เป็นมหาโยคี

อันว่าจะได้กายสิทธิ์ชั้นสูง อันว่าได้แล้วจะสามารถครอบครองไว้ได้ตลอดไป เนื่องด้วยกุศลแลศีลที่ได้ประพฤติมา หาได้ด้วยความอยากไม่ การหุงปรอทให้ระลึกไว้ว่าเป็นเพียงกีฬาฌานยามว่างเท่านั้น หุงแบบไม่สนใจอะไรไม่เอาความอยากเป็นตัวตั้งก็สำเร็จออกมาได้อย่างแน่นอน

 

คตทับทิม ผมว่าหลายท่านที่ศึกษาเรื่องของขลังก็น่าจะรู้จัก คำว่าคต หมายถึงของตามธรรมชาติอย่างพืชหรือสัตว์ที่กลายเป็นหิน เช่นคตขนุนทองแดง ก็คือเมล็ดขนุนที่แข็งกลายเป็นหิน คตมะม่วงคือเม็ดหินกลมๆขาวขุ่นเหมือนสีงาช้างที่อยู่ภายในเนื้อมะม่วง คตตาแมว คือเพชรตาแมวเกิดจากแมวพระโพธิสัตว์ คตทุกชนิดมีอานุภาพเป็นทนสิทธิ์และกายสิทธิ์ในตัวเอง หมายถึงอำนาจด้านคงกระพันชาตรีตลอดจนตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มีไว้ไม่ตายโหงและยังเรียกทรัพย์สินเงินทองเข้าบ้าน คตทุกประเภทจัดเป็นของวิเศษประเภทแก้วมณี มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียกว่าพระจักรพรรดิ์แฝงอยู่ภายใน

มาถึงเรื่องคตทับทิมดีกว่า คตทับทิมก็มาจากผลของต้นทับทิม บางคนมีวาสนาพบโดยบังเอิญ คตทับทิมคือเม็ดทับทิมแข็งกลายเป็นอัญญมณีซ่อนไว้ภายในใครได้ไว้ท่านว่าอำนาจของคตทับทิมย่อมทำให้เป็นสง่าราศรีมีเมตตามหานิยมล้ำเลิศ ทั้งคงกระพันกันเขี้ยวงาสารพัด

แต่ที่จะเล่าคือในตำราแต่โบราณเขามีวิธีทำคตทับทิมด้วยครับ
วิธีมีดังนี้ ท่านว่าเมื่อแรกจะปลูกทับทิมเพื่อให้ได้คตทับทิมอันวิเศษนั้น ท่านให้ขุดหลุมลึกพอประมาณ หาภาชนะดินเผาเคลือบผิวชั้นนอกอย่างดี ภายในหม้อดินนี้ให้ใส่ซากสัตว์ต่างๆไว้ เพื่อล่อปรอทลงมากิน ครั้นล่อปรอทลงในหม้อได้แล้ว จึงนำต้นทับทิมที่เตรียมไว้มาลง นานวันเข้าเมื่อทับทิมยิ่งแก่ตัวรากทับทิมจะค่อยๆดูดเอาปรอทในหม้อขึ้นมาเป็นอาหาร ปรอทที่ซ่านเข้าไปในต้นทับทิมนานวันเข้าทำให้ทับทิมเกิดตบะเดชะ ครั้ยแล้วยามทับทิมเกิดผลออกมาในแต่ละช่อให้เก็บผลทับทิมให้ดีค่อยๆแกะค่อยๆเลือกดูก็จะพบ คตทับทิมอันเกิดจากอำนาจปรอทที่ซึมไปในต้นทับทิมนั่นแล

ตำราวิชานี้ได้จากอาจารย์โยธิน คล้ายดี ท่านให้ไว้เป็นวิทยาทานครับ

 

สรรพวิชาในโลกหล้า เรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

 

วิชาจากสายโลกียะฌานนัั้น ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ล้วนลึกล้ำสารพัดจะซับซ้อน ก็เปรียบได้กับเทคโนโลยีสมัยนี้แหลครับที่ซับซ้อนและพัฒนาได้ดีแบบไม่มีที่สิ้นสุด ยากจะหาได้ว่าใครเหนือกว่าใคร แล้วแต่จริตและของเก่าของแต่ละคนว่าจะเจอกับวิชาอะไรและถูกใจสิ่งไหนเป็นสำคัญ และย้ำที่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องเล่น แต่ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทักษะของจิตได้ ทำให้เกิดกำลังใจได้ ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติชั้นต้นชั้นกลางได้ และอาศัยในการช่วยเหลือเรื่องทางโลกได้บางประการ ผู้ที่เข้าใจแล้วรู้แล้วจะผ่านเพื่อเข้าสู่ธรรมอันบริสุทธิ์กว่า

 

ปรอทเป็นโลหะธาตุที่มีคุณสมบัติพิเศษคือเป็นของเหลว มีฤทธิ์เป็นกรด ในคัมภีร์ทางไสยศาสตร์ กล่าวไว้ชัดเจนว่า ปรอท จัดเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่ง จัดเป็นภูติ มีฐานะเป็นบริวารของพญายม โดยได้รับอนุญาติให้มาเที่ยวหากินบนโลกนี้ได้ ปรอท เป็นสิ่งมีชีวิตที่กัดกันได้ทุกอย่าง คนกระเหรี่ยงเล่าวว่าถ้าปรอทหมอกมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆมันสามารถกินช้างได้ทั้งตัว โดยปรอทหมอกมันจะคลุมตัวช้างแล้วทำให้ช้างทั้งตัวเลือนหายไปในอากาศ แบบไม่เหลือซากสักนิด ปรอทถ้าไม่รวมตัวกันแต่อาศัยเหตุที่ผ่านการกินของสดของคาวมามาก มันจะติดนิสัย คอยหาเหยื่ออยู่เสมอ และอาหารที่ปรอทชอบที่สุดก็คือมนุษย์ ปกติปรอทชอบของเน่าอยู่แล้วดังนั้นศพมนุษย์จึงเป็นอาหารโปรดของปรอท แต่ถ้าได้คนเป็นๆปรอทก็ชอบเช่นกัน เวลาเข้าป่าผีโป่งที่มีลักษณะเป็นดวงเขียวอมเหลืองลอยเรี่ยดินก็คือดวงปรอทที่กำลังหาเหยื่อยนั่นเอง โดยจะหาผู้ที่นอนไม่ระวังตัวไม่ใส่รองเท้าถึงเท้าผีโป่งจะลอยลงมาหยุดที่หัวเท้าแล้วดูดเลือดคนผู้นั้นจนเกลี้ยง กลายเป็นผีเฝ้าป่าต่อไป

อาจารย์โยธิน อธิบายว่าปรอทนอกจากมีทั้งปรอทหมอก ปรอทดิน ปรอทน้ำคลำ ปรอทป่า ปรอททะเลแล้ว ปรอทก็ยังมีนิสัยต่างๆ คือปรอทบางอย่างชื่นชอบการกินของดิบของคาว ปรอทบางอย่างชอบของเน่าเหม็น ปรอทบางอย่างชอบเสพทองคำ และปรอทบางอย่างชอบว่านยาเกสรดอกไม้ ปรอทบางประเภทก็ชอบสารพิษแรงๆ
ขึ้นอยู่กับว่าที่ผ่านมาปรอทที่ได้มานั้นมาจากแหล่งไหนและบริเวณนั้นมีอาหารอะไรให้ปรอทเสพ ถ้ามาจากป่าช้าแน่นอนว่าปรอทเสพกินซากศพ ปรอทพวกนี้ผีจะกลัวที่สุด ถ้ามาจากป่า ปรอทมักลงกินดินดป่งและว่านยา ปรอทพวกนี้ใช้หุงทำปรอทสำเร็จดีนัก ถ้าเป็นปรอทน้ำคลำพวกนี้จะกินของบูดเน่ามามาก ใช้กันไข้ป่าโรคต่างๆได้ดีแต่มีพิษมากเป็นพิเศษ รวมทั้งปรอทจากร้านขาย ปรอทตามร้านขายยาคือปรอทที่ได้มาจากการสูบน้ำมัน เมื่อขุดลงไปชั้นใต้ดินก่อนถึงชั้นน้ำมันมักจะเจอชั้นของปรอทก่อน รวมทั้งการถลุงแร่ทองแดง เมื่อถลุงแร่แล้วมักได้ปรอทที่ปนมากับทองแดง ปรอทเหล่านี้เองที่ถูกนำมาขายตามร้านขายยาและถูกนำไปใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรม ปรอทที่มาจากชั้นใต้ดินก็ดีที่มาจากแร่ก็ดี ปรอทพวกนี้ก็มีฤทะในตัวเอง แต่ก็มีพิษมาก เพราะมันผ่านการสั่งสมอาหารต่างๆนาๆ มานาน จนอมพิษไว้เยอะ เมื่อชำระโทษไล่พิษจึงต้องใช้เวลามากกว่าปรอทที่ดักจากป่าหรือจากหมอก ซึ่งปรอทป่าปรอทหมอกยังไม่มีการสะสมพิษมากการชำระโทษจึงทำได้ง่ายและไม่ยุ่งยาก

วิชาปรอทจึงนับว่าเป็นวิชาเร้นลับที่อาศัยการเรียนรู้พฤติกรรรมของปรอทและทำให้ผู้ศึกษาได้รู้ได้เข้าใจในทัศนะคติใหม่ๆว่า ปรอทไม่ใช่โลหะหรือของตายแต่ผู้ศึกษาจะรู้ดีว่าปรอทมันก็คือสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งนั่นเอง

 

ภาพนี้คือลักษณะปรอททนสิทธิ์ ที่สามารถเกลือกสีตัวเองให้เป็นทองอมเขียวขึ้นมา อำนาจเด่นเรื่องค้ำชูดวงตาเจ้าของ กว่าจะหุงขึ้นมาได้ก็ยากพอสมควร ปรอทองค์นี้เสพทองคำเปลว เมื่อเอาทองคำเปลวติดพร้อมกับค่อยๆกลึงปทองคำเปลวก็จะหายไปในเนื้อปรอทตามธรรมชาติ ซึ่งข้อนี้ไม่ได้แปลกอะไร เมื่อขัดถูปรอทสักพักปรอทองค์นี้จะขาววาวดังเช่นปรอทอื่นๆ แต่เมื่อทิ้งไว้เป็นเวลา ๑ วันปรอทองค์นี้จะกลับผิวขึ้นมาอมทองอมเขียวอย่างที่เห็นครับ

 

อีกมุมนึงของปรอททนสิทธิ์ที่เกลือกสีผิวเองได้

ปรอท เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับเหล็กไหล ปรอทเมื่อนำมาหุงขึ้นรูปอย่างที่เห็นแล้วนอกจากจะมีความมหัศจรรย์ในตัวเองในการเปลี่ยนสีผิวได้ ยังมีอำนาจด้านกันเขี้ยวงาอย่างเอกอุ

สีของปรอทเมื่อเกลือกสีผิวแล้ว ถ้าเราเอามาคลึงที่ฝ่ามือครู่เดียวก็จะขาววาววับเหมือนเดิม พอทิ้งไว้อีกสักวันนึงก็จะเกลือกสีผิวเป็นสีทองอมเขียวคล้ายสีเมฆสิทธิ์ ปรอทลูกใดที่แปรสีผิวได้เช่นนี้ท่านว่ามีอำนาจด้านค้ำคูณดวงชะตาเจ้าของครับ

 

ขอบคุณ คุณทิพยจักรที่มาให้ข้อมูลครับ