ทำยังไงให้เจอผี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ป้อง, 17 พฤศจิกายน 2012.

  1. ป้อง

    ป้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +182
    เดี่ยวนี้ มีทั้งวัยรุ่นและัรายการทีวีหลายรายการพยายามหาวิธีพิสูจน์ผี ทั้งเอาขี้เถ้าผีทาตา ทั้งมองลอดหว่างขา ฯลฯ แต่ละคนต่างก็พยายามหาสารพัดวิธีที่จะทำให้เห็นผี เจอผี เลยขอตัดบางส่วนจากหนังสือ "ตอบโจทย์เรื่องผี ชี้ทางวิญญาณ" ในหัวข้อ "ทำยังไงให้เจอผี" มาให้อ่านกันว่าถ้าอยากเจอผีต้องทำอย่างไรครับ
    :boo:
    “ผี” เป็นพวก “กายละเอียด” ซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ง่ายๆเหมือนการมองเห็นคน สัตว์ สิ่งของ ต่างๆทั่วไป แต่ต้องมีเหตุปัจจัยโอกาสเวลาที่เหมาะสมเพียงพอจึงจะสามารถสัมผัสรับรู้ถึงการมีอยู่ของ “ผี” เหล่านั้นได้ ซึ่งเหตุปัจจัยหลักๆที่ทำให้เห็นหรือพบเจอ “ผี” ได้นั้น มีอยู่ ๓ ประการใหญ่ๆคือ
    :boo:
    ๑. พลังงานของผี – ผีบางตนก็มีธุระปะปังบางอย่างที่ต้องการจะบอกกล่าวสนทนากับมนุษย์เราเช่น เปรตโผล่มาให้เราเห็นเพื่อจะสื่อสารว่าช่วยทำบุญไปให้ด้วย สัมภเวสีปรากฏตัวให้ญาติพี่น้องเห็นเพื่อจะบอกว่าพินัยกรรมที่ทำไว้เก็บอยู่ที่ตรงไหน เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ “ผี” ต้องการให้มนุษย์เห็น แล้วเราจะสามารถเห็นพวกเขาได้ทุกครั้งไป ต้องขึ้นอยู่กับว่าตัว “ผี” เองนั้นมีพลังงานเพียงพอที่จะปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นได้หรือไม่ด้วย ถ้าเป็น “ผี” ที่มีพลังงานบุญกุศลน้อย โอกาสจะปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นก็ทำได้ยากเช่น สัมภเวสีบางตนที่สมัยมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญกุศลอะไรเลย ตายไปก็กลายเป็นสัมภเวสีกิ๊กก๊อก ไม่มีพลังงานฤทธิ์อำนาจจะทำอะไรได้เลย ปรากฏตัวให้ใครเห็นก็ไม่ได้ รู้หวยรู้อนาคตอะไรก็ไม่มีเลย พวกนี้ถึงอยากจะปรากฏตัวให้ญาติพี่น้องเห็นเพียงใด ก็ยากจะทำได้เพราะพลังงานของตนเองไม่เพียง แต่ถ้าเป็นผีที่มีพลังงานบุญกุศลมากแล้ว ก็สามารถปรากฏแสดงตนให้มนุษย์เห็นได้ไม่ยากเช่น พวกเทวดา พรหมทั้งหลาย แต่พวกนี้ส่วนใหญ่จะเหม็นกลิ่นสาปจากกายหยาบของมนุษย์ ไม่ค่อยอยากจะมาพบกับพวกเรานัก นอกจากคนผู้นั้นจะมีศีลธรรมอันบริสุทธิ์เช่น พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติปฏิบัติชอบทั้งหลาย หรือมีเหตุจำเป็นบางประการจริงๆเช่น โผล่มาไล่คนที่มาขโมยของวัด โผล่มาเตือนญาติให้ระวังอุบัติเหตุ เป็นต้น
    :boo:
    ๒. กระแสพลังงานที่เชื่อมโยงผีกับมนุษย์ – นอกจาก “ผี” จะมีพลังงานมากพอที่จะปรากฏตัวให้เห็นได้หรือไม่แล้ว กระแสความเชื่อมโยงทางพลังงานระหว่าง “ผี” กับ “มนุษย์” ที่เป็นผู้เห็น ก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการพบเจอผี กระแสความเชื่อมโยงในที่นี้ก็หมายถึง “ผี” กับ “มนุษย์” ผู้นั้นเคยมีบุญกรรมเกี่ยวข้องกันมาในอดีตมากน้อยเพียงใดนั่นเองเช่น สัมภเวสีตนหนึ่งมีพลังงานน้อยมาก ไม่สามารถปรากฏตัวให้ใครเห็นได้ แต่บังเอิญล่องลอยไปเจอกับมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งในอดีตเคยเกิดเป็นญาติพี่น้องกับสัมภเวสีตนนั้นมาหลายชาติภพ เป็นพี่น้องที่รักกันมากไปไหนไปกัน ทำอะไรก็ทำด้วยกันมาหลายชาติ มนุษย์คนนั้นก็อาจจะสามารถได้ยินเสียง ได้กลิ่น หรือมองเห็น สัมภเวสีตนนั้นได้ ซึ่งไม่ใช่เพราะกำลังของสัมภเวสีที่ทำให้เขาเห็นได้ แต่เป็นเพราะกระแสบุญกรรมที่ผูกพันกันมาหลายภพชาติจึงทำให้มนุษย์คนนั้นสามารถจูนกระแสจิตของตนไปคลิกเชื่อมต่อกับกระแสจิตของสัมภเวสีตนนั้นได้ง่ายกว่าปกติต่างหาก
    :boo:
    ๓. พลังงานของมนุษย์ – แม้ว่า “ผี” จะมีพลังงานน้อย และไม่มีกระแสพลังงานเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับใครมากนัก แต่ถ้ามนุษย์คนนั้นเป็นผู้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิภาวนา ฝึกฝนจิตของตนให้มีพลังอยู่เสมอ จนจิตใจมีละเอียดลึกซึ้ง มีพลังงานทางจิตสูงส่งสว่างไสวจริงๆแล้ว ก็สามารถที่จะเห็น “ผี” ซึ่งเป็นกายละเอียดได้แทบทุกชนิดทุกที่ทุกเวลาเช่น ในกรณีของ “กากเปรต” ซึ่งแม้แต่พระลักขณะซึ่งเป็นพระอรหันต์ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ต้องเป็นผู้มีกำลังจิตระดับพระพุทธเจ้าหรือพระโมคคัลลาน์ซึ่งเป็นพระอัครสาวกผู้ชำนาญในเรื่องฤทธิ์ จึงจะสามารถมองเห็นได้ หรือในบางกรณีที่มนุษย์ผู้นั้นมีกำลังจิตสูงส่งมากๆนั้น นอกจากจะทำให้ตนเองเห็น “ผี” ได้แล้ว ก็ยังสามารถเผื่อแผ่พลังงานไปให้มนุษย์คนอื่นสามารถเห็น “ผี” ได้ด้วย เช่นตอนที่ “พระพุทธเจ้า” ผู้มีพลังจิตละเอียดลึกซึ้งสว่างไสวที่สุดกว่าผู้ใดในสามแดนโลกธาตุได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามให้ได้เห็นซึ่งกันและกันอย่างทั่วถึงพร้อมกันหมด สัตว์นรกก็เห็นมนุษย์และเทวดาได้ มนุษย์ก็เห็นสัตว์นรกและเทวดาได้ เทวดาก็เห็นสัตว์นรกและมนุษย์ได้
    :boo:
    ดังนั้นการที่ใครสักคนจะเจอ “ผี” หรืออยากเจอ “ผี” นั้น อย่างน้อยที่สุดต้องมีเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๓ ข้อข้างต้นเกิดขึ้นคือ พลังงานของผีมีมากพอ หรือผีตนนั้นกับมนุษย์คนนั้นมีกระแสพลังงานเชื่อมโยงกัน หรือมนุษย์คนนั้นมีพลังงานทางจิตที่มากและละเอียดเพียงพอ จึงจะสามารถพบเจอ “ผี” ได้ ซึ่งในเหตุปัจจัยทั้ง ๓ ประการนี้ “พลังงานของผี” ก็เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเราก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าผีตัวใดจะมีพลังงานมากน้อยเพียงใด หรือ “กระแสพลังงานที่เชื่อมโยงผีกับมนุษย์” ก็เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้ว่าเราเคยสร้างบุญกรรมในอดีตชาติมากับผีตนใด มีเพียง “พลังงานของมนุษย์” เท่านั้นที่เป็น “ปัจจัยที่เราควบคุมได้” เพราะเราสามารถสั่งตัวเองให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิภาวนาให้จิตมีความละเอียดเพียงพอที่จะเห็นผีได้
    :boo:
    ดังนั้นถ้าเราอยากเจอผี ก็ไม่ต้องไปคอยอ้อนวอนผีให้ปรากฏตัวมาให้เห็นเพราะเราควบคุมผีไม่ได้ ไม่ต้องไปคอยเดินหาผีที่เคยมีบุญกรรมผูกพันกับเราเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าผีตนใดเคยผูกพันกับเรามา แต่ขอให้ขยันหมั่นฝึกฝนจิตตนเองด้วยการสวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิภาวนาอยู่เสมอจนจิตเรามีพลังงานเข้มแข็งสว่างไสวเพียงพอดีกว่า เพราะเราสามารถสร้างได้ด้วยตนเอง ควบคุมได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปพึ่งพาใครอื่นที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อจิตเรามีพลังงานสูงพอเมื่อใด เราอยากเห็นผีตนไหน อยากได้ยินเสียงเทวดาองค์ใด อยากช่วยใครให้เห็นญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วคนใด เราก็สามารถทำได้เองทั้งหมด ไม่ต้องรอพึ่งพาใคร ไม่ต้องไปนั่งทำพิธีพิลึกพิลั่นร้อยพันประการที่มนุษย์คิดจินตนาการกันไปเองว่าช่วยให้เห็นผีได้เช่น นั่งปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกตอนเที่ยงคืนแล้วจะเห็นผี ก้มหัวมองลอดใต้หว่างขาตัวเองแล้วจะเห็นผี เอาขี้เถ้ากระดูกคนตายมาทาตาแล้วจะเห็นผี ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงความบังเอิญที่มีใครสักคนทำแล้วได้เจอ “ผี” (ซึ่งไม่รู้ว่าเป็น “ผีจริงๆ” หรือ “ผีคิดไปเอง”) ก็เลยคิดว่าวิธีการเหล่านั้นทำให้เห็นผีได้จริง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการที่เราเดินกินอมยิ้ม แล้วเจอสาวๆยิ้มให้ เราก็เลยคิดไปเองว่าการกินอมยิ้มเป็นเหตุให้สาวๆยิ้มให้ ทั้งที่จริงแล้วเป็นแค่บังเอิญว่าวันนั้นสาวคนนั้นยิ้มให้กับเพื่อนเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังเราพอดี เราเลยนึกไปว่าสาวยิ้มให้เรา พอต่อมาคนนั้นเลยกินอมยิ้มทุกวันเพื่อหวังให้สาวยิ้มให้อีก แต่กินจนฟันผุหมดปาก ก็คงไม่มีสาวใดยิ้มให้อีก เพราะมันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เหตุปัจจัยที่แท้จริงแต่อย่างใด
    :boo:
    นอกจากการหมั่นสวดมนต์ไหว้พระเจริญภาวนาฝึกฝนจิตจนมีพลังงานเพียงพอที่จะเห็นผีได้แล้ว เรายังต้องฝึกฝนจิตให้ละเอียดลึกซึ้งมากพอที่จะเห็น “ผี” ได้ตามที่ “ผี” เขาเป็นจริงๆด้วย เพราะมีบ่อยครั้งที่พวก “คนเห็นผี” ทั้งหลาย เขามีความสามารถพอจะเห็นผีได้ แต่กลับไม่ได้เห็นผีของจริงเพราะจิตเขาไม่ละเอียดลึกซึ้งเพียงพอเช่น บางคนไปเดินดูตามสถานที่ซึ่งเคยมีสงครามสู้รบมีคนตายกันมากๆ พอตั้งจิตดูปุ๊บ กูเห้นภาพคนรบราฆ่าฟันกันเต็มไปหมด ก็เลยคิดว่าผีที่ตายในสงครามเหล่านั้นยังวนเวียนทุกข์ทรมานสู้รบกันอยู่แถวนั้นไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ทั้งที่จริงๆแล้วหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะเคยเล่าให้ผมฟังว่า ผีพวกนั้น หลายตนเขาไปเกิดกันหมดแล้ว ภาพที่พวกนี้เห็นเป็นเพียงภาพเก่าที่ค้างอยู่เท่านั้น ไม่ใช่ภาพของโลกวิญญาณในปัจจุบันจริงๆ แต่จิตของเขาไม่ละเอียดพอ เลยเห็นแต่ภาพหรือพลังงานที่ค้างเอาไว้ เห็นแล้วก็นึกว่าจริง ไปเที่ยวป่าวประกาศว่าแถวนั้นวิญญาณเฮี้ยน ผีดุ ยังรบราฆ่าฟันกันเป็นร้อยเป็นพันตน ไม่ได้ไปผุดไปเกิด ทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะเหลือค้างอยู่แค่ ๒ – ๓ ตนเท่านั้นก็มี
    :boo:
    หรือบางคนเห็นดวงวิญญาณแต่งตัวมอมแมมเดินไปมา ก็เลยนึกว่าเป็นสัมภเวสีตกยาก เที่ยวไปเล่าว่าแถวนี้มีผีตกยากอยู่นะ ทั้งที่จริงๆแล้วที่เขาเห็นแต่งตัวมอมแมมนั้น ผีไม่ได้แต่งตัวมอมแมม แต่จิตของคนเห็นผีนั้นมืดมัวมอมแมมเองต่างหาก ผีตนนั้นอาจเป็นเทวดาชั้นสูงใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณีหลากสี รัศมีสว่างไสวไปไกลหลายกิโลเมตร แต่คนเห็นดันจิตมืดจิตไม่ดีเอง เหมือนคนใส่แว่นดำ มองไปบนท้องฟ้าตอนกลางวันที่มีแสงแดดสดใส ก็เลยนึกว่าวันนี้ท้องฟ้ามืดมัวจัง ทั้งที่จริงๆแล้วท้องฟ้าไม่มืดมัว แต่เป็นเพราะตัวเองใส่แว่นดำบังตาจนมองมืดมัวไปเองต่างหาก ดังนั้นเมื่อเห็นผีครั้งใด จึงต้องพิจารณาให้ดีด้วยว่า เราเห็นจริงไหม และสิ่งที่เห็นนั้นจริงแค่ไหน ไม่ใช่ไปเห็นเทวดา แต่ตาตัวเองมืดเลยนึกว่าเป็นผีกระจอก เดี๋ยวท่านหมั่นไส้หาว่าไปดูถูกท่านจะลำบากนะครับ
    :boo:
    หรือบางครั้งผีก็ทำให้เขาเห็นอย่างที่ผีต้องการ ทำให้เราเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงเช่น บางคนเข้าไปขโมยของวัด ตัวท่านเป็นเทวดารูปร่างสวยงาม แต่ท่านก็ต้องจำแลงตนเป็นเสือตัวใหญ่นยักษ์ขนดำทะมึน เพื่อออกไปไล่ให้ขโมยนั้นหวาดกลัวและหลบหนีไป ขโมยคนนั้นก็เลยเที่ยวไปเล่าว่าที่วัดนั้นมีผีเสือสมิงดุมาก ทั้งที่จริงๆท่านเป็นเทวดาชั้นสูงก็มี หรือบางกรณีที่เขากลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่บ้านเก่า แม้ท่านจะเป็นเทวดารูปร่างสวยงาม แต่ท่านก็อาจจะจำแลงตนกลับมาในร่างเดิม เพราะถ้าท่านมาใรรูปของเทวดาแล้ว ญาติพี่น้องย่อมจะจำท่านไม่ได้แน่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในรูปลักษณ์ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเช่น ก่อนตายขาซ้ายเป็นอัมพาต ท่านก็มาในรูปของคนขาซ้ายเป็นอัมพาต ก่อนตายท่านโดนยิงเลือดเต็มเสื้อ ท่านก็มาในรูปคนที่มีเลือดเต็มเสื้อ เพื่อให้ญาติพี่น้องจำได้ว่าท่านเป็นใคร แต่พอญาติพี่น้องเห็นอย่างนั้น หรือฝันถึงในลักษณะนั้น ก็ดันเข้าใจผิดคิดไปต่างๆนานาว่า ท่านมาหลอกหลอนบ้าง ดวงวิญญาณท่านกำลังทุกข์ทรมานเพราะมาในรูปขาเดี้ยงเลือดอาบ ก็เลยเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มห้องไห้ทำบุญให้ท่านกันเป็นการใหญ่ ทั้งที่จริงๆแล้วท่านเสวยบุญอยู่บนสวรรค์สุขสบายกว่าญาติพี่น้องไม่รู้กี่เท่าก็มี
    :boo:
    ดังนั้น การจะ “เห็นผี” ได้นั้น จึงต้องฝึกฝนจิตใจให้ละเอียดลึกซึ้งเพียงพอที่จะเห็นผีซึ่งเป็นกายละเอียดได้อย่างเป็นจริงด้วย ซึ่งการจะฝึกฝนให้จิตมีความละเอียดลึกซึ้งและมีกำลังเพียงพอที่จะเห็นผีได้อย่างถูกต้องนั้น เราต้องฝึกทั้ง “สมาธิ” และ “ปัญญา” ควบคู่กันไป เพราะการฝึก “สมาธิ” ทำให้จิตเรารวมนิ่งเป็นหนึ่งเดียว มีกำลังเพียงพอที่จะเห็นผีได้ ส่วนการฝึก “ปัญญา” ทำให้จิตเราเกิดความสว่างสดใสห่างไกลกิเลสเครื่องหมองมัว ทำให้เห็นผีได้ชัดเจนตามความเป็นจริง ถ้าฝึกแต่สมาธิอย่างเดียวก็เหมือนไฟฉายที่มีแต่ถ่านไฟฉาย แม้ถ่านจะมีกำลังไฟแรงแค่ไหนก็ส่องสว่างไม่ได้ แต่ถ้าฝึกแต่ปัญญาอย่างเดียว ก็เหมือนถ่านไฟฉายที่มีแต่หลอดไฟ แม้หลอดไฟจะดีมคุณภาพแค่ไหน ถ้าไม่มีถ่านไฟฉายช่วยส่งกำลังไฟให้ มันก็สว่างไม่ได้ ดังนั้นหากอยากเห็นผีได้อย่างถูกต้องชัดเจนตามความเป็นจริงจึงต้องฝึกฝนทั้ง “สมาธิ” และ “ปัญญา” ควบคู่กันไปอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ โดยต้องมี “ศีล” เป็นพื้นฐานคอยควบคุม เพราะหากไม่มี “ศีล” ควบคุมกายวาจาใจในเบื้องต้นแล้ว “สมาธิ” และ “ปัญญา” ก็ยากจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่ง “ศีล” ก็เปรียบได้กับกระบอกไฟฉาย แม้จะมีถ่านไฟฉายกำลังแรงเพียงใด มีหลอดไฟคุณภาพสูงเพียงใด แต่ถ้าขาดกระบอกไฟฉายคอยเป็นโครงบังคับให้ถ่านไฟฉายและหลอดไฟสามารถทำงานร่วมกันได้แล้ว ถ่านไฟฉายและหลอดไฟก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์เลย แม้จะเอาหลอดไฟมาต่อกับถ่านโดยตรงโดยไม่พึ่งกระบอกไฟฉาย ถึงไฟจะสว่างได้แต่มันก็ง่อนแง่นคลอนแคลน วงจรพร้อมจะหลุด ไฟพร้อมจะดับได้ตลอดเวลา
    :boo:
    ฝึกไม่ยากเลยครับ เลือกคำภาวนามาซักหนึ่งคำที่ภาวนาแล้วใจสบายและจำได้ง่ายเช่น พุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ ฯลฯ ภาวนาไปก็นึกถึงภาพพระที่ตนเองเคารพบูชาไปเช่น พระพุทธชินราช หลวงปู่ทวด สมเด็จโต ฯลฯ ภาวนาไปเรื่อยๆจนจิตเบาสบาย ภาพพระสว่างสดใสชัดเจนในใจ ถ้าภาพชัดนิ่งสบายก็กำหนดดูให้สบายๆอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าภาพเริ่มส่าย จิตเริ่มฟุ้งซ่าน ก็หันมาใช้ปัญญาพิจารณาธรรมต่างๆเช่น กำหนดดูซิว่าร่างกายแต่ละส่วนนี้ควบคุมได้ไหม ไม่ให้มันแก่ได้ไหม ไม่ให้มันป่วยได้ไหม ไม่ให้มันตายได้ไหม ควบคุมไม่ได้เลย มัยจึงไม่ใช่ตัวเราของเรา พิจารณาไปเรื่อยๆจิตที่ฟุ้งจะค่อยๆหมดกำลังและกลับมาสงบอีกครั้ง เมื่อจิตสงบก็พักจิตให้สบาย เมื่อจิตขยับอีกก็พิจารณาอีก ดึงไปดึงมาระหว่างพักกับพิจารณาเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกำหนดบังคับแยกแยะว่าจะต้องทำสมาธิให้สงบเท่านั้น พิจารณาวิปัสสนาให้เกิดปัญญาเท่านี้ จิตปัจจุบันเป็นยังไง ก็ทำไปตามนั้น “สงบก็พัก ขยับก็พิจารณา” ทำไปเรื่อยๆ จิตจะได้รับการฝึกทั้งกำลังแห่งสมาธิและความสว่างไสวแห่งปัญญาอย่างสมดุลพอเหมาะพอดีกัน สุดท้ายแล้วจิตก็จะได้รับการขัดเกลาจนละเอียดลึกซึ้งมีกำลังและความสว่างไสวเพียงพอที่จะเห็นผีและโลกวิญญาณได้อย่างละเอียดชัดเจนถูกต้องได้ในที่สุด และไม่ใช่จะเห็นได้แค่ผีเท่านั้น ทำไปทำมาอาจจะเห็นไปถึงพระนิพพานอันสว่างไสวกว่าแดนใดเพราะดับทุกข์และกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหมดได้แล้วโดยสิ้นเชิง
     
  2. cmdeveloper

    cmdeveloper Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +61
    ถ้าสมาธินิ่งก็จะสามารถมองเห็นได้ใช่มั้ยครับ
     
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เราอาศัยอยู่ที่ประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งในยุโรป จะว่าไปจะเรียกตัวเองว่า ghost hunter ก็ได้เพราะเราชอบภาพถ่ายแนว ติดวิญญาณซึ่ง ทำเป็นงานอดิเรก และกำลังอยากจะทำเป็นอาชีพคือภาพที่มีการจัดฉาก ให้สวยงามลึกลับ ในขณะที่มีสิ่งลึกลับ เช่นวิญญาณ หรืออสุรกาย มติดไปด้วย.....เรามีภาพพวกนี้อยู่หลายภาพ ทั้งผีในประเทศไทย และในต่างประเทศอีกหลายประเทศ และเริ่มสนใจเรื่องวิญญาณมาตั้งแต่ที่คนในครอบครัวสามคนเสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกัน เรามีเทคนิคการทำยังไงให้ถ่ายรูปติดผี ซึ่งจะเอามาลงในเวปนี้ทีหลังเวลาว่างๆพร้อมรูปถ่ายติดผีด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2012
  4. nonsuwan

    nonsuwan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +48
    ท่านนี้สุดยอดเลย ความรู้ทั้งนั้นขอ โมธนาครับ
     
  5. ป้อง

    ป้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +182
    ผีเป็นกายละเอียด ถ้าเราทำจิตให้ินิ่งละเอียดได้พอๆกับเขา เราก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นเค้าได้ครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยากให้เห็นรึเปล่า หรือเรามีความเกี่ยวข้องกับเขาแค่ไหน ถ้าเขาปิดไว้ เราต้องมีกำลังจิตละเอียดกว่าเขาถึงจะเห็นได้เช่น เขาเป็นเทวดา ไม่อยากให้เราเห็น จิตเราต้องถึงระดับฌาณ จิตเป็นพรหมถึงจะเห็นเขาได้ หรือไม่ก็ใช้มโนมยิทธิ ให้พระท่านช่วยสงเคราะห์ให้เห็น

    เวลาทำสมาธิหรือบุญอะไร ก็ตั้งจิตอธิษฐานสำทับลงไปด้วยก็ได้ครับว่า สิ่งใดที่เกี่ยวเนื่องกับข้าพเจ้า ขอให้ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ จะได้ช่วยเพิ่มกำลังทางนี้ได้จากอธิษฐานบารมีให้มากขึ้น ทำใจสบายๆครับ ถ้าอยากเห็นจะไม่เห็นเพราะมันเป็นนิวรณ์ ถ้าทำไปสบาย ทำใจสบายๆ มีอะไรปรากฏก็รู้ตามนั้น เดี๋ยวก็เห็นครับ ไม่ใช่ของยากเกินไป ถ้าจะให้ดีก็นึกถึงพระ ให้พระท่านช่วยให้เห็นด้วยก็ยิ่งดีครับ จะกันอุปาทานได้มากขึ้น หรืออะไรเห็นแล้วจะเป็นโทษ ไม่มีประโยชน์ ท่านจะปิดไม่ให้เห็นไปเอง ปลอดภัยดีกว่าครับ
     
  6. ป้อง

    ป้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +182
    ถ้าอยากถ่ายภาพผีติดนี่ ยากหน่อยนะครับ เพราะต้องให้เขาทำให้เห็นในระดับกายหยาบพอควร กล้องถึงจะถ่ายติดได้ ถ้าเขาเป็นสัมภเวสีทั่วไป พลังงานน้อย ขอเขาให้ถ่ายติดยังไง เขาก็ทำให้ติดได้ยากครับ เพราะพลังงานไม่พอ หรือผีบางตนมีพลังงานพอ แต่เขาไม่อยากให้คนมายุ่ง ถ่ายยังไงเขาก็ไม่ให้ติดครับ
    ยังไงถ้าอยากจะถ่ายใหติดมีโอกาสมากขึ้น เวลาไปถ่ายที่ไหนก็กำหนดจิตให้เบาๆสบายๆ ตั้งจิตอุทิศบุญกุศลให้ภพภูมิทั้งปวงแถวนั้นมาอนุโมทนาบุญกับเรา เขาจะได้มีพลังงานมากขึ้น เป็นมิตรกับเรามากขึ้น แล้วตั้งจิตอธิษฐานเช่น "ขอให้ถ่ายภาพวิญญาณหรือพลังงานติด เพื่อเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่ความเข้าใจในเรื่องโลกวิญญาณให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้คนเข้าใจเรื่องบุญกุศลการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีอยู่จริง พระพุทธองค์ทรงสอนควมจริง เพื่อให้ทุกคนไม่ประมาทในชีวิต..." ตั้งจิตเป็นกุศลแบบนี้ก็จะมีโอกาสถ่ายติดมากขึ้นครับ ลองดูนะครับ
     
  7. savika-amim

    savika-amim Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +47
    เนื้อหาดีค่ะ น่าสนใจมากเลย อ่านจนจบเลย ได้ความรู้เรื่องจิตวิญญาณดีมาก ๆ ค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
     
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันมีเคล็ดลับมาจากเวปของพวก ghost hunter ของต่างประเทศคะ ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะถ่ายติดไหมถ้าทำตามเคล็ดลับที่ว่า.... แต่ของดิฉันถ่ายติด สองภาพ.... ภาพนึงถ่ายในสุสานที่ต่างประเทศ มีเงาร่างขาวๆบางๆเป็นผู้หญิงสวมผ้าคลุมผมลูกไม้แบบเจ้าสาว อีกภาพเป็นตอนกลางคืนใต้เสาไฟฟ้าแถวบ้าน ตอนถ่ายไม่มีคนบริเวณนั้น แต่พอถ่ายออกมามีเป็นผู้ชายยืนอยู่ไม่ชัด ไกลๆ ดิฉันมองว่าภาพวิญญาณเป็นเหมือนศิลปะอีกอย่างหนึ่ง และเชื่อว่าถ้าเราอยากเจอเขาและต้องกล้าพอเราก็สามารถเจอเขาได้
     
  9. chatbong

    chatbong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +120
    หรือบางครั้งผีก็ทำให้เขาเห็นอย่างที่ผีต้องการ ทำให้เราเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงเช่น บางคนเข้าไปขโมยของวัด ตัวท่านเป็นเทวดารูปร่างสวยงาม แต่ท่านก็ต้องจำแลงตนเป็นเสือตัวใหญ่นยักษ์ขนดำทะมึน เพื่อออกไปไล่ให้ขโมยนั้นหวาดกลัวและหลบหนีไป ขโมยคนนั้นก็เลยเที่ยวไปเล่าว่าที่วัดนั้นมีผีเสือสมิงดุมาก ทั้งที่จริงๆท่านเป็นเทวดาชั้นสูงก็มี หรือบางกรณีที่เขากลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่บ้านเก่า แม้ท่านจะเป็นเทวดารูปร่างสวยงาม แต่ท่านก็อาจจะจำแลงตนกลับมาในร่างเดิม เพราะถ้าท่านมาใรรูปของเทวดาแล้ว ญาติพี่น้องย่อมจะจำท่านไม่ได้แน่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในรูปลักษณ์ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเช่น ก่อนตายขาซ้ายเป็นอัมพาต ท่านก็มาในรูปของคนขาซ้ายเป็นอัมพาต ก่อนตายท่านโดนยิงเลือดเต็มเสื้อ ท่านก็มาในรูปคนที่มีเลือดเต็มเสื้อ เพื่อให้ญาติพี่น้องจำได้ว่าท่านเป็นใคร แต่พอญาติพี่น้องเห็นอย่างนั้น หรือฝันถึงในลักษณะนั้น ก็ดันเข้าใจผิดคิดไปต่างๆนานาว่า ท่านมาหลอกหลอนบ้าง ดวงวิญญาณท่านกำลังทุกข์ทรมานเพราะมาในรูปขาเดี้ยงเลือดอาบ ก็เลยเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มห้องไห้ทำบุญให้ท่านกันเป็นการใหญ่ ทั้งที่จริงๆแล้วท่านเสวยบุญอยู่บนสวรรค์สุขสบายกว่าญาติพี่น้องไม่รู้กี่เท่าก็มี
    ....................................................................................................
    อยากถามนิดนึงค่ะ ในกรณีที่ฝันถึงคุณแม่ ที่เสียไปแล้ว มาในสภาพ
    ป่วยเท้าเป็นแผลน่ากลัวอยู่ เดินไม่ได้ และ มาในสภาพเสื้อผ้า มีขี้เถ้าติดตัว
    เหมือนถูกเผาเสื้อผ้าไหม้ แต่หน้าตา ดูอิ่มเอิบ จะมาให้เห็นบ่อย ตอนช่วงไม่ขาดการสวดมนต์ นั่งสมาธิ
    อาจจะแปลว่า ท่านไม่ได้ ทุกข์ทรมาน แต่มาในสภาพ
    ที่เรา จำภาพนั้น เอาไว้ จนกลายเป็นจิตใต้สำนึก
    แล้วเก็บไปฝันหรือเปล่าคะ
    หรือท่านอยากมาบอกว่า ท่านทุกข์ ทรมานอยู่จริงๆ
    แต่คุณแม่เป็นคนที่ชอบทำบุญตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
    เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าท่านเป็นอย่างไร จะไปเสวยบุญ อยู่ หรือ ทุกข์ทรมานจริงๆ
     
  10. ป้อง

    ป้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +182
    ถ้าในกรณีนี้ ท่านน่าจะไปสบายดีแล้วล่ะครับ แต่เวลาท่านมาหา ท่านก็มาในสภาพเหมือนตอนที่ท่านป่วยก่อนเสียชีวิต เพราะเป็นภาพที่ติดตาเรา เราจำท่านในภาพนั้นได้ง่ายก็เลยมาในแบบนั้นให้เราจำได้ ไม่ต้องกังวลไปครับ แต่เพื่อความสบายใจ ก็ให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระทำบุญเสมอๆ ทำบุญครั้งใดก็บอกกล่าวให้คุณแม่มาอนุโมทนาบุญกับเราด้วยตลอดเวลาตลอดชีวิต แล้วก่อนนอนทุกวันให้นอนภาวนาจนกว่าจะหลับไป จะพุทโธ นะมะพะธะ สัมมาอะระหัง หรือกำหนดลมหายใจ นึกภาพพระ อะไรก็ได้ เพื่อให้จิตเบาสบายละอียดเป็นบุญกุศลที่สุดก่อนหลับ แล้วลองตั้งจิตอธิษฐานดูก็ได้ครับว่า ถ้าคุณแม่ไปสบายดีแล้ว ได้รับบุญแล้ว ขอให้มาเข้าฝันบอกกล่าวให้เราได้เห็นตามความเป็นจริงด้วย ถ้าจังหวะที่หลับ จิตมันเบาสบายกำลังดี ท่านอาจจะมาบอกเราได้ครับ ช่วงครึ่งหลับครึงตื่นนี่ จิตมักจะเบาสบายกำลังดี ติดต่อกับโลกวิญญาณได้ค่อนข้างง่ายครับ ลองดูนะครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เมื่อวาระมาถึง..อยู่เฉยๆก็สามารถมองเห็นได้.ไม่ว่าจะด้วยตาเนื้อ.หรือช่วงที่จิตเป็นทิพย์แบบตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ.. ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เค้าแวะเข้ามาหรือเราส่งออกไปรับรู้ ไปดู.ไปเห็นไปทราบเอง..

    การเห็นได้ไม่ใช่ประเด็นหลัก..ประเด็นหลักเราต้องทราบถึงสิ่งที่เห็นแล้ว
    ขยายความเป็นวัตถุประสงค์
    ของการเห็นสิ่งนั่นๆ..เพื่ออะไร.ยังประโยชน์อะไรกับตัวเราได้บ้าง..น้อมสิ่งที่
    เห็นเข้ามาสู่ตัวเราในทางทำให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ขี้นได้ไหม..เช่น เห็นแล้ว
    รู้จักทำบุญอุทิศส่วนกุศล มีเมตตาเพิ่มขึ้นไหม..เชื่อในบุญในบาป อะไรทำนองนี้.ฯลฯ
    .ถึงจะเป็นการเห็นที่ถูกต้องตามหลักการทางพุทธศาสนาที่ควรจะเป็น..
     
  12. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ตรงไหนผีเยอะก็ลองไปดูดิครับ เช่นป่าช้า เมรุพึ่งเผาศพ และก็ตามวัดโดยเฉพาะกำแพงวัด
     
  13. natyakuza

    natyakuza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +345
    ขอบคุณมากๆครับ เป็นความรู้ที่ดี
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    รู้สึกว่าเวลาที่จิตโปร่งๆ สบายๆ จึงจะเห็นพวกเขาค่ะ
    คงคล้ายๆกับคลื่นจูนมาตรงกัน
    เหมือนเวลาที่เราฟังวิทยุค่ะ
    ไม่ทราบว่าพวกเขาเหงาหรือเปล่า
    ไม่เคยได้คุยกันสักครั้ง......
     
  15. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    จากประสบการณ์คนเห็นผี...
    ผมก็ไม่สามารถบอกได้น่ะถ้าในสภาพปกติ ปกติคือไม่ได้มีฤทธิ์แห่งสมาธิมาช่วย เพราะเวลาจะเห็นก็เห็นเอง รู้เอง ทั้งได้ยินเสียง ได้กลิ่นธูปหรือกลิ่นเหม็น หรือเห็นเป็นแสงคล้ายๆพรายน้ำซึ่งก็เป็นรูปร่างคล้ายคน จนขนาดที่เห็นเป็นตัวตนคล้ายคนเลยก็มีแถมมีพยานบุคคลด้วย แต่จะให้มีอำนาจทำให้เห็นดังใจนึกคงไม่ได้ และในขณะที่เห็นก็ไม่ได้มีความกลัวหรือหวาดหวั่นอะไร ผมสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนอยู่ประถมจนมีอายุ ก็มีมาให้เห็นเป็นระยะๆ แล้วแต่โอกาสแต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากเห็นเลยแม้แต่สักครั้ง ไม่รู้เป็นบุญ หรือ เป็นบาปน่ะ แต่มันก็ทำให้ผมเชื่อสนิทใจ ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งทำให้ไม่มีความลังเลสงสัยเลยแม้แต่น้อยในพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย ไม่มีที่สุดอื่นใดแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นไม่ใช่ผี ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่พรหม แต่อยากเห็นจิตของตัวเองให้ลึกซึ้งถึงที่สุดต่างหากล่ะ สิ่งอื่นเห็นไปก็เท่านั้น ไม่เป็นสรณะ
    ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม...
     
  16. ไร้หนทาง

    ไร้หนทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    376
    ค่าพลัง:
    +2,274
    ผมว่านะไม่เห็นจะดีกว่านะครับ เห็นเเล้วอดสงสารไม่ได้ ตอนมีชีวิต ไม่รู้จักทำบุญ
    เเต่พอตาย ก็มาขอส่วนบุญ เเต่อย่างว่านะ ดวงตาเห็นธรรม มันไม่เหมือนกันนี้น่า
    จะว่ากันไปก้ไม่ดีอีกเเละครับ ผีดี ผีร้าย ก็มีเยอะ บางพวกก็ไม่เต็มใจตายเเต่ต้องมาตายกระทันหัน กับพวกทีพร้อมจะตายทุกเมื่อ เอาเถอะครับ ใครอยากเห็นจะไม่ได้เห็น (ยกเว้นมีสำผัสทีหก)(ผมพิมถูกใหมครับเนี้ยคำนี้อะ) จบป.6เอง โง่มากเลยผม
    ใครไม่อยากอาจจะได้เห็น(พวกจิตอ่อน) พวกจิตเเข็ง กายหยาบ จิตก็หยาบอีกยิ่งยากไปใหญ่ เเล้วถ้าไม่เชื่ออยู่เเล้วละก็ ยิ่งยากๆๆๆๆๆไปใหญ่เลย
    ผีนะเห็นทุกวันอยู่เเล้ว ก็คือตัวเราไงครับ ผีดิบครับผม ส่วนคนทีเห็นบ่อยๆๆก็เเล้วเเต่บุญ เเละบารมีทีสะสมมาครับ ผม กระทู้นี้ ดีครับผมก็ชอบ อ่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...