มณู ซึ่งเฝ้าแอบดูพฤติกรรมของนางมาโดยตลอด จึงสั่งให้ทาสคนหนึ่งส่งข่าวไปบอก นางปัทมาวดี ว่า... นครินทร์ กลับมาแล้ว ตอนนี้คอยเธออยู่ ในถ้ำแห่งหนึ่ง เกรงว่าท่านเศรษฐีจะเปลี่ยนใจจึงยากให้เธอ พาไปพบกับท่านเศรษฐีด้วยตนเอง ความตื่นเต้นและดีใจ นางไม่คิดฉงนใจเลยว่ามันเป็นหลุมพรางของ มณู ผู้รออยู่ในถ้ำแห่งนั้น เธอหาอุบายหลอกคนใช้ของเธอแล้วฉวยโอกาสเดินทางมาถ้ำแห่งนั้น แต่เพียงลำพัง! เมื่อไปถึงเห็นชายคนหนึ่ง ยืนหันหลัง อยู่ภายในถ้ำ ซึ่งมีแสงประทีปจากคบไฟ สลัวๆ...ณ สถานที่แห่งนี้เอง มันเคยถูกใช้เป็นที่นัดหมาย ระหว่าง นครินทร์ กับนางปัทมาวดี เมื่อครั้งรู้จัก แรกรักกันใหม่ๆ แต่คราครั้งนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่!นางวิ่งตรงเข้าสวมกอด ชาย ที่คิดว่าเป็นนครินทร์จากด้านหลัง เมื่อความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยขึ้น.... เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามตอนต่อไป!
ขอเล่าส่งท้ายนะ จะเข้าห้องพระแล้ว... น้อง กุสุมา ใช้ความพยายามอย่างมากทั้งวันที่จะเข้ามาโพสข้อความทักทาย แนะนำตัว..รั้งก็สอนทาง ไลน์ มาตลอดถ่ายรูปบ้าง สอนวิธีบ้างมาสรุปตรงที่ น้องเค้าทำทุกอย่างถูกต้องหมดค่ะ..แต่เธอโพสข้อความหรือ ส่งพีเอ็มอะไรไม่ได้เลยค่ะ แต่ทำได้ แค่มาอ่านเท่านั้นเธอเลยสับสนมาก..แปลกนะคะ...
แมว..เอ๋ย...แมวเหมียว อย่าทีเดียวเชียวนะ จงเร่งรีบบอกเรามาโดยเร็วไว ข้า ฯ คือ ใคร ? ใคร คือ ข้า ฯ แล้วลูกใคร..? หว่า ..เอ๊ะ.!! งง ๆๆๆๆ เด๋ว.ววว ให้ปลาทูทอดของโปรดเรา..เป็นรางวัลแก่เจ้า..(ติดสินบน..แมว.ววว) ฮ่า. เราให้เลือก ระหว่างปลาทู(อยู่ทะเล)...ก๊ะ...หมวกกัน(แมว)น๊อค อิอิ...
ก่อนที่จะอ่านนิทานพญานาค ก็อ่านเรื่องปยานาคเล่านิทานไปก่อนน้า ตำนานรักอมตะของสองเชื้อชาติแห่งดินแดนล้านนา ซึ้งมากๆ ความ รักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ภายในความสวยงามนี้กลับซ่อนไว้ซึ้งความทุกทรมารความเจ็บปวด การรอคอย........ คนรักกลับมา คำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้ในวันที่ต้องพลัดพราก เรื่องราวของความรักที่อมตะจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญทุกท่านติดตามได้เลยค่ะ ตำนานรักอมตะ เจ้าน้อยสุขเกษมและมะเมี๊ยะ ต่างเชื้อชาติวรรณะ ...อมตะสะเทือนใจ เจ้าอุตรการโกศล น้อยศุขเกษม ณ เชียงใหม่ หรือ เจ้าน้อยศุขเกษม ราชโอรสองค์ใหญ่ใน พลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ สมรสกับ เจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ พระญาติในราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ภาดาและภคินีตามลำดับต่อไปนี้ 1. เจ้าอุดรการโกศล (น้อยสุขเกษม) 2. เจ้าหญิงบัวทิพย์ 3. เจ้าราชบุตร (วงษ์ตะวัน) (ลำดับ 1-3 เกิดแต่แม่เจ้าจามรี) 4. เจ้าพงษ์อิน 5. เจ้าหญิงศิริประกาย 6. เจ้าอินทนนท์ (ลำดับ 4-6 เกิดแต่หม่อมเขียว) ตอนนั้นเชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม ทางเชียงใหม่ส่ง เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นเจ้าอาของเจ้าน้อย ไปอภิเษกกับ ร. 5 เป็นการผูกสัมพันธ์ ตอนนั้นเจ้าดารารัศมีอายุแค่ 13 เอง... เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สิ้นชีวิตในปี 2440 ลูกสาวที่ถูกเรียกลงเป็นเจ้าจอมที่บางกอกเมื่ออายุได้ 13 ปี (พ.ศ. 2430) คือเจ้าดารารัศมีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเผาศพพ่อ และแผ่นดินเชียงใหม่ก็ไม่มีเจ้าผู้ครองนครเพราะสยามไม่แต่งตั้งผู้ใด นั่นคือช่วงปี พ.ศ. 2441 - 2442 ขออันเชิญพระฉายา เจ้าน้อย ศุขเกษม ชายหนุ่ม รูปงาม และใจงาม พ.ศ. 2441 เจ้าน้อยถูกส่งไปเรียนที่ รร.เซนต์แพทริก เป็น รร.แคธอลิกของฝรั่งที่พม่า โดยแอบส่งไป ขี่ช้างไป เพราะตอนนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีเรื่องกับไทยอยู่ เจ้าน้อยไปตอนอายุ 15 เพราะทางบ้านต้องการให้ได้ภาษาอังกฤษ เพราะค้าขายกับอังกฤษในพม่า
เจ้าน้อยได้พบมะเมียะแม่ค้าสาวสวย ซึ่งเพิ่งมาจากตองอู เจ้าน้อยอายุ 19 มะเมียะอายุ 15 ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน จนอายุ 20 เจ้าน้อยเรียนจบถูกเรียกกลับเชียงใหม่ เจ้าน้อยเลยเอาเมียกลับมาด้วย โดยให้ปลอมเป็นเด็กรับใช้ชาย เอาเมียไปแอบในเรือนเล็ก โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้หมั้นเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้าสุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อยฯ เป็นการภายในตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพม่า เจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงาน เลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมียะ เอามะเมียะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ ปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือเจ้าน้อยเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไปจากเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ ซึ่งเป็นพระเจ้าลุง เรื่องนี้ไปถึงสยาม ร. 5 กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเห็นว่าไม่ควร เลยส่งผู้สำเร็จราชการมาเจรจา บอกว่าเจ้าน้อยจะมีเมีย กี่คนไม่ใช่ปัญหาแต่ต้องไม่ใช่สาวพม่า เพราะว่าคนพม่า ถือสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวอังกฤษจะถือโอกาสแทรกแซง ว่าแต่งกะพม่า ก็ต้องถือว่าเป็นพม่าด้วย (ช่วงนั้นมีการต่อสู้กันเรื่องดินแดนฝั่งซ้าย-ขวาแม่น้ำโขง) ที่สำคัญเจ้าน้อย เป็นเจ้าชายของเชียงใหม่ ถูกวางตัวไว้ให้เป็นเจ้าอุปราชเชียงใหม่ เท่ากับว่าสยามอาจต้องเสียเชียงใหม่ให้อังกฤษ ก็เลยบังคับส่งมะเมียะกลับพม่า (ไปส่งกันที่ประตูหายยา) เจ้าน้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน เดือนจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนกูบช้าง เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้มอบเงินทองจำนวนหนึ่ง (ซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าแม่จามรีมอบให้นางก่อนเดินทางกลับเป็นการปลอบขวัญ) แก่พ่อแม่และน้อง จากนั้นนางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด เดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ มะเมียะจึงตัดสินใจเข้าพึ่งใต้ร่มพุทธจักร ครองตนเป็นแม่ชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม หลังจากที่มะเมียะทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ (เจ้าหญิงบัวนวลถอนหมั้นไปแล้ว) แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่ตนจะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษมผู้ยึดสุราเป็นที่พึ่งดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ ชีวิตที่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตสมรส ท่านไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูง พี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน ๘๐ บาท ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ
เจ้าน้อยหลังจากกันกับแม่ชีคราวนั้น.....ก็เอาแต่กินเหล้าไม่มีใจรักเจ้าบัวชุม ในที่สุดก็ตรอมใจตายหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปีในขณะที่อายุแค่ 33 ปี ในบันทึกบอกว่าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคพิษสุรา อีก 6 ปีต่อมาหลังจากพบแม่ชีมะเมี้ยครั้งสุดท้าย ส่วนแม่ชีมะเมี้ยะ... บวชจนสิ้นอายุขัยเสียชีวิตในวัย 75 ปี ใน พ.ศ.2505 ผู้บันทึกเรื่องนี้คือ เจ้าบัวนวล คู่หมั้นคนแรกที่ถอนหมั้นไปหลังจากรู้ว่าเจ้าน้อยมีมะเมี้ยะ... ส่วนเจ้าบัวชุมไม่ผิดอะไรเลย แต่สามีไม่รักก็อยู่เป็นข้าบาทจาริกาจนอายุ 81 ปี เจ้าบัวนวลกล่าวไว้ว่า ตลอดชีวิตเจ้าน้อยรักผู้หญิงคนเดียวจนสิ้นลม คือ มะเมี๊ยะ หลังจากนั้นเรื่องของเจ้าน้อยกับมะเมียะก็ถูกสั่งห้ามพูดถึงไปหลายปีเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ต้องปิดบัง รายละเอียดเลยหายไป กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ หรือ สุสานราชตระกูล ณ เชียงใหม่ เป็นสุสานหลวงที่ เจ้าดารารัศมี พระราชชายาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ของผู้ครองนครเชียงใหม่ มาประดิษฐานรวมกัน ณ บริเวณลานวัดสวนดอกวรมหาวิหารแห่งนี้ ซึ่งรวมถึงกู่ของเจ้าน้อยศุขเกษมด้วย มีคำบอกเล่ากันว่า กู่เล็กๆ ที่ไม่มีชื่อ ในบริเวณนี้คือกู่ของมะเมียะ หมายเหตุ - "หมะเมียะ" ภาษาพม่าแปลว่ามรกต; หมะ คือคำนำหน้านาม เมียะ คือชื่อ ค่ะ - เจ้าเมืองเชียงใหม่สมัยราชวงศ์กาวิละ (เจ้าเจ็ดตน) ในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยะมหาราช เจ้าน้อยศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ซึ่งประสูตรจากเจ้าหญิงจามรี รัชทายาทของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งไปศึกษาต่อที่เมืองมะระแหม่งตั้งแต่อายุได้ เพียง ๑๕ ปี และได้ใช้เวลาอยู่ ณ ต่างด้าวต่างแดนถึง ๕ ปีเต็มๆ เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นชายหนุ่มรูปงาม ซึ่งชาวพม่า มอญ ยกย่องสรรเสริญความงามของหม่อมเจ้าน้อยศุขเกษมเสียเลิศลอย [ame="http://www.youtube.com/watch?v=AIxP5qznixg&feature=channel&list=UL"]04 มะเมี๊ยะ - YouTube[/ame]
ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน...ก็คุยเรื่องพระเจ้าตากกันหลายคนแล้วเน้อ.อออ เราก็คุยสักตี๊ด.ดดด อิอิ... วันนี้ค่อนข้างสบายใจหน่อย.ยยย หลังจากที่ออกแบบเหรียญพระเจ้าตากแล้ว..โรงหล่อทำไม่ถูกใจ ครั้งนี้ถ้าเป็นอย่างที่เค้าพูดไว้..ก็คงจะสำเร็จ.. การจัดทำเหรียญพระเจ้าตากเพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างศาล ณ วัดแจ้ง จ.อุทัยธานี ด้านหน้าเป็นพระองค์ท่านเหมือนกับรูปหล่อที่จะจัดทำพิธีเททองหล่อในวันที่ ๖ พ.ย. ๕๕ ด้านหลังเป็นพระปรางค์วัดแจ้ง ซึ่งมีรูปลักษณะเช่นเดียวกับวัดอรุณ... ไปก่อนแระ..(สำหรับแมว..เอ๋ย..แมวเหมียว..ฝากไว้ก่อนเด๊อ.ออออ) ขอให้สบายกาย สบายใจ ทุกทุกคนนะจ๊ะ ...เสือดาว* (หมู่นี้งานยุ่ง..เลยค่อนข้างจะดุ ขอเป็นเสือก่อนละกัน..ฮิ)
เท่าที่ทราบในสายของหลวงพ่อฯ รัชกาลที่ ๕ ท่านลาพุทธภูมิเข้าพระนิพพานแล้วค่ะ และพระเจ้าตากสินท่านก็ลาเข้าพระนิพพานเรียบร้อยแล้ว แต่ท่านทั้งสองเป็นคนละองค์นะคะพี่นุ๊ก
เรื่องนี้พี่ทราบมาจากครูบาอาจารย์ของพี่อีกทีค่ะ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะทั้งสมเด็จพระปิยฯ และหลวงพ่อโอภาสี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ของพี่เช่นกัน เป็นเรื่องของอจิณไตย ถ้าพูดแบบนี้ทุกคนก็คงจะพากันส่ายหน้า
ไม่เป็นไรค่ะพี่นุ๊ก ถือว่าำเสนอเรื่องนี้ในมุมมองที่ต่างออกไปก็แล้วกันค่ะ เพราะหนูก็ไม่ได้รู้เห็นเอง เพียงแต่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังเช่นกัน ไม่แปลกค่ะที่ท่านยังมาสอนลูกศิษย์ในสมาธิ เหตุจากการลาพุทธภูมิ เมื่อท่านเข้าพระนิพพานได้แล้ว ท่านก็ย่อมต้องเก็บบริวาร ลูก เครือญาติของท่านเข้าด้วย ความเมตตาของท่านไม่มีประมาณ... คงจะยกเว้นไว้สำหรับพวกที่ต้องการจะเกิดต่อ เหตุเพราะปรารถนาพุทธภูมิเช่นกัน ซึ่งมีส่วนน้อย... เรื่องนี้เป็นอจิณไตยจริง ๆ ค่ะ ขอยอมรับ อาจจะเป็นความเชื่อเฉพาะตน... สมเด็จพ่อ ร.๕ ท่านได้ลาพุทธภูมิแล้ว และจะไม่เกิดอีก และการลาพุทธภูมิของท่านในครั้งนี้ก็ได้ทำให้เหล่าบริวารของท่าน ได้บรรลุธรรมมากมายและได้เข้าพระนิพพานตามท่าน สมหวังดังตั้งใจ ไม่ต้องทุกข์ทรมานเพราะการเกิดอีก....จะหาใครเปรียบเสมอเหมือนท่านได้อีกในสามภพภูมินี้
เรื่องของรัชกาลที่ ๕ หรือพระเจ้าตาก ...เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่..แฮะ แต่รู้ซึ้งในน้ำพระทัยของพระเจ้าตากดีว่า..พระองค์ท่าน อดทน กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มั่นคง.. ...กู้ชาติ กู้ศาสนา และก็.รักชาติ รักศาสนา...เหนือยิ่งกว่าสิ่งใด... (เสือดาว)
ขอบคุณมากนะค่ะ ที่อวรพรค่ะ ช่วงนี้ฝ้ายก็เหมือนเดิมค่ะยังคงป่วยเหมือนเดิมแต่ก็ยังดีอยู่ค่ะ ยังไม่แย่เท่าไหร่ คุณพิมพัดดาก็ดูตัวเอง ดูแลสุขภาพให้ดีๆๆด้วยนะค่ะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยค่ะ เดินทางก็ดูถนนดีๆๆด้วยนะค่ะเดี่ยวจะไปสะดุดอะไรเข้า ขอให้พระคุ้มครองค่ะ