จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,079
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ขอกราบขอบคุณในธรรมทานจากทุกท่านด้วยครับ
    ความรู้ ความรู้สึก และคำแนะนำ จากทุกท่าน ได้ช่วยให้ผู้ที่ประสบกับเรื่องคล้ายๆกัน
    แต่ไม่สามารถบอกเล่าออกมาเป็นถ้อยคำได้ ได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ครับ
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอให้กลับไปเป็นเด็ก ... เพื่อกลับบ้านเดิม

    ถึงวันนี้ทุกท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่เพลาแล้วครับ
    ผมคิดว่าคงไม่น้อยแล้วนะครับ

    ผ่านอะไรมาเยอะ ซึมซับมาเยอะ
    เรียนมาเยอะ รู้มาเยอะ
    สุขมาเยอะ ทุกข์มาเยอะ
    ฝึกมาเยอะ ผิดหวังมาเยอะ
    ความรู้เยอะ ..... เยอะไปหมดทุกสิ่งที่ท่านมี

    บางอย่างท่านเก็บไว้ ... เพราะคิดว่าเราทำได้ดี
    บางอย่างท่านทิ้งไปเลย เพราะคิดว่า ไม่เข้ากับเรา และจดจำไว้ว่า ... ไม่ใช่ทางของเรา

    ณ วันนี้ ... เมื่อท่านได้มาทำจิตเกาะพระ

    แน่นอน เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการสอนธรรมะที่เคยมีมา
    ถ้าเป็นคนที่คิดเพียงเปลือกก้อคงไปแล้วหละ ผมมั่นใจ...

    แต่คนที่ยังอยู่และพยายามนั้น ... ท่านคงเห็นแล้วว่า
    แก่น และวิธี ของจิตเกาะพระนั้น ตรงตามวิธีของการเดิน มรรค ผล ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปเลย ... ท่านถึงทำใช่ไหมครับ

    แต่สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ ของเก่า

    ท่านพ่อท่านสอนเสมอ ว่า .... ให้อยู่กับปัจจุบัน

    ปัจจุบัน ... คำนี้ ลึกซึ้งมากเลยนะครับ ทำเป็นเล่นไป

    ถ้าเรา ยังไม่วางอัตตา ตัวเรา ของเรา ลง ... ยากนักที่จะก้าวหน้า

    เราขอให้ท่านกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งได้ไหมครับ ... ได้ไหม

    เด็กที่ ...
    พ่อแม่ ... เอาอะไรป้อนก้อกิน
    ไม่โกหก ... รู้สึกอย่างไร ก้อแสดงออก
    สงสัยก้อถาม ... ไม่เก็บไว้
    ไม่มีของเดิม ... สอนอะไรก้อทำ

    มีความเพียร ไม่เลิกที่จะทำ

    เห็นขั้นตอนของเค้าไหม

    ช่วงแรก .... นอนอย่างเดียว / ร้อง
    ช่วงต่อมา .... เริ่มพลิกตัวได้
    ต่อมา .... คลานได้ / พูดอ้อแอ้
    ต่อมา .... ตั้งไข่ / พูดเป็นคำๆได้
    สุดท้าย .... เดิน / พูดได้มากขึ้น

    แต่ละขั้นแต่ละตอน เราจะเรียกว่า เด็กมีพัฒนาการ

    ท่านคงเดิน คงพูด คงด่า คงบ่น คงวิ่ง คงล้ม คงตีลังกา จนลืม วันที่ผ่านมาแล้วสินะครับ ว่า กว่าเราจะเดิน วิ่งได้ / จะพูด จะด่า ได้

    เราทำอะไรมาบ้าง เพียรแค่ไหน กว่าจะทำได้ ... แต่ท่านก้อทำได้ใช่ไหม

    ทั้งผู้ที่เริ่มทำ และผู้ที่ทำจนถึงอนาคามีพรหมนั้น

    วางของเดิมลงให้หมด ... ให้ตัวท่านเองว่างที่สุด ให้เหมือนเด็กทารก ที่พร้อมจะเรียนรู้อีกครั้ง ด้วย ความว่าง ไม่สงสัย เชื่อมั่นในครู ในพระ ใน นิพพาน

    กำลังใจ ... อย่าให้ตก
    ความเพียร ... ต้องเต็มเปี่ยม
    ความสงสัย ... อย่าให้มี
    ความอยาก ... อย่าให้เกิด
    เกาะพระ ... เกาะให้แน่นที่สุด ตลอดเวลา
    ศีล ... อย่าให้พร่อง
    สมาธิ ... ต้องมีตลอด
    ปัญญา ... หมั่นพิจารณาไตรลักษณ์
    สติ ... ต้องมีตลอด อย่าให้หลุด

    ก้มหน้าก้มตาทำป ทางของเรา ก้อทางของเรา อย่าไปสนใจทางของคนอื่น

    สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น ... ขอให้เชื่อมั่นเถอะครับ ว่า ตรงที่สุดแล้ว

    ถ้าท่านทำจริง ด้วยใจมุ่งตรงนิพพานจริง เอาจริง ก้อจะได้จริงๆ

    ขอให้ทารกธรรมทุกท่าน เดินมรรคต่อไปนะครับ เอาให้ถูกหลัก มีครูแล้ว ใช้ให้เป็นประโยชน์นะ

    มีพระอริยะอยู่กับตัวเป็นที่ปรึกษาตัวต่อตัวแล้ว ดีแค่ไหน รู้ไหม

    คนอื่นเค้ามีโอกาสอย่างท่านรึป่าว ลองคิดดู

    มีของดี ทำความเพียรต่อไปนะครับ

    ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร อดีตผ่านมาอย่างไร

    วันนี้ เจอ จิตเกาะพระ แล้วก้อทำนะครับ เอาให้สุดทาง

    จะได้พาจิตกลับบ้านเดิมเสียที

    ผมขอเอาใจช่วยทุกท่าน ขอให้มีความก้าวหน้าทุกท่านนะครับ

    แต่สุดท้าย ธรรมนั้นอยู่ในตัวท่านเอง จะให้คนนอกยัดเข้าไปคงไม่ได้

    ท่านต้องทำเองนะครับ ... อย่าลืม

    ธรรม อยู่ข้างใน ... หาให้เจอ ด้วย จิตเกาะพระ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม

    ธรรมชาติสวัสดีครับ

    วิทย์ จบ.11 (5 สค 55)


     
  3. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อุษาวดี; กิเลสกรรมเป็นยังไง เหรอค่ะ

    หมายถึงการกระทำอันก่อให้เกิดเป็นกิเลสใน รัก โลภ โกรธ หลง
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอบใจครูวิทย์มากที่ออกมาช่วยเตือนจิตของพวกเรา

    การเตือนจิตนี้ ก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ของดวงจิตของพวกเรา
    อย่าไปคิดมาก เพราะครูทุกท่าน เขามีแต่ให้ไม่เห็นหรอ
    และครูแต่ละท่านก็ทำงานทางโลก เหมือนกับพวกเราทุกคน
    เพียงแต่ท่านเสียสละเวลา นอกเหนือจากงานประจำ แทนที่ครูทั้งหลายเอาเวลาไปทำอย่างอื่น
    เช่น ไปนอนพักผ่อนอยู่กับตนเอง
    อย่างครูวิทย์ท่านแย่ใหญ่ เพราะลูกท่านแค่อายุ5ขวดเอง อย่างครูเพ็ญสบายหน่อยไม่มีลูก
    ผมก็สบายหน่อยลูกโตหมดแล้ว ไม่ห่วงแล้ว

    และพวกเราส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เลยว่า ผม ครูเพ็ญ และครูจิตบุญทุกท่านกำลังทำอะไรเพื่อพวกเรา
    ตอนนี้พวกเราไม่ต้องไปรับรู้ก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ตั้งใจปฎิบัติ
    โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน
    สำหรับผู้ที่กำลังใจมีไม่มากพอ ก็ขอให้สร้างกำลังใจไปเรื่อยๆกันก่อน
    เช่น ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะ
    หรือทำจิตเกาะพระกันพลางๆก่อน ทำจนกว่าจิตจะพัฒนา ก็คือ จิตนิ่งขึ้นไหม
    ขอให้พวกเราปฎิบัติก่อนนะ อย่าเพิ่งสงสัยกันมาก
    ความลังเลหรือความสงสัยนี่ มันคล้ายๆกับปัญหาของตนเองมากเลยนะ
    แต่ถ้าผู้ที่ปรารถนาพระนิพพานชาติ แต่ปฎิบัติไม่ได้ผลสำเร็จ ก็ไม่เป็นไร
    แต่ยังดีกว่าผู้ไม่ปฎิบัติ อย่าลืมนะการสร้างทรัพย์ภายในนี้(บุญภายใน)
    จะถูกสะสมไปตลอดทุกภพชาติเหมือนกับกิเลสตนเองเลย
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติไปไม่ถึงพระนิพพาน อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็หนีจากอบายภูมิเป็นดีที่สุดแล้ว
    แต่ถ้าจิตของผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้ เมื่อตายไป จิตจุติที่ชั้นพรหม ดีแค่ไหนแล้ว
    คุณก็คิดเอาเอง หรือถ้าจิตไม่ทรงฌาน แต่ก็ถือว่าท่านได้นำจิตกระทำแต่ความดี
    หรือได้นำจิตตนเองไปอยู่ฝ่ายบุญ กุศลตลอดเวลา โน้นสวรรค์ชั้นสูง(สวรรค์มีทั้งหมด6ชั้น)

    แต่ครูทุกท่านทราบดี ว่าที่ท่านกำลังถามนั้น เป็นคำถามก่อนหรือหลังปฎิบัติ
    อย่าเอาแต่ถามๆก่อนเลย ครูตอบได้ แต่ตอบไปก็เท่านั้น อย่างมากก็แค่รู้เฉยๆเดี๋ยวเราก็ทิ้งไป
    แต่การดูจิตนั้น พวกเราจะต้องถาม ถามจนแน่ใจว่า วิธีทำถูกต้องแล้ว อันนี้ให้ถามมาเยอะๆ
    เพราะถ้าเราทำโดยไม่เข้าใจแล้ว จะงง จะชาในการปฎิบัติมาก อันนี้ถามกันได้นะ
    แต่ไม่ใช่ตั้งคำถามทั้งๆที่ยังไม่เคยลงมือปฎิบัติกันเลย
    เพราะการเรียนรู้จิต เรียนรู้ธรรมกันนี้ เราจะต้องอาศัยสติไปเรียนรู้จิตก่อน เมื่อสติพอจะตามจิตทัน
    จนสติไปรวมกับจิตได้ ที่เราเรียกกันว่า สมาธิ นั่นแหล่ะ พวกเราจึงจะเกิดปัญญา
    และเราจะต้องปฎิบัติให้ต่อเนื่อง จิตเขาจึงจะเข้า/ทำวิปัสสนาทีหลัง
    และจิตก็จะไปพบธรรมในที่สุด และสตินี้จะต้องน้อมนำจิตในขณะที่จิตปัญญา(จิตพร้อมใช้งาน)
    น้อมนำไปพิจารณาในธรรมตามกฎไตรลักษณ์ ซึ่งจะเป็นธรรมตัวสุดท้าย
    จะได้เป็นการย้ำให้จิตตนละปล่อยวางกับทุกสิ่งนั่นเอง

    พวกเราก็อย่าประมาทกันให้มากนะ
    ผู้ที่กำลังนำจิตตนเองไปยึด ไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมากนี้
    ขอให้พวกเราจงรับรู้กันโดยทั่วไปนะว่า ขาของท่านกำลังไปอยู่ดินแดนอบายภูมิ
    นรกภูมิกันแล้ว ท่านรู้ตัวกันบ้างไหม๊?
    แต่สำหรับท่านที่รู้ตัวแล้ว ก็ให้รีบเดินทางตรงกันได้แล้ว
    ทางที่ว่านี้ ก็คือ มรคคมีองค์๘ หรือศีล สมาธิ ปัญญา
    โดยให้พวกเราผู้ปฎิบัติจงเคร่งครัดต่อศีล๕(ศีลหยาบ)ของตนให้ครบก่อน
    โดยวัดที่ตัวเจตนาเป็นหลัก โดยไม่ต้องไปถามใครๆ ตัวของเราเองก็ตอบกันไดแล้ว
    ว่าตนเองทำผิดศีลไหม๊? เอาแค่ศีลหยาบให้ได้ก่อน เรื่องนี้สำคัญมาก
    ศีลเปรียบเสมือนรากฐาน เสาเข็ม โครงสร้าง กระดูกคนเรา
    เพราะต่อไปถ้าผู้ปฎิบัติธรรม จะมัวเอาแต่สติ ทำสมาธิหรือฌาน ญาณกันนั้น
    ขอบอกได้คำเดียวว่า ไปไม่รอด เพราะท่านกำลังฝืนกฎธรรมชาติ ฝืนการเดินมรรควิธีที่ถูกต้อง
    ท่านกำลังฝืนการปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ท่านกำลังฝืนใจตนเองด้วย
    และท้ายที่ผู้ปฎิบัติเองนั่นที่จะต้องตกม้าตายตอนจบ
    อย่างอื่นไม่สนใจได้ แต่ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่าน ได้โปรดรับรู้ไว้เลยว่า
    ท่านกำลังดื้อ/ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์รึเปล่า?
    ไปคิดกันเองนะ โตๆกันแล้ว
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สาเหตุหลัก
    ของผู้ปฎิบัติธรรม
    ที่ไม่ค่อยเจริญในธรรมเท่าที่ควร​

    ก็เพราะว่า...
    *ขออนุญาตฉายหนังม้วนเก่า ให้สำหรับผู้มาใหม่
    ***ครูทุกท่านกำลังตามแก้ไขจิตให้กับพวกเราอยู่ตลอดเวลา
    ขอให้พวกเราตั้งใจรับการปฎิบัติกันด้วยนะครับ(ขอร้อง)

    1.เรื่องศีล
    2.เรื่องสติ
    3.เรื่องกรรมดี กรรมชั่ว โดยเฉพาะในปัจจุบัน(ทุกขณะจิต)
    โดยเฉพาะขอให้(เน้น)กระทำแต่กรรมดีให้ได้ทุกขณะจิต
    หรือขอให้กระทำแต่กรรมดีเพียงอย่างเดียว โดยให้หยุดกระทำความชั่วให้เด็ดขาด
    เพราะกรรมในปัจจุบันนี้สำคัญยิ่งยวดกว่า ส่วนกรรมทั้งดีหรือไม่ ปะปนกันไปในครั้งอดีต
    ปล่อยทิ้งลงน้ำไปเลย อย่าได้เสียเวลากับมันอีกต่อไป ขอให้พวกเรามาเริ่มกรรมที่ดีเพียงอย่างเดียว
    และต้องเป็นกรรมดีในปัจจุบันทันด่วนด้วย
    4.เรื่องกรรม โดยเฉพาะไม่ดีในอดีต(ให้ทำบุญหนีกรรม ไม่ใช่ให้ไปตัดกรรม)
    เพราะไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะไปตัดกรรมเอง หรือมีใครมาช่วยตัดกรรมของพวกเรา อย่าเข้าใจผิด กรรมดีกับกรรมชั่วส่งผลทั้งคู่อย่างแน่นอน
    แต่ถ้าใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เราก็เข้าอุเบกขาไปเท่านั้นเอง
    ที่พวกเราเคยทำผิดมากันมาในครั้งอดีตกาล คนส่วนใหญ่ก็มักจะทำผิดกันแทบทุกคน
    ไม่เป็นไร ขอให้แก้ไขดังนี้
    *ขอเน้นกรรมที่หนัก และขอให้รีบไปแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว
    อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน เดี๋ยวกรรมไม่ดีจะตามมาเอาคืน อย่านิ่งนอนใจ
    เพราะสิ่งเหล่านี้แหล่ะจะไปรบกวนจิตของผู้ปฎิบัติโดยตรง ในขณะที่กำลังปฎิบัติ
    เพราะจะเป็นตัวขัดขวางมิให้จิตเรานิ่ง หรือเป็นสมาธิ หรือพบความสงบสุข
    อย่างเพิ่งไปพูดถึงความว่างเลย

    เรามิให้พวกเราไปสนใจในกรรมดีหรือไม่ดีที่ผ่านมาแล้วก็จริงอยู่
    แต่เราก็ต้องสำนึกด้วยความจริงใจและแผ่อุทิศบุญกุศลให้กับพวกเขาไป
    มันถึงจะแฟร์

    ส่วนกรรมที่ไม่ดี กรรมที่ล่วงเกินที่ว่านี้ อันได้แก่...
    4.1.กรรมล่วงเกินพระรัตนตรัย(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)
    แก้ไขโดยการ:
    สวดขอขมากรรมก่อนนอนทุกคืนยิ่งดี

    4.2.กรรมที่ล่วงเกินกับคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้มีพระคุณ
    (โดยเฉพาะผู้ที่เลี้ยงดูเรามาและถ้าใครที่มีปัญหากับครูที่สอนเรามา ก็เหมือนกัน มักไม่ค่อยได้ดี)
    แก้ไขโดยการ:
    นำพวงมาลัยดอกไม้ขนาดพอดีพอได้(อย่าให้ดูน่าเกลียด)
    ไปกราบขอขมากับท่าน(สารภาพผิดเป็นกันไหม๊?)
    และก็ขอให้ท่านกล่าวว่า ได้ยกโทษให้แก่เราทั้งหมดแล้ว
    เป็นอันเสร็จพิธี

    4.3.กรรมทำแท้ง กรรมอันนี้หนักมาก ได้โปรดคอยเตือนกันให้มาก ผู้ที่ยังไม่ได้กระทำ
    ถือว่าโชคดีมาก หรือผู้ที่เคยพลาดไปแล้ว แต่กรรมยังไม่มีผล ขอตอบว่ามีแน่ชาตินี้แหล่ะคอยดู
    แต่ถ้าใครรู้ตัวให้รีบแก้ไขให้ถูกต้องโดยด่วน
    ไม่แนะนำไปแก้กรรม เพราะไม่มีใครหน้าไหนทำได้ ได้ก็แค่ระงับ แต่ไม่ได้รับแก้ไขให้ถูกทาง
    ขอบอกเสียก่อนนะว่าโดยเฉพาะดวงจิตที่อาฆาตนั้นมันแรงมาก
    ต่อให้เจอหมดผีก็ตาม แต่ถ้าท่านดวงตกเมื่อเขาจะเอาสองเด้ง ไปคิดดูนะ
    เพราะขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่ไปยุ่งเกี่ยว กับคำว่า กฎแห่งกรรม
    เพราะศาสนาพุทธจะเดินเส้นขนานกันตลอดเวลา คือจะไปด้วยกับ
    เพราะเป็นกฎธรรมชาติเหมือนกัน
    แก้ไขโดยการ:
    (แผ่/อุทิศบุญกุศล) โดยเฉพาะบุญจากการ 1.การเจริญสติภาวนา(บุญจากกรรมฐาน)
    2.บุญจากการบวชพระ 3.บุญจากการตักบาตรเทโว 4.บุญจากการเททองหล่อพระ

    4.4.กรรมจากการเอาชีวิตกัน(ฆ่าคนตาย)
    ส่วนการแก้ไขก็จะคล้ายๆกับการทำแท้ง เพียงแต่ต้องเอ๋ยคำว่า ตอนนี้ได้สำนึกผิดแล้ว
    และจะไม่กระทำกับใครอีก ไม่ว่าคนหรือสัตว์ หรือรวมไปถึงการเบียดเบียดธรรมชาติ
    แล้วอุทิศบุญกุศลไปให้กับเขา โดยจะต้องเอ๋ยนาม/ชื่อของเขาให้มาโมทนาบุญที่เราทำไปให้กับเขาด้วย
    ผมอยากแนะนำกับผู้ปฎิบัติในนี้ ที่ทำกันได้ง่ายที่สุด เราไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองด้วย
    คือบุญจากที่พวกเรากำลังปฎิบัติจิตเกาะพระกันนี่แหล่ะ แต่ขอให้กระทำในขณะที่จิตนิ่ง
    จิตเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌาน อันนี้จะยิ่งดีมาก คือได้บุญเยอะตามไปด้วย
    แต่อย่ารอใกล้สมาธิ ฌานถอยกันนะ อันนั้นพลังจิตมีไม่มากพอ เด๊่ยวบุญไปไม่ถึงพวกเขาอีก
    และกระทำบ่อยๆจนกว่าเขาจะให้อภัยไปสักวันนึงเอง มิใช่ทำแค่ครั้งเดียวนะ
    เราเคยทำผิดกับเขา เราเองก็ต้องตั้งใจทำ/ทำบุญให้เขาไปตลอดชีวิตของเรานั่นแหล่ะ

    ขออนุญาตไปพักเหนื่อยก่อน
    ผมสงสารพวกครูทุกคนจัง เพราะสอนจิตเกาะพระ สอนจิตคนนี่
    มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ จะบอกให้
    เพราะนอกจากผู้ต้องผ่านจิตยกก่อน จิตก็ต้องทรงฌานด้วย
    และที่สำคัญจะต้องใช้สมาธิ หรือพลังจิตมากในการตอบปัญหาให้กับพวกเราด้วย
    ขอให้พวกเราได้โปรดสงสาร เมตตาครูของพวกเราด้วย
    ท่านเสียสละโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น จากพวกเราเลย
    เป็นคุณจะทำไหม๊? ยิ่งเป็นนิสิต ครูอาจารย์ นักวิชาการ นักธุรกิจ นักการเมืองยิ่งแล้วใหญ่
    ไม่มีใครมาสนใจให้ความช่วยเหลือกัับเรื่องแบบนี้กันหรอก
    เพราะนอกจากจะเสียเวลา แถมไม่ได้อะไร คนส่วนใหญ่เขาก็คิดกันแบบนี้ทั้งนั้น
    มีคนจำนวนน้อยที่คิดแบบครูที่นี่ แต่ไม่ใช่มีที่นี่ที่เดียวนะ ที่อื่นก็มี แต่ก็นับว่าน้อยไป
    ถ้าเทียบคนจำนวนมากแล้ว
    มันจึงเป็นเรื่องยาก และผมเองก็เคยตามหาครูมานับแรมปีมาแล้ว
    โดยเฉพาะที่ครูทำหน้าที่ สนใจดูจิตพวกเราถึงขนาดนี้กัน
    ขนาดจิตอยู่ที่ตนเองแท้ๆก็ยังไม่สนใจกันเลย
    หรือคุณพ่อ คุณแม่ของพวกเราก็ยังไม่สนใจ หรือมาช่วยฝึกจิตของลูกเลย
    แต่ท่านก็เลี้ยงดูเราให้เติบใหญ่ก็แย่อยู่แล้ว แค่นี้ก็เป็นพระคุณมากโขแล้ว
    เพราะ(บางท่าน)ก็ยังเอาตัวเองแทบไม่รอด เพราะ(บางท่าน)ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม
    แต่ถ้าท่านได้ดวงตาเห็นธรรมก็ลองไปโปรดท่านดูนะ ว่ามันยากง่ายเช่นไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2012
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานของครูเพ็ญในครั้งนี้(เป็นแสน เป็นล้านๆครั้ง สาธุๆ)ด้วยเทอญ

    ***ธรรมะของครูเพ็ญนี้ ช่างถูกจริตผมเจงๆ (ถูกใจแค่ไหน ก็วางทั้งหมดอีก)
     
  7. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออนุโมทนา กับธรรมทานของครูเพ็ญ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ (rose)(rose)(rose)
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำไมปลาจึงว่ายทวนน้ำ?
    [​IMG]

    ปลาว่ายทวนกระแสน้ำ
    แต่มีบางคน(ส่วนน้อย)พยายามว่ายทวนกระแสกิเลสแห่งตน​

    ปลาว่ายทวนกระแสน้ำนั้น เพื่อความอยู่รอด เพื่อไปวางไข่ สืบพันธุ์
    วัตถุประสงค์หลัก ก็คือ ดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกมัน มิให้สูญพันธุ์

    แต่พระพุทธเจ้าของพวกเรา ท่านว่ายทวนกระแสกิเลสแห่งตนเอง
    ทั้งๆที่คนทางโลกส่วนใหญ่ มักต้องวิ่งตามกิเลสของตน ทำตามใจตน หรือวิ่งตามกระแสโลก
    วัตถุประสงค์ของพระพุทธเจ้า ก็คือ เพื่อพระนิพพาน
    เพื่อหลุดพ้นจากวัฎสงสาร หรือ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด
    พระพุทธเจ้ากำลังบอกกับพวกเราว่า ความเกิดเป็นทุกข์
    แต่ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มีร่างกาย ก็จะไม่มีความทุกข์ นั่นเอง

    ผู้เขียนจึงมองเห็นว่า สาระทางโลกของเรานั้น ก็คือ เรื่องไร้สาระในทางธรรม
    เพราะที่พวกเรากำลังทำเรื่องสาระมากมายอยู่ในขณะนี้กัน ก็คือ กิเลสทั้งสิ้น
    สาระทางโลกแปลว่า ทำอะไรก็ตาม ได้อะไรมาก็ตามที ขอให้ได้มาก็พอใจแล้ว
    โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการเบียดเบียน หรือ ไม่สนใจใครจะเดือดร้อน
    อย่างนี้เขาเรียกว่า มีคุณธรรมกันไหม๊?

    สรุปว่า
    สาระทางโลก เป็นกิเลส ไร้สาระสำหรับผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ หรือผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม
    สาระทางธรรมก็คือ ไร้สาระทางโลก ปราศจากกิเลสทั้งปวง มีแต่คำว่า ให้กับอภัยลูกเดียว
    ทำไปทั้งหมดเพื่อความหลุดพ้น เพื่อความละ ปล่อย วางเท่านั้น
    ไม่ได้ทำไปเหมือนบุคคลทางโลก คือทำอะไรก็ตามจะต้องได้มา ไม่ว่าจะถูกหรือผิด

    และสิ่งที่คนทางโลกกระทำกันอยู่ณ.เวลานี้ ก็คือ ไร้สาระ หรือ อนัตตา
    ความจริงมีอยู่ว่า รู้ทั้งรู้ก็ยังไม่ยอมหยุด รู้ทั้งรู้สิ่งที่ตนกำลังทำ/กำลังสร้าง/กำลังมีกันอยู่นั้น
    ก็คือ ไร้สาระทั้งสิ้น
    เพราะเมื่อเราตายตอนนี้ก็จบทันที คือเราก็ไม่มีอะไรเหลือ หรือติดตัวเราไป
    นอกจากผู้เจริญกรรมฐานคือ ได้บุญ แต่ผู้ไม่เจริญกรรมฐานก็ได้แต่บาปไป
    ท้ายที่สุดเห็นมีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ที่จะติดตัว หรือเป็นเพื่อนแท้ หลังโลกความตาย
    แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นความจริงนั้นกัน ก็เพราะปัญญาไม่มี
    ปัญญาทางโลกไม่มี ปัญญาที่คนทางโลกเข้าใจ ก็คือ สัญญาเท่านั้น
    (ครูบาอาจารย์ หรือพระอริยสงฆ์ท่านบอกมาอย่างนั้น)
    สำหรับผู้ที่อยากได้ปัญญาที่กล่าวมานี้ ก็ขอให้ท่านเดินตามรอยอริยมรรคนี้กัน
    คือศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น
    เห็นจะเป็นจริง

    เพราะว่า การชำระล้างกิเลสนั้น ก็มี 3 ระดับ ได้แก่
    1.ศีล เป็นการชำระล้างกิเลสหยาบ(เบื้องต้น)
    เมื่อสติพวกเราเกิด กิเลสจะนอนมอบนิ่งเฉยๆ และกิเลสจะโผล่ออกมาอีกทีนึงตอนที่เรากำลังเผลอ
    2.สมาธิ หรือฌาน เป็นการชำระล้างกิเลสขนาดกลาง หรือที่เราทำสมถกรรมฐาน
    แค่ระงับกิเลสเพียงชั่วคราว(หินทับหญ้า) แต่เมื่อไหร่สมาธิหรือฌานถอย/เสื่อม
    จิตก็จะไปวิ่งเล่นกับกิเลสเหมือนเดิม ถามว่าหลุดพ้นไหม๊? (ตอบว่าไม่หลุดพ้น)
    3.ปัญญาชำระล้างกิเลสตัวสุดท้าย หรือกิเลสอย่างละเอียด หรือที่เราทำวิปัสสนา
    อันได้แก่ ละสังโยชน์เบื้องสูง(สังโยชน์ข้อที่ 6-10)
    เมื่อจิตมีปัญญามาก จิตก็จะวิปัสสนา จิตจึงละกิเลสละเอียดได้
    อันนี้จิตจึงจะหลุดพ้น คำว่า "ทุกข์" คำว่า "สังสารวัฎ"
    จิตปราศจากกิเลสได้อย่างถาวร ทำให้จิตยกขึ้นสู่พระนิพพานได้
    จึงไม่กลับมาเกิดอีก ก็ด้วยเหตุผลนี้แล

    **หนทางมีอยู่มากมายและหลายหลาก อยู่ที่เลือกยอมลำบากเพื่อสิ่งดี
    หรือจะเลือกความสบายไร้วิถี อยู่ที่เราเลือกวิธีทางเดินใด**
     
  9. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    [​IMG]

    [FONT=&quot]ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น

    [/FONT][FONT=&quot] กรรมบถ ๑๐ แบ่งเป็น ๓ หมวดคือ

    [/FONT]
    [FONT=&quot] ก) หมวดกายกรรม มี ๓ ข้อ ไม่เอากายไปฆ่าสัตว์-ไปลักทรัพย์-ไปประพฤติผิดในกาม หากปฏิบัติได้ ก็พ้นนรกแล้วเป็นขั้นต้น[/FONT]

    [FONT=&quot] ข) หมวดวจีกรรม มี ๔ ข้อ ไม่พูดปดหรือไม่พูดโกหก-ไม่พูดคำหยาบ-ไม่พูดส่อเสียดผู้อื่น หรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล หรือพูดเรื่องที่ไม่เป็นสาระ-ไม่เป็นประโยชน์เป็นขั้นกลาง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ค) หมวดมโนกรรม มี ๓ ข้อไม่มีจิตคิดอยากได้ของผู้อื่นโดยมิชอบ (ไม่โลภ)-ไม่มีจิตคิดประทุษร้ายผู้อื่น(ไม่โกรธ)-ไม่มีจิตคิดสงสัยในพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า(ไม่หลง) เป็นขั้นละเอียด[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]


    [FONT=&quot]สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาสอนเรื่องกรรมบถ ๑๐ ไว้ มีความสำคัญโดยย่อๆ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] ก) หากพวกเจ้าสามารถควบคุมกรรมบถ ๑๐ ได้อย่างสมบูรณ์ ความไม่ทุกข์-ไม่สุขจักพึงมีได้ไม่ยาก การปรามาสพระรัตนตรัยก็จักไม่มี[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ข) ให้หมั่นระวังกาย-วาจา-ใจของตนเองเอาไว้ให้ดีๆ การทำร้ายตนเองก็เกิดจากกรรมบถ ๑๐ นั่นแหละ จักทำ-จักคิด-จักพูดอะไรก็ให้พ้นตัว เพราะขึ้นชื่อว่ากรรมนั้นเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นวันใส่บาตรเทโว สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า ธรรม จุดนี้คือ กรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ เราไม่มีเจตนาจะโกหกเขา แต่ก็เหมือนโกหก เพราะตักเป็นคำกริยา แปลว่าเอาออก ส่วนใส่เป็นคำกริยา แปลว่าเอาเข้า หรือทำให้เต็ม ทรงสอนเรื่องคำพูดที่พูดกันผิดๆ โดยไม่เจตนา เช่น เราอยู่กัน ๒ คน แต่กลับพูดว่าอยู่กัน สองต่อสอง มันกลายเป็น ๔ เป็นต้น[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ค) จงอย่าขาดเมตตากรุณาตนเอง และจงอย่าปรามาสพระรัตนตรัย แม้แต่มโนกรรม เพราะการกระทำเช่นนั้น คือ การปิดกั้นมรรคผลนิพพานไม่ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ง) พระในพระพุทธศาสนามี ๔ ระดับ คือพระโสดาบัน-พระสกิทาคามี-พระอนาคามี และพระอรหันต์ จิตเป็นพระแล้วก็พ้นนรก หรืออบายภูมิ ๔ ได้ถาวร เที่ยงเสมอที่จะไม่ตกนรก หรืออบายภูมิ ๔[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] จ)พวกฆราวาสได้เปรียบพวกบวชพระ เพราะรักษาศีลเพียงแค่ ๕ ข้อให้บริสุทธิ์ตลอดเวลาได้ ก็เป็นพระแล้ว เป็นการบวชใจ หรือบวชเนกขัมมบารมี การมีเพศเป็นหญิงจึงดีกว่าชายตรงนี้ พวกผู้ชายหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ตนเองเป็นผู้ชายได้บวชพระ แล้วได้เป็นพระ แต่ ความจริงการบวชพระแล้ว จิตเป็นพระนั้นยากมาก แม้รักษาศีลได้ครบ ๒๒๗ ข้อ พระองค์ก็ยังเรียกว่า สมมติสงฆ์ จะต้องตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อแรกให้ขาดด้วย พระองค์จึงเรียกว่าพระ (ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในความ ตาย รู้ตัวเองว่าในที่สุดแล้ว กายนี้ก็จะต้องตาย ช้าหรือเร็วเท่านั้น ต้องมีจิตใจมั่นคงอยู่กับพระรัตนตรัย จิตเคารพพระรัตนตรัยอยู่เป็นปกติธรรม และต้องมีศีล ๕ ข้อเต็มอยู่เสมอ ไม่บกพร่องอารมณ์เผลอไปกระทำผิดศีลโดยเจตนาไม่มี)[/FONT]

     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กราบขอบพระคุณค่ะ
    จะธรรมะพยายามต่อไป:VO
     
  11. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    คุณหมอคะ ช่วยรายงานอารมณ์วันนี้ด่วนที่สุดค่ะ ไวไวไวไว
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุ
    คุณหมอครับ มารายงานตัวด่วน!
    พี่ภูจะแจกเหรียญจิตทองคำให้
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้เจริญทั้งหลาย
    ของจริงแท้แน่นอน ก็อยู่ภายในกาย ภายในจิตของเรานี่เอง
    ความสุข หรือความสงบที่แท้จริงนั้น ก็มาจากจิตของพวกเรานิ่ง
    พวกเราอย่าได้เสียเวลาไปตามหาจากความสงบสุขจากที่ไหนเลย
    เพราะความสงบสุขแบบถาวรและยั่งยืนนั้น ก็มาจากภายในจิต หรือ
    จิตเป็นสมาธิ จิตทรงฌานของเรานี่เอง

    ส่วนความสงบสุขซึ่งเกิดจากข้างนอกนั้น มันเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น
    แต่ถ้าหากใครหาความสุขที่มาจากภายนอกนั้น ก็มีแต่อันจะทำให้เกิดความทุกข์ตามมาในภายหลัง
    โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ยอมฝึกจิตตนเอง จิตจึงไปหลงยึดเอาเป็นจริง เป็นจัง
    กับสิ่งที่มากระทบจิตนั้นๆ ไปๆ มาๆ สิ่งทั้งหลายมีเรามี ที่เราหามาได้นั้น
    ก็จะกลับกลายนึกว่าเป็นของเราเสียอย่างนั้น โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
    จิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝนประกอบกับสติมีน้อย จิตจึงแยกแยะอะไรคือถูก
    อะไรคือผิดยังไม่ได้ จิตจึงไม่รู้เท่าทันการเกิดกิเลสตนเอง

    คนส่วนใหญ่ที่ยังเป็นทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่ยอมฝึกสติ ฝึกจิตกัน
    อาการของผู้คนส่วนใหญ่ จึงมีความหลง มีความเห็นผิด มีอวิชชา
    แต่จะทำให้คนส่วนใหญ่หายจากความหลงใหลกันได้นั้น จะต้องพากันฝึกฝนจิตตนเองให้มากๆ

    หรือที่พวกเรากำลังสร้างสติ เพื่อตามดู ตามรู้จิตของเรานี่เอง
     
  14. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ใบมีดโกน กลับด้าน ..... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บทความนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ อันเนื่องจากตัวของข้าพเจ้าเองที่ ผิดพลาด ...<O:p</O:p
    ความผิดพลาดนี้ ทำให้ได้บทความนี้มาเล่าให้ทุกท่านรับรู้และนำไปคิด พิจารณากับตัวท่านเองต่อไป ...<O:p</O:p
    ทุกท่านคงรู้จัก มีดโกนที่เราใช้ โกนหนวด โกนเครา หรือ ขนต่างๆตามร่างกายเราดี<O:p</O:p
    มันคม มันโกนได้เกลี้ยงเกลา ..... <O:p</O:p
    เมื่อเราใช้ไปๆเรื่อยๆ ความคมของใบมีดก้อค่อยๆลดลงตามกาลเวลาและการใช้งาน อันเป็นเรื่องปกติของสรรพสิ่งในโลก<O:p</O:p
    ..... วันนึง ด้วยสัญญาอันน้อยนิด หรือ อย่างไรไม่ทราบได้ ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนใบมีดใหม่ ถอดของเก่าออก และใส่ชุดใหม่เข้าไปแทน แต่ยังไม่ได้ใช้ ในทันทีที่เปลี่ยน <O:p</O:p
    และแล้ว ..... เมื่อวันที่ข้าพเจ้าจะต้องโกนหนวด เมื่อโกนแล้ว เกิดเรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้าตกใจยิ่งนัก ... เอาแล้วไง โกนเท่าไหร่ ขนก้อไม่ขาด ไม่หลุด พยายามเน้น กดใบมีดอีกครั้ง ... ก้อยังเหมือนเดิม “ขนยังอยู่”<O:p</O:p
    เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หรือขนเราได้คงกระพันชาตรี ยิงไม่เข้า โกนไม่ออก ... คิดไปโน่น<O:p</O:p
    เอ๊ะ ... ครีมโกนหนวดก้อใส่แล้ว ทิ้งเวลาตามที่ควรจะทำแล้ว ใบมีดก้อใหม่กริ้บบบ <O:p</O:p
    แล้วมันทำไมไม่ทำงานดังเดิม ..... แปลกแต่จริง<O:p</O:p
    หยิบ มีดโกนมาพิจารณาดู .... มันก้อใหม่ ลองดูสิ หรือว่า “ใบมีดกลับด้าน ด้านบนกลับมาอยู่ด้านล่าง” <O:p</O:p
    ลองเปลี่ยนตามที่เราคิดดู ..... แล้วโกนใหม่ <O:p</O:p
    ลื่นปรื้ดดดดด ขนหายไปกับใบมีดอันคมกริบที่กลับมาทำงานอีกครั้ง ... หน้าเกลี้ยงเกลาขึ้นมาทันใด<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แล้วมันยังไง ..... ถ้าเราเปรียบใบมีดกับเครื่องมือของเราที่จะใช้ในการยกจิตของเราละ<O:p</O:p
    คนสองคน เรียนรู้พร้อมกัน เนื้อหาการสอนเหมือนกัน ครูสอนคนเดียวกัน ....<O:p</O:p
    ถ้าเปรียบแบบนี้ ทางวิทยาศาสตร์ก้อจะบอกว่า มีความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จเหมือนๆกันน่าจะสำเร็จเหมือน เพราะ ปัจจัยทุกอย่างเหมือนกัน<O:p</O:p
    ... แต่ทำไม มันไม่เป็นเช่นนั้นละครับในทางธรรม<O:p</O:p
    ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราเปรียบ “ศีล สมาธิ ปัญญา สติ” เป็น “ใบมีดโกน” เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราเกาะพระได้ และบรรลุธรรมได้<O:p</O:p
    บางคนใช้เครื่องมือที่มี อันได้แก่“ศีล สมาธิ ปัญญา สติ” ได้ถูกหลัก ทาง ทำตามวิธีที่อาจารย์สอนอย่างไม่สงสัยและถูกขั้นตอน <O:p</O:p
    ก้อเปรียบเสมือน ใช้ใบมีดถูกวิธี วางใบมีดได้ถูก โกนไป ใบมีดก้อทำงานได้ตามปกติ ... ผลที่ได้ ก้อคือ หนวด เครา ขน ก้อ หลุดไป ใบหน้าเกลี้ยงเกลา สดใส สะอาด เปรียบกับทางธรรมก้อคือ ตัวท่านใช้ จิตเกาะพระ + ศีล + ปัญญา + สมาธิ + สติ ได้ถูกต้อง .. เดิน มรรค ผล ได้สำเร็จ “จิตก้อยกได้”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนอีกด้านนึง มีของเหมือนกัน แต่ไปใช้เครื่องมือที่มี ไม่ถูก วางกำลังใจไม่เป็น เครื่องมือ เครื่องไม้ที่มี วิธีการที่มี ครูที่มี ก้อไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท่านเลย เปรียบเหมือนใบมีดโกนที่กลับด้าน โกนไปเท่าไหร่ จนตาย ก้อไม่สะอาดสักที<O:p</O:p
    ถ้าท่านยังดันทุรัง ทำต่อไป ไม่มีทางที่จะสำเร็จ ตราบใดที่ยังทำไม่ถูกวิธี สุดท้าย ท่านก้อจะหมดกำลังใจ และเลิกไปในที่สุด ...<O:p</O:p
    แล้วท่านก้อจะบอกว่า“วิธีนี้ไม่ได้ผล ... ไม่สำเร็จ” <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ความรู้ วิธีการ เครื่องมือ ที่ครูจิตบุญทุกท่านให้ท่านไป ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ครบถ้วน สมบูรณ์ ทุกประการ<O:p</O:p
    ลองใช้สติ พิจารณาหน่อยนะ ทำไม เราผิดพลาดตรงไหน ทำไม่ครบถ้วนตรงไหน .....<O:p</O:p
    หมั่นทบทวนตัวเอง ... ทบทวนศีล ... สังโยชน์ 10 ประการ ... บารมี 10 “ทุกวัน”<O:p</O:p
    พลาดตรงไหน แก้จุดนั้น .... มีอะไรติด ไม่ชัดเจน อย่าไปแก้เอง ถามครู ปรึกษาครู เดินตามครู<O:p</O:p
    ตอนนี้เราเป็นผู้รู้ ไม่ใช่ผู้แก้ ไม่ใช่ผู้เล่น ....<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ครูมอบเครื่องมือ วิธีการให้หมดแล้ว .... เหลือเพียงแต่ท่าน จะนำไปใช้ให้ถูก หันใบมีดโกนให้ถูก เพียรพยายาม อดทน หาให้เจอ อย่ายอมแพ้ ...... มีของแล้วต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    โกนเบาๆ เดี๋ยวมีดจะบาด ---> ใจสบายๆ เบาๆ
    โกนเรื่อย อย่ารีบร้อน เลือดจะออก ---> อย่าอยาก ทำไปเรื่อยๆ
    ดู คิด ... ก่อนโกน เดี๋ยวโกนไม่หมด ---> พิจารณา
    อย่าเหม่อ ขณะโกน ---> มีสติ ตลอดเวลา
    <O:p</O:p
    โกน ... กิเลส<O:p</O:p
    โกน ... อารมณ์<O:p</O:p
    โกน ... ทุกอย่างทิ้งให้หมด <O:p</O:p
    ทำทุกอย่างเกลี้ยงเกลาดีแล้ว ..... ไม่มีสิ่งยึดติดแล้ว <O:p</O:p
    ปล่อยวางได้หมดแล้ว .....<O:p</O:p
    จิตบริสุทธ์ ดีแล้ว .....<O:p</O:p
    จิต ..... ท่านก้อกลับบ้านได้แล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขอมอบผลบุญของผมทั้งหมดทั้งมวลให้จิตบำเพ็ญและผู้ฝึกจิตเกาะพระทุกท่าน ให้หาทิศทางของใบมีดของท่านให้เจอ<O:p</O:p
    และปฎิบัติ มุ่งสู่ มรรค ผล นิพพานได้สำเร็จด้วยเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ธรรมชาติสวัสดี<O:p</O:p
    วิทย์ จบ.11 (6 สค 55)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  15. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โอลิมปิค ... จิตเกาะพระ

    เดี๋ยวเย็นนี้จะมาคุยกันเรื่อง จิตเกาะพระ กับ โอลิมปิค .... เดี๋ยวเจอกันครับ
     
  16. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ลุ้นช่วยคุณหมอนะครับ

    สู้ๆๆๆๆ ทะลวงออกมาให้ได้ จากกองทุกข์ วงเวียนแห่งการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    กลับบ้านให้ได้นะครับ ผมเอาใจช่วย
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    -ขออภัยค่ะวันนี้หนูเดินทาง เลยมารายงานตัวช้า


    การบ้าน 6 08 55

    เช้านี้ตื่นมาจะขยับตัว ก็วูบขึ้นมาว่า "ขยับเปลือก" อีกสักพักก็ "ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา"
    ลุกมานั่งสมาธิ สักพักก็ วูบขึ้นมาว่า "ปิดโลกปิดสงสาร"

    พิจารณา ยังติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรีอไม่
    รสรายงานไปแล้ว

    เสียง เมื่อคืน เปิดเพลงที่วันก่อนฟังตอนเดินจงกรม แล้วรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนนิพพาน ดูเหมือนจะเฉย แต่ไม่แน่ใจ รู้สึกเพราะมาก จนไม่แน่ใจ
    เช้านี้ลองใหม่ เปิดเพลงอื่น พอเปิดก็วูบขึ้นมาว่า peaceful แต่ จิตเฉย เลยมาทดสอบกับเพลงเดิม เลยทราบว่า เพลงเพราะมาก (เรี่องของการได้ยิน ) และทำให้จิตสงบมาก แต่พอดูจิตจริงๆ เฉย

    สัมผัส ลองจับผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม นิ่มๆ ก็เฉย มาสระผมฟองแชมพูละเอียดนุ่มมือมาก ก็เฉย
    นั่งในเครื่องบิน มีคนนั่งข้างๆ เอาข้อศอกกางเข้ามาในที่เรา และโดนแขนเราด้วย แถมหลับเอียงคอเอาผมฟูๆ มาเกือบโดนหน้าเรา ที่ก็แคบ อึดอัด ดูเหมือนเฉย แต่ไม่แน่ใจ ตอนแรกเข้าใจว่ารังเกียจร่างกายคนอื่น ก็ไปพิจารณา ธาตุมนสิการ ก็ยังอึดอัดอยู่ ลองปรับเอนไปข้างหลัง โล่งเลย และจิตก็เหมือนเดิม แสดงว่าจิตเฉยแต่แรก แต่กายอึดอัด

    กลิ่น เดินผ่านร้านกาแฟ กลิ่นหอมมาก แต่ตอนนี้ลืมพิจารณา จะรีบไปเช็คอิน พอเสร็จนึกขึ้นได้ เมี่อกี้กาแฟ กลิ่นหอมมาก เลยเดินไปใหม่ ก็เฉยๆ

    บ่ายพอว่างก็พิจารณา ปิดโลกปิดสงสาร ที่วูบมาเมื่อเช้า ต้องทำยังไงจึงจะปิดได้ ก็สรุปได้ว่า
    1. นึกถึงพระให้บ่อย และต่อเนื่อง
    2.มีสติอยู่กับจิต ให้มาก (พี่เพ็ญเพิ่งบอก 80% )
    3. แยกกายแยกจิต

    พูดถึง แยกกายแยกจิต เช้านี้ทำงานคนเดียว ก็เอาสติมาอยู่กับจิต และคิดถึงพระเป็นระยะๆ มีหลุดบ้างตอนคุยกับคนอื่น แต่ตอนเย็น ดีขึ้น
    เกือบลืม การบ้านของพี่ภู ที่ถามว่าจิตอยู่ที่ไหน ตอนนี้ตอบได้แล้ว ครั้งแรกรู้สึกมีจุด (ใหญ่กว่าจุด ) active ตรงลิ้นปี่ ทราบว่าเป็นจิต อีกสัก 5 นาที เห็นจิตเป็นก้อนมีสีขาวในตัวแบบเพชร เหตุการณ์นี้เกิดตอนเที่ยงหลังแยกกายแยกจิตตอนเช้า

    วันนี้รู้สึกว่า เวลามีคนมาถามบางเรื่องที่เคยรู้สึกภาคภูมิใจ จะค่อนข้างเฉย ความรู้สึกเปรียบเทียบกับคนอี่นก็แทบจะไม่เห็น พรุ่งนี้รอทดสอบอีกครั้งค่ะ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  18. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขอเอาใจช่วยคุณหมอด้วยค่ะ ลินดาเองยังติดอยู่กับคุณมานะ ยักใหญ่แห่งวงการ
    มือแกใหญ่เจอกับกิเลสเหนียวของเราเข้ากั้นเข้ากัน สลัดแกไม่หลุดสักที อิอิchearrchearrchearr
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขอโมทนาสาธุในธรรมาทานของครูวิทย์ในครั้งนี้ด้วย
    ปัญญาของท่านมันคมยิ่งกว่ามีดโกนซะอีกนะ ตอนนี้น่ะ
    เขาเรียกกันว่า มีดโกนอาบปัญญา
    เพราะมีดโกนธรรมดาไม่ว่าจะคมสักเพียงใด อย่างมากก็แค่ตัดกิเลสหยาบๆเท่านั้น
    แต่ใบมีดโกนของท่าน นอกจากคมแล้วยังอาบด้วยปัญญาเข้าไปอีก
    คราวนี้โกนทั้งกิเลสหยาบยันกิเลสละเอียด แล้วมันจะไปไหนหล่ะ
    จิตจะไปเหลือเหลือหรือ ก็พากันยกจิตกันสิครับ
    แต่ถ้าใครรู้จักวิธีใช้ใบมีดโกนอย่างที่คุณวิทย์ใช้อยู่นั้น
    ป่านนี้ก็จะมีจิตอรหันต์เต็มบ้าน เต็มเมืองแล้วหล่ะครับ
    เห่อๆๆๆ (หัวเราะแบบสะใจ)
    ผมคิดว่ากำลังใจของพวกเราจะต้องมาก่อน แต่ถ้าไม่อย่างนั้น
    พวกเราจะเข้าไปไม่ถึงฝั่ง หรือเข้าไม่ถึงปฎิบัติบูชา(ปฎิบัติธรรม)
    จึงไม่แปลกใจว่า...
    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เข้าถึงแค่อามิสบูชา(ทำบุญแค่ภายนอก)
    เพราะอะไร...
    พวกเราลองตอบเองบ้างสิ!

    ***พระพุทธเจ้า ท่านทรงประทานสิ่งล้ำค่า(พระธรรม)ให้กับพวกเรา
    ที่ชอบบอกตนเองว่า "ข้าพเจ้าคือชาวพุทธ" (ท่านกำลังหลอกตนเองรึเปล่า?)
    ศาสนาพุทธจึงเป็นได้แค่ในทะเบียนกันเท่านั้น แต่ยังดีกว่าคนที่ไม่ได้สังกัดศาสนา
    ประเทศไทย..(เมื่อก่อน)มีคนที่นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 95%(ตอนนี้85%)
    มีผู้บรรลุธรรม หรือมีดวงตาเห็น(พระโสดาบันขึ้นไป) แต่กลับมีน้อยมาก
    ทำไมเป็นเช่นนั้น
    เพราะจิตใจคนเสื่อม ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อม
    คนส่วนใหญ่มักไม่สนใจเรื่องจิตตนเอง แต่กลับไปสนใจจิตคนอื่นแทน
    เพราะจิตของคนเราทุกวันนี้ ปกติก็ไม่นิ่งกันอยู่แล้ว
    จึงเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่พากันปล่อยปะละเลยเรื่องศีลของตนเอง จิตใจไม่มีศีล ไม่มีธรรม
    ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่พบธรรมะที่แท้ของพระพุทธองค์กัน

    คนที่จะมีดวงตาเห็นธรรมกันได้ จะต้องอาศัยตนเองเท่านั้น
    ที่จะทำหน้าที่ให้จิตตนเองนิ่งให้ได้เสียก่อน
    นี่เป็นพื้นฐานของการเจริญสติภาวนา

    วันนี้มีวิธีเดินมรรควิธีที่ลัดตัดตรงเข้าสู่อริยมรรค(มรรค ผล นิพพาน)
    นั่นก็คือ "จิตเกาะพระ"
    เป็นอีกทางเลือกซึ่งอยู่ในกองกรรมฐานทั้ง40กอง ของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้เลือกเฟ้นให้ถูกจริต๖ มาให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว
    แต่จิตเกาะพระนี้ มีกรรมฐาน 2กองรวมกัน ก็คือ พุทธานุสสติ+กสิณ
    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตของพวกเราเข้าสู่ความนิ่ง ความสงบได้ไวกว่าปกติ
    และจึงมีผลทำให้จิตของผู้ที่ปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ สามารถเข้าไปถึงกระแสธรรมได้ไวยิ่งขึ้น
    อานิสงส์ของจิตเกาะพระ(พุทธานุสสติ) ก็เป็นผลทำให้จิตเข้าพระนิพพานโดยตรงกันอยู่แล้ว

    จึงอวยพรให้กับผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ ขอให้ยกจิตขึ้นตามกันมามากๆด้วยเทอญ
    ข้าพเจ้าได้ขออาราธนาบารมีของสมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือครูบาอาจารย์สายต่างๆ ให้กับพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว
    สำหรับผู้ปรารถนาเดินทางถูก เดินทางตรงเข้าสู่มรรค ผล
    โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ทุกท่าน ทุกนามกันด้วยเทอญ

    ขอให้ทุกท่านโชคดี...
     
  20. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    แจ้งข่าว คุณแม่ผ้าขาว ที่พี่เพ็ญเจอที่วัดดอยเปาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2555 ท่านทำจิตเกาะพระ 3 วัน ยกจิตขึ้นอนาคามีพรหมชั้นที่ 14 แล้วค่า มาแจ้งข่าวเพื่อขอให้ทุกท่านร่วมโมทนาบุญกับท่านค่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...