นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน )
    แสงสุริยา, saekue20, ผู้มีจักร

    สวัสดีค่ะ น้องๆ ทุกคน วันนี้ปิดถ้ำรับแขก
    ไม่เห็นมีใครฝากข้อความไว้ให้เราอ่านเลย..
    เข้ามารออ่านหนอคร้า...าาาา
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ยังทำธุระไม่เสร็จเลย รีบกลับมาก่อน
    เดี๋ยวค่อยออกไปใหม่ อยากเม้าท์มากๆ
    น้องแตขา...าาาาา เล่านิทานให้อ่านหน่อยจิ:cool:
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    หากท่านจะกรุณาเล่าเรื่องหลวงพ่ออนันต์ให้ฟังก็จักเป็นพระคุณยิ่งค่ะ
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พอดีกลางคืน ๆ หนึ่งอากาศมันดี และบรรยากาศก้อเงียบ บังเอิญเพลงนี้ก้อเล่นขึ้นมาเป็นเพลงแรก ก้อ....ฟังแล้วมันเพราะดี ไม่เชื่อคุณลองหาเวลาฟัง โดยที่ต้องเงียบแบบสุดๆ คุณจะรู้ว่า เพลงนี้ถ่ายทอดเนื้อหา ที่กินใจมั่กมาก ...มันทำให้เรารู้ว่า รักแท้...เป็นเช่นไร แม้เราไม่ใช่....เพราะ "คนไม่สำคัญ"

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แม้ไม่ใช่คนโปรดอย่างคนอื่นเขา แม้จะดูว่างเปล่าในสายตาเธอ
    ไม่เคยทำให้คำว่าฉันรักเธอ ลดน้อยลงได้เลยสักวัน
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]* ขอเพียงเธอไม่ลืมว่าใครอยู่ตรงนี้ ขอเพียงมีสักคำว่าคิดถึงกัน
    แค่นั้นก็เกินพอให้คนอย่างฉัน ฝันดียิ่งกว่าคืนไหน
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]** ไม่ว่าเป็นที่เท่าไหร่ของเธอ เธอก็คือที่สุดเสมอไป
    ถ้าเผื่อเธอพอมีเหลือแม้เพียงเสี้ยวใจ จะแบ่งปันให้ฉันบ้างหรือเปล่า
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]*** และคนๆหนึ่งซึ่งไม่สำคัญ ก็ยังเฝ้ารอสักวันของเรา
    แค่อยากได้ยินว่ารักซักคำเบาๆ ให้ฉันได้หรือเปล่าคนดี
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif](ซ้ำ * , ** , ***)[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]รักฉันบ้างหรือเปล่าคนดี[/FONT]
    >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    กิเลน๓.jpg

    เปิดดูไฟล์ !^_^!.mp3

    วันนั้นไม่เหมือนวันนี้
    วันนี้ไม่เหมือนวันไหน
    วันเวลาพาใจเธอเปลี่ยนไป
    วันที่แสนยาวไกล แต่ฉันยังคงสร้างบารมี
    อยู่ข้างเคียงเธอ!


    พญานาค๖.jpg
     
  6. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ท่านพ่ออนันตนาคราช พระนาม อนันตนาคราช เป็นตำแหน่ง ถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ดังนั้นที่ถามว่าหลวงปู่ท่านคือ...ท่านก็เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนี้น่ะครับ สมัยที่เราเป็นนาคน้อย เราก็คงต้องไปอ้อนท่านอยู่บ่อยๆ อิอิ ดังนั้นทำไมท่านถึงบ้วนน้ำหมากเป็นเพชรพญานาคหรือการอัญเชิญพระธรรมธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุมาให้ลูกหลานได้ เพราะบารมีท่านมีมาก สะสมมามากนั่นเอง ส่วนหลวงตาตะปะสี อันนี้ก็เห็นได้ว่า มีรอยพญานาคมาก ตอนที่ไปกราบท่าน ก็เลื้อยไปให้ท่านเอาบาตรครอบหัวเหมือนกัน อิอิ เจอพญานาคด้วยนะ เวลาจุดธูปกราบท่านพ่อท่านแม่ ท้องฟ้าเป็นรูปนาคราชเจ็ดเศียรด้วย หลวงพี่ท่านยังเอากล้องมือถือถ่ายไว้เลย แสดงว่าผมก็เป็นลูกหลานนาคจริงๆไม่ได้อุปาทาน เพราะมีการตอบรับจากเบื้องบน อิอิ
     
  7. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ใครที่ไปกราบหลวงปู่แล้วได้เพชรพญานาคมามากกว่าหนึ่ง ต้องแบ่งมาให้พี่ครูด้วย ในฐานะกระบอกเสียง เป็นสื่อนำพาไปหาครูอาจารย์ ฮ่าๆๆๆ
     
  8. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    เล่าอีกสิคะ... :cool: บางเรื่องก็เพิ่งรู้เช่น ชื่อเรียกตำแหน่ง เป็นต้น
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ภาพงามมากเจ้าค่ะท่าน น้อมอนุโมทนาเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ขอขอบพระคุณท่านพระยาเดโชชัยมือศึก
    ที่กรุณามาเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ฟังนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    หลวงพ่ออนันต์ วัดสะพานศรี อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่สกลนครเลยค่ะ
    ปัญหาคือสกลนครกับเลิงนกทา ห่างกันไม่น้อยเลย
    สงสัยต้องไหว้วานแลขอร้องท่านพระยาเดโชชัยมือศึก ไปขอความเมตตาจากหลวงพ่อ เอาเพชรพญานาคมาฝากสมาชิกกระทู้นี้แล้วกระมังคะ
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หวัดดีค่ะปยานาค วันนี้ไม่มีนิทานปยานาคมาฝากนะคะ แต่มีเรื่องอื่นๆ ลองอ่านก่อนแล้วกันนะ

    นิทานเรื่อง ม้ากับน้ำค้าง

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว .....มีม้าหนุ่มที่มีนิสัยร่าเริงมากอยู่ตัวหนึ่ง ทุก ๆวันในเวลาเช้า มันมักจะชอบที่จะส่งเสียงร้อง " บุ ฮื้ๆๆๆ " ด้วยเสียงอันดัง และพร้อมกันนั้นก็จะวิ่งด้วยความเร็ว อย่างมากไปตามสุมทุมพุ่มไม้ต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน แต่ว่าด้วยเสียงที่แสนจะแหบแห้งของมัน มักที่จะเป็น เหตุที่ทำให้พวกนกเล็ก ๆ ที่มารวมกลุ่มเกาะกันอยู่แถว ๆ บริเวณนั้น และรวมทั้งที่หาอาหารกันอยู่ในพุ่มไม้ต่าง พากันตกใจ และบินหนีไปที่อื่นกันจนหมด ม้าหนุ่มตัวนั้นมันให้เป็นนึกน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างมาก มันคิดว่า " อ๊ะ อ้า เพราะเสียงที่แหบแห้งหาความไพเราะตรงไหนไม่ได้เลยของข้าอีกแล้วล่ะ สินะ...จึงทำให้พวกนก ต่างตกใจจนบินหนีกันไปจนหมด เสียงร้องของเรามันช่างแสนที่จะห่วยเสียจริงๆ "

    ม้าหนุ่มจึง ได้ร้องขึ้นพยายามส่งเสียงให้ดังกว่าเดิมทีนี้ก็วิ่งโร่ทยานออกไปข้างหน้า เต็มเหยียดอีกครั้ง " บุ ฮื้ๆๆๆ " แต่ก็เหมือนเดิมอีกนั้นแหละ คราวนี้เป็นพวกกระต่ายที่ มารวมกลุ่มหาอาหารกันอยู่แถว ๆ นั้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงร้องของม้าอย่างกระทันหันเข้าอย่างนั้น...ก็พากันตกใจ แล้วพากันกระโดดหนีให้จ้าระหวั่นเลยทีเดียว ม้าหนุ่มเมื่อมันเห็นดังนั้นเข้าอีก... " ว้า..แม้แต่พวกกระต่ายก็ยังตกใจหนีเรา..เลย ฮื้ๆๆๆ " ม้าหนุ่มให้เป็นนึกเกลียดเสียง ที่แหบแห้งของมันเป็นอย่างมาก....และในทุก ๆ วันเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงไป พระจันทร์ก็จะได้เวลาที่จะขึ้นมาส่องแสง สว่างไสวสวยงามอยู่กลางท้องฟ้า และในเวลานั้นที่ท้องทุ่งนาใกล้ชายป่าใหญ่ในเวลาค่ำคืน ทั่วทั้งบริเวณก็จะมีพวกจิ้งหรีด ออกมาส่งเสียงร้องกันให้เจื้อยแจ้ว เสียงดัง " ริน ริน ริน ๆๆๆๆ " สนั่นไพเราะเหมือนดนตรีที่บรรเลงยามค่ำคืนไปทั่วทั้ง ท้องทุ่งทั่วชายป่า...." ริน ริน ริน ๆๆๆๆ "

    และในยามค่ำคืนนั้น...ม้าหนุ่มก็ไปหยุดยืนอยู่ที่บนเชิงเขาและฟังเสียงร้อง ของพวกจิ้งหรีดอยู่ด้วยความพึง พอใจเป็นยิ่งนัก “ทำอย่างไร ? เราถึงจะมีเสียงร้องที่แสนไพเราะเช่นนี้บ้างหนอ ?” ม้าหนุ่มรำพึงกับตนเอง และพร้อมกับได้ร้องถามพวกจิ้งหรีดออกไปว่า “ สหาย จิ้งหรีด” ม้าหนุ่ม ก้มหัวลง “ ท่านกินอะไรเป็นอาหาร ประจำวันหรือ ? จึงได้มีเสียงร้องที่แสนไพเราะยิ่งนักเช่นนั้น ” “ อาหารประจำวันของพวกเราหรือ ?” จิ้งหรีด ได้ตอบคำถามของม้าหนุ่มพร้อมกันไปว่า “เป็นอาหารธรรมดาๆ ที่ในเวลาเช้าของรุ่งอรุณ ของทุก ๆ วันพวก เราก็จะไปหากินหยาดน้ำค้าง ที่อยู่บนยอดใบหญ้าอ่อน เท่านั้นเองแหละท่าน”

    อ๋อ...กินหยาดน้ำค้าง ที่อยู่บนใบหญ้าอ่อน แค่นั้นเองน่ะหรือ ? แล้วเสียงถึงได้ไพเราะมากมาย ขนาดนั้นเลยทีเดียว...คราวนี้ เราจะต้องได้มีเสียงร้องที่แสนที่จะไพเราะ ดุจเสียงร้องของพวกจิ้งหรีดบ้างหละ...” ม้าหนุ่มรำพึงกับตนเอง ด้วยความดีใจ ที่มันได้ทราบความลับของพวกจิ้งหรีดครั้งนี้...และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้น มา ม้าหนุ่มก็ได้ตัดสินใจที่จะเลิกกินหญ้าอ่อน..... เลิกกินน้ำและอาหารทั้งหมด..... หันหน้าตั้งหน้าตั้งตาเที่ยวหาเลียน้ำค้าง ที่อยู่บน ใบหญ้าอ่อนและใบไม้ ในยามเช้าของรุ่งอรุณตลอดมา และก็แน่นอน..ด้วยไม่ได้กินอาหารร่างกายของม้าหนุ่มจึงค่อย ๆ เปลี่ยน แปลงไปตามเวลา มันนั้นผอมลง...ผอมลง..จนเกือบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยทีเดียว แต่มันก็ยังคงพอใจที่จะ กินแต่น้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งมันได้พูดขึ้นว่า " กินน้ำค้างอย่างเดียวมาก็นานแล้วนะ คงได้เวลาที่ เสียงร้องของเราคงจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วละ ไหนลองร้องดูทีสิ.... "

    แล้วม้าหนุ่มก็ตะเบ็งเสียงร้องออกมา " บุ ฮื้ๆๆๆ เอ๋..ไม่เห็นเปลี่ยนไปจากเดิมตรงไหนเลย นี่ ยังแหบแห้งอยู่เหมือนเดิมเลย สงสัยคงจะยังกินน้ำค้างไม่พอละสินี่ ถ้าอย่างนั้นเราต้องอดทนกินให้มาก กว่านี้เข้าไปอีก" ม้าหนุ่มเมื่อมันคิดได้ดังนั้น มันก็ยังคงที่จะหากินน้ำค้างอยู่อย่างเดิมและมากกว่าเดิม เข้าไปอีกไม่ยอมหยุด...และแล้วเมื่อเวลาผ่านมาอีกสักพัก...ม้าหนุ่มได้พูด ขึ้นอีกครั้งว่า " ได้เวลาที่เสียงร้องของเราคงจะเปลี่ยน ไปและไพเราะขึ้นมาแล้วหละ...ไหนลองร้องดูอีกทีสิ " มันจึงรวบรวมพลังของมันที่ดูเหมือนจะมีอยู่น้อยนิดนั้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่มันหาที่จะรู้ไม่ว่าการตะเบ็งเสียงร้องของมันในครั้งนี้จะเรียกว่าเป็น ครั้งสุดท้ายของมันเลยทีเดียวเสียแล้วก็ว่าได้ " บุ ฮื้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ " และเมื่อสิ้นเสียงร้องของมันลงเท่านั้น...มันก็ล้มฟุบลงไปนอนลงบนพื้นหญ้า อย่างหมดแรง ด้วยไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลา นานร่างกายผ่ายผอมหมดแรงและพลังใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะขาดอาหาร ! และสุดท้ายมันก็ได้ขาดใจตายลงไปในที่สุด...

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....

    “สิ่งใดที่ไม่ได้อยู่ในวิสัยของตน ถ้าไปฝืนกระทำสิ่งนั้นเข้า มันก็อาจที่จะเกิดโทษ ที่ร้ายแรงแก่ผู้ที่ฝืนกระทำได้”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน )
    nouk, hastin, jernnrej_JJ, Kee_Key, mukmik

    ไม่มีใครอยากจะเล่าอะไรกันบ้างเหรอคะ?
    รออ่านหนอ....:cool:
     
  14. saekue20

    saekue20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +757
    อ่านไปเจอ เลยเอามาฝากครับ

    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

    Bloggang.com : gymstek -
     
  15. saekue20

    saekue20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +757
    คำถามสามข้อ
    พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถ
    แต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ....
    พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการ ดังต่อไปนี้แล้ว
    จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ

    1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง

    2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย

    3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา

    พระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้
    จะได้รับรางวัลมหาศาล ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน....

    คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำราตางเวลาที่แน่นอน
    สำหรับภารกิจแต่ละอย่าง ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ทุกๆ ปี
    ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม....

    คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้น
    แล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด
    แล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่าง
    จึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร....

    คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจ ต่างๆ
    ที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง....
    สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี "สภาแห่งคนฉลาด" และทำตามคำแนะนำของสภานั้น
    แต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้
    ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น....
    พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์

    ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไป
    คนที่ 1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่
    คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวช
    คนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบ

    คำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกัน
    คนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา
    คนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหาก
    คนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงคราม
    พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่ง
    ผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง....
    ทั้งๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวย
    หรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนา
    และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา
    ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง
    พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น....
    ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม

    เมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป....
    เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้ว
    แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไป
    พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า
    "ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน
    ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ
    1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
    2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
    3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา
    ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่
    ่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไป
    จักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ"....
    ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น
    หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด
    และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง....
    ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบ
    และบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ....ฉันทำต่อไปได้แล้ว"....
    แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป
    ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา

    จักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า
    "ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม
    หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"
    ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า
    "เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร
    ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิด
    ออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้อง
    เขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป....
    ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิ
    และฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น....
    จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล
    แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียว....
    เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด
    จักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สอง
    และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล....

    เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ
    จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง
    ขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว
    และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว....
    ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อม
    และให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป
    จักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน....
    ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวัน
    และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า....
    แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน
    และมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที...
    และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย
    พอเห็นจัรกรพรรดิ์ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
    "ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย"
    "แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ
    "ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี
    พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้
    และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาต
    ข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้

    เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง
    ข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ....
    แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา
    แต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า
    พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บ
    แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่
    ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว
    ข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก....
    หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป
    และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย....
    ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด" จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนัก
    ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย....

    นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ
    ที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล....
    จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย
    พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว
    จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้ง
    เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้ายและพบว่า
    ฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว้
    ฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ
    "คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่"
    "อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง....

    "เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดิน
    ท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับ
    และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน
    ดังนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้น
    ก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน
    บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน....
    และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน"

    "จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด....
    ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป
    และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา
    บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น
    ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา"....

    จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน"
    ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

    บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่
    คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่

    และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข
    เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"....

    อิกคิว คัดลอกมา

    ที่มา : เรื่องในหนังสือของตอลสตอย

    http://www.dhammathai.org/dhammastory/view.php?No=335
     
  16. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    สวัสดีทุกท่าน ทุกนามค่ะ...

    รูปใหม่พี่นุ๊กดูสดชื่นมากนะคะ ชุ่มชื้นๆ:cool:
     
  17. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440
    จงจำไว้ว่า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน"
    ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง


    ขอบคุณแง่คิดดีๆค่ะ คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->saekue20<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6503535", true); </SCRIPT>
     
  18. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ความหมายดีค่ะ เนื้อหากินใจ..ฟังเพลงนี้คิดถึงเพื่อนรัก..เราไม่เคยเจอกัน และคงไม่มีวันได้เจอกัน..
    ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย..
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ได้ยินได้ฟังทีไร มันสะท้อนความรู้สึกได้อย่างจับใจค่ะ
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    รักธรรมชาติค่ะ น้องฟ้ามุ่ย...โดยเฉพาะน้ำค้างบนยอดหญ้า ดูไร้ค่าแต่มีความหมาย

    ตำนานน้ำค้าง
    น้ำค้าง น้ำค้าง อ้างว้างบนยอดหญ้า
    พอแสงตะวันจ้า ก็เลือนลามลายไป
    ฉันคือน้ำค้าง คอยรัก มาเคียงใกล้
    แต่แล้วก็มลาย ด้วยแสงตะวันแรง

    ตำนานนั้นมีมา เทวาถูกกลั่นแกล้ง
    สาดส่องให้เคลือบแคลงต้องแอบแฝงเมื่อรักกัน
    ตะวันหวังเคียงคู่ชื่นชู้น้ำค้างนั่น
    แต่แล้วเมื่อพบกัน ต้องจากกันทุกครั้งไป

    น้ำค้าง น้ำค้าง เวิ้งว้างไปทั้งทุ่ง
    พอแสงตะวันรุ่งหยาดน้ำก็ห่างหาย
    ฉันคือน้ำค้างฉันจึงบอกกับเธอได้
    คนรักเธอจากไปจึงจะได้ความรักมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...