จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมส่งการบ้านที่ครูลูกพลังกับครูดัชครับ หลังๆครูดัชหายไปว่าจะประกาศหาอยู่ แม้แต่ครูก็ไม่เที่ยงจริงๆ ตอนนี้บอกตัวเองอยู่ครับว่ามันแต่เอ้อละเหยเดี๋ยวครูหายไปหมด แย่เลยคราวนี้ เมื่อก่อนเคยนึกว่าคนโน้นดีจังมีครูดีสอนเลยไปไว พอมาเจอเองถึงรู้ว่าครูมีส่วนแค่10%เอง ที่เหลือตัวเองล้วนๆ ผมเพิ่งตกคลองไปครับ เพิ่งปีนขึ้นมาเริ่มใหม่ประมาทไปนิดเดียว นึกว่าเราจิตเกาะพระได้ทั้งวันแล้ว ประมาทแว็บเดียว พ่ายกิเลสจิตตกไปหลายวันเลย ตอนนี้ต้องสู้ถึงจะชนะครับ
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หม้อข้าวหม้อแกงลิง​

    [​IMG]

    ส่งหม้อข้าวหม้อแกงลิงมาให้กำลังใจครูเพ็ญ....ฮ่าๆ
    มันมีนัยยะ
    อย่าเพิ่งบ่นนะ ผมรู้แล้วว่าครูเพ็ญของผมเก่งอยู่แล้ว
    ดูสิ!
    นี่ขนาดไม้บางจำพวกมันยังรอดักแมลงหน้าโง่ ให้มาติดกับดักของมันเลย
    เอ๊ะ! เหมือนกิเลสของเราเองเลยเน๊อะ!
    มันก็จะหลอกได้แต่พวกเราที่ไม่สนใจดูจิต ไม่พยายามฝึกจิต
    ในที่สุดน้องจิตก็ต้องตกเป็นของพี่กิเลสแสนกะล่อนจนได้
    ระวังจิตของพวกเรานะ จะเป็นเหมือนดั่ง
    เจ้าแมลงโง่นั้น

    *อยากพ้นทุกข์ให้สนใจดูจิต
    **อยากไปพระนิพพานให้รีบปฎิบัติจิตเกาะพระสำเร็จไวๆ
    ***อยากทุกข์กันต่อไปก็ปล่อยจิตไหลไปตามกระแสโลก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2012
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ออกไปข้างนอกตอนเย็น กลับมาไฟดับ เข้า web ไม่ได้ เฉยๆ แต่ก็อยากให้ไฟมา วันก่อนก็ net เสีย ยังดีเป็นชั่วคราว

    นั่งทานเม็ดทานตะวันรอไฟมา จิตบอกไม่อร่อยเลย วันนี้รู้สึกเรื่องอร่อย ไม่อร่อยโผล่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2012
  4. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG] ศีลธรรมกับคน [​IMG] ท่านพุทธทาสภิกขุ [​IMG]

    [​IMG] ศีลธรรมเลว คนก็ได้ กลายเป็นผี
    หาความดี ไม่ประจักษ์ สักเส้นขน
    ศีลธรรมดี ผีก็ได้ กลายเป็นคน
    ที่เลิศล้น ภูมิใจ ไหว้ตนเอง


    [​IMG]ศีลธรรมต่ำ เปลี่ยนคน จนคล้ายสัตว์
    จะกินกัน โกงกัน ขมันเขม็ง
    ศีลธรรมสูง คนสดใส ไม่อลเวง
    ล้วนยำเกรง กันและกัน ฉันเพื่อนตาย

    [​IMG]
    ศีลธรรมนี้ ทุกวัน มันตายซาก
    คนมีปาก ก็ไม่พล่าม ศีลธรรมหาย
    ศีลธรรมกลับ มาเมื่อไร ทั้งใจกาย
    คนจะหาย จากทุกข์ เป็นสุขเองฯ


    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]




    [​IMG]



    วันนี้คุณคิดถึงพระหรือยังค่ะ



    [​IMG]

     
  6. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สวัสดีค่ะ การบ้านฉบับนี้เห็นคุณนก(ชาย)ตอบทางอีเมลไปแล้ว ละเอียดละเมียดละไมดีมากเลย พี่เพ็ญมาเสริมให้อีกนิดหน่อย(หรือเปล่า)ค่ะ^^ อ่านคำตอบสีน้ำเงินค่ะ

    อุษาวดี; การบ้าน คืน 3 08 55
    มาพิจารณาต่อ หลังส่งการบ้านในกระทู้ สรุปได้ว่า ทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบมีสาเหตุเดียวคือ มาแสดงตัวอย่างไรต่ออัตตาของเรา ถ้ามาเป็นพวกเรา ดีกับเรา เราก็ชอบ ถ้ามาทำอะไรไม่ดืกับเรา เราก็ไม่ชอบ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พอพิจารณา ไป ตอนนี้ไม่เห็นใครที่ไม่ชอบ กลับสงสารบางคนด้วยซ้ำ เพราะเราตอบโต้ทุกคน บาดเจ็บด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าเกิดอีก คงต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ หรือกรณืล้างแค้นกันข้ามชาติ ก็ทุกข์กันชาติเดียวไม่พอ อยากจะทุกข์หลายๆชาติ ไม่เอาแล้ว และไม่เห็นใครที่ชอบ มีแต่เฉยๆ แต่อาจเหลือเพื่อนสนิท ถ้ามีก็น้อยแล้ว ไว้ดูต่อพรุ่งนี้อีกครั้ง


    ค่ะ ให้มีสติตามดูจิตตนเองอย่าให้คลาดสายตา ช่วงนี้สำคัญ จิตต้องอยู่ภายในจิต สติต้องอยู่กับจิต สติเป็นเพียงผู้ติดตามเข้าไปดูไปรู้สภาวะของจิตเท่านั้น แต่อย่าเอาสติลงไปทำงานแทนจิต อย่าไปบังคับจิต สติมีหน้าที่คอยระลึกรู้สึกอยู่เสมอทั้งภายในและภายนอก กายทำอะไรก็รู้ จิตทำอะไรก็รู้ แค่รู้เท่านั้น รู้ วาง รู้ วาง รู้ วาง สติมีหน้าที่รู้แล้วก็ปล่อยวางไปเท่านั้นเอง

    4 08 55
    ตื่นมาพิจารณาเพื่อนสนิทอีกครั้งก็คิดว่าเฉยๆ

    เช้านี้ไปวัด ไปเกือบไม่ค่อยทันเวลา ขับรถตามรถคันหน้า ขับช้า แซงไม่ได้ ทางโค้งเยอะ ก็ไม่ได้หงุดหงิด หรือ รำคาญ
    นั่งสมาธิอยู่ มีพี่ที่รู้จักมาเรียก ชวนคุย บ่นคนอื่นให้ฟัง ก็ไม่ได้ร่วมไปด้วย หลับตา ชวนคุยอีก ก็ลืมตามาพูดกับด้วยไ ม่ได้หงุดหงิด หรือ รำคาญ แต่อยากนั่งสมาธิ เพราะเดี๋ยวต้องกลับไปทำงาน
    ขากลับแวะซื้ออาหาร รอนาน แถมโดนแซงคิว แต่เฉยๆ
    จริงๆคิดจะไปซื้อเจ้าถัดไปเพราะกลัวไปทำงานสาย แต่ไม่อยากให้แม่ค้าโกรธ เดี๋ยวเขาจะเดือดร้อน เลยรอต่อ


    จิตยังทรงอยู่ที่อารมณ์เดียวคืออุเบกขาญาณ ให้เข้าใจสภาวะของจิตที่เป็นอยู่ด้วยค่ะ ที่เฉยเพราะเขาทรงอยู่ในอารมณ์เดียวคืออุเบกขาญาณ

    เมี่อวานจะซื้อผลไม้ แต่พอจะซื้อไม่ไช่แบบที่ต้องการ เลยตัดสินใจไม่เอา แม่ค้าโกรธ เลยจะต้องระวังมากกว่านี่
    พี่เพ็ญค่ะ นิสัยเลือกมาก จริตนี้จะหายไปไหมถ้าจิตยก เห็นว่าเป็นทุกข์กับมันมามาก

    555 ครูนก(ชาย)ตอบไปอย่างละเอียดแล้วค่ะ พี่เพ็ญเสริมอีกนิดหน่อยก็พอเน๊อะ

    ตอบว่าไม่หายหรอกค่ะ เพราะเป็นอนุนิสัยที่ติดจิตมานาน แต่เมื่อจิตยกแล้วเราจะมีสติเลือกด้วยปัญญาค่ะ ไม่ใช่เลือกเพราะความพอใจในความโลภ โลภอยากได้ของดี

    คุณหมอเลิกทุกข์ได้แล้วค่ะ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของขันธ์ห้า ว่ากันไปตามเหตุและปัจจัย จะไปทุกข์กับมันทำไมล่ะคะ ก็ในเมื่อธรรมดามันเป็นอย่างนั้นเอง ถ้าเราอยู่ในฐานะที่เลือกได้เราย่อมเลือกได้ค่ะ อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับพระ เณร ชี ท่านเหล่านั้นไม่ค่อยมีโอกาสเลือกเหมือนฆราวาส ท่านก็จำเป็นต้องฉันต้องใช้ไปเท่าที่มีคนเขามาบริจาคหรือเท่าที่พระธรรมวินัยจะเอื้ออำนวย

    แต่เราปฏิบัติอยู่ในสายฆราวาส เรายังต้องทำงานทางโลก และยังต้องกินต้องใช้ตามความเหมาะสม หากเราอยู่ในฐานะที่เลือกได้ก็ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยแต่ประการใด เพราะเราครองอยู่ในศีลห้าหรือศีลแปดในฝ่ายฆราวาสเท่านั้นเอง

    อุปมาเหมือนน้ำ(กิเลส)กลิ้งอยู่บนใบบัว(จิต) ใบบัวมีสารเคลือบผิวป้องกันน้ำเกาะ เปรียบดั่งจิตที่ละแล้วซึ่งกิเลส ต่อให้คลุกเคล้าอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ย่อมไม่มีผลกับจิต แต่ขันธ์ห้ายังหนีไม่พ้นต้องเปื้อนกิเลสอยู่ดี เพราะขันธ์ห้ากับกิเลสเป็นสมบัติของโลก โลกนี้เต็มไปด้วยของหยาบและสกปรกเหนียวเหนอะหนะ มันเกาะกันเป็นคราบฝังแน่นซึ่งมีอยู่ทั้งในโลกและในร่างกาย

    สรุปว่าหากการกระทำนั้นไม่ขัดต่อศีล ให้ยอมรับว่าทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติค่ะ ธรรมดาเป็นอย่างนั้นเอง มันไม่เที่ยง ไปยึดถือไว้ก็เป็นทุกข์ สุดท้ายจริต(ที่เลือกมาก)ก็ไม่ได้มีตัวตนอะไร เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ท่ามกลางความแปรปรวน แล้วก็ดับไปในที่สุด จริตเป็นของขันธ์ห้าไม่ใช่ของเรา(จิต) เรา(จิต)ไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่มีในเรา(จิต) ร่างกายนี้ต้องตายแน่ เราไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป ตายเมื่อไรเรา(จิต)ขอถึงซึ่งพระนิพพานทันที


    แม่ค้าที่ซื้ออาหาร ตอนทอนเงิน เห็นว่าเขาเป็นเชื้อราที่เล็บ ถ้าเป็นก่อนนี้อาจต้องคิดจะทำอย่างไรกับอาหารนี้ แต่วันนี้ไม่กังวล


    จิตยอมรับในความเป็นธรรมดาจึงไม่กังวล ไม่ว่าเขาไม่ว่าเราล้วนเป็นอย่างเดียวกัน เชื้อโรคเชื้อราใช่ว่ามีแต่ในตัวเขา ในตัวเราก็มีอยู่มิใช่น้อย ร่างกายนี้เป็นรังของโรค สุดท้ายร่างกายของคนและสัตว์บนโลกนี้ต้องส่งคืนโลกไปทั้งหมด กินดีอยู่ดีแค่ไหนก็ตาย กินอดกินอยากก็ตาย สรุปว่าร่างกายนี้มันต้องตายแน่

    ขับรถมาที่ทำงาน มีรปภ ที่ประตูถ้าไม่มี sticker โดนตรวจ ทุกทีจะรู้สึกยืดอก เพราะรู้สึกว่า ชั้น staff นะจ๊ะ วันนี้เหมีอนมีเงาๆในจิตวูบขึ้นมา แต่ไม่รู้สึกเหมือนทุกครั้ง

    อ่า อีกนิดหนึ่ง มานะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว มีสติตามดูจิตต่อไปค่ะ

    เห็นรถคนรู้จักคลุมที่คลุมรถไว้ วูบขึ้นมาว่าทุกข์เพราะสมบัติ


    ธรรมะแสดงให้เห็นว่าจิตไม่ติดในโลภ


    เดินมามีลูกศิษย์ยกมือไหว้ เห็นความตั้งใจไหว้ของบางคน เห็นเข้าไปในจิตเราเอง รุ้สึกยกมือรับไว้จากข้างใน ไม่ใช่ตามมารยาท


    อ่า ความเป็นมนุษย์คือผู้ประเสริฐเกิดขึ้นแล้วค่ะ อัตตาตัวตนละลายลงไปเกือบหมดแล้ว
     
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    ในคลินิคพยายามแยกกายแยกจิต พอได้ มีติดๆบ้าง พยายามนึกถึงพระไว้ตลอด ตอนพิมพ์นี้ เพิ่งพบว่าแค่นึกเฉยๆก็ได้ ก็เกิดปิติเหมือนกัน ใหม่ๆเอาจิตไปหาพระข้างนอก หลังๆมองย้อนไปในจิต ถ้าอย่างนี่แยกกายแยกจิตจะง่ายขึ้น กายไม่สะดุดเพราะไม่ต้องไปกำหนด แค่นึกเฉยๆ

    5555 พี่เพ็ญขอหัวเราะอ้าปากกว้าง ๆ หน่อยนะ คุณหมอเพิ่งเก็ตแต่ครูปากเกือบฉีกถึงหู ฮ่าๆๆๆ ดีใจที่คุณหมอเข้าใจเสียที ใครอ่านอยู่ตอนนี้โปรดทำความเข้าใจตามที่คุณหมอได้อธิบายไว้ด้วยนะเจ้าคะ "แค่นึกเฉยๆ"

    เขียนข้อมูลคนไข้เสร็จ หันมาจะตรวจ ก็วูบมาในจิต เห็นเหมือนเป็นมือซ้ายจะวางอะไรลง และมีเสียงว่า วางโลก แต่รู้สึกเฉยๆ ก็ทำงานต่อ

    วิปัสสนาญาณเกิดค่ะ ถ้าจิตทรงฌานสี่ได้ต่อเนื่องวิปัสสนาญาณก็จะเกิดตามมาอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน ให้ทำจิตยอมรับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นด้วยค่ะ ญาณสั่งให้วางก็วาง(เอาจิตวาง)

    ขณะทำก็เห็นไตรลักษณ์ สภาพนี้ ไม่เที่ยง ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็หายไป ถ้าอยากพิจารณาก็พิจารณาได้ทุกที่


    ทำได้ดีค่ะ

    เจ้าหน้าที่มาบอกคนไข้คนสุดท้ายไม่มา ห้วเราะดีใจแต่ปาก ใจเฉย จะรีบกลับมาส่งการบ้าน

    สติกับจิตเกาะติดกันอยู่ข้างในแล้ว จิตจึงจดจ่ออยู่แต่ในธรรม โมทนา สาธุค่ะ นึกถึงพระให้บ่อยค่ะ แค่นึกเฉย ๆ นั่นแหละค่ะ เป็นการประครองจิตให้อยู่ในสมาธิให้ต่อเนื่อง ให้สังเกตนะว่าจิตที่อยู่กับธรรมในจิตเขาจะเบิกบานมาก

    หามือถีอไม่เจอ ปากก็ว่าเอ๊ไปไหน แต่ใจเฉย สภาวะแบบนี้เห็นตั้งแต่เมื่อวาน หัวเราะ แต่ใจเฉย ว่าแล้วต้องโดน เรื่องศีล 8 ขอกราบงามๆ สำหรับไม้หน้าสาม ท่านใดยังไม่อ่าน พี่ภูวิเคราะห์สภาวะที่เกี่ยวข้องได้ครอบคลุมมาก

    คุณหมอทำถูกต้องตามวิธีแยกกายแยกจิตแล้วค่ะ กายก็เป็นเรื่องของกาย จิตก็เป็นเรื่องของจิต มันทำงานกันคนละหน้าที่ ถ้าแยกกายแยกจิตเป็นแล้วจะเห็นชัดค่ะ แต่ถ้าสติอ่อนจะแยกไม่ออก และถ้าสติไปทางจิตไปทางก็แยกไม่ออกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอยากเห็นการทำงานของจิตต้องเอาสติตามจิตไปติด ๆ ค่ะ เหมือนขาซ้ายกับขาขวาห่างกันเมื่อไรเป็นอันล้มทั้งยืน

    คนไข้เด็กของคนอื่นร้องดังลั่นมาก รุ้สึกเฉยๆ และเห็นว่า เด็กคนนี้จะต้องร้องไปอีกเท่าไรในวัฎฏสงสารนี้

    จิตยอมรับในอริยสัจจ์สี่ว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง แม้ว่าจะอยู่ในสภาพเด็กที่มีคนเลี้ยงดูอย่างดีก็ยังไม่พ้นทุกข์ เกิดอีกก็ทุกข์อีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีก ตายเมื่อไรเราขอถึงซึ่งพระนิพพานทันที

    กำลังจะเลือกอาหารเผ็ดว่าจะเอาผัดเผ็ดหรือทอดมัน จิตบอกผัดเผ็ด จำได้ว่าอร่อยกว่า ตกม้าตายเลย

    ธรรมแสดงเรื่องรส เป็นไปตามธรรมชาติของขันธ์ห้าค่ะ ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่คุณหมอจะต้องแยกให้ออกว่าอร่อยเป็นของกายไม่ใช่ของจิต เพราะจิตไม่มีลิ้น ลิ้นมีอยู่ในขันธ์ห้า รสอร่อยย่อมไม่ใช่ของจิตอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ควรวยึดติดในรสว่าเป็นของเรา(จิต) ได้คำตอบแล้วให้ทำจิตยอมรับในคำตอบที่รู้ขึ้นมาด้วยค่ะ

    แต่ตอนทานก็ไม่เห็นว่ายินดี แต่ยังไม่แน่ใจ ค่อยดูใหม่


    นอกเหนือเวลาเจอกระทบให้เอาสติเข้าไปดูความนิ่งว่างข้างในจิตอย่างเดียวค่ะ และให้นึกถึงพระในจิตบ่อย ๆ แค่นึกเฉย ๆ เอาสติอยู่กับจิตให้มากที่สุด มากกว่าอยู่กับกาย แบ่งอย่างนี้ก็ได้ค่ะ เอาสติอยู่กับจิต 80% อยู่กับกายแค่ 20% ก็พอค่ะ ไม่ต้องนึกหรือคิดพิจารณาอะไรทั้งนั้น ให้ดูจิตในความว่างอย่างเดียวค่ะ

    ขอบคุณค่ะ


    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ


    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ที่นี่! สถานีรับปรับ/จูน/แก้ไขจิตมนุษย์

    (ตอนรุกจิต)
    ขออนุญาตออกความคิดเห็นเรื่อง ศีล๘
    การถือบวชเนกขัมมะนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี
    สำหรับผู้ปฎิบัติต้องการกำลังใจเพิ่ม+ต่อเนื่อง นั่นเอง
    แต่พวกปฎิบัติหารู้ไม่ว่า จิตที่จะพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น
    เราจักต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง นอกจากความเพียร

    ขอยกตัวอย่าง ไปถือบวชเนกขัมมะทุกเสาร์อาทิตย์
    วันธรรมดาแต่กลับไม่สนใจเรื่องศีล5 หรือศีลหยาบธรรมดาก็ยังขาด
    เช่น ดื่มประเภทแอลกอฮอล์ อ้างว่าออกสังคม อันนี้เรียบร้อย(ขาด)
    ผู้ปฎิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน ศีลจะต้องเข้มมาก สมาธิปัญญาจึงจะเข้มตาม

    สำหรับผู้ปฎิบัติที่ไปถือเนกขัมมะ เพื่อต้องการสร้างกำลังใจ
    สร้างบุญบารมีเพิ่มเติมเป็นหลัก คือ ต้องการสมาธิของจิตเพิ่ม
    ทำให้จิตนิ่งมากกว่าเก่า และต้องการความนิ่งเพิ่มและอย่างต่อเนื่อง
    แต่พวกเราไม่มีระเบียบวินัยในตนเอง คือความเพียรมีมาก แต่ขาดความต่อเนื่อง
    ตรงนี้แหล่ะ! คือจุดอ่อนของนักภาวนา หรือ ผู้ปฎิบัติทั่วไป

    ผู้เขียนจึงมาเน้นให้พวกเราหันมาทำจิตเกาะพระกัน ก็เพื่อเพิ่มความต่อเนื่อง
    ผู้ปฎิบัติจะได้เดินจิตของตนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อมรรค ผล นิพพานกันไวๆ
    นี่คือวัตถุประสงค์หลัก ในการปฎิบัติจิตเกาะพระ คือเน้นจิตเป็นสมาธิมาก+ต่อเนื่อง
    เน้นจิตทรงฌานได้อย่างต่อเนื่องเกือบจะทุกขณะจิตก็ว่าได้
    จิตสามารถทรงฌานกันได้ทั้งวัน ทั้งคืน จิตจึงจะเข้าสู่ความว่างได้ไว
    หรือ จิตจะเข้าวิปัสสนาได้ไวขึ้น
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติมีแต่ความเพียรอย่างเดียว แต่ขาดความต่อเนื่อง จิตก็จะเดินมรรควิธีช้า
    ด้วยเหตุนี้เองที่คนส่วนใหญ่มักมีดวงตาเห็นธรรมกันยาก
    เพราะจิตขาดความต่อเนื่อง

    ทุกวันนี้พวกเราไม่ได้อยู่นิ่งเฉยกันเมื่อไหร่ ผู้เขียนพอเข้าใจ
    นอกจากจะเป็นเรื่องงาน การเรียน ไหนจะเป็นเรื่องงานบ้าน ดูแลบ้าน ดูแลลูก
    ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ไหนจะงานสังคม และอื่นๆมากมาย

    แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนดูจิต หรือไม่เคยทำเจริญสติภาวนา
    จิตจึงมีโอกาสไหลไปกับกิเลสมากกว่าผู้ที่เคยฝึกจิต เป็นธรรมดา
    สิ่งต่างๆที่มากระทบจิตคนเรานี้ ยากที่จะหลบหนีจากความเป็นจริงได้
    นี่เป็นที่มาแห่งความทุกข์ นอกจากพวกเรามีร่างกายนี้ คือตัวทุกข์กันแล้ว
    ปัจจัยที่จิตจะไปรับรู้สิ่งต่างๆอีกมากมาย จากอายตนะทั้ง๖ ของพวกเราอีก
    แต่ถ้าผู้ไม่ฝึกจิตก็อาจจะลำบากหน่อย คือจะเป็นทุกข์มากกว่า
    เพราะเรา(จิต)ไม่เข้าใจเรื่องทุกข์ มารู้กันอีกทีนึง ก็คือ
    จิตไปรับเอาความทุกข์จากภายนอกเข้ามาสู่จิตใจภายหลังกันไปแล้ว

    ขอพูดแค่นี้ก่อน
    แต่ถ้าใครมีปัญหาการสร้างสติให้ได้ต่อเนื่อง หรือทำอย่างไรให้จิตนิ่งมาก+นาน
    หรืออยากรู้เรื่องศีลให้มาก ให้ละเอียดมากกว่านี้
    หรือเทคนิคอื่นๆ ถ้าสามารถตอบได้ก็จะตอบให้
    ก็ขอให้ถาม/บอกกล่าวกันมา
    แต่ถ้าไม่ถาม ผมก็จะพูดกว้างเกินไป

    โดย...ภู ศิราณี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 สิงหาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้ำตกเอราวัณ
    [​IMG]

    น้ำตกสวยไหม?
    น้ำตกสวยจัง
    แต่จิตคนตกนี่ ไม่สวยแน่
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลูกยาง
    [​IMG]
    คำว่า
    "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น"

    หมายความว่า อย่างไร?
    ลูกย่อมเหมือนกับพ่อ แม่ของตนเอง ทั้งนิสัย การกระทำและความประพฤติ
    Like father, like son. พ่อเป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น

    แต่ถ้าพวกเราคิดว่า
    พวกเรา คือ ลูกหลานของพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกตนเองว่า "ชาวพุทธ"
    เพราะฉะนั้น
    ลูกหลานของพระพุทธเจ้า หรือ ชาวพุทธทุกท่าน
    ก็ควรจะทำหน้าที่ความเป็นลูกหลานของพระพุทธเจ้า หรือ ชาวพุทธที่ดีนั้น
    ควรจะทำกันอย่างไร
    [​IMG]
    ลูกใครหว๋า!

    *พระพุทธเจ้า ท่านเจริญรอยตามพระอริยมรรค หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    เพราะฉะนั้น
    ถ้าใครรู้ตัวว่าเป็นลูกหลาน หรือ ที่เรียกตนเองว่า"ชาวพุทธ"
    จิตจะต้องเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า หรือ ท่านพ่อของพวกเรา

    แต่ถ้าไม่เดินตาม ก็เท่ากับผู้นั้นไม่ใช่ชาวพุทธ หรือ เป็นผู้ที่ไม่มีศาสนา

    หรือว่า พวกเราเป็นได้แค่ ชาวพุทธตามทะเบียนบ้านกันเท่านั้น!
    แต่ถ้าใครมีปัญญาก็จงไปคิดต่อกันเอง

    (พูดให้คิด หยุดทำชั่ว ประพฤติแต่กรรมดี เน้นภาวนา เป็นต้น)
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บอกเล่า๙สิบ..เช้านี้

    ยิ่งพูดยิ่งลบ พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
    คิดมากยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งทุกข์มาก
    หยุดพูด หยุดคิด ทำจิตนิ่ง จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นปัญญา
    ทำความเห็นถูกต้องเป็นสัมมาทิฎฐิ
    คำนี้แหล่ะ@ สำคัญยิ่งของคนส่วนใหญ่
    เพราะจะนำความสุข ความทุกข์ มาให้ในปั้นปลายชีวิต

    จงทำความรู้จักกันซะ!
    จงรู้จักให้อภัย(มีเมตตา) จงรู้จักเป็นผู้แพ้(ไม่เบียดเบียน) จงรู้จักเป็นผู้ละปล่อยวาง(ธรรมะ)
    จงรู้จักเป็นผู้ให้(ทาน) จงรู้จักละอายใจ(ศีล) จงรู้จักตนเอง(ภาวนา)
    จงรู้จักทำให้จิตนิ่ง(สมาธิ/ฌาน) จงรู้จักความโง่ตนเอง(ปัญญา)
    จงรู้จักความจริง(อริยสัจจ์) จงรู้จักคำว่าธรรมดา(ไตรลักษณ์) จงรู้จักความหลุดพ้น(นิพพาน)
    จงรู้จักเวียนว่ายตายเกิด(สังสารวัฎ) จงรู้จักเดินสายกลาง(อริยมรรค)
    จงรู้จักดับทุกข์(นิโรธ) จงรู้จักวางเฉย(อุเบกขา) จงรู้จักความเห็นถูกต้อง(สัมมาทิฎฐิ)
    จงรู้จักตัวตน(อัตตา) จงรู้จักร่างกาย(ขันธ์5) จงรู้จักทุกข์(สัจจะธรรม)
    จงรู้จักทำให้เกิดบ่อย(สติ) จงรู้จักทำให้นิ่ง(จิต)
    และจงรู้จักแท้ที่จริงแล้วพวกเราต้องการอะไรกันแน่(ความสงบสุข)
    (นึกได้แค่นี้)

    พวกเราปฎิบัติธรรมเพื่ออะไร?
    เพื่อความสงบสุข
    เพื่อหนีทุกข์
    เพื่อสร้างบุญบารมี
    เพื่ออุทิศบุญกุศลให้ผู้มีพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ หรือคนที่เรารัก
    เพื่อความหลุดพ้น
    เพื่อค้นหาตนเอง หรือค้นหาสัจจะธรรมของชีวิต
    เพื่อละปล่อยวางทั้งหลาย ทั้งปวง
    เพื่อมรรค ผล นิพพาน
    เพื่อพุทธพาณิชน์
    เพื่อตามกระแสสังคม ตามผู้อื่น
    เพื่อตามหาคู่แท้ เพื่อนกับยาณมิตร หรือเพื่อนแท้
    เพื่อการศึกษา
    เพื่อหนีภรรยา/สามี
    อื่นๆ

    สุดท้าย ที่กล่าวไปทั้งหมด ทุกท่านก็ทราบดีแล้ว
    แต่ใครจะปฎิบัติกันได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
    แต่อยากจะบอกกับพวกเราว่า...
    ถ้าใครมีสติมาก สนใจดูจิต เน้นปฎิบัติบูชา เน้นภาวนา คำว่า มรรค ผล นิพพาน
    ไม่ไกลเกินเอื้อม
    ทุกสิ่งทุกอย่าง เราเท่านั้นพึงกระทำ พึงประปฎิบัติดี-ชั่ว ก็ขึ้นอยู่ที่ตนเองทั้งนั้น
    กรรมดี กรรมชั่วมีผลทั้งสิ้น
    ไม่ว่าจุติของดวงจิตของตนเอง เราทั้งสิ้นที่เป็นผู้กำหนด
    มิใช่ฟ้าลิขิต หรือ กรรมลิขิต
    แต่ก็จริงอยู่ คำว่า ฟ้าลิขิต หรือ กรรมลิขิตนั้น
    แต่ถามกลับไปว่า ใครเป็นคนทำ กรรมดี-กรรมชั่วนั้น ถ้าไม่ใช่เราทำ
    ฟ้าลิขิต หรือ กรรมลิขิต ก็เห็นจะเป็นจริงไปตามนั้น

    งั้นพวกเราก็เล็งธนูจิตไปที่เป้าหมายนรก สวรรค์ พรหม หรือ พระนิพพาน
    ตามสบาย...พัก!


    ***อ่านไปเพลินๆนะ Khun watjojoj
    เดี๋ยวผมหมดลมเมื่อไหร่ คุณก็จะไม่ได้อ่านแล้วนะ
    ยิ่งดูจิตตนเอง ก็ยิ่งพบสัจจธรรม ยิ่งใกล้พระนิพพาน
    ยิ่งดูโลกมายา(ไปทางโลก) ก็ยิ่งทุกข์ ก็ยิ่งมีแต่ความหลอกลวง
    และเป้าหมายดวงจิตจะไปที่ไหนกันได้ นอกจากอบายภูมิ นรกภูมิ
    ที่มากันมานี้น่ะ ไม่มีคนอยากไปอบายภูมิกันหรอก แต่เห็นชอบทำกันเจงๆ
    มนุษย์ชอบทำในสิ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
    อะไรก็รู้ไปหมด ยกเว้นไม่รู้ตนเองเท่านั้น เพราะอะไร?
    ก็เพราะพวกเรามีสติน้อยเกินไป ปัญญาก็พลอยหายไปด้วย
    อยู่ไปกับคำว่า อวิชชา ดำน้ำกันไป จะไปโผล่กันชาติไหนไม่รู้
    ผมท่องทุกวัน ว่ากรูตายแน่ๆ หากตายแล้วไปที่ไหนหว๋า!
    ให้จิตมันตอบเอง เพราะเมื่อตายไปแล้ว เห็นมีแต่จิตไปแต่ผู้เดียว
    มีบาปและบุญเท่านั้น ที่ไปเป็นเพื่อนเรา
    ผมพอจะเข้าใจนะว่า เข้าเข้ามาอ่าน มาฝึกจิตเกาะพระกันทำไม?
    ถ้าไม่กลัวไปนรก เบื่อการเกิด เบื่อทุกข์ หรือ อยากไปพระนิพพาน
    เห็นไหม เราเป็นผู้กำหนดกันเองทั้งนั้น

    สำหรับผู้มีปัญญาให้หมั่นดูจิต ฝึกฝนดูจิตตนเอง
    อย่าไปดูว่า
    ...เมื่อไหร่ภัยพิบัติจะมาสักที
    ...เมื่อไหร่น้ำจะท่วม เมื่อไหร่สึนามิจะมา เมื่อไหร่แผ่นดินจะไหว เมื่อไหร่พายุจะมา
    ...เมื่อไหร่พายุจักวาลจะเกิด เมื่อไหร่ดาวหางจะวิ่งชนโลก
    ...เมื่อไหร่สงครามนิวเคลียร์จะเกิด สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิด
    ...เมื่อไหร่จะรวย เมื่อไหร่จะมีคนรัก เมื่อไหร่จะมีคนมาชม
    พวกเราพอจะมองกันออกกันเน๊อะว่า วันๆนึงจิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้กัน
    จิตตกอยู่กับกิเลสตัณหาอุปทานทั้งนั้น แล้วมันจะไปไหนได้เล่า
    ไม่ให้พวกเราจิตตก เป็นทุกข์ ประสาทรับประทาน เมื่อตายไปมันจะไม่ให้ไปอบายภูมิกันได้อย่างไร
    ก็จิตพวกเราเอาแต่ไปยึด/ไปเกาะ/ไปอยู่กับพวกสิ่งอัปมงคลทั้งนั้น
    ใครอยากไปสวรรค์(ทำบุญภายนอก)
    ไปพรหม(ทำสมาธิ ทำฌาน)
    ไปนิพพานก็ทำวิปัสสนาให้ผ่านกันดิ่

    วันๆนึงไปเอาจิตไปเกาะติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ไม่ให้จิตตก ไม่ให้ทุกข์กันได้อย่างไร
    เอ่อ! ยกเว้นพระอรหันต์ ยกเว้นที่ฝึกจิตมาดีแล้ว อันนั้นจิตเขานิ่งเฉย(อุเบกขา)ไปแล้ว
    ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว จิตยกแล้ว จิตอยู่เหนือขันธ์5แล้ว จิตไม่ไปยึดติดเอากายว่าเป็นของตนอีกต่อไปแล้ว
    อยู่ก็ไม่เดือดร้อน(ไม่ทุกข์) ตายไปก็ไม่หลง(กำหนดที่ไปทุกวันจนชิน)
    คนส่วนใหญ่ที่เป็นทุกข์กันมาก ก็เพราะว่าจิตไม่นิ่งเป็นหลักเลย
    จิตไม่นิ่งก็แย่อยู่แล้ว นี่แถมไปเสพข่าวโดยเฉพาะข่าวในทางลบ(ข่าวร้าย)
    จิตที่ไม่ได้ฝึกฝนมาดี จิตก็จะวิ่งตามกันทั้งนั้น ก็เลยเป็นทุกข์กันทั้งนั้น
    จิตไม่เขาใจเรื่องของขันธ์5 จึงเลยวางกับทุกสิ่งไม่ได้
    ที่เขาเรียกว่า ความหลง

    วันนี้พร่ำ๑o๘
    บอกแล้วลุงมันแก่เลี๊ยว
     
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุทั้งคุณหมอและครูเพ็ญด้วยครับ..
    เราขอเสริมเรื่องนี้หน่อยนึง เป็นเทคนิค เผื่อว่าท่านใดอาจจะลองนำไปใช้แล้วแล้ว ปฎิบัติได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นก็สาธุด้วย..

    สำหรับท่านที่กำลังฝึกการแยกกายแยกจิตอยู่นั้น เมื่อแรกก็จะประสบกับความยากลำบากหน่อย
    ในเรื่องการแยกออกเป็น3กองคือ สติ กาย จิต
    สติ - สำหรับผู้ปฎิบัติที่มาถึงขั้นแยกกายแยกจิตแล้ว เรื่อง"สติ"นี่ ว่าเป็นอย่างไรอยู่ไหน ย่อมไม่เป็นประเด็น! เพราะมีแต่"สติ"เท่านั้นที่จะตามไปดูตามไปรู้การแยกแยะกาย-จิตได้เท่านั้น อย่างอื่นในขันธ์5 เราไม่มี!..
    กาย - อีอันนี้"ง่าย" ที่สุดแล้ว จะสติมากหรือสติน้อยก็ย่อมที่จะรู้ว่ากายเรานั้นอยู่ไหนเป็นอย่างไร ยกเว้นพวกขาดสติอย่างแรงจริงๆ เช่นเมาเหล้าเมายาจนขาดสติ หรือคนบ้าเท่านั่นที่จะไม่รู้!
    จิต - อีอันนี้"ยาก" ที่สุดแล้ว สำหรับผู้ปฎิบัติในชั้นนี้ใหม่ๆ คือไม่รู้ว่าจิตเราอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร บางท่านบอก"จิตหาย"ไม่รู้ว่าหายไปไหนอยู่ตรงไหน ลอยๆอยู่หรือเปล่า หรือเดี๋ยวผลุบๆโผล่ๆแล้วแต่อารมณ์ของมัน หรือว่าสติเรายังมาตามจิตยังไม่ทันก็เลยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ตรงไหน.. ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นทั้งนั้นสำหรับผู้เริ่มใหม่ๆ.. 

    จากคำตอบที่คุณหมอค้นพบเทคนิคและที่ครูเพ็ญกล่าวมานั้นถูกต้องยิ่งนัก..แค่ทำแค่นั้นจริงๆแล้วให้มันทรงตัวอยู่ตลอด(นึกถึงพระ) จนจิตเราเองมันจะนึกถึงพระเองเป็นอัตโนมัติ สติแค่เป็นผู้ตรวจการ คอยดูแลตามรู้ตามดูสลับไป-มาระหว่าง กายกับจิตเท่านั้นเอง.. กายก็ทำการงานภาระกิจต่างๆไป ส่วนจิตก็เกาะพระไป

    เอาหล่ะเทคนิคที่เราจะเพิ่มเติม เผื่อว่าจะเป็นทางเลือกสำหรับบางท่านคือ
    ก็กำหนดให้จิตเรานั้นนึกถึงพระแล้วให้"ตั้งอยู่ที่ฐานภายในกาย" ของตนเอง ตามฐานต่างๆ6-7ฐานแล้วแต่จริตของแต่ละท่านๆ(เลือกกันเองตามใจชอบ)เช่น ฐานบนศรีษะ ฐานหน้าผาก ฐานจมูก ฐานคอ ฐานทรวงอก ฐานกึ่งกลางกาย (ส่วนฐานภายนอกกาย อันนี้แหล่ะจะทำให้ผู้ปฎิบัติสับสนว่าจิตหายไปไหน?) บางท่านอาจจะไม่มีฐานเลยก็ทำได้(เป็นความสามารถหรือถนัดเฉพาะตัว) 
    "สมมุติว่าเรากำหนดไว้ที่ฐานกึ่งกลางกาย พระก็อยู่กับเราที่กึ่งกลางกายตลอด" กายก็ทำกิจการงานไป ส่วนสติก็ตามรู้ตามดูสลับไป-มา ระหว่างกาย-จิต(ที่อยู่กึ่งกลางกาย)ไปคือ สติเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยสตินี้ต้องตื่นตัวระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา..
    ถ้าสติเผลอ ==> ก็ลืมได้เลย คือไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจิตเราอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่..
    ก็ลองดู..เผื่อว่าจะถูกกับจริตบางท่าน ถือว่าเป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆไปลองทำกันดู...สาธุ

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  13. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อ่านแบบไม่เพลินครับ คิดตามตลอดครับ เร่งความเพียรมากขึ้นด้วยครับ เพลินแล้วก็ประมาทครับ เพิ่งโดนมาแบบไม่รู้ตัว รู้อีกทีเกือบหาจิตตัวเองไม่เจอ
    วันนี้ไม่ได้ส่งการบ้านครับ เพราะปรกติใช้เมล์บริษัท ถ้าจะใช้เมล์ส่วนตัวเดี๋ยวครูงง ว่าหมอนี่ใครหว่า ครูลูกพลังสอนแต่ละทีนี่ลึกซึ้งจริงๆครับ แรกๆเอาแต่อ่านก็ไม่เข้าใจว่าคือยังไงหว่า ต้องลองทำดูก็เข้าถึงบางอ้อ(แม้จะยังไม่เต็มร้อย) หลังจากที่หลงกับดักกิเลสไปหลายวัน ตอนนี้ผมกลับเข้ามาทางเดิมได้แล้วครับ ขอขอบคุณครูลูกพลังครับ
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    สาธุ กราบขอบพระคุณพี่เพ็ญค่ะ

    การบ้าน 5 สค 55



    เช้านี้มาพิจารณา อาหารที่เคยชอบ (ซึ่งอยู่ดีๆก็วูบในความคิดขึ้นมาเมื่อวาน) ว่ายังติดในรสอยู่อีกไหม

    ตอนพิจารณายังไม่ได้อ่าน คำตอบพี่เพ็ญเรื่องนี้

    ตอนแรกก็รู้สึกเขาทำได้ไม่กลมกล่อม แต่ดูไปจิตก็เฉยๆ นั่งคิดอยู่ ว่าความไม่กลมกล่อม เป็นเรื่องของกาย แต่อุเบกขาน่าจะเป็นเรื่องของจิต ไม่แน่ใจ หรืออุเบกขาเพราะไม่อร่อย พยายามดูก็ไม่เห็นความไม่ชอบ เลยไปเอาขนมที่อร่อยแน่มาทดสอบ ก็เห็นว่ารสชาติอันละมุนละไมอยู่ที่ลิ้น แต่จิตเฉยๆ เลยเข้าใจ

    ถ้าเป็นวันก่อนที่ สติน้อยกว่านี้ และแยกกายแยกจิตไม่ได้ คงไม่เข้าใจ เลยเข้าใจว่าที่พี่ภูกับพี่เพ็ญ พยายามเน้นเรื่องสติกับจิตเพราะอะไร สุภาษิตว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัดท่าจะจริง แต่ส่วนใหญ่คนชอบให้หมากัดก่อน อิอิ


    ขับรถอยู่ เห็นคนวิ่งเพื่อการกุศล ทุกจังหวะที่แต่ละคนวิ่งไป แสดงไตรลักษณ์ ในภาพรวมของคนหมู่ใหญ่ ก็มีความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้และสลายตัวไปของภาวะเดิม ขากลับไม่มีคนวิ่งแล้ว อนัตตาก็แสดงตัวสำหรับวิ่งเพื่อการกุศลนี้ เสียงเครื่องยนต์ เสียงเพลงในแต่ละจังหวะก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ต่อเนื่องกันไปเป็นสาย อยู่ๆก็วูบขึ้นมาว่า เห็นอย่างนี้แล้ว ยังจะเอาอีกหรือ ( เอา=ความยึดในขันธ์ 5)


    ตอนเช้าที่เห็นคนวิ่ง มีผุ้หญิงคนหนึ่งวิ่งเกือบถึงแล้ว แต่เธอทำท่ากัดฟ้นวิ่ง พอเห็นก็รู้สึกว่า เหมือนเราเลย เริ่มเหนื่อยเหมือนกัน
    ขากลับพอโดนถามเรื่อง เห็นอย่างนี้แล้ว ยังจะเอาอีกหรือ กลับมา คิดได้ว่า โดนกิเลสเรื่อง ความอยาก จัดการอีกแล้ว สติยังไม่ทัน พอรู้ก็อุเบกขาต่อ ก็เป็นไตรลักษณ์อีกเหมือนกัน :cool:


    พอพิมพ์ถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าที่แบกไว้ (ความยึดในขันธ์ 5) หนักเหลือเกิน


    วันก่อนเดินจงกรม เห็นว่ากิเลสนี้ร้ายกว่างูอีก งูกัดเราตายได้ชาติเดียว แต่กิเลส กัดไปทุกชาติ ถ้ายังไม่พ้นวัฏฏสงสาร


    เมื่อวานค่ำ ขับรถผ่านประตู โดน รปภ เป่านกหวีดให้หยุดตรวจ งง มี sticker ทำไมยังเรียก แต่ในจิตก็เฉยๆ วันนี้เข้าใจแยกกายจิตเรื่องอาหาร เลยนึกออกว่า งง กับอุเบกขา คนละตัวกัน อย่างนี้ งง จัดเป็นอะไรค่ะ


    ตอนที่พิมพ์อยู่นี้รู้สึกจิตสงัดมาก


    กราบขอบพระคุณค่ะ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ครูเพ็ญครับ..จิตคุณหมอนี้
    อย่าให้พลาดเด็ดขาด เอาให้อยู่หมัดเลยนะ


    เพราะจิตเธอใกล้ถึงจุดพีค(peak)แล้ว
    สงสัยจะยกจิตคุณหมอเป็นธรรมาทานบนกระทู้นี้
    ดีแล้ว อัตตา มานะของคุณหมอจะได้หมดไวๆ
    แต่ขอบอกซะก่อนนะว่า การละอัตตา ละมานะนี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ
    คุณอุษาวดีเป็นหมอยังไม่พอ แถมยังเป็นอาจารย์หมออีก
    แต่ถ้าจิตคุณหมอยกได้นะ ผมจะดูสิว่าคุณหมอจะไปโปรดพี่ๆน้องๆ
    ลูกศิษย์อย่างไร
    มันไม่ง่ายเลยนะ การที่จะทำให้คนๆนึงมี ดวงตาเห็นธรรมแบบคุณหมอเนี๊ย

    แต่คุณหมอกำลังผ่านไปด้วยดี ต่อไปจิตคุณหมอจะเข้าใกล้ความว่าง
    เข้าไปทุกขณะ ทุกทีแล้ว ค่อยๆละไปทีละอย่าง สตินะ สติ ท่องไว้
    ตอนนี้ต้องขยันเพิ่มเป็นเท่าตัว หมายถึง ความเพียร+ความต่อเนื่อง
    ที่กำลังทำอยู่นี้ก็ดีมากแล้ว แต่ถ้าจิตยกเมื่อไหร่นะ
    ค่อยมาเขียนเป็นธรรมาทานให้พวกเราทีหลังกันนะครับ
    ตอนนี้จิตคนอื่นช่างมัน เอาจิตของเราให้รอดก่อน
    นึกว่าสงสารครูเพ็ญท่านนะ เห็นจิตของท่านแอบลุ้นจัง!
    พี่ภูก็ขอเอาใจช่วยอีกแรงนะ(แอบขอบารมีท่านพ่อให้ช่วยอีกแรง)
    พี่ภูไม่ได้ลำเอียงนะ รักเมตตาทุกดวงจิตเสมอภาคเหมือนกันหมด
    พอดีเคสของคุณหมอนี้ มันมีเหตุต้องขึ้นมาสอนกันบนกระทู้นี้
    ตอนแรกๆครูเพ็ญกับครูนกชายก็สอนอยู่ดีๆที่ในเมล์โน้น
    ไม่รู้อีกท่าไหน หรือมีบางสิ่ง บางอย่างต้องทำให้จิตคุณหมอชะงักไปพักนึง
    แต่มาตอนนี้เริ่มเข้ารอย สติเริ่มมีมากและต่อเนื่องดีแล้ว
    ขอให้คุณนำสติตาม/เกาะจิตให้ทันแบบนี้เลยนะ
    สำหรับแยกกาย แยกจิต คนทำใหม่จะรู้สึกงงนิดนึงนะ
    แต่ถ้าสติมีมากจะไม่งงเลย ง่ายนิดเดียว ตามที่ครูลูกพลังบอกไปนั่นแหล่ะ
    ถูกต้องแล้ว
    ให้คุณหมอขยันทุกวันแบบนี้เลยนะ
    เรื่องจิตนี่ต้องสนใจมากๆถึงจะบรรลุ แต่ถ้าทำไม่ต่อเนื่องจิตจะพัฒนาช้า
    เพราะจิตจะมีปัญญามาก ก็ต้องอาศัยจิตนิ่งนานๆ จิตถึงจะเข้าสู่ความนิ่ง
    หรือเข้าสู่วิปัสสนาของเขาเองโดยธรรมชาติ เราไปบังคับให้จิตวิปัสสนาก็ไม่ได้อีก
    ฝึกจิตมันยากตรงที่ทำจิตให้นิ่งนี่แหล่ะ
    แต่พอนิ่งเฉยๆ ยังไม่พออีก คือจะต้องให้จิตนิ่ง จิตเป็นสมาธิ จิตทรงฌานนานๆ
    จิตจึงจะยอมวิปัสสนา
    อันนี้ผมขอบอกคร่าวๆเพียงแค่นี้ก่อน
    เดี๋ยวมีครูคอยสอนเป็นหลัก
    เดี๋ยวผมกับครูลูกพลังจะคอยเข้ามาช่วยปรับ/จูน/แก้ไขจิตให้กันและกัน
    สำหรับคนขยันไม่พลาดแน่ เพราะจิตใครจะยกก็อยู่ที่ผู้ปฎิบัติร้อยละ 80%up

    "ตนเป็นที่พึ่ง แห่งตน"
    สุภาษิตอันนี้ยังใช้ได้เสมอๆ

     
  16. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ปฏิบัตินานแค่ไหนเดินมรรคไม่ตรงก็ไม่สำเร็จ

    อันที่จริงก็ไม่อยากนำเรื่องของท่านมาเล่า เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปติดใจสงสัยอะไรในการปฏิบัติของท่านผู้นี้ เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของคนไม่รู้มากกว่า แต่ผ่านไปแล้ว 3 วันก็ยังไม่หยุดคิดถึงเรื่องนี้ ซึ่งผิดปกติสำหรับจิตของข้าพเจ้า จึงจำเป็นจะต้องหยิบยกขึ้นมากล่าวให้รู้กันสักหน่อย หากข้าพเจ้าล่วงเกินพระรัตนตรัยหรือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านใดรวมถึงผู้ที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ ข้าพเจ้าขอขมาขออภัยต่อทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้

    ที่วัดดอยเปาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2555

    วันนั้นข้าพเจ้าไปสอนจิตเกาะพระที่วัดดอยเปาตามปกติ ข้าพเจ้าขอตัดมาที่เหตุการที่จะนำมาเล่าให้ทราบเกี่ยวกับคุณแม่ผ้าขาวท่านหนึ่ง ท่านอายุประมาณ 50 เศษ - 60 ปี ท่านปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษมาแล้วหลายปี ท่านเล่าว่าท่านเคยไปจำวัดอยู่บนเขาที่จังหวัดสงขลาโดยปิดวาจา 7 ปี ท่านผู้อ่านอ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ท่านเป็นฆราวาสหญิงแต่ทำตัวเหมือนนักธุดงค์ท่องไปในดินแดนที่เป็นอันตรายและธุรกันดารอยู่เสมอ

    ที่จังหวัดสงขลานี้ท่านไปอาศัยจำวัดอยู่กับแม่ชี(ชอบเล่นไสยศาสตร์) โดยอาศัยอยู่ที่วัดนั้นนานถึง 7 ปี และไปตัวคนเดียว ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นโดยตั้งสัจจะปิดวาจาเป็นเวลา 7 ปี สุดท้ายเกือบโดนเผากุฏิทั้งเป็น ใกล้ครบกำหนดตามที่ได้ให้สัจจะไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกให้ไปได้แล้ว ท่านกลับบอกว่ายังไม่ครบกำหนดที่ให้สัจจะไว้เลย แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอ่ยเป็นเชิงอนุญาตว่าครบแล้วให้ไปได้ ไปเดี๋ยวนี้เลย

    หลายท่านคงสงสัยว่าถ้าปิดวาจาแล้วท่านสื่อสารได้อย่างไร ท่านไม่ใช้โทรศัพท์ด้วยค่ะ แต่ท่านใช้เขียนบอกเล่าแทน ทีนี้มากล่าวถึงเหตุการณ์ที่วัดดอยเปา เมื่อเริ่มแรกที่เห็นหน้ากัน ข้าพเจ้าไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไร อารมณ์เป็นปกติไม่สนใจว่าใครจะอยากเรียนจิตเกาะพระกับเราหรือไม่ สนใจแต่จิตที่เกาะติดแล้ว ส่วนใครไม่สนใจเดี๋ยวสวดมนตร์เสร็จเขาก็รีบกลับบ้านกัน

    มีเวลาเล็กน้อยก่อนเริ่มสวดมนตร์ข้าพเจ้าสอบอารมณ์คุณแม่ชีคำพลอยซึ่งทรงฐานะจิตอนาคามีพรหมชั้นที่ 14 คุณแม่ชีคำพลอยก็มีอุปสรรคคล้าย ๆ กับกรณีของคุณหมออุษาวดี คือทำสมาธิไม่ต่อเนื่อง ด้วยเหตุว่าพอมีการงานทางวัดท่านก็ทำไปแบบไม่จริงจัง คือทำสมาธิทุกวัน แต่สติไม่อยู่กับจิต สติส่งออกไปอยู่ที่กายซึ่งเจ็บปวดกับอาการที่หลังเนื่องจากนั่งมอเตอร์ไซด์แล้วรถตกหลุมจึงเจอลูกโดด หลังจากนั้นท่านก็ปวดหลัง ซึ่งข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการที่กระดูกบางส่วนแตกหรือร้าวแต่คงจะไม่มาก เพราะท่านยังทนได้อยู่ นี่แหละบารมีของพระอนาคามี แม้ว่าท่านจะแก่แล้ว ร่างกายก็บอบบาง แต่ใจท่านเข้มแข็งยิ่งนัก

    อ้าว ออกอ่าวไปอีกแล้ว กลับมาที่เรื่องคุณแม่ผ้าขาวที่มาใหม่ ท่านตั้งใจเดินทางมารักษาศีลที่วัดดอยเปาเป็นเวลาสามเดือนในช่วงเข้าพรรษา โดยปิดวาจาเหมือนเดิม ข้าพเจ้าก็นึกในใจถ้าปิดวาจาเราจะไม่สนใจล่ะ เพราะการสอนของเราต้องสอบอารมณ์และช่วยปรับจิตให้ผู้ปฏิบัติด้วย ถ้าพูดกันไม่ได้จะให้มานั่งเขียนหนังสืออยู่ ข้าพเจ้าไม่สามารถ /:\

    คุณแม่ผ้าขาวแม้ว่าจะดูเป็นหญิงมีอายุแต่การพูดการจาและจิตใจท่านห้าวหาญมาก ในระหว่างที่ข้าพเจ้าสอบอารมณ์คุณแม่ชีคำพลอย คุณแม่ผ้าขาวก็มักจะกล่าวถึงการปฏิบัติในส่วนที่บกพร่องในอดีตของคุณแม่ชีคำพลอยอยู่บ่อย จนทำให้ข้าพเจ้าต้องหันไปมองและฟังว่าท่านพูด(บ่น)อะไร ข้าพเจ้าเข้าใจว่าที่ท่านกล่าวอย่างนั้นมันเมื่ออดีตที่คุณแม่ชีคำพลอยยังไม่ได้เป็นอริยบุคคลเบื้องต้นด้วยซ้ำ คุณแม่ผ้าขาวจากวัดไปนานเป็นปี เมื่อกลับมาจึงยังไม่ทราบว่าคุณแม่ชีคำพลอยยกจิตขึ้นอนาคามีพรหมชั้นที่ 14 แล้ว ข้าพเจ้าจึงเตือนว่าเดี๋ยวนี้คุณแม่ชีคำพลอยได้พระอนาคามีแล้ว เพราะไม่อยากให้คุณแม่ผ้าขาวปรามาสผู้ปฏิบัติระดับอริยบุคคล

    คุณแม่ผ้าขาวมองคุณแม่ชีคำพลอย แต่สายตาของท่านยังไม่เชื่อ เข้าพเจ้าก็เข้าใจ คือท่านเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเองว่า ตัวท่านนี้ปฏิบัติขั้นอุกฤษมาตั้งหลายปียังไม่ได้แม้แต่พระโสดาบันแล้วคุณแม่ชีคำพลอยซึ่งเพิ่งมาบวชชีได้ไม่ถึงปี และการปฏิบัติที่ผ่านมาก็ไม่ได้เข้มข้นเหมือนท่านจะยกจิตขึ้นอนาคามีพรหมได้อย่างไร

    คุณแม่ผ้าขาวกล่าวถึงเรื่องที่ท่านปฏิบัติผ่านมาอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะเรื่องสัจจะบารมีเกี่ยวกับการขอปิดวาจาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 7 ปีที่จังหวัดสงขลา ระยะหลังมาถือศีลและตั้งสัจจะปิดวาจาอยู่ที่วัดดอยเปาในช่วงเข้าพรรษาสามเดือนเป็นเวลา 3 ปีแล้ว

    ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่ผ้าขาวช่างพูดเสียจริง คุณแม่ชีคำพลอยแนะนำว่าเราเป็นครูสอนธรรมะท่านก็ไม่สนใจจะคุยแต่เรื่องที่ท่านไปผจญภัยมาให้ฟัง ไม่อวดก็เหมือนอวดล่ะนะ ข้าพเจ้าจึงจัดการวัดกำลังใจซะเลย ศีลห้าผ่าน สังโยชน์สามข้อแรกผ่าน บารมี 10 ทัศผ่าน ข้าพเจ้าชักเริ่มลุ้นระทึกนึกในใจว่าสงสัยวันนี้เรามีหวังได้จิตอริยบุคคลเพิ่มสักหนึ่งคนแน่ ๆ

    ที่ไหนได้พอวัดกำลังใจเรื่องกิเลส รักผ่าน โลภผ่าน หลงผ่าน ดันไปติดโกรธขนาดเท่าหัวเข็มหมุดอยู่นิดหนึ่ง ข้าพเจ้าก็นึกในใจท่านปฏิบัติขั้นอุกฤษจนแทบเอาชีวิตไปทิ้งที่จังหวัดสงขลามาเป็นเวลา 7 ปี กับที่วัดดอยเปาอีก 3 ปี ยังไม่นับที่ท่านโคจรไปปฏิบัติตามวัดหรือสำนักอื่น ๆ อีกมามาย ทำไม๊ ทำไมกะแค่โกรธตัวเดียวไม่ยอมตัดให้ขาด

    ข้าพจ้าจึงได้ข้อสรุปให้คำถามของตนเองว่า นี่แหละหนาผู้ปฏิบัติที่ไม่เข้าใจเรื่องการเดินมรรค ต่อให้ปฏิบัติไปอีกนานแค่ไหน ถ้าเดินมรรคไม่ตรงทางก็ไม่มีทางจะถึงฝั่งพระนิพพาน โน่น คงจะเดินหลงสะสมบารมีกันไปอีกยาวนานข้ามภพข้ามชาติเลยล่ะ

    ข้าพเจ้าจึงถามคุณแม่ผ้าขาวตรง ๆ ว่า คุณแม่ตั้งใจจะไปนิพพานจริงไหม ท่านก็บอกว่าที่ปฏิบัติมาทั้งชีวิตก็เพื่อพระนิพพานเท่านั้น ข้าพเจ้าถามว่าถ้าให้คุณแม่ไปนิพพานเดี๋ยวนี้คุณแม่จะไปไหม หนูช่วยคุณแม่ได้ ท่านผู้อ่านที่เคารพ ท่านอึ้งแล้วก็ตอบว่าหัวเข่าไม่ดี เวลามันปวดนี้ปวดมาก ข้าพเจ้าหัวเราะบอกว่าคุณแม่ขา ไปนิพพานท่านไม่ได้เอาหัวเข่าไปเจ้าค่ะ ท่านเอาไปแต่จิตเจ้าค่ะ ท่านหัวเราะไม่นึกว่าครูจะรู้ทัน แล้วท่านก็บอกว่ายังมีภาระต้องดูแลคุณแม่อายุ 99 ปี ถ้าไปตอนนี้จะไม่มีใครดูแลคุณแม่

    ท่านผู้อ่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านได้ข้อคิดอะไรบ้างไหม ใครมองเห็นอะไรบ้างไหมจากคำบอกเล่าของคุณแม่ผ้าขาวซึ่งพูดจาฉะฉานว่าฉันปฏิบัติขั้นอุกฤษมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี แต่พอถามว่าถ้าให้ไปนิพพานเดี๋ยวนี้จะไปไหมครูเพ็ญจะช่วย ตอนนั้นเรายังไม่บอกว่าจะช่วยยังไง ท่านก็ปฏิเสธมาก่อนแล้ว การสนทนาช่วงเย็นเป็นอันจบลงที่ความลังเลของท่าน

    หลังเวียนเทียนรอบโบสถ์และสวดมนตร์ทำวัตรเย็นแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งกับพี่ผู้ชายอีกคนหนึ่งไม่ยอมลุกกลับบ้านเหมือนคนอื่น ข้าพเจ้าจึงพูดเรื่องการวางกำลังใจในการรักษาศีลห้า การตัดสังโยชน์ 10 ประการให้ผ่าน การทำบารมี 10 ทัศให้ผ่าน และการตัดกิเลสสามกองใหญ่กับหนึ่งตัวย่อยให้ผ่าน คือ โลภ โกรธ หลง รัก มีคนนั่งฟังอยู่ไม่ถึง 5 คน สองท่านคือคุณแม่ชีคำพลอยกับคุณแม่ผ้าขาว ที่เหลือเป็นฆราวาส 3 คน ครูเพ็ญพูดไม่หยุดสักที ก็มันยังไม่จบนิจะหยุดได้ไง แต่ก็กะว่าฆราวาส 3 คนกราบลาพระเมื่อไรครูเพ็ญก็จะหยุดพูดเหมือนกัน ฮ่าๆๆ

    ข้าพเจ้าหยอดคำถามไปที่สามีภรรยาคู่นั้นว่าท่านปฏิบัติอะไรอย่างไรมาบ้าง พวกเขาบอกว่าฝึกมโนฯอยู่ ไปฝึกที่วัด?ที่ลำพูนจำไม่ได้แล้ว แต่ไม่ค่อยก้าวหน้า พวกเขาถามว่าครูสอนมโนฯด้วยเหรอ ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ได้สอน แต่พอรู้วิธีทำ ส่วนใหญ่เน้นสอนจิตเกาะพระขึ้นนิพพานอย่างเดียว เท่านั้นแหละพ่อเจ้าประคุณแม่เจ้าประคุณเอ๋ย สามีภรรยาคู่นั้นยิงคำถามเกี่ยวกับมโนมยิทธิไม่หยุดเลย แง ห้าทุ่มกว่าแล้ว ครูเพ็ญยังไม่ได้กลับบ้านเลยอ่ะ

    แต่ทั้งสองคนก็ได้คำตอบที่ช่วยทำให้ความสงสัยคลี่คลายลงไปมาก และพอจะเข้าใจวิธีการปฏิบัติและการวางกำลังใจเกี่ยวกับมโนมยิทธิมากขึ้น ข้าพเจ้าย้ำว่ามโนมยิทธินี้ต้องฝึกทุกวัน ต้องทำทุกวัน และใช้งานบ่อย ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเสื่อมแน่นอน สามีภรรยาคู่นั้นบอกว่าจะลองกลับไปปฏิบัติดู ภรรยานั้นติดสงสัยมาก ส่วนสามีงงกับการวางอารมณ์และวิธีปฏิบัติ


    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    ห้าทุ่มครึ่งข้าพเจ้าและสองสามีภรรยากราบลาสมเด็จพ่อองค์ปฐม สองสามีภรรยากลับไปก่อนแล้ว ข้าพเจ้ามองดูว่าพอจะช่วยคุณแม่ชีเก็บข้าวของอะไรเข้าที่ได้บ้าง หิ้วกระเป๋ามาเตรียมตัวคุณแม่ชีคำพลอยก็เข้ามาคุยด้วยเหมือนเมื่อตอนเย็นยังคุยไม่จุใจ คุณแม่ผ้าขาวก็มานั่งอยู่ห่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงต้องวางก้นกับกระเป๋าลงบนสื่ออีกครั้ง หึๆ

    สมเด็จพ่อช่วยด้วยรอบหลังนี่ตีหนึ่งกว่าจะได้กลับบ้าน!

    คุณแม่ชีคำพลอยแทบจะไม่ได้พูดอะไร เราสองคนนั่งฟังคุณแม่ผ้าขาวเล่าเรื่องการผจญภัยต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมทั้งการพบเจอพญานาคสีทองมีหงอนที่ออกมาให้เห็นจะจะ ขณะปิดวาจาอยู่บนเขาที่จังหวัดสงขลา และอื่น ๆ อีกมากมาย

    ข้าพเจ้าเกรงใจทางวัด ตีหนึ่งแล้วท่านยังไม่ได้ปิดประตูวัดเลยอ่ะ เพราะข้าพเจ้ายังไม่กลับ จึงพูดสรุปตอนท้ายว่า กำลังใจระดับคุณแม่ผ้าขาวนี้สามารถไปนิพพานได้ ถ้าคุณแม่เอาจริง เอาจริง ๆ นะ ภายในสามเดือนนี้คุณแม่เอาพระอรหันต์กลับไปเลย แต่ถ้าคุณแม่ไม่ปฏิบัติจิตเกาะพระ หนูต่อให้คุณแม่มาปิดวาจาที่นี่อีกสามปี คุณแม่อาจจะไม่ได้แม้แต่พระโสดาบัน เพราะคุณแม่วางกำลังใจในฐานะพระอริยบุคคลไม่เป็น แต่หนูช่วยคุณแม่ได้ คุณแม่จะเอาไหม แต่หนูต้องสอบอารมณ์คุณแม่นะ เพื่อจะได้ช่วยปรับจิตให้คุณแม่ในระหว่างปฏิบัติด้วย คุณแม่จะเปิดวาจาให้หนูสอบอารมณ์ได้เวลาไหน? ขอแอบยักคิ้วหน่อยเรายิงคำถามตรงเลย อิอิ

    คุณแม่ผ้าขาวลังเลอยู่นิดหนึ่งก็ตอบว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันทุกวันพระหลังจากชาวบ้านกลับไปแล้วเราจะอธิษฐานจิตกับสมเด็จพ่อองค์ปฐม ขอเปิดวาจาให้ครูสอบอารมณ์ เมื่อครูกลับไปแล้วเราจะอธิษฐานจิตกับสมเด็จพ่อองค์ปฐมขอปิดวาจาตามเดิม ข้าพเจ้ตอบตกลง หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงมอบหมายการงานให้คุณแม่ผ้าขาวว่า ขอให้คุณแม่นึกถึงพระแก้วใสเป็นเพชรที่เห็นในจิตเมื่อเย็นนี้อีก 3 ราตรี นึกถึงพระแก้วใสเป็นเพชรอยู่อารมณ์เดียวทั้งวันทั้งคืน เพื่อช่วยตัดกิเลสตัวโกรธที่เหลืออยู่อีกนิดหนึ่งให้ขาดไป โดยจิตที่ไม่เกาะกิเลสนั้นจะมีอารมณ์ใจเป็นกลาง เบา สบาย เวลาเจอกระทบจิตก็จะไม่สะเทือนหวั่นไหว เศษโกรธที่เหลือเท่าหัวเข็มหมุดก็จะสลายไป ข้าพเจ้าถามว่าให้ทำแค่นี้เองคุณแม่ทำได้ไหม ท่านรับปากว่าทำได้เพราะยากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้ว (คงนึกว่าหมูล่ะสิ อิอิ)

    ข้าพเจ้าขอสรุปว่า การปฏิบัติธรรมแม้ว่าจะเข้มข้นสักเพียงใด แต่ถ้าท่านเดินมรรคไม่ตรงทางสายกลางแล้วล่ะก็ ท่านอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาพระนิพพาน แม้แต่พระอริยบุคคลเบื้องต้นท่านจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ การวางกำลังใจในการปฏิบัติก็เหมือนกันถ้าวางกำลังใจไม่ถูกไม่ตรงก็ยากที่จะผ่านมรรคมีองค์แปดขึ้นไปได้

    ยกตัวอย่างคุณแม่ผ้าขาวท่านนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าท่านรู้แล้วแต่ทำไม่ได้ก็ไม่ทราบ ท่านไม่ได้ตั้งใจตัดโกรธอย่างแท้จริง เลี้ยงกิเลสตัวนี้ไว้หลายสิบปีจนเหลือเท่าปลายเข็มหมุดก็ยังจัดการกับมันในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ และเหมือนว่าชีวิตที่เหลือท่านตั้งใจจะปฏิบัติสัจจะบารมีปิดวาจาต่อไปอีกเรื่อย ๆ เพื่อให้เข้าถึงมรรคและผล

    ที่นำมาบอกเล่านี้ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสนุกแต่อย่างไร เพียงแต่หยิบยกจากประสบการณ์ของข้าพเจ้าขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายเห็นว่า ถ้าท่านปรารถนาพระนิพพานจริง มรรคต้องเดินให้ตรง ผลต้องทำให้ได้ วางกำลังใจในการปฏิบัติให้เป็น รู้วิธีการตัดกิเลสอย่างเฉียบขาด รู้วิธีสร้างบารมี 10 ทัศให้เต็ม รู้วิธีละสังโยชน์ 10 ประการให้ได้ และที่สำคัญศีลอันเป็นบันไดขั้นแรกต้องผ่าน ท่านจะไปนิพพานท่านทำแค่นี้เอง ที่เหลือเป็นดอกไม้ริมทางทั้งนั้น ท่านผู้อ่านถามใจตนเองดูนะว่าท่านจะหลงชื่นชมดอกไม้และเก็บดอกไม้ริมทางไปอีกนานเท่าไร

    หลายท่านอาจจะแย้งว่าเราพุทธภูมิ นั่นก็เป็นเรื่องของท่านพุทธภูมินะ ข้าพเจ้ามิอาจโต้แย้ง แต่เหล่าสาวกภูมิล่ะ อุบาสก อุบาสิกาล่ะ ท่านไปปรารถนาพุทธภูมิกับเขาด้วยหรือเปล่า หรือจะปฏิบัติแค่ไปนรก สวรรค์ พรหม ก็ตามใจท่านเถิด ที่ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาเป็นธรรมทาน ก็เพื่อจะชี้จุดอ่อนในการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติธรรมให้เห็นว่า ที่ท่านปฏิบัติมานานแต่ไม่ผ่านขึ้นพระโสดาบันสักทีนั้นเป็นเพราะท่านไม่เข้าใจการเดินมรรค

    จบ

    โมทนา สาธุ


    พี่เพ็ญ จบ. 3

    ปล. พอได้สาธยายแล้วรู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาทันที หรือว่าท่านพ่อจะให้นำมาบอกกล่าว สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  18. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อุษาวดี; สาธุ กราบขอบพระคุณพี่เพ็ญค่ะ


    สวัสดีค่ะ

    การบ้าน 5 สค 55
    เช้านี้มาพิจารณา อาหารที่เคยชอบ (ซึ่งอยู่ดีๆก็วูบในความคิดขึ้นมาเมื่อวาน) ว่ายังติดในรสอยู่อีกไหม

    ตอนพิจารณายังไม่ได้อ่าน คำตอบพี่เพ็ญเรื่องนี้

    ตอนแรกก็รู้สึกเขาทำได้ไม่กลมกล่อม แต่ดูไปจิตก็เฉยๆ นั่งคิดอยู่ ว่าความไม่กลมกล่อม เป็นเรื่องของกาย แต่อุเบกขาน่าจะเป็นเรื่องของจิต ไม่แน่ใจ หรืออุเบกขาเพราะไม่อร่อย พยายามดูก็ไม่เห็นความไม่ชอบ เลยไปเอาขนมที่อร่อยแน่มาทดสอบ ก็เห็นว่ารสชาติอันละมุนละไมอยู่ที่ลิ้น แต่จิตเฉยๆ เลยเข้าใจ


    โมทนา สาธุค่ะ ก็เป็นอันว่าผ่านเรื่องรูปราคะสังโยชน์กับอรูปราคะสังโยชน์แล้วล่ะนะ มันก็จบลงตรงแค่ว่าจิตรู้ แยกได้ว่าสิ่งใดเป็นเรื่องของกาย สิ่งใดเป็นเรื่องของจิต จิตยอมรับ จิตจึงเข้าใจ เมื่อเข้าใจจิตจึงละออกจากรูปราคะสังโยชน์ในเรื่องรสอาหาร และละออกจากอรูปราคะสังโยชน์ในเรื่องความติดใจในรสชาติ ที่เหลือจิตทรงอยู่อย่างเป็นกลาง ลิ้นยังคงรับรสอาหารต่อไปจนวันตาย แต่จิตไม่ติดข้องอยู่ในรส ซึ่งเป็นหนึ่งในกามคุณห้า(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) คุณหมอลองวัดกามคุณตัวอื่นดูด้วยสิคะว่าจิตยังติดข้องอยู่ในเรื่องใดหรือไม่ ถ้ายังมีติดอยู่ให้ปฏิบัติการชนกับกิเลสเหมือนเรื่องรสอาหาร แล้วจบลงที่กฎไตรลักษณ์ เอาให้จบนะ ถ้าไม่จบ จิตมันก็จะอยากไปชนอยู่เรื่อย ๆ ต้องจบลงที่อนัตตาเท่านั้น แต่จิตต้องยอมรับโดยจิตเองนะ ไม่ใช่ไปบังคับให้จิตยอมรับเพราะเรารู้มาว่าอย่างนี้ ๆ

    ถ้าเป็นวันก่อนที่ สติน้อยกว่านี้ และแยกกายแยกจิตไม่ได้ คงไม่เข้าใจ เลยเข้าใจว่าที่พี่ภูกับพี่เพ็ญ พยายามเน้นเรื่องสติกับจิตเพราะอะไร สุภาษิตว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัดท่าจะจริง แต่ส่วนใหญ่คนชอบให้หมากัดก่อน อิอิ

    มีประสบการณ์มาบ้างก็ดีจะได้เข้าใจอะไรง่ายขึ้น อิอิ

    ขับรถอยู่ เห็นคนวิ่งเพื่อการกุศล ทุกจังหวะที่แต่ละคนวิ่งไป แสดงไตรลักษณ์ ในภาพรวมของคนหมู่ใหญ่ ก็มีความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้และสลายตัวไปของภาวะเดิม ขากลับไม่มีคนวิ่งแล้ว อนัตตาก็แสดงตัวสำหรับวิ่งเพื่อการกุศลนี้ เสียงเครื่องยนต์ เสียงเพลงในแต่ละจังหวะก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ต่อเนื่องกันไปเป็นสาย อยู่ๆก็วูบขึ้นมาว่า เห็นอย่างนี้แล้ว ยังจะเอาอีกหรือ ( เอา=ความยึดในขันธ์ 5)
    ตอนเช้าที่เห็นคนวิ่ง มีผุ้หญิงคนหนึ่งวิ่งเกือบถึงแล้ว แต่เธอทำท่ากัดฟ้นวิ่ง พอเห็นก็รู้สึกว่า เหมือนเราเลย เริ่มเหนื่อยเหมือนกัน
    ขากลับพอโดนถามเรื่อง เห็นอย่างนี้แล้ว ยังจะเอาอีกหรือ กลับมา คิดได้ว่า โดนกิเลสเรื่อง ความอยาก จัดการอีกแล้ว สติยังไม่ทัน พอรู้ก็อุเบกขาต่อ ก็เป็นไตรลักษณ์อีกเหมือนกัน :cool:
    พอพิมพ์ถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าที่แบกไว้ (ความยึดในขันธ์ 5) หนักเหลือเกิน

    จิตกำลังวิปัสสนาเรื่องทุกข์ในอริยสัจจ์สี่อยู่ค่ะ ทำไปๆ คนนี้ช้าหน่อยแต่แน่น ครูทุกคนส่งกำลังใจไปช่วยดันเต็มที่ คุณหมอน้ำหนักเท่าไรเนี่ย ตัวแค่เนี้ยทำไหม๋มันหนักจริง ๆ ดันไม่ค่อยไปเลยอ่ะ 555

    วันก่อนเดินจงกรม เห็นว่ากิเลสนี้ร้ายกว่างูอีก งูกัดเราตายได้ชาติเดียว แต่กิเลส กัดไปทุกชาติ ถ้ายังไม่พ้นวัฏฏสงสาร

    สติกับจิตตามกันดีค่ะ รักษากำลังใจไว้นะอย่าให้หลุด อย่าให้สติหลุดจากจิต ตอนนี้กิเลสที่นอนเนื่องถูกตีออกมาเรื่อย ๆ รื้อออกมาให้หมดค่ะ เอาให้จิตเห็นจนเบื่อจริง ๆ อย่ายอมแพ้นะ กำลังใจเติมเข้าไปเรื่อย ๆ ด้วยการนึกถึงพระในจิตอย่าให้ขาดช่วง แล้วรายงานเข้ามาเรื่อย ๆ ค่ะ เก็บทุกเรื่องราวเท่าที่จะสามารถเก็บได้นะคะคุณหมอ พี่เพ็ญทุ่มกำลังใจให้หมดเลยค่ะ เอ้า รับไปเลย พี่เพ็ญขอแผ่เมตตาและอุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่เคยบำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมด้วยสติปัญญาอันเป็นเลิศ วิปัสสนาญาณ ปัญญาญาณ จิตแก่น จิตแท้ จิตทรงภูมิปัญญา และที่ได้อริยมรรค อริยผล นิพพาน ให้คุณหมอทั้งหมดเลยค่ะ รับไปเลยค่ะ

    เมื่อวานค่ำ ขับรถผ่านประตู โดน รปภ เป่านกหวีดให้หยุดตรวจ งง มี sticker ทำไมยังเรียก แต่ในจิตก็เฉยๆ วันนี้เข้าใจแยกกายจิตเรื่องอาหาร เลยนึกออกว่า งง กับอุเบกขา คนละตัวกัน อย่างนี้ งง จัดเป็นอะไรค่ะ

    งงจัดเป็นกิเลสค่ะคุณหมอ อยู่ในหลงไงคะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่งงเพราะสติตามจิตไม่ทันค่ะ ไม่รู้ว่าจริง ๆ ณ เวลานั้นจิตวางกำลังใจอยู่ตรงไหน เวลาเจอกระทบกับยามคนนี้ช่วยเอาสติเข้าไปดูจิตหน่อยค่ะว่า จิตรู้สึกอย่างไร มีอารมณ์หรือมีอาการอย่างไร บางทีไม่มีอารมณ์แต่อย่ามองข้ามอาการนะ ตรวจดูให้ละเอียดค่ะ


    พี่เพ็ญว่านะคุณหมอควรจะแผ่เมตตาให้ยามคนนี้มาก ๆ หน่อยทุกรอบที่เข้าออกประตูช่องเนี้ย เดิมในอดีตชาติเขาอาจจะเคยเป็นทหารเฝ้าประตูวังของคุณหมอมาก่อน เขาคงจะเคร่งครัดในหน้าที่มาก แต่ในอดีตชาติคุณหมออาจจะเคยกลั่นแกล้งเขาไว้นะ ให้อภัยเขาค่ะ เมื่อมีเหตุนี้ย่อมมีเหตุนี้ เรื่องกิเลสกรรมนี้ถ้าไม่ละออกให้หมดก็เหมือนเสี้ยนดี ๆ นี่เองค่ะ เอ้า รู้แล้วแผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ ค่ะ ให้กำหนดรู้ด้วยว่าเขาทำไปตามหน้าที่ เราไม่ควรถือเอาขันธ์ห้าหรือกิริยาของเขามาแบกเพิ่มให้หนักจิต รู้ แล้ว วาง ปล่อยวางไป วางแล้ว

    ตอนที่พิมพ์อยู่นี้รู้สึกจิตสงัดมาก

    คุณหมอทำได้ดีมากค่ะ พี่เพ็ญขอส่งกำลังใจให้ทั้งหมดเลยค่ะ รุกต่อไปค่ะ

    กราบขอบพระคุณค่ะ


    โมทนา สาธุ

    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ท่านเคยไหม๊?
    ท่านเคยบริจาคทรัพย์เพื่อทำบุญ ทำทานกันไหม?
    ท่านเคยบริจาคเลือดให้กับสภากาชาติไทยกันไหม?
    ท่านเคยบริจาคอวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่ง หรือบริจาคร่างกายถ้าเราตายไปแล้ว ให้กับโรงพยาบาลกันไหม?
    คำถามสุดท้าย
    ท่านเคยบริจาค หรือมอบกายถวายชีวิต โดยเฉพาะดวงจิตของเรานี้
    เพื่อพระพุทธเจ้า หรือ สมเด็จองค์ปฐมกันไหม?

    แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับพวกเราในที่นี้ว่า...
    ในขณะนี้ฯ ข้าพเจ้าได้หมดภารกิจกับทางโลกแล้ว
    และตอนนี้ข้าพเจ้าขอสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง ทุกอย่างกับทางโลก
    ข้าพเจ้าคิดว่า ได้นำจิตของตนเองขึ้นถึงฝั่งแล้ว(ได้โปรดอย่าถามต่อ)
    แต่ยังเหลือ แต่กายหยาบนี่แหล่ะ! ที่ยังไปไม่ถึงฝั่ง เพราะยังไม่หมดอายุขัย

    และที่อยากจะบอกกับพวกเราอีกว่า...
    ข้าพเจ้าได้มอบกาย ถวายจิตดวงนี้ เพื่อพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    โดยเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    (ได้ธรรมะจากท่านเยอะและท่านเป็นผู้นำทางให้มาพบกับครูเพ็ญกับจิตบุญ จิตบำเพ็ญ และจิตเกาะพระทุกท่านในที่นี้)
    โดยเฉพาะลูกหลานเหลนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    เพื่อภารกิจยกจิตของพวกเรานี้

    ข้าพเจ้าอยากขอกราบขอบพระคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    โดยเฉพาะครูเพ็ญ(ท่านนี้มีพระคุณกับผมมาก เพราะท่านทำดวงตาให้ผมใหม่)
    และพวกชาวจิตบุญ จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระทุกท่าน
    ที่ทุกท่านได้มีส่วนร่วมให้กระทู้นี้เกิดขึ้นมา ได้มาทำกิจกรรมอันทรงคุณค่ายิ่ง
    เราไม่ได้ไปเปรียบกระทู้อื่นๆ ว่าเขาดีกว่าหรือเลวกว่ากระทู้ของเรา
    เรามีเจตนาเดียว คือมุ่งหน้าพัฒนาจิตคนให้สูงขึ้น

    เพราะทุกท่านก็ทราบกันดี
    แต่ถ้าบ้านเมืองเรามีศีลธรรม(ศีล+ธรรมะ)
    หรือมีแค่ศีล 5ครบบริบูรณ์ บ้านเมืองเราก็จะสงบสุขมากกว่านี้
    แต่ช่างเขานะ เพราะเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลง แก้ไขคนอื่น(จิต)ได้
    แต่พอจะแก้ไขกันได้ก็จิตของตนเองเท่านั้น หรือยกเว้นผู้ที่ต้องการจะเปลี่ยนจิตตนเอง
    เห็นมีวิธีเดียวที่พอจะเปลี่ยนแปลง แก้ไขจิตของคนเราได้ ก็คือ กรรมฐาน(เลือกปฎิบัติมาหนึ่งกอง)
    หรือทำจิตเกาะพระก็ได้ ง่ายที่สุด

    สำหรับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ
    โดยเฉพาะจิตบำเพ็ญ หรือจิตอนาคามี
    ได้โปรดสงสารครูบาอาจารย์ของท่านด้วยเถิด
    โดยเฉพาะครูเพ็ญท่านมีความเมตตาสูง และมีความตั้งใจสูงมาก
    แต่มิได้หมายถึง ครูเขาจะไปตั้งความหวังไว้สูงกับดวงจิตของทุกท่านนะ
    ได้โปรดขยันฝึกสติกันให้มากหน่อย จิตของพวกเราจะได้พัฒนาไวๆ(ผ่านวิปัสสนา)จิตจะได้ยกกันไวๆ
    ไม่ได้เร่ง ขอให้ไวๆ
    ฮ่าๆ



     
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กิเลสกรรมเป็นยังไง เหรอค่ะ
    ยามนี้หนูไม่คุ้นหน้า วันนี้ก็เหมือนจะไม่เห็นแล้ว แต่ถ้าเจออีกจะแผ่เมตตาไปให้ค่ะ


    ไปเดินวันนี้ เจอลูกศิษย์ 3 คน เจอทีละคนในเวลาห่างกันไม่ถึง 1-2 นาที 2 คนแรกก็รับไหว้ปกติ แต่คนที่ 3 พอรับไหว้ ก็เกิดความรู้สึกว่าที่เคยรุ้สึกแน่นในอกตอนมีคนมาไหว้ หายไป เลยรู้ว่าเราคงมีอัตตาเวลาคนมาไหว้ ไม่เคยรู้มาก่อน แต่มารู้ตอนมันหายไป แต่เปลี่ยนเร็วมาก ภายใน 1-2 นาที

    พี่เพ็ญทุ่มกำลังใจให้หมดเลยค่ะ เอ้า รับไปเลย พี่เพ็ญขอแผ่เมตตาและอุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่เคยบำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมด้วยสติปัญญาอันเป็นเลิศ วิปัสสนาญาณ ปัญญาญาณ จิตแก่น จิตแท้ จิตทรงภูมิปัญญา และที่ได้อริยมรรค อริยผล นิพพาน ให้คุณหมอทั้งหมดเลยค่ะ รับไปเลยค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ กราบขอบพระคุณพี่เพ็ญเป็นอย่างสูงค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...