จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูลูกพลัง ครูนก ครูนิวเวป ครูลูกหว้า ครูจารุณี และทุกท่านนะค่ะ เข้ามาอ่านข้อความยังไม่ครบเลยค่ะ

    แต่เมื่อวานนี้ตอนเช้าได้ทำกิจวัตรประจำวัน คือต้องไปทำความสะอาดพื้นรอบๆๆบ้าน รดต้นไม้ด้วย แล้วไปส่งเจ้าตัวเล็ก เมื่อวานนี้รีบทำไปได้ครึ่งเดียวต้องไปส่งเจ้าตัวเล็กก่อน พอกลับมาก็ไปจัดการงานต่อ ปรากฎว่าเจอลูกนกนอนตายหงายท้อง คงจะเป็นลูกนกพิราบเพิ่งออกจากไข่ ยังไม่มีขนตัวแดงๆๆอยู่เลยรีบอุทิศบุญที่มีอยู่ให้ไป แล้วคิดว่านี่ไงขนาดเพิ่งเกิดมาตายังไม่ลืมเลยก็ต้องมาตายเสียแล้ว ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีการไหนก็แสดงให้เห็นว่าความตายอยู่ใกล้แค่นี้เอง ช่วงนี้เจอแต่เรื่องความตาย เพราะเมื่อวานได้ทราบข่าวคนรู้จักเพิ่งเสียไป นี่แหละหนาอนิจจังไม่เที่ยงแท้ เห็นกันอยู่แป๊บเดียว ก็ต้องคืนร่างกายกลับสู่ธรรมชาติ ดวงจิตไปไหนไม่รู้ แต่สัมผัสได้ตอนที่คุยกับแฟนเค้า ขนลุกซู่เชียว ย่อมให้รับรู้ได้ว่าจิตดวงนี้ยังไม่สามารถละและวางได้ ยังคงยึดติดกับกิเลสอยู่ ทำได้แค่เผ่เมตตาไปให้เท่านั้น
    มีอีกเรื่องค่ะ เช้าวันนี้พาเจ้าตัวเล็กไปโรงเรียนแต่เช้า วันนี้ไม่ได้ทำอาหารเช้าเลยต้องไปทานที่โรงเรียน ขณะที่ยืนซื้อก๊วยเตี๋ยวอยู่ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาสั่งใส่เครื่องหลายอย่างรวมทั้งไข่ด้วย คนขายบอกว่าใส่ไข่ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ เด็กทำหน้าคิดสักครู่ เลยไม่เอาไข่ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนกลับมาบ้านมาทำไข่ลวกให้แม่ นึกถึงเด็กคนนั้นขึ้นมา น่าเสียดายที่ไม่ได้สั่งคนขายให้เพิ่มไข่ให้เด็กไป เพราะตอนนั้นไม่ทันได้คิดอะไร แสดงว่ามีสติไม่พอ ถ้าตอนนั้นมีสติมากพอเด็กคนนั้นคงได้กินไข่และคงมีความรู้สึกที่ดี แต่ช่างเถอะ ตอนนี้รู้แล้วก็ต้องวางลง ไม่ต้องใส่ใจ เริ่มต้นใหม่ ต้องให้มีสติมากๆๆถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีกค่อยว่ากันใหม่ เพราะทุกอย่างเกิดแล้วดับไปแล้ว เรารู้แล้วก็วางไว้ ทุกอย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ผ่านมาแล้วผ่านเลยไป ณปัจจุบันสำคัญที่สุด แต่วันนี้กว่าจะเข้ามาหาครูภูได้ ต้องใช้เวลานานพอสมควร สัญญาณคงไม่ค่อยดี เพราะอากาศครึ้มๆๆอีกแล้วค่ะ
     
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    พวกครูๆก็ไม่หายไปไหนหรอกค่ะ ดีค่ะ ตามอ่านไปเรื่อยๆค่ะ อย่าเว้นหน้าเพราะความรู้ท๊างน๊าน เดี๋ยวก่อน...ตามอ่านอย่างเดียวไม่ได้นา ฝึกนึกถึงภาพพระไปด้วย ภาพไหนก็ได้ ที่เราชอบ หรือใหม่ๆ
    อาจหลายใจดูหลายภาพ ภาพใดเข้ามาบอ่ยค่อยเลือกภาพนั้นแล้วกันค่ะ การนึกเห็นภาพพระให้เห็นจากจิตจากใจ ของเรา อย่าเอาตาไปเพ่งเดี๋ยวจะปวดกระบอกตา หรือเบ้าตาของเรา ให้นึกเห็นเหมือน
    นึกถึงหน้าแฟน เปลียนหน้าแฟนเป็นหน้าพระ แฟนคงให้อภัยหรอกค่ะ 5555 นี่ฝึกกันสบายๆนะ ไม่เคร่งเครียดซีเรียต จิตเราเค้าเคย
    เป็นอิสระเตร็ดเตร่ท่องโลกไปทั้งในจินตนาการและจินตนาเกิน มานาน จะให้เค้ามาทำตามแต่ที่เราจะให้เป็นนั้น ยากนัก ต้องค่อยๆ
    ทำ ค่อยๆตะล่อมจิตมาทีละนิด ทีละหน่อยค่ะ เอ๊า...ลุยยยยยยย
    เป็นกำลังใจหลายเด้อ
    โมทนาสาธุการ
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เป็นกำลังใจจ๊ะ น้องเมิลกำลังใจ ดี ได้ดึงกำลังใจของพี่เขามา
    โดยที่เขาไม่รู้ตัวค่ะ สู้สู้ ค่ะ
     
  4. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ช่วงนี้เหมือนครูดัชจะฮาเป็นพิเศษนะครับเนี่ย ผมอ่านที่ครูตอบการบ้านพลอยฮาตาม พระท่านสอนเป็นปริศนาธรรมดีจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012
  5. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ขยะกับจิตคน


    [​IMG]

    ในแต่ละวันเราต้องใช้ทรัพยากรมากมายในชีวิต
    ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดร่างกาย,
    อาหารประทังความหิว, การแต่งกาย ฯลฯ
    หรือแม้กระทั้งออกไปข้างนอกบ้านเราก็ยังต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ
    ออกไปข้างนอกก็ได้ของกลับมาที่บ้านกันทุกคน
    ของที่ได้กลับมา มีทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
    (แล้วอะไรที่ตาเรามองเห็น และมองไม่เห็นบ้างล่ะ?)



    ของที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็อาจจะมีตั้งแต่
    อาหาร, ขวดน้ำ, กระเป๋าทำงาน
    รวมไปจนถึงอารมณ์ต่างๆ ที่เราๆ นำกลับมาที่บ้าน
    อารมณ์หงุดหงิดจากที่ทำงาน, โดนเจ้านายด่าบ้าง,
    ลูกน้องไม่ได้เรื่องบ้าง ฯลฯ
    อารมณ์ดีใจ ได้โบนัสเพิ่ม, เจ้านายชม, ฯลฯ


    ของที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ก็คือ เรื่องราวที่อยู่ในจิตตนเอง
    บางคนเลือกที่จะบอก หรือระบายกับคนรอบข้างบ้าง
    หรือเก็บทุกเรื่อง ทุกอย่างไว้คนเดียว
    เจออะไรมาวันนี้..
    เก็บมาไว้ที่จิตตนคนเดียวหมดทุกอย่าง ไม่บอกใคร.. ก็มี


    พอทำงานมาเหนื่อยๆ
    กลับมาที่ห้องบางคนก็เลือกทำกิจวัตรส่วนตัวก่อน
    หรืออาจจะหาอาหารให้กระเพาะได้ย่อย
    ได้อิ่มก่อนค่อยทำธุระในบ้านอย่างอื่นต่อไป
    หรือบางที อาจจะแค่กินข้าว, อาบน้ำ, ดูทีวี แล้วเข้านอน
    เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว






    แต่คนเราก็ต้องกิน ต้องใช้กันอยู่ทุกวัน
    ในเมื่อหามา ก็ต้องมีบางอย่างที่เราต้องทิ้งไปเป็นธรรมดา
    ซื้อกับข้าวมา, ถุงที่ใส่กับ ก็ต้องทิ้งไป
    ซื้อน้ำดื่มมา, ขวดที่ดื่มหมดแล้วก็ต้องทิ้งไป
    หรือแม้แต่สิ่งต่างๆ ในตัวเราเอง
    เล็บมันยาว เราก็ต้องตัด ต้องทิ้งไป
    เส้นผมที่งอกยาวทุกวัน แม้เราจะหวี หรือสระผม
    ก็ต้องมีเส้นผมอยู่หลายเส้นร่วงหล่นไปบ้างล่ะ..
    นี่คือขยะนอกกายที่ต้องทิ้งไปเกือบทุกวัน


    แต่ขยะในจิตใจ จะมีสักกี่คนที่นำไปทิ้งบ้าง?
    วันๆ นึงเราต้องเจอหลายเรื่องที่เข้ามากระทบจิต
    มีตั้งแต่ระดับเบา กลาง จนไปถึงรุนแรง
    โดนกันทีหงายหลัง, หน้าคว่ำ หน้าแดงกันไปก็มี
    หรือบางทีก็โดนกระทบเรื่องที่ไม่พอใจ
    หนักเข้าก็โมโหโวยวายพาลคน พาลข้าวของไปทั่ว
    หรือแม้กระทั่งอารมณ์เบาๆ ดีใจกับเรื่องหยุมหยิม
    ไปจนถึงสุขกับลาภก้อนใหญ่ แล้วเพ้อทั้งวัน
    กลับมาบ้านก็ยังเพ้อ






    อารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ
    อันไหนถูกใจก็เลือกเก็บไว้ เสพมันจนกว่าจะเลือนหายไป
    อันไหนไม่ถูกใจ แต่โกรธแค้น ก็เก็บฝังจิตไว้ จำไปจนวันตาย
    หรืออันไหนที่เฉยๆ ก็เลือกที่จะลืมบ้าง วางบ้าง
    จนจำไม่ได้ในที่สุด

    ทุกอย่างเหล่านี้ต่างวนเวียนอยู่ในจิตเราแทบทุกวัน
    อารมณ์จึงมีขึ้น มีลงทุกวัน
    แต่...
    พอนานเข้ามันก็สะสมจนคั่งค้างในจิตเราได้





    ขยะในบ้าน ถึงเวลาเก็บกวาด,
    ซอกไหนไม่สะอาดเราก็เช็ดจนพอใจ
    ในตอนนั้นที่เราทำความสะอาด
    เราจะเห็นถึงความสกปรกของบ้านด้วยตาเราอย่างชัดเจน

    แต่ในเวลาเดียวกันที่เรามองว่า ขยะที่บ้าน,
    ความสกปรกของบ้านมันเป็นของธรรมดา
    ถึงเวลาก็ต้องเก็บกวาด แล้วทิ้งไปเป็นปกติ
    แต่แล้วจะมีสักกี่คนเลือกที่จะทิ้งขยะใจออกไปบ้าง?
    หรือเป็นเพราะเรามองไม่เห็นขยะในใจของตนเลยไม่รู้จะทิ้งอะไร?, ไม่รู้จะทิ้งยังไง?




    ไม่ว่าในแต่ละวัน
    หรือในชีวิตเราเคยเจอเรื่องราวอะไรมา
    หรือโดนกระทบเรื่องอะไรมา
    มันก็ล้วนแต่เป็นอดีต
    กาลเวลามันมีแต่จะเดินไปข้างหน้า
    แต่เราก็เลือกที่จะแบกขยะ
    แบกสัมภาระใจเดินไปด้วยเช่นนั้นหรือ?




    ในเมื่อผ่านมาแล้ว จบก็คือจบ, วางก็คือวาง
    ไม่ต้องเก็บมาคิด ไม่ต้องคิดมาใส่จิต
    ใส่ใจตนให้เหนื่อย ให้สกปรก

    วันนี้ตอนนี้เราควรทำจิตใจให้ผ่องใส
    ขนขยะออกจากจิตให้หมดด้วยการปล่อยวาง,
    มีสติให้มากในปัจจุบัน และอยู่กับพระ คิดถึงพระ
    ดีกว่ามานั่งฟุ้งเพ้อเรื่องต่างๆ ให้เหนื่อยจิต
    อยู่กับปัจจุบันด้วยสติก็พอจะดีกว่้าไหม?...
    (อยากสบายก็ทิ้งซะ, แต่ถ้าอยากลำบากก็จงแบกไว้)



    และอีกไม่กี่ชั่วโมง เวลาของวันนี้ก็จะหมดไปแล้ว...วันศุกร์
    พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ หลายคนพักผ่อน
    หรือทำงานบ้าน ทำความสะอาดบ้าน
    แต่จะเป็นวันไหนก็ช่าง ขอให้เราทุกคนอย่าลืมทบทวนด้วยว่า...
    "วันนี้เราได้ทิ้งขยะในจิตแล้วหรือยัง?"










     
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    เห็นมีใครทวงถามเรื่องอาหาร และน้ำดื่มเย็นๆ
    งั้นหญิงเล็กขอเสิร์ฟมื้อเย็นให้ทุกท่านเลยนะคะ
    เชิญเลือกตามใจจิตจ้า..

    ปล. กรุณาใช้สติในการรับประทาน ฮ่าๆ



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]



     
  7. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "กายทำงานทางโลกไป แต่ใจต้องอยู่ที่พระ"

    นะจ้ะ

    [​IMG]
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สาธุ๊ อนุโมทนาบุญค่ะครูลูกพลัง ท่านอธิบายได้แจ่มจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผลของการปฎิบัติ

    [​IMG]

    ผลของการปฎิบัติ ก็เปรียบเสมือนน้ำที่ถูกกรองออกมาให้เราดื่มกิน
    ผลของการปฎิบัตินี้ จะมีอาการ หรือมีความรู้สึกได้ดั่ง อบอุ่นใจ ซาบซึ้งใจ และใจหนักแน่น
    ผลของการปฎิบัตินี้ ก็จะได้มาจากการสร้างสติ สตินี้ก็จะทำให้จิตคนเรานิ่ง หรือจิตเป็นสมาธิ
    จนถึงนิ่งสงบมาก ก็คือ จิตทรงฌาน และฌานก็จะมีหลายระดับ
    แล้วเราค่อยนำขณะที่จิตเกิดสมาธิ เกิดฌาน เกิดปัญญานี้(จิตพร้อมใช้งาน)
    นำมาเพื่องานวิปัสสนา จนจิตเกิดวิปัสสนาเอง(จิตพัฒนาของเขาเองภายในจิต)
    จนไปสู่จิตวิปัสสนาญาณ(ปัญญาญาณ) หรือเรียกสั้นๆว่า ญาณ(ยาน ไม่ใช่ฌาน(ชาน))
    และญาณตัวนี้แหล่ะ! จะนำมาซึ่งอภิญญาึ๖

    อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ
    เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน
    ได้แก่

    ๑.อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
    ๒.ทิพพโสต มีหูทิพย์
    ๓.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
    ๔.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
    ๕.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
    ๖.อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป

    ***อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ)
    ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอริยบุคคล
    ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็น อริยบุคคล

     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=M17m9g36vdk&feature=related]พระบรมสารีริกธาตุจากพม่า - YouTube[/ame]​
     
  11. Espanda

    Espanda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +720
    ฝึกจิตเกาะพระง่าย ๆ สบาย ๆ สไตล์ฮูลาฮูป

    [​IMG]

    คิดว่าพี่ ๆ น้อง ๆ คงเคยเห็นคนเล่นฮูลาฮูปมาแล้วนะครับ ทั้งเล่นได้ดี และ ไม่ดีเท่าไหร่
    แต่ถ้าไม่ได้ลองเล่นเอง จะไม่รู้หรอกครับว่ามันเล่นยากหรือง่ายขนาดไหน
    แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้เล่นคล่องในทันที ต้องมีการฝึกซ้อมให้ร่างกายรู้สมดุลการหมุนซะก่อน
    นั่นคือ พอเราเหวี่ยงครั้งแรกเพื่อส่งกำลังหมุนก็ต้องขยับร่างกาย ทั้งเอว สะโพก
    เพื่อรักษาสมดุล นั้นไว้ให้นาน แรก ๆ เราอาจจะประคองได้ไม่นานก็หล่นแล้ว
    แต่พอทำไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ก็อยู่นานจนเหนื่อยเลยทีเดียว หลัง ๆ เราสามารถ
    ที่จะทำอย่างอื่นไปพร้อม ๆ กันได้ กินขนม อ่านหนังสือ หรือหลาย ๆ อันพร้อมกันเลย

    ทำจิตเกาะพระก็เหมือนกันนะครับ ถึงจะบอกวิธีการ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่เท่าลงมือทำ
    ทำครั้งแรกเกาะไม่ได้ ก็เหมือนตอนเราหมุนห่วงส่งแรงแล้วร่างกายประคองสมดุลไม่ได้
    หรืออาจจะเป็นเพราะเราเลือกห่วงเล็กไป ใหญ่ไป หนักหรือเบาไป เปรียบกับภาพพระ
    เราต้องเลือกที่เหมาะกับเราก่อน* ถ้าทำแล้วได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ทำไปเรื่อย ๆ จนเรา
    เริ่มชิน ห่วงมันก็มีตกบ้าง เราก็หยิบมาหมุนใหม่ เท่านั้นเอง ดังนั้นเราเองนี่แหละครับ
    ที่จะหาจุดเหมาะสมให้ตัวเราเองที่จะประคองภาพพระไว้ให้นานที่สุด หลุดก็เอาใหม่
    เหนื่อยนักก็พักบ้าง แต่อย่าพักนานนะ ฮ่า ๆ เอาแค่หายเหนื่อยพอ เดี๋ยวลืม

    ถ้าเราไปมองท่านพี่ ท่านครู ที่พริ้วแล้ว ก็อย่าเอามาท้อนะนั่นแสดงว่าเราทำไป
    คล่องเมื่อไหร่ก็ทำได้เหมือนกัน เราอย่าดูอย่างเดียว ลุกขึ้นมาสนุกด้วยกันดีกว่า ...



    หากขาดตกบกพร่องอัน ขอน้อมคุณครูช่วยขัดเกลาด้วยครับ



    สุดท้ายนี้หากเนื้อหาที่แสดงออกไปนี้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ หรือ ไม่ตรงคำสอน ข้าพเจ้าขอรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว
    หากจะมีใครเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งหรือเกิดผลดีในการปฏิบัติขอให้น้อมถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่สุดเถิด
     
  12. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ง่ายๆ ได้ใจความครับ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=IC0lMqpAWHA&feature=related]บทภาวนาก่อนนอน - YouTube[/ame]​

    ***ทางไปนิพพานของจิตคนเรานั้น ก็คือ มรรคมีองค์๘
    หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น
    แต่ถ้าใครไปทางอื่น นั่นหมายถึง กำลังหลงทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กรกฎาคม 2012
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MzoN-X94trw&feature=related]ธรรมะคีตะ เสียงปลุก ๏ The Sounds Of Awakened - YouTube[/ame]​

    ธรรมะเตือนสติ
    ***เราไม่ต้องไปหาความสุข ความสงบที่ไหนกันหรอก
    เพราะแท้ที่จริงแล้ว ความสุข ความสงบนั้น
    ก็อยู่ภายในกาย ภายในจิตของเรา นั่นเอง
     
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โยนิโสมนสิการ

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา


    <!-- /jumpto --><!-- bodycontent --><DL><DD>สำหรับความหมายอื่น ดูที่ โยนิ (แก้ความกำกวม)


    <DD>โยนิโสมนสิการ (ปัญจาบ: yonisomanasikāra; คำอ่าน: โยนิโสมะนะสิกาน) หมายถึง การทำในใจให้แยบคาย กล่าวคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙ นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒<SUP id=cite_ref-Royin_0-0 class=reference>[1]</SUP>


    การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดย อุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย <SUP id=cite_ref-1 class=reference>[2]</SUP>เช่น
    • คิดจากเหตุไปหาผล
    • คิดจากผลไปหาเหตุ
    • คิดแบบเห็น ความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เป็นลูกโซ่
    • คิดเน้นเฉพาะจุดที่ทำให้เกิด
    • คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ส่งเสริมให้เจริญ
    • คิดเห็น องค์ประกอบที่มา ทำให้เสื่อม
    • คิดเห็นสิ่งที่มา ตัดขาดให้ดับ
    • คิดแบบ แยกแยะองค์ประกอบ
    • คิดแบบ มองเป็นองค์รวม
    • คิดแบบ อะไรเป็นไปได้ หรึอเป็นไปไม่ได้
    </DD></DL>
    ศัพทมูลและนิยาม


    คำ "โยนิโสมนสิการ" นั้นประกอบด้วยคำสองคำ คือ<SUP id=cite_ref-2 class=reference>[3]</SUP>
    • "โยนิโส" มาจาก "โยนิ" แปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง
    • "มนสิการ" หมายถึง การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา
    ดังนั้น "โยนิโสมนสิการ" จึงหมายถึง การทำในใจให้แยบคาย หรือ การพิจารณาโดยแยบคาย กล่าวคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้านจนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสำหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าวหรือที่เรียก "ปรโตโฆสะ" อีกชั้นหนึ่ง กับทั้งเป็นบ่อเกิดแห่งความคิดชอบหรือ "สัมมาทิฐิ" ทำให้มีเหตุผล และไม่งมงาย <SUP id=cite_ref-3 class=reference>[4]</SUP>


    อนึ่ง คัมภีร์ในพระไตรปิฎก ชั้นอรรถกถาและฎีกาได้แสดงไวพจน์แจกแจงความหมายในแง่ต่าง ๆ ของโยนิโสมนสิการว่า
    • "อุบายมนสิการ" เป็น การคิดหรือพิจารณาโดยอุบาย คือ การคิดอย่างมีวิธีหรือถูกวิธี ซึ่งหมายถึง การเข้าถึงความจริง สอดคล้องกับแนวสัจจะ ซึ่งทำให้รู้สภาวลักษณะและสามัญลักษณะของสิ่งทั้งหลาย
    • "ปถมนสิการ" เป็น การคิดถูกทาง ต่อเนื่องเป็นลำดับ หมายถึง ความคิดที่เป็นระเบียบตามหลักเหตุผล ไม่ยุ่งเหยิงสับสน จิตไม่แว๊บติดพันในเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวกลับเตลิดไปคิดอีกเรื่องหนึ่ง จิตยุ่งเหยิงนี้กระโดดไปมา ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่รวมทั้งความสามารถในการชักความนึกคิดไปสู้แนวทางที่ถูกต้อง
    • "การณมนสิการ" เป็น การคิดอย่างมีเหตุผล เป็นการสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุ ให้เข้าใจถึงต้นเค้า หรือแหล่งที่มาซึ่งส่งผลต่อเนื่องตามลำดับ
    • อุปปาทกมนสิการ การคิดการพิจารณาให้เกิดกุศลธรรม เช่น การพิจารณาที่ทำให้มีสติ หรือทำให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เป็นต้น
    ไขความทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเพียงการแสดงลักษณะด้านต่างๆ ของความคิดแบบโยนิโสมนสิการ ซึ่งการเกิดในแต่ละครั้ง อาจมีลักษณะครบทั้ง 4 ข้อ หรือเกิดครบทั้งหมด หรือเขียนลักษณะทั้ง 4 ข้อนี้สั้นๆ ได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล<SUP id=cite_ref-4 class=reference>[5]</SUP>
    <SUP></SUP>
    คุณค่า

    โยนิโสมนสิการนั้น ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ "อัปมาท" ซึ่งเป็นแหล่งรวมแห่งธรรมฝ่ายดีหรือ "กุศลธรรม" ทั้งปวง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๔๖๔ หน้า ๑๒๙ นอกจากนั้น ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วยปัญญา และเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ดังพรรณาในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๖๘-๙ หน้า ๓๓๒<SUP id=cite_ref-Royin_0-1 class=reference>[1]</SUP>
    นอกจากนี้ ยังมีคำพรรณนาคุณของโยนิโสมนสิการอีกมาก เช่น เป็นส่วนหนึ่งที่ให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง เป็นเครื่องขจัดความลังเลสงสัย เป็นองค์ประกอบของความเป็นพระอริยบุคคลชั้นแรกหรือ "โสตาปัตติยังคะ" อันแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนาส่งเสริมโยนิโสมนสิการว่าจำเป็นสำหรับทุกคน<SUP id=cite_ref-Royin_0-2 class=reference>[1]</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP></SUP><SUP></SUP>
    <SUP>ที่มา</SUP>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  16. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    <SUP>สรุปรวบรัดทำสั้น ๆ ง่าย ๆ คือ จิตเกาะพระ มรรคมีองค์แปด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมถึง จิต สติ ปัญญา โยนิโสมนสิการ วิปัสสนา ฌาน ญาณ วิปัสสนาญาณ ปัญญาญาณ ทุกอย่างทั้งหมดทั้งมวลมีอยู่ใน "จิตเกาะพระ"</SUP>

    <SUP>ทำ "จิตเกาะพระ" ได้ ทุกอย่างจบ ถึงวิมุติทันที ถึงนิพพานบนดินทันที ถึงนิพพานในจิตทันที </SUP>

    <SUP>ถาม ชาวโลก ชาวธรรม ชาวจิตเกาะพระ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ในกระทู้นี้ท่านเกาะอะไรกันอยู่ ทำไมจึงเดินทางไปไม่ถึงปัญญาญาณกันเสียที โดยเฉพาะพระอนาคามีทั้งหลาย ท่านทรงจิตเกาะพระกันมาเป็นแรมเดือนแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่เอาจิตออกมาชนกับกิเลส วัดกำลังใจตนเอง เหตุใดท่านจึงไม่มีสติในการแยกแยะการทำงานของจิตกับกาย จิตปฏิบัติทางธรรมโดยการนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ กายทำงานทางโลกหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปตามหน้าที่ของมัน เหตุใดจึงเอาจิตไปทำงานร่วมอยู่กับกาย ดุจว่าจิตนี้มีหน้าที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแทนกายอย่างนั้นหรือ</SUP>

    <SUP>ท่านจงไปทบทวนดูที่เหตุของการนำจิตมาปฏิบัติเสียใหม่นะ ท่านมาปฏิบัติจิตเกาะพระเพื่ออะไรกัน ลองของใหม่อย่างนั้นหรือ เราจะตอบให้หายข้องใจกันนะ จิตเกาะพระไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นของเก่าที่นำมาประยุกต์ใหม่โดยฆราวาส จิตเกาะพระพุทธเจ้าท่านมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน่นแล้ว แต่เพราะผู้ปฏิบัติบางท่านทำ "ใจ" ตัวเองให้มันเข้าใจยาก ของง่าย ๆ ก็ไปทำให้มันยาก เพราะอวิชชามันครอบหัว เรียนมาเยอะ ทางโลกเขาสอนให้คิด ทางโลกเขาสอนให้ปรุงแต่ง ทางโลกเขาสอนให้เชื่อตำรา ทางโลกเขาสอนให้ไม่เชื่อจิตใจตนเองเพราะมัดวัดไม่ได้ ท่านก็โง่งมทำตามเขาไปโดยปราศจากการคิดพิจารณาตามธรรมชาติ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดเจือปน ธรรมชาติที่เป็น "ดิบ" ท่านเข้าใจคำว่า "ดิบ" ไหม? ไม่เข้าใจก็เรื่องของท่าน แต่จิตบุญย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>วันนี้ไม่ได้มาด่าใคร และที่ผ่านมาก็ไม่ได้เบี้ยวไม่ตอบการบ้านใคร แต่จิตเห็นว่าทางใดช่วยได้ก็ต้องไปช่วยก่อน เดือนนี้ทั้งเดือนจิตครูเพ็ญไปสาละวนกับการช่วยยกจิตชาวโลกทิพย์ โน่น ถ้าใครพอจะได้มโนมยิทธินะ ไปดูบนนิพพานโน่น ครูเพ็ญ คุณแม่สุมาลี พี่นิวเวป และจิตบุญท่านอื่น ท่านไปช่วยยกจิตชาวโลกทิพย์ขึ้นนิพพาน เดือนนี้จึงเป็นเดือนแห่งอรหันต์ทางโลกทิพย์ </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>เพราะฉะนั้นพี่ภูอย่าได้น้อยใจนะว่าทำไมลูกศิษย์ชาวโลกจึงไม่มีใครยกจิตกันเสียที จะมีได้อย่างไรเล่า ในเมื่อท่านเอาจิตไปมั่วอยู่กับกาย ไม่เอาจิตไปทำงานของจิต เอากายไปทำงานของกาย </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>ที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปว่าท่านขาดสติแบ่งแยกหน้าที่ของกายกับจิตอย่างชัดเจน ท่านขาดการเจริญสมาธิด้วยการนึกถึงพระให้ต่อเนื่อง ปล่อยให้กระโสโลกเข้ามาครองจิตครองใจแล้วก็ไหลเวียนไปกับมันโดยหลอกจิตตนเองว่าฉันยังเกาะพระอยู่ ไม่จริงเลย ไม่เป็นจริงเลย </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>จิตที่เกาะพระอยู่จะไม่ไหลไปกับกระแสโลกอย่างแน่นอน แม้ว่าท่านจะมีงานยุ่งท่วมหัว ท่านประชุมเครียดขนาดเขาจะฆ่ากันตายในห้องประชุม หรือแม้แต่ท่านกำลังสาละวนยุ่งเหยิงอยู่กับครอบครัว ถ้าจิตของท่านเกาะพระอยู่มันก็ยุ่งได้แค่กายเท่านั้นเอง แต่จิตมันไม่ไปยุ่งด้วยหรอก</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>มีบางคนเถียงฉันก็ไม่ได้รู้สึกยุ่งอะไรนี่นา รู้สึกเฉย ๆ กับสภาวะแวดล้อมที่เป็นอยู่ จิตไม่ทุกข์แต่ก็ไม่สุข มันธรรมดา ๆ ถามว่าแล้วจะเฉยไปทำไม เฉยแล้วมันจะถึงนิพพานไหม แล้วที่เห็นว่ามันธรรมดาน่ะ มันธรรมดาแบบมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา ไปคิดกันเอาเอง โต ๆ กันแล้ว </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>คำถามสุดท้าย จะเดินมรรคต่อเพื่อไปนิพพาน หรือจะหยุดอยู่แค่อนาคามีพรหมตายไปเกิดเป็นพรหม แล้วรอปฏิบัติอยู่ข้างบนสัก ? มหากัป หรือจะไปเป็นพรหมลูกฟักรอหลุดจากขั้วไปเกิดตามยถากรรมต่อไป หรือจะไปเป็นพรหมอรูปไม่รับรู้อะไรสักอย่าง แล้วรอวันสลายจากพรหมไปเกิดเป็นอะไรตามยถากรรม ผู้มีปัญญาทั้งหลายจงตรองดูเถิด</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>แม้ว่าเราจะมีกายเป็นฆราวาส แต่การปฏิบัติของพวกเราก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าฝ่ายใด จิตต้องเข้มแข็ง สติปัญญาต้องเข้มข้น มิใช่ทำกันสนุก ๆ นะ นี่คือทางสายกลางซึ่งเป็นการเดินไปสู่พระนิพพาน อันเป็นทางสายเอก และสายด่วนที่สุดในยุคนี้ </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>ท่านทั้งหลายที่มักอ้างเรื่องงานว่าทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติสมาธิให้ต่อเนื่อง นั่นเป็นเพราะจิตใจของท่านไม่ได้มุ่งสู่พระนิพพานจริง ท่านกำลังเบี่ยงเบนจิตตนไปหาสวรรค์ พรหม อันเป็นแดนที่ไม่เที่ยง อันเป็นแดนทุกข์ อันเป็นแดนที่เต็มได้ด้วยอัตตา </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>พี่เพ็ญมาขึ้นข้อความในวันนี้ก็เพียงเพื่อมาเตือนจิตเตือนใจของท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ค่อยเยื้องค่อยย่างกรายอย่างเชื่องช้า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะจิตของท่านมัวแต่ไปหลงชมดอกไม้ริมทางกันอยู่น่ะสิ ไม่สนใจเอาจิตมาเดินทางตรงกัน สมาธิเกิดแล้วก็ไม่รักษาไว้ ปล่อยให้เสื่อม ปล่อยให้หลุด จิตทรงฌานไม่ต่อเนื่อง ปล่อยให้ติด ๆ หลุด ๆ ถามว่าแค่นึกถึงพระให้บ่อยกว่าคิดถึงศัตรูคู่อาฆาต สามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก หลาน เพื่อน ญาติ เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ทำแค่นี้ไม่ได้เชียวหรือ กำลังใจที่จะมุ่งตรงไปนิพพานหายไปไหนกันหมด </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>อย่าลืมนนะว่าทุกท่านที่เข้ามาสู่การปฏิบัติธรรมท่านต้องการไปให้ถึงพระนิพพานใช่ไหม เหตุใดเมื่อท่านเดินมรรคมาจนเข้าสู่อริยบุคคลกันแล้ว ท่านจึงเพิกเฉยต่อการปฏิบัติเพื่อให้จิตก้าวหน้า ท่านเอามรรคเอาผลจากการปฏิบัติไปไว้ข้างหลัง แล้วเอาการงานทางโลกนำหน้า พี่เพ็ญขอบอกว่าถ้าท่านต้องการอย่างนั้นท่านไม่ต้องมาทำจิตเกาะพระท่านก็ทำกันได้</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>พี่เพ็ญเคยบอกไว้ตั้งแต่ต้นและก่อนจะเริ่มสอนการบ้านทางอีเมลแล้วว่า พี่เพ็ญนี้เน้นสอนเฉพาะผู้ที่ใฝ่พระนิพพานเท่านั้น แต่ถ้าใครไม่เอาจริงพี่เพ็ญขอบาย เพราะจิตเกาะพระนี้ไปนิพพานไวที่สุด เร็วที่สุด ด่วนที่สุด ถ้าใครจะไปแบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ก็บอกกันมา เราจะแนะนำให้ท่านปฏิบัติได้ถูกจริตของท่านต่อไป</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>พี่เพ็ญก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ถึงอนาคามีแล้วท่านมีแต่จะเร่งเดินมรรคต่อเนื่องเพื่อให้ถึงนิพพานโดยเร็วพลันในปัจจุบันนี้ แต่นี่อะไรมาถึงตรงนี้แล้วบางท่านบอกถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่า ถ้าจะถอยให้ถอนตัวไปเลยดีกว่า </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>บอกแล้วว่าไม่ได้มาด่าใคร แค่มาเตือนว่าสมควรแก่เวลาที่ท่านจะสลัดทิฏฐิ อัตตา มานะ ความทุกข์ ความสุข ความลังเลสงสัย แล้วเอาจิตมาเดินทางสายกลางให้มันตรงทางได้หรือยัง ใครติดทุกข์ ติดสุข ติดเฉย ให้รู้ตัวนะ </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>ครูหลายท่านบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ใช้สติปัญญางัดเอาจิตออกมาชนกับกิเลส นึกถึงพระให้บ่อยที่สุด รักษากำลังใจอย่าให้ตก ทรงฌานให้ต่อเนื่องด้วยการแว้บนึกถึงพระบ่อย ๆ ก็บอกให้ทำแค่นี้เอง แล้วยังจะสงสัยอะไรกันอีก สงสัยว่ามันจะหลงทางไหม สงสัยว่าจะไปถึงนิพพานจริงไหม สงสัยว่านี่กำลังพากันเดินหลงทางหรือเปล่า </SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>ถ้าท่านเป็นผู้ปฏิบัติจิตเกาะพระรุ่นแรก 1-4 นี่พี่เพ็ญจะเห็นใจท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันบรมงงจริง ๆ แต่นี่พวกท่านมีครูคอยกำกับการฝึกจิตเกาะพระอย่างใกล้ชิด และครูแต่ละท่านพี่เพ็ญกล้าประกาศตรงนี้เลยว่าท่านล้วนเป็น "พระอรหันต์" มาสอนเองทั้งสิ้น กลุ่มจิตบุญไม่เอาครูต่ำกว่านี้มาสอนท่านหรอก เพราะนั่นหมายความว่ายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>พี่เพ็ญ จบ.3</SUP>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้ำมั๊ยครับ
    รับน้ำไรดีครับ
    ลูกหว้าเธอไปเอาน้ำเสือดำมาให้หน่อย(น้ำเฉาก๊วยไง๊)
    อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย!!! ครูเพ็ญดุดุ
    (นึกว่าครูดัช)


    [​IMG]

    ***ผมเตือนท่านแล้ว จิตมัวแต่ไปชมวิว ไม่เอาจริงเอาจังกับจิตตนเอง
    จึงขาดความต่อเนื่อง พอขาดความต่อเนื่อง จิตก็จะไม่เกิดปัญญา
    พอจิตไม่เกิดปัญญาแล้ว จิตก็จะไม่ออกจากฌาน คือจิตไม่ยอมเข้าวิปัสสนา
    เพราะว่าจิตติดสุขจากฌาน นั่นเอง

    เพราะผมเข้าใจนะ ติดทุกคน คือติดสุขจากฌานเนี๊ย
    เพราะจิตเบื่อทางโลกไง๊หล่ะ พอจิตไปเจอที่อยู่ใหม่ จิตก็เลยนึกว่า
    ที่นี่คือ สุขที่สุดแล้ว
    ปกตินักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติมักจะติดสุขจากฌานกันมาก
    บางท่านติดหลายปี บางท่านติดไปถึงชาติหน้า
    เพราะสติน้อย ปัญญาก็พลอยน้อยไปด้วย
    เมื่อวานผมได้ลงในกระทู้ไปแล้วนะ เรื่องจิตส่งนอก กับ จิตส่งใน
    ส่งนอกสำหรับผู้ปฎิบัติไม่ค่อยมี จะมีแต่ผู้ไม่ปฎิบัติ หรือว่าเผลอสติ
    แต่ผู้ปฎิบัติมักจะส่งจิตไปข้างใน ก็คือ จิตไปติดสุขจากฌาน
    ตามตำราเขาบอกว่า อวิชชา (ข้อ10ของสังโยชน์เบื้องสูง)
    ไม่เป็นไรนะ ผมเข้าใจผู้ปฎิบัติทุกท่าน
    เมื่อใครรู้ตัวให้รีบๆ ให้รีบซะ
    แต่ผมก็เข้าใจครูเพ็ญนะ
    ผมบอกไปแล้ว ถ้าใครปฎิบัติเพื่อพระนิพพาน ครูเพ็ญท่านนี้แหล่ะ
    ท่านสอนแบบไม่คิดชีวิต แต่ไฉนผู้ปฎิบัติถึงแปรเปลี่ยน
    เพราะความไม่เชื่อฟังครูอย่างเคร่งครัด หรือความลังเลสงสัย
    เหตผลอันหลังนี้ จะเป็นสิ่งบั่นทอน ทำลายกำลังใจของตนอย่างดี
    ศิษย์อย่าไปโทษครูเพ็ญเลยนะ เพราะท่านมีความตั้งใจสูง แต่ท่านมิได้คาดหวัง
    แต่ครูเพ็ญจะถามทุกคนว่า ปฎิบัติจิตเกาะพระเพื่ออะไร
    แต่ถ้าเพื่อนพระนิพพาน ครูเพ็ญท่านจะสอนแบบไม่คิดชีวิต
    จิตครูเพ็ญท่านเข้มแข็งมากๆ
    แต่จิตใครไม่เข้มแข็ง ผมขอแนะแบบช๊อพๆ มีหลายท่านนี้
    แต่ถ้าใครแน่จริง หรือผม/ดิฉันจะปฎิบัติเพื่อพระนิพพานละก้อ
    ต้องยกให้ครูเพ็ญท่านเลยนะ

    ปฎิบัติจิตเกาะพระ ไม่ใช่ใครจะมาทำเล่นๆ
    จิตนิพพานเขาเข็งเป๊ก ไม่หน่อมแน้มไปกับทางโลก
    จิตผู้ปฎิบัติก่อนจะยก ผมเคยเตือนท่านให้ฝึกแยกกาย แยกจิต
    คือกายก็ทำหน้าที่ไปตามปกติกับทางโลกไป
    มีแต่จิตเท่านั้น จะต้องไปเกาะพระให้ตลอดเวลา possible
    สตินั้นก้ไม่เที่ยง ตัวเราเองนี่แหล่ะจะต้องขยันสร้างสติมากๆ
    เพราะจิตก่อนจะยกนี่จะช้าไม่ได้ แต่ถ้าช้านะ จิตจะแช่แข็งที่ฌานนาน
    นึกว่าฉันพอแล้ว ถึงแล้ว นั่นมันไม่ใช่
    ตรงนั้นจิตเหมือนก้อนหินทับหญ้า หมายถึง เมื่อไหร่ฌานถอย ฌานเสื่อม
    ฌานเองก็ไม่เที่ยง
    จิตเขาก็จะวิ่งไปตามอารมณ์จิต คือวิ่งไปตามกระแสโลกเช่นเคยอีก

    สรุปว่า สติของผู้ปฎิบัติน้อยเกินไป
    พอสติน้อยเมื่อไหร่ ตัวของเราเองนี่แหล่ะ มักจะเกิดความลัง ความสงสัยมากขึ้น
    ตัวนี้จะเป็นตัวตัดกำลังใจในการปฎิบัติของตนอย่างดี
    พอความลังเลสงสัยมีมาก ก็จะคิดต่อไปอีกว่า เอ๊ะเรากำลังมาถูกทางหรือเปล่า
    ***ตรงนี้ผมและครูเพ็ญก็คิดกันมาก่อนหน้าพวกท่านแล้ว
    แล้วเมื่อก่อนผมทำไปถามใคร ไม่มีครูเลย บอกตามตรงว่า มีสมเด็จองค์ปฐมท่านเดียว
    ที่หิ้วจิตผมรอดมาได้ทุกวันนี้ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ
    ปัจจัตตังจริงๆ ผมทำได้สำเร็จเพราะว่า ผมมีความเชื่อในพระพุทธเจ้ามากๆ

    ขอให้ผู้ปฎิบัติตั้งใจ เพิ่มความเพียรอีกนิดนึง
    เราเสียเวลาทำมาถึงนี่กันแล้ว อย่าปล่อยโอกาส
    ให้ทำตามสูตรคือ ทำไปๆ ทำลูกเดียว
    อย่าได้ไปหวังผล เพราะถ้าคุณหวังผลเมื่อไหร่
    ผลปฎิบัติจะหยุดทันที ทำแบบโง่ๆเป็นไหม๊
    หลวงปู่ดู่ ท่านพูดอย่างไร ยังจำกันได้ไหม๊

    จงปฎิบัติแบบคนโง่
    แต่อย่าปฎิบัติแบบคนรู้มาก



    *ผู้ปฎิบัติทั้งหลาย ท่านอย่าใจดีกับกิเลสตนเองนะ
    ถ้าจิตไม่มีกำลังการปฎิบัติจะไม่มีทางคืบหน้า
    ผู้ปฎิบัติไม่จริงจัง จะเสียเวลาทั้งสองฝ่าย
    แล้วให้กลับไปทบทวนมาใหม่ ว่าเราบกพร่องตรงไหน
    (ศีล?)
    ผมจะบอกให้นะ ครูสอนธรรมะแบบครูเพ็ญท่านนี้หาตัวจับยาก
    จะบอกหั่ย ตัวจริงๆท่านใจดีมั๊กๆ อันนี้จิตท่านนะ
    จิตท่านเอาจริง เอาจังมั๊ก จะบอกหั่ย
    ถามผมนี่ ผมรู้ดีที่ซู๊ดดด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กรกฎาคม 2012
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=nLFkJZQSL5k&feature=related]ชีวิตต้องสู้(กำลังใจ) ตอนที่1 - YouTube[/ame]​
     
  19. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อนาคามีพรหมจงฟังเพลงนี้แล้วน้อมเอาไปพิจารณาในจิตตน

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ky763Ea5VJI]ต้องสู้จึงจะชนะ - YouTube[/ame]​
     
  20. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อนาคามีพรหมจงเอานิทานขี้หมาไปพิจารณาและทำปัญญาให้แจ้ง

    นิทานขี้หมา

    มีกองอยู่สามกอง...

    กองที่ 1 เป็นขี้หมา คุณ!เหยียบมันมาหลายชาติแล้ว เหยียบทีไรทุกข์ทุกที ใช่ป่ะ? หรือว่าชอบเหยียบขี้หมาเล่นล่ะ? คิดเองตอบเองนะเออ

    กองที่ 2 น้ำล้างขี้หมา พอคุณ!เหยียบขี้หมาไปแล้ว มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? คิดตามนะ พี่คิดว่าคุณ!คงไม่ค่อยมีความสุขล่ะนะ ตอนนี้เท้าคุณ!กำลังเปื้อนขี้หมาเหม็นหึ่ง คุณ!จะปล่อยให้ขี้หมามันแห้งหายไปเองรึ หรือว่าต้องหาอะไรเช็ดออก แต่ถึงเช็ดก็คงจะรู้สึกว่ามันยังสะอาดไม่พอ เพราะกลิ่นมันยังมีอยู่

    คุณ!คงไม่ชอบกลิ่นขี้หมาเป็นแน่ จึงต้องเดินไปหาน้ำล้างขี้หมาใช่ไหม? พอล้างขี้หมาออกจากเท้าแล้ว คุณ!รู้สึกโล่ง สบายใจ คลายความทุกข์กังวลกับขี้หมาและกลิ่นขี้หมาใช่ไหม? คิดตาม-ถามเอง-ตอบเองด้วยนะ


    กองที่ 3 ลืมความทุกข์ พอขี้หมาหลุดออกไปจากเท้า แถมกลิ่นก็หายไปด้วย ตอนนี้คุณ!คงมีความสุขล่ะสิ และคงจะกำลังเดินอมยิ้มต่อไปเรื่อย ๆ อย่างชะล่าใจ ก็เพราะมันไม่ทุกข์อ่ะ แถมมีความสุขเดินทอดน่องอย่างสบายใจ พอสบายใจก็ลืมความทุกข์ไปชั่วคราว และคิดว่าจะเดินชมวิวอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะวิวสวยทำให้เป็นสุขใจยามที่ทอดสายตามอง

    คุณ!กำลังเดินเพลินอุรา โดยคิดว่าแถวนี้ต้องไม่มีขี้หมาแน่ เพราะสวนสวย วิวสวย ถนนสะอาดเพราะมีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี ขณะนั้นเองคุณ!เหลือบไปเห็นดอกไม้ดอกหนึ่งสวยมาก สวยชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

    คุณ!ถลาเข้าไปดูดอกไม้ใกล้ ๆ โดยลืมคิดไปเสียสนิทว่าดอกไม้ในสวนหย่อมเขาปลูกไว้บนพื้นดินเฉะๆ คุณ!กำลังเดินชมดอกไม้ดอกโน้นดอกนี้อย่างเพลิดเพลิน และโดยที่ไม่ทันติดเบรกที่เท้า คุณ!ก็เหยียบขี้หมาเข้าอีกรอบ แถมรอบนี้เป็นขี้หมาเปียก เพราะหมามันแอบไปถ่ายไว้ริมกองดินของหย่อมดอกไม้นั้นเอง

    ขี้หมาเปียกเกาะหมับเข้าที่เท้าคุณ!อย่างไม่มีศิลปะ แถมมีกลิ่นรุนแรงอันเนื่องมาจากหมาตัวที่มาถ่ายมูลไว้มันท้องเสียบวกกับน้ำที่ชุ่มอยู่บริเวณนั้นทำให้ขี้หมานั้นเละเทะยิ่งขึ้นไปอีก กลิ่นรุนแรงลอยคลุ้งขึ้นมาเข้าจมูก คุณ!สะบัดหน้าไปมา เหม็นก็เหม็น อยากอ้วกก็อยากอ้วก(พี่ก็อยากจะอ้วกเหมือนกัน)

    พี่จะถามว่า

    1. คุณ!เคยเจอทุกข์มาแล้วใช่ไหม?
    2. คุณ!เคยหาวิธีขจัดทุกข์มาแล้วใช่ไหม?
    3. คุณ!เคยลืมความทุกข์แล้วย้อนกลับไปทุกข์หลายครั้งแล้วใช่ไหม?

    พี่ขอให้คุณ!กลับไปทบทวนนิทานเรื่องนี้ดูนะว่ามันต่างจากที่พี่ตั้งคำถามให้คุณ!ไหม

    ถ้าคุณ!จะคิดได้นะว่าทุกข์ก็ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง เฉยก็ไม่เที่ยง ถ้าเราเอาจิตไปเกาะไว้กับของไม่เที่ยงแล้วใจเราจะสบายไหม สุดท้ายสิ่งที่เราเกาะอยู่มันก็ไม่มีตัวตน เป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราวที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ในความแปรปรวน แล้วก็ดับไปในที่สุด

    เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณ!เกิดรู้อะไรขึ้นมาบ้าง เมื่อรู้แล้วก็ขอให้พิจารณาให้ถ่องแท้เข้าไปถึงแก่นนะ แก่นของธรรมก็คือสุดท้ายมันไม่มีตัวตน ล้วนแต่เป็นอนัตตาทั้งสิ้น

    ควรหรือที่เราจะไปยึดสิ่งที่ไม่มีตัวตนว่าเป็นของเรา(จิต) เราควรจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่มีตัวตนนั้นไปหรือไม่ แล้วเราจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่มีตัวตนได้อย่างไร

    ก็โดยการใช้สติปัญญาเข้าไปกำหนดรู้ว่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง เฉยก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไปยึดถือไว้ก็เป็นทุกข์ สุดท้ายก็ไม่มีตัวตน ถ้ายังขืนโอ้เอ้แวะชมข้างทางบ่อย ๆ สุดท้ายก็คงจะไปไม่ถึงนิพพานแดนสุขาวดีในชาตินี้

    อย่ากระนั้นเลย จิตจงออกมาจากทุกข์ สุข เฉย แล้วชนกับกิเลสดูสักตั้งเป็นไง จะได้รู้กำลังใจตนเองว่าเรา(จิต)เข้มแข็งพอที่จะทยานขึ้นสู่ฟ้าไปหานิพพานหรือไม่

    ถ้าเอาจิตไปชนกับกิเลสแล้วชนะได้สักครั้งหนึ่งกำลังใจจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ถ้าชนกับกิเลสแล้วเรา(จิต)พ่ายแพ้ก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด แพ้แล้วเราก็จะชนใหม่ แต่การชนกับกิเลสครั้งต่อไปเราจะเอาสติเป็นโล่นำไปก่อน ถ้าจะมีใครปาก้อนหิน(กิเลส)ใส่เรา มันก็ต้องไปชนกับสติก่อนแหละ ถ้าเรามีสติคอยพาหลบก้อนหิน(กิเลส) แล้วก้อนหิน(กิเลส)มันจะเข้ามาถึงจิตได้อย่างไรเล่า

    เพราะฉะนั้นสตินะสติเอาเกาะจิตไว้ให้แน่น ๆ เหมือนจิตเกาะพระ ถ้าจิตเกาะพระได้แนบแน่นเท่าไร สติก็ต้องเกาะจิตให้แนบแน่นเหมือนกัน

    เอ้า รู้สึกตัวแล้วใช่ไหมว่ากำลังเหยียบขี้หมาอยู่ ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็รีบไปหาน้ำล้างซะ พอล้างเท้าสะอาดแล้วก็อย่ามัวชะล่าใจเดินทอดน่องเบิ่งฟ้าอยู่ล่ะ เอาสติคอยตรวจดูขี้หมาบนพื้นด้วย

    วันนี้พี่ให้ธรรมะขี้หมา เอ้า ลุยโล้ดดดดดดดด

    พี่เพ็ญ จบ.3
     

แชร์หน้านี้

Loading...