จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    เจโตวิมุตติ vs ปัญญาวิมุตติ

    เจโตวิมุตติ vs ปัญญาวิมุตติ

    เจโตวิมุตติ - ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ (แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องเกิดปัญญาวิมุตติ จึงจักทำให้เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อ) เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติ อันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)

    ปัญญาวิมุตติ - ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อไป

    แสดงสมถะและวิปัสสนา เมื่อโยนิโสมนสิการโดยแยบคายก็จะเห็นจุดประสงค์ของการปฏิบัติทั้ง ๒ กล่าวคือ เจริญสมถะเพื่อเจโตวิมุตติ เพื่อการอบรมจิตให้ระงับในกิเลสราคะ เพื่อยังประโยชน์ กล่าวคือ นำจิตที่ตั้งมั่น เนื่องจากสภาวะไร้นิวรณ์ และราคะ(กามฉันท์ ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)มารบกวนจากการสอดส่ายฟุ้งซ่านไปปรุงแต่ง หรือสภาพที่ถูกยึดมั่นไว้ด้วยอุปาทาน จึงเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนปัญญาในการคิดพิจารณาธรรมให้เห็นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง กล่าวคือ พึงยังให้เกิดปัญญาวิมุตติขึ้นนั่นเอง จึงเป็นปัจจัยให้ละอวิชชาเป็นที่สุด.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
    ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต
    จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
    วิปัสสนา ที่อบรมแล้วย่อมเสวย ประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา
    ปัญญา ที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
    หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล
    ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุตติ
    เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่าปัญญาวิมุตติ ฯ
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
    อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
    ว่าด้วย เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ


    เจโตวิมุตติ กับปัญญาวิมุตติ ต่างกันตรงที่เกิดเพื่อบ่งบอกที่มา
    แต่ผลคือ พระอริยบุคคล ระดับพระอรหันต์ บุคคลที่เป็นพระอรหันต์ย่อมได้ทั้งสอง ทั้งเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ เพราะพระอรหันต์ย่อมมีคุณสมบัติเฉพาะตัวบางด้านต่างกัน บ้างปัญญามาก บ้างฤทธิ์มาก(เป็นไปในทางธรรม) ในระดับบารมีส่วนตัวต่างกันนั้นเอง และไม่แบ่งแยกว่า พระอรหันต์องค์นี้เป็นเจโตวิมุตติ พระอรหันต์ปัญญาวิมุตติ
    เพราะพระอรหันต์ทุกองค์ย่อมบรรลุ มรรคมีองค์แปด

    พระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่นฯ ได้ยืนยันเป็นคำสอนอ้างอิงได้

    พระอรหันต์ทุกประเภทบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติ
    "อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตวา อุปฺปสมฺปชฺช วิหรติ"
    พระบาลีนี้แสดงว่าพระอรหันต์ทั้งหลายไม่ว่าประเภทใดย่อมบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติ.. ที่ปราศจากอาสวะในปัจจุบัน หาได้แบ่งแยกไว้ว่า ประเภทนั้นบรรลุแต่เจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุติไม่ ที่เกจิอาจารย์แต่งอธิบายไว้ว่า เจโตวิมุตติเป็นของพระอรหันต์ผู้ได้สมาธิก่อน ส่วนปัญญาวิมุตติเป็นของพระอรหันต์สุกขวิปัสสกผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ นั้นย่อมขัดแย้งต่อมรรค มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ มีทั้งสัมมาทิฏฐิ ทั้งสัมมาสมาธิ ผู้จะบรรลุวิมุตติธรรมจำต้องบำเพ็ญมรรค ๘ บริบูรณ์ มิฉะนั้นก็บรรลุวิมุตติธรรมไม่ได้ ไตรสิกขาก็มีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา อันผู้จะได้อาสวักขยญาณจำต้องบำเพ็ญไตรสิกขาให้บริบูรณ์ทั้ง ๓ ส่วน ฉะนั้นจึงว่า พระอรหันต์ทุกประเภทต้องบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติด้วยประการฉะนี้แลฯ
    (มุตโตทัย ข้อ ๑๗.)


    ในมรรคมีองค์ 8 ข้อสัมมาสมาธินั้น หมายถึงฌาน 4 นั่นคือฌานที่สาวกควรปฏิบัติให้ได้

    ผู้ที่ได้ฌานใดฌานหนึ่งในรูปฌาน (ฌาน 1 ถึง 4 ) แล้วใช้จิตที่เป็นสมาธิด้วยฌานวิปัสนาต่อ (จะพิจารณาในฌาน หรือถอยออกมาก่อนก็ได้ เพราะในสัญญาสมาบัติสามารถทำได้) หากบรรลุอรหันต์ เรียก พระปัญญาวิมุต

    ผู้ที่เจริญสมถะจนได้ฌาน 8 เรียกพระเจโตวิมุต แต่สามารถกลับกลายได้ เมื่อเจริญวิปัสสนาด้วยจนบรรลุอรหันต์ เจโตวิมุตติจึงจะไม่กลับกลาย เรียกพระอุภโตภาควิมุต หลุดพ้นสองส่วน คือหลุดพ้นด้วยทั้งสมถะ และวิปัสสนา และหากปรารถนาอภิญญา ก็อาจทำได้
    อันที่จริง พระเจโตวิมุต และ พระอุภโตภาควิมุต คืออย่างเดียวกัน เพียงแต่เรียกชื่อเจโตเพื่อเน้นที่ฌาน แต่ต้องมีคำว่า "อันไม่มีอาสวะ" หรือ "อันไม่กำเริบ" เป็นต้น กำกับเจโตวิมุตติด้วยเสมอ
    (พระพรหม คุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต )เขียนอธิบายไว้ในหนังสือ พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความไว้อย่างชัดเจนค่ะ ท่านว่าชาวพุทธเรายังเข้าใจเกี่ยวกับคำนี้คลาดเคลื่อนเป็นอย่างมาก)



    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุสวัสดี
     
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ยินดีต้อนรับค่ะ ส่งการบ้านเลยค่ะ บอกเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมมาด้วย จะเรียนทางไหนดีล่ะ บนกระทู้หรือทางอีเมล บนกระทู้จะได้ครูไม่แน่นอน นาน ๆ ท่านจะผ่านมาตอบให้สักที ส่วนทางเมลจะได้ครูประจำ สำหรับพี่เพ็ญสอนประจำทางอีเมล ไม่ค่อยมีเวลามาเดินบนแคทวอร์ค เอ้ย ไม่ใช่ ไม่ค่อยมีเวลามาสอนบนกระทู้ค่ะ นอกจากมาแจมเป็นพัก ๆ
     
  3. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พี่เพ็ญขอแสดงข้อความกล่าวอนุโมทนากับทุกท่านแทนการกดปุ่มนะคะ เพราะพอกดแล้วหน้ามันชอบเด้งขึ้นไปข้างบนทำให้เสียเวลาโหลดนานเลยค่ะ แฮ่ คอมขึ้นอืด ^^

    อนุโมทนา สาธุกับจิตบุญทุกท่าน จิตบำเพ็ญทุกท่าน จิตเกาะพระทุกท่าน ตลอดจนจิตเกาะกระทู้ทุกท่านค่ะ ขอให้ทุกท่านเจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    ขอฝากอีกนิดหนึ่ง ท่านทั้งหลายที่ติดเน็ตอย่าชะล่าใจกันนะ ถ้าวันหนึ่งมีเหตุให้ใช้เน็ตกับเครื่องมือสื่อสารไม่ได้ ท่านจะดูแลจิตตัวเองได้หรือเปล่า และท่านคิดกันหรือยังว่าจะเอาจิตไปฝากไว้ที่ใครดีล่ะ?

    พี่เพ็ญมองปราดไปตามหัวข้อกระทู้ในห้องเตือนภัย บางทีก็เข้าไปอ่านข้อความของเขา หลายคนบอกตายแค่ตาย แล้วโลกหลังความตายล่ะท่านรู้หรือยังว่าจิตตัวเองจะไปไหน ผู้ปฏิบัติบางท่านฝึกมรณานุสสติ ฝึกอานาปานุสสติ ท่องพุท-โธเป็นอารมณ์ ไม่อยากจะคุยว่าพี่เพ็ญนี้ก็เคยผ่านมาหมดแล้ว แต่พอเวลาจะตายขึ้นมาจริง ๆ ขอบอกว่าร่างกายนี้มันเจ็บปวดทรมานมากจนสามารถดึงสติของท่านไปอยู่กับเวทนาได้ชะงัดนักแล

    ส่วนใครที่ฝึกถอดจิตถอดกายทิพย์ ท่านถอดได้ก็จริงแต่ถามว่าแล้วหลังจากถอดจิตถอดกายทิพย์ออกไปแล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน ในนรก บนสวรรค์ หรือแม้แต่พรหม ถ้าท่านยังไม่หมดอายุขัยเขาไม่ให้ท่านอยู่หรอกนะ แค่นี้พอจะมองเห็นกันหรือยังว่าจิตของท่านจะไปที่ไหนถ้าไม่ใช่ "ผีพเนจร+อดอยากหิวโหย" ภาษาธรรมท่านว่าไรนะ อ้อ สัมภเวสีใช่ไหม นั่นแหละ เป็นอย่างนั้นแหละ

    ส่วนใครที่ทำบุญมาเยอะ ๆ และหวังว่าถ้าตายไปแล้วบุญจะหนุนส่งให้ท่านไปเสวยสุขบนสวรรค์ ถามว่าจิตก่อนตายท่านเกาะกุศลหรือเกาะอกุศล ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากจิตที่กำลังจะละออกจากร่างกาย เพียงชั่วแวบเดียวที่สติท่านเผลอปล่อยให้จิตไปเกาะอกุศลขอบอกให้รู้กันตรงนี้เลยว่าจิตท่านไม่ได้ไปที่ชอบ ๆ แน่นอน

    แต่ถ้าก่อนตายใครทำจิตเกาะพระพุทธเจ้า เกาะพุท-โธ เกาะพระธรรม เกาะพระสงฆ์ อย่างนี้จิตท่านหลังความตายได้ไปดีแน่นอน ก็ขอฝากไว้ให้พิจารณากันนะ อะไร ๆ ในโลกนี้ก็ล้วนไม่เที่ยง มีแต่สมมุติว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ออกกฎระเบียบมาบังคับใช้กันมากมาย แต่ทำไมกฎระเบียบทำให้คนพ้นทุกข์ไม่ได้เสียที มันน่าคิดไหม?
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิพพาน​

    นิพพาน แปลว่า เย็น
    (คำว่า เย็น มิใช่หมายถึงตู้เย็น ของทานเย็นๆ ใจด้านหัวใจเย็นชา ผ้าเย็น ตอนเย็นๆ)

    เมื่อจิตเรามี 3 ส. ได้แก่ สะอาด(ใส) สว่าง(ไสว) และสงบ(สงัด)
    คือจิตเราจะกลับสู่ความเย็น(นิพพาน) เมื่อสังขารดับสิ้นสูญลงไป
    ขอให้จิตเราผ่องใสละขันธ์นี้ทันที มุ่งกลับสู่นิพพาน
    ตั้งอธิฐาน หรือคอยหมั่นทรงอารมณ์พระนิพพานให้แม่นยำ ฝึกกันไว้ ก่อนนอนทุกคืน
    แต่ต้องเน้นการปฎิบัติด้วยนะ มิใช่เอาแต่ขอๆ อ้อนวอนๆ
    จิตเราจะได้ชิน
    พวกที่จิตเดินทางมาครึ่งทางแล้ว ไปติดสุขจากฌานระวังกันให้ดี
    คือเหลืออีกนิดเดียวก็จะถึงนิพพาน ตายไปมีหวังไปเกิดพรหมลูกฟัก
    *เวลาไปพูดกับฝรั่งต้องว่า เบบี้พัมคิน(baby pumpkin) อย่าไปเที่ยวพูดคำว่าฟักให้ได้ยิน
    เขานึกว่าด่าเขา ฮ่าๆ

    เราพูแต่นิพพาน คนอื่นจะหมั่นไส้เราหรือเปล่าเนี๊ย!
    เพราะบางท่านหวังไปเกิดแค่เทวดาก็หรูแล้ว นี่ผู้เขียนบอกว่า พรหมก็ยังไม่ปรารถนา
    ถูกต้องแล้วครับ
    เพราะจะไปถึงนิพพานจริงๆหรือเปล่าไม่รู้
    แต่ที่แน่ๆ ผู้ปฎิบัติเท่านั้น ที่จะรู้ได้ ปัจจัตตัง
    แต่ก้ไม่มีคนมาบอกและยืนยันว่าว่า ตนเองอรหันต์กันหรอก
    เพราะของจริงเขามักไม่ชอบคุย
    แต่เหตุที่คุยหรือว่าบอก ก็เพราะว่าหน้าที่ ที่ต้องมาพูดย้ำกันบ่อยครั้ง
    เพื่อความสำนึก สำเหนียก พูดให้จิตที่กำลังตกอยู่กับอบายภูมิให้รีบกันออกมาไวๆ
    ใครรู้ตัวรีบตามหาศีลตนเองก่อน และสร้างสติ หมั่นทำภาวนากันบ่อย
    ที่นี่สอนฝึกให้ทำจิตเกาะพระ
    ใครทำ ใครลอง บางคนก็ได้ผล บางคนไม่ได้ผล จะให้ได้ผลเต็มร้อยนั้น อย่าไปหวัง
    ผู้เขียนก็มิได้หวังสิ่งใด แต่ก็พยายามให้พวกเราทำกันได้เยอะๆ
    เพราะพวกเราลองสังเกตผู้ที่เขาปฎิบัติกันได้สิ พวกเขามีคำตอบให้กับคุณทุกคน
    จิตยก หรือจิตบุญ พวกเราพยายามหลีกเลี่ยง คำว่า จิตอรหันต์
    มันไม่ได้ อย่าไปเที่ยวพูดกัน เพราะมีหลายท่านชอบมาถามผู้เขียน
    ว่าท่านคือ จิตอรหันต์
    ผู้เขียนสามารถพูดได้ทุกอย่างนะ แต่ก็พูดกับบางกลุ่มไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดเฉพาะกลุ่มภายใน
    ผู้เขียนไม่อยากให้พวกเราดูแต่เปลือก ขอให้เอาแก่นข้างในจิต ในธรรมของตนเท่านั้น
    เพราะฉะนั้นแล้ว พูดไปก็สองพายเบี้ย เหนื่อยอธิบาย
    เพราะถึงพยายามอธิบายให้ตายกับไม่มีประโยชน์ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
    จึงขอให้พวกเราหันมาปฎิบัติกันให้มาก โดยการสนใจเรื่องจิตตนเอง(เท่านั้น)ให้มากๆ
    ดูจิตตนเองนานๆ ดูให้ลึกซึ้ง เพราะข้างในจิตตนเองนั้น คือของจริง
    ภายนอกจิต ก็คือ ของมายา ของปลอม ของหลอกลวง
    ลองดูกันนะว่าผู้เขียนนั้น พูดจริงหรือไม่จริง
    อย่าเพิ่งเชื่อ หรือไม่เชื่อ ให้พวกเราพากกันปฎิบัตินำความสงสัยกันเอง

    ***นิพพานไม่ต้องไปตามหาจากที่ไหน ที่แท้มันก็อยู่ที่ในจิตในใจของทุกๆคนนั่นแหล่ะ!
    หรือความสุขต่ำลงมาหน่อย ก็คือ ความสุขแท้ ก็อยู่ภายในกาย ภายในจิตตนเอง
    แล้วเราไปมัวหลงไปตามหาความสุขภายนอกกันทำไม หรือเอาความสุขไปฝากกับบุคคลที่เรารักกันทำไม
    เมื่อไหร่คนรักทำไม่ได้ดั่งใจ ก็เหมือนเสียงกบ คางคก หรือเขียดร้องระงม
    แต่จะมีสักกี่คนจะตามหากันพบ โดยขอให้เราเริ่มต้นมีสติก่อน เมื่อมีสติมาก
    อีกไม่นานเราก็จะพบดวงจิตเดิมแท้
    จิตเดิมแท้ก็คือ จิตประภัสสร
    เหตุจิตของเราทุกวันนี้ มันขุ่นมัว มัวหมอง เพราะกิเลสมันจรมาบดบังกันเฉยๆ แต่ถ้าพวกเรารู้วิธีล้างออก
    หรือชำระล้างจิตโดยจิตตภาวนา(ดูจิต)
    เหมือนคุณจะทำความสะอาดอะไรหล่ะ คุณก็เอาสิ่งนั้นมาทำความสะอาดกันสิ
    ในเมื่อคุณอยากให้จิตปราศจากกิเลสกัน คุณก็นำจิตไปชำระล้าง หรือนำจิตผ่านเจริญสติภาวนา(กรรมฐาน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2012
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิพพาน ๓ อย่าง​

    ***อ่านเพื่อประดับความรู้ คัดมาจากคนในอีกที เพื่อธรรมาทาน
    สำหรับผู้สนใจ

    นิพพานนั้นองค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนได้ว่า มีอยู่ ๓ อย่าง คือ

    ๑. นิพพานชั่วขณะเรียกว่า “ตะทังคะนิพพาน” หมายความว่าจิตเข้าสู่ความพ้นจากกิเลส คือความหลุดพ้นชั่วขณะ ในขณะที่จิตเข้าสู่ความหลุดพันอย่างนั้นก็เป็นเหตุให้ความสุขอย่างสุดยอดทีเดียวแต่เมื่อเหตุยังมี ทิษฐิคือความคิด ความเห็นยังอยู่ ย่อมนำจิตเข้ามาสู่ในโลกีย์วิสัยอีกได้ นิพพานอย่างนี้ท่านเปรียบเสมือนหนึ่งลิงที่อยู่นิ่งได้ชั่วขณะเดียว แต่ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ได้เสียเลยนิพพานชนิดนี่ท่านเรียกว่า “ตะทังคะนิพพาน” คือนิพพานชั่วขณะ

    ส่วนอีกสองประการนั้น เป็น นิพพานอยู่ชั่วกาลนาน เรียกว่า “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” เป็นการที่นำดวงจิตเข้าสู่นิพพานอย่างถาวร ไม่กลับออกมาอีกแล้ว เพราะว่าตัดเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือคงอยู่แต่ร่างกายเท่านั้น ยังกิน ยังเดิน ยังพูด ยังนอนอยู่

    ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้นเรียกว่า “อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นิพพานชนิดนี้ไปหมดทีเดียว ร่างการก็ไปแล้ว ดวงจิตก็หลุดพันจากกิเลสอาสวะทั้งปวงเข้าสู่นิพพาน เรียกกันว่าดับสนิททีเดียว ไม่มีเชื้อให้ลุกติดอีกได้ เหมือนเมล็ดพืชที่ปราศจากยางาเพราะถูกคั่วเสียแล้ว แต่ไม่ใช่หมายความว่าเมล็ดพืชนั้นจะสูญหายไปจากโลก


    ถาม ขอถามปัญหาเกี่ยวกับคำว่า “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” กับ “อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นั้นหมายถึงว่าดับกิเลสมีเบ็ญจขันธ์เหลือหรือดับเฉพาะบางส่วน มีบางท่านได้ยืนยันว่า “สะอุปาทิเสสะนิพพาน”คือว่าดับกิเลสที่มีเบ็ญจขันธ์อยู่

    ตอบ “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” คือการดับกิเลสที่มีเบ็ญจขันธ์อยู่ เพราะเหตุว่า อุปาทานยังครองสังขารนั้น

    ถาม หมายถงพระโสดา สกิทาคา อนาคาใช่ไหม สวน”อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นั้นหมายถึงพระอรหันต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวง ปัจเจกพุทธทั้งหลายเช่นนี่ ขอทราบความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ครับ

    ตอบ ใครเป็นคนอุตตริที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจเช่นนี้เออ เรื่องนี้จะต้องพูดกันยืดยาว เอาละ ให้ตั้งใจฟังกันทุกคน

    เรื่องนี้ครั้งหนึ่งเคยได้พูดกันมาแล้ว่า นิพพานในพุทธศาสนา หรือขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ เรียกว่า นิพพานสามขั้น

    ขั้นที่ ๑ เรียกว่านิพพานชั่วคราว หรือ “ตะทังคะนิพพาน” คือเมื่อเข้าสู่นิพพานแล้ว ทิษฐิก็นำจิตนั้นออกจากแดนนิพพาน การเข้านิพพานในขั้นนี้ เมื่อผู้ที่ทำจิตถึงซึ่งการที่จะเข้าสู่นิพพานแล้วย่อมเข้าได้ทุกคน แต่ไม่เป็นการถาวร “สะอุปาทิเสสะนิพพาน” นั้น หมายถึงนิพพานที่ยังมีร่างกายอยู่ เพราะเหตุว่าสังขารยังมีอุปาทานครอง แต่เป็นนิพพานที่ไม่กลับออกมาอีกแล้ว เป็นอรหันต์ตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตได้แก่พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่นั้น ตั้งแต่สมัยพุทธันดรมาจนกระทั่งสมัยนี้

    ส่วน “อะนุปาทิเสสะนิพพาน” นั้น หมายความว่าร่าง หรือดวงจิตที่อยู่ในร่างที่เข้าสู่นิพพานแล้วนั้น ได้แตกดับขันธ์ไป ทำให้การนำจิตเข้าสู่นิพพานเป็นการถาวรไม่กลับออกมาอีก ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกปริเทวทุกข์ทั้งปวง

    ไม่ใช่แบ่งชั้นวรรณะว่า ถ้าเป็นสะอุปาทิเสสะนิพพานแล้ว จะได้ตั้งแต่ชั้นโสดาบันไปจนถึงอนาคา ส่วนอะนุปาทิเสสะนิพพาน คือ นิพพานของสังขารที่ปราศจากอุปาทานครองนั้น จะเป็นนิพพานเฉพาะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทังหลาย ๒๘ พระองค์ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาวยดุจจะเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรก็ดี ประดุจพระอรหันต์ทั้งปวงที่เข้าสู่นิพพานแล้วเท่านั้นหามิใช่เป็นการแบ่งชั้นวรรณะว่านิพพานอย่างนั้นเฉพาะคนชั้นนั้น นิพพานอย่างนี้เฉพาะคนชั้นนี้ ฉันใดก็ตามเมื่อทำจิตให้เข้าถึงซึ่งแดนพระนิพพาน คือแดนแห่งความสงบแล้วย่อมจะเป็นได้ทั้งสิ้นเสมอเหือนกันหมด หากแต่ว่ายังมีสังขารที่มีอุปาทานครองอยู่ หรือเป็นสังขารที่ปราศจขากอุปาทานครองแล้วเท่านั้น


    ถาม ภาวะนิพพานนี้จะประสพได้เมื่อยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วจึงจะได้ประสพ

    ตอบ ไม่น่าจะเป็นปัญหาเลย เมื่อเข้าใจถึงนิพพาน ๓ ประการที่พูดให้ฟังแล้ว ย่อมจะพิจารณาเห็นว่าภาวะนิพพานนั้น จะประสพเมื่อมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อหาชีวิตไม่แล้วได้ทั้งสิ้น เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ได้”สะอุปาทิเสสะนิพพาน” เมื่อดับชีวิตไปแล้วก้พึ่งอะนุปาทิเสสะนิพพานและ ตะทังคะนิพพานนั้น ย่อมได้แก่บุคคลทั่วที่มีชีวิตอยู่ หรือผู้ที่ไม่มีชีวิตแล้ว แต่เมื่อทำจิตให้เข้าถึงซึ่งแดนนิพพานนั้นชั่วขณะและเมื่ออยู่ในแดนนิพพานชั่วขณะแล้ว ทิษฐิอันประกอบไปด้วย กามสุขัลลิกานุโยคก็ดี ตัณหา อุปาทานทั้งปวงก็ดี เป็นผู้นำจิตนั้นออกจากแดนนิพพาน

    ถาม “ภาวะนิพพาน” กับ “จิตที่บรรลุนิพพานนั้น” มีความแตกต่างหรือเกี่ยวข้องกันอย่างไร

    ตอบ ต่างกัน จะพูดให้ฟัง “ภาวะนิพพาน” หมายถึง ความเป็นอยู่แห่งแดนนิพพาน หรือเราจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ในเมื่อเข้าไปสู่ในที่นั้น เมื่อนำจิตเข้าไปสู่ภาวะนิพพานได้แล้ว จิตนั้นก็เป็นจิตที่เข้าสู่นิพพาน ภาวะนิพพานก็คือภพแห่งนิพพานนั้นเอง “ส่วนจิตนิพพานนั้น”เป็นจิตที่อยู่ในรูป หรือจิตที่ปราศจากรูป หากบำเพ็ญจนกระทั่งจิตนั้นเข้าสู่ภาวะนิพพาน หรือภพแห่งนิพพาน หรือวความเป็นอยู่แห่งนิพพานแล้ว ก็ได้ความเป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ ดังจะยกตัวอย่างให้เข้าใจ

    ภาวะนิพพาน หรือ ภพนิพพานนั้นอยู่ที่ใด ไม่มีผู้ใดที่จะชี้แจงแถลงไข หรือว่าจะวาดรูปให้เห็นได้ แต่มีข้อที่จะพึงอุปมาได้ว่า ประดุจนั่งอยู่ในห้องนี้เป็นแดนแห่งสามัญธรรมดาทั่วไป ครั้นออกจากประตูท้องนี้ไปสู่ห้องอื่น ก็เข้าสู่แดนนิพพานนั้น เพียงชั่วมีอะไรอย่างใดอย่งหนึ่งมากั้นกลางไว้ อาจจะมองเห็นภาวะนิพพานได้ แต่ไม่สามารถจะนำจิตเข้าส่ภาวะนิพพานนัน้ แต่เมื่อใดสามารถนำจิตเข้าสู่ภาวะนิพพานนั้นได้แล้ว จะรู้แจ้งแก่ตนเอง เป็นปัจจัตตง ผู้อื่นจะรู้ได้กับตัวเรายากที่สุด และตัวเราก็ไม่อาจจะชี้แจงแถลงให้ผู้ใดทราบ เรื่องนี้จะต้องไปพิจาณาด้วยจิตของตัวเองแล้วจะเข้าใจอย่างซาบซึ่ง ไม่สามารถจะอธิบายให้เห็นแจ่มชัดได้หรือนัยหนึ่งเปรียบประดุจมีฉากใสๆ ที่ทำด้วยเส้นใยแมลงมุมซึ่งสามารถจะมองทะลุฉากนั้นไปได้ แต่ว่าไม่สามารถจะเข้าไปยังหลังฉากนั้นได้ ถ้าหากเมื่อใดผ่านฉากนั้นไปได้แล้วจะรู้สึกว่าจิตของตัวเราในภาวะนิพพานนั้นเป็นจิตอีกรูปหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับจิตเดิมอย่างยิ่งทีเดียว

    ถาม เมื่อจิตบรรลุนิพพานแล้วยามที่มีชีวิตอยู่ สุขอย่างไรก็พอจะอนุมานได้ ทีนี้เมื่อเป็น อะนุปาทิเสสะนิพพาน คือ เบ็ญจขันธ์ทำลายลงไปแล้ว จิตนั้นยังมีอยู่หรือเปล่าว จิตที่เหนี่ยวนิพพานเป็นอารมณ์นั้นมีอยู่หรือเปล่า

    ตอบ มีอยู่ตลอดไปไม่มีวันเสื่อมคลาย เพราะจิตหรือวิญญาณนั้นเป็น “อมตะ”

    ถาม และเมื่อจิตอยู่อย่างนั้น ทำไมจิตจึงไม่ทำหน้าที่เกิดอีก

    ตอบ เพราะว่าจิตหลุดพันจากกิเลสทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดมาข้องเกี่ยวอีกต่อไป สิ้นกังวลแล้ว สิ้นวามอยากสิ้นตัณหาอุปทานแล้วเห็นแจ้งแล้วในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็นจึงไม่ต้องการจะกลับมาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

    ถาม แล้วจิตที่บรรลุนิพพนานหลังจากจากดับเบ็ญจขันธ์แล้วนั้นมันอยู่อย่างไร เพราะไม่มีร่างที่จะอาศัยอยู่

    ตอบ ไม่จำเป็นจะต้องมีร่าง ถ้ามีร่างอีกเมื่อใด ก็หมายความว่ากลับมาเกิดใหม่ ซึ่งผิดไปจากหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงกล่าวไว้ว่า “นิพพานนังปรมัง สุญญัง” หมายความว่าในนิพพานนั้น สูญการเกิด สูญกิเลส ยังอยู่แต่วิญญาณที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส เป็นวิญญาณบริสุทธิ์แท้ หรือจิตเดิมแท้ซึ้งไม่มีสิ่งใดมาเคลือบคลุม เป็นจิตที่สว่างแล้ว ไม่มีกิเลสมาหุ้มห่อ ไม่มีอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น เป็นจิตที่ไม่ต้องมีชาติ ชรา มรณะ ทุกข์โศกปริเทวอุปายาสใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อจิตซึ่งปราศจากกิเลสอาสวะทั้งมวลเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสประดุจดวงไฟที่รุ่งโรจน์ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาหาความดับของความรุ่งโรจน์นั้นอีก

    ถาม ถ้าเช่นนั้นหากมีความต้องการที่จะติดต่อกับจิตของพระพุทธเจ้า จะติดต่อได้ไหม

    ตอบ ติดต่อได้แน่นอนที่สุด ก็การที่เข้าไปในพระอุโบสถแล้วทำสังฆกรรมทั้งหลาย มีการทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ มีการสวดเจริญพระพุทธมนต์ มีการภาวนาทั้งหลายเหล่านี้ ทำอะไร

    ถาม น้อมจิตนึกถึงพระพุทธเจ้าครับ

    ตอบ นั้นแหละเป็นคำตอบที่ตรงอยู่แล้ว สมเด็จพระบรมศาสดา และบรรดาพระอริยะทั้งหลายก็ย่อมทราบการกระทำนี้ แม้แต่ว่าในขณะนั้นจะได้กระทำไปโดยไม่มีความตั้งใจหรือตั้งใจท่านย่อมทราบหมดสิ้น

    ถาม ก็เมื่อจิตอรหันต์หลังจากนิพพานแล้วอย่างพระพุทธเจ้าเป็นจิตซึ่งไม่มีรูป ไม่มีอายตนะเป็นเครื่องสืบต่อไป จิตนั้นจะมีอานุภาพบันดาลให้ผู้นั้นติดต่อกับพระองค์ได้อย่างไร

    ตอบ อาจจะลืมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบางตอนแล้วก้ได้กระมังจึงได้ถามอย่างนี้ พระองค์ได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ว่า อันจิตของผู้ใดเป็นจิตที่สงบแล้ว จิตนั้นย่อมสามารถทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้ จิตของผู้ใดมีสมาธิแล้ว จิตของผู้นั้นย่อมมีพลัง จิตของผู้ใดมีพลังแล้วย่อมสามารถกระทำการใด ๆ ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปจากการกระทำของคนสามัญธรรมดาทั้งหลายได้

    จากหนังสือ : คำสั่งสอนอบรมณ์ของสมเด็จท่านพระพุฒาจารย์ (โต พหรมรังสี)
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ยินดีต้อนฮับ!
    หมู่เฮาชาวจิตเกาะพระ เกาะพระนิพพาน
    เดินตรงมาเลยน้อง ทางนี้ๆ รับน้ำเย็นๆจากลูกหว้าไปแล้ว ชื่นใจไหม๊หล่ะ
    แหม๊! นี่คุณเป็นdown line ของคุณเกษอีกแล้วหรอนี่
    สงสัยคุณเกษนี่ ท่านคงจะเป็นเจ้าของกิจการ amway/myway แน่ๆเลย
    เอ่อคุณเกษ คุณรับไปเต็มๆ อีกแร๊ะ
    นอกจากเธอปฎิบัติเองก็ยังได้มากอยู่แล้ว นี่เธอช่วยเป็นธรรมาทาน หรือช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับท่านพ่ออีก
    ลูกหว้าเอ๊ย! เธอมีคู่แข่งซะแร๊วววว
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089


    นี่ก็น่ารักจัง!
    ลูกสาวใครหน๋อ ลูกศิษย์ใครหน๋อ จิตเธอนั้นขาวใสสะอาดดีเจงๆ
    ขอใจมั๊กๆเลย พรใดที่เธอให้มานั้น ขอจงได้กลับคืนไปหาเธอแสนเท่า ล้านเท่านนะครับ
    อีกไม่นานนะ เธอใกล้จะหมดภาระหน้าที่กับทางโลกแล้ว ดูเขาไป ในเมื่อมีเขาแล้ว นึกเสียว่าเป็นกรรมของตนเอง
    ดูแลขันธ์ตนเองให้ดี และดูลูกๆให้ดี ตายไปคืนโลกนี้ให้หมด
    เหมือนเราไปนอนค้างโรงแรมคืนเดียว เดี๋ยวต้องเช็คเอาท์ไปแล้ว
    และสิ่งที่เธอมี นอกจากตัวเธอแล้ว ก็แค่ชาติหนึ่งๆเท่านั้น
    นึกเสียว่า บันไดจิต ที่จิตจะต้องเดินข้ามภพ ข้ามชาติกันไปครั้งหนึ่ง บันไดจิตขั้นหนึ่ง เท่านั้น
    สบายใจ ฝึกแยกกาย แยกจิตให้แม่นนะ มีใครบอกเธอหรือยัง
    จิตฝากข้างบนไว้ คงมีกายที่มีสติ รู้สึกตัวก็พอแล้ว ทำไป ทำแต่บุญ กุศลเท่านั้น
    เธอบุญเยอะแล้ว จิตเธอรอดแล้ว ก็อย่าลืมทำหน้าที่พุทธบุตรที่ดีของท่านพ่อด้วย
    คือจงโปรด จงให้ธรรมะกับคนรอบกาย และขยายออกไปเหมือนปีกนกที่กำลังจะโผลบิน บินให้สวย บินให้สง่างาม
    บินตามท่านพ่อไปนะลูก ท่านพ่อฝึกลูกๆบินให้พ้นกองวัฎฎสงสารกันไปหมดแล้ว พวกเราไม่ต้องไปลองผิด ลองถูกกันอีกแล้ว
    อริยสัจ4 มรรคมีองค์๘ และทุกธรรมตบท้ายลงไปที่พระไตรลักษณ์ให้หมดนะ ลูกหลายเอ๊ย
    จิตรู้อะไรแล้ว ก็วางเสีย ดั่งคุณครูเพ็ญกล่าวไว้ไม่มีผิด คือ รู้วาง รู้ๆวางๆๆ
    คำๆนี้ท่านจงโปรดสังเกตกันให้ดีๆ สั้นความแต่แฝงด้วยธรรมลึกซึ้ง
    ผมมองแบบนี้นะ รู้นี่คือ ตัวปัญญา เพราะถ้าไม่รู้แบบปัญญา จิตก็วางไม่ลง และวางนี่ก็คือ ไตรลักษณ์นั่นเอง
    ผมเห็นเป็นแบบนี้นะ มิใช่เรารู้คำแค่ รู้ วางกันเฉยๆนะ มองให้ได้หลายมิติ
    หรือผมจะคิดแก้ไขปัญหาใดๆ ก็ต้องแก้ไปขปัญหาให้หมดเด็ดขาดทีเดียว คือมองปัญหาแบบลูกเต๋า นั่นแหล่ะ ไม่ว่าเราจะโยนลูกเต๋าแบบไหน ก็คงไม่หนีจาก 1-6 ไปได้ ใช่ไหม๊?
    ปัญหาก็เหมือนกัน เราก็อย่าแก้กันแค่ปลายเหตุ แก้ที่ถูกต้องก็คือ จะต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ
    เหมือนทุกข์คนเรานี้ก็เหมือนกัน คือทุกข์เกิดที่ไหน ตอบเกิดที่ใจ ใจใคร คนนั้นก็ต้องแก้ทุกข์เอง
    จะแก้อย่างไร เมื่อทุกข์เกิดที่ใจ(ที่จิต) ก็ต้องทำให้จิตนิ่งสงบก่อน เราจึงจะไม่มีทุกข์ แต่ก่อนจะทำให้จิตนิ่งนี่มันแสนยากเย็น เข็ญใจจริงๆ
    นั่นก็คือ ให้พวกเราพยายาม/หมั่นสร้างสติ/มีสติเนืองๆ บ่อย อยู่แบบนี้กันทุกวัน เดี๋ยวจิตของเราก็จะนิ่งเข้าสักวันจนได้ ความเพียรนะ ความเพียรเท่านั้น จึงจะเอาสติกับจิตอยู่ในอาณัติของตนเอง
    พูดไปพูดมายาวจนได้...พอแร๊ะ

    ขอให้คุณจารุณี ผู้อ่านทุกท่าน จงมีความสุขกาย สบายใจ และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกๆท่านกันด้วยเทอญ
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สวัสดีค่ะ คุณปักธงชัย หายไปนานเลยนะค่ะ ที่แท้ก็ไปแอบซุ่มอ่านกระทู้อยู่นี้เอง โผล่มาอีกทีเข้ากระทู้เลยนิ อิๆ ดีค่ะ ยินดีต้อนรับนะค่ะ ส่งการบ้านครูเพ็ญรึยังเอ่ย :cool::cool:
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สงสัยงานนี้ครูตามหาลูกศิลย์เจอเพิ่มแล้วอีกหนึ่งค่ะ 555 สาธุ๊
     
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สาธุค่ะ ครูวิทย์ กำลังว่าจะตอบเมล์ครูวิทย์ แต่พออ่านเมล์เสร็จ ก็เงยมองดูรูปท่านพ่อ มองดูท่านเพลินๆ ใจมันนิ่งสงบสบายดี ก็เลยปล่อยเค้าดูท่านพ่อไป สักพักหลับตาลง สักพักเป็นงีบไปซะงั้นค่ะ 555 งีบไปสัก 5-10 นาทีนี้แหล่ะค่ะ ตื่นมาเลยได้มาตอบเมล์นี้แหล่ะค่ะ ข๊ำ ขำ ค่ะ

    งานนี้สู้แค่ตายค่ะ ครูวิทย์ ถึงแม้ว่า ภาพท่านพ่อจะยังไม่ชัดก็ตาม สู้ๆ:boo:
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สาธุ๊ค่ะพี่ภู เกษขอน้อมรับบุญนั้นค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

    แต่แหม๊..พี่ภูอย่ามาแซวกันเองดิ เดี๋ยว down line เกษเค้าไก่ตื่นก่อนหรอก555 ก็หนูกลัวเหงาอ่ะ เดินกลับบ้านคนเดียวได้ไงล่ะ ต้องชวนเพื่อนไปกันเยอะๆ ซิ 555 ฮิ๊วววว....:cool::boo::cool:
     
  12. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    สวัสดีค่ะ คุณแสงจันทร
    สบายจิตกันดีนะคะ อย่าหายไปนานเกินนา
    มีคนรออ่านธรรมะข้างตัวของคุณแสงจันทร ซำเหมอจ๊ะ
    โมทนาสาธุการ
     
  13. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917

    สาธุคะ พี่ภู
    กราบขอบพระคุณในเมตตาที่แนะนำสั่งสอนคะ
    จะระลึกไว้ในจิตและน้อมนำมาปฎิบัติคะ
    ส่วนเรื่องฝึกแยกกาย แยกจิตขอคำชี้ำแนะจาก พี่ภู
    และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยคะ ตอนนี้ก็กำลังพยายามอยู่คะ
    ส่วนใหญ่ก็ฟัง ซีดีหลวงพ่อปราโมท ปราโมชโช
    และศึกษาจากคำสอนของพระอริยะสงฆ์และครูบาอาจารย์
    เพื่อให้จิตนี้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นในพระนิพพานคะ

     
  14. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ยินดีต้อนรับdownlineคุณเกษด้วยคนครับ
     
  15. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุการกับน้องเมิลด้วยจ๊ะ
    สู้สู้ ต่อไป แผ่เมตตาเยอะๆด้วยนะจ๊ะ
    พี่ดัชขอเป็นกำลังใจจ๊ะ
     
  16. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุการกับคุณพี่ด้วยนะคะ
    ถูกต้องแล้วสิหนอ
    อะไร อะไร ก็ไม่เที่ยงซ๊ากกะอย่าง
    การที่เราได้ธรรมะอะไรมาแล้วกลับเอาเข้ามาปรับใช้กับตัวเรานั้น
    ถือว่าเป็นบุคคลที่มีปัญญาค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
     
  17. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เข้ามากล่าวคำ ยินดีต้อนรับ คุณปักธงชัย ด้วยอีกคนค่ะ
    มาด้วยแรงบุญจริงๆ มุ่งมั่นตั้งใจ ศรัทธาในพระรัตนตรัย
    และศรัทธาในจิตตนเอง อ้อ อย่าลืม ศีล5 หรือ8 ให้เต็มด้วยค่ะ
    โมทนาสาธุการกับคุณปักธงชัยและคุณเกษจ๊ะ
     
  18. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ใช่ พี่ดัชเห็นด้วย
    งั้นขอพี่ดัชกับพี่วิทย์ คนละแก้วด้วยดิ อิอิ
     
  19. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุการกับครูเพ็ญ
    จะบอกเหมือนกันว่า ดัชก็ไม่สามารถกดคำ โมทนา ได้ค่ะ
    ไม่เป็นไร อ่านจบ โมทนาไปด้วย สงสัยเค้ารู้ว่าเราโมทนา
    ตลอดอยู่แล้วเลย ไม่ให้กดเพื่อเป็นการเสียเวลา 555555
     
  20. ปักธงชัย

    ปักธงชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +3,721
    แค่แนะนำตัวเสร็จก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ ครูๆ ทั้งหลายมาให้กำลังใจเพียบ แบบอุ่นๆ เลยครับ Thank you น้องครูลูกหว้า สำหรับ น้ำเย็นๆ :cool:

    ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการอ่าน กำลังอ่านกระทู้เดิมๆ อยู่ แต่ตอนนี้จะหาภาพงาม ๆ ของพระพุทธองค์มา จับภาพให้ติดตาก่อน ครับ

    การเวรว่ายตายเกิดมันโครตลำบากเลย อยากให้ทุกดวงจิตหลุดพ้น ครับ
    ขอเริ่มจากป้จจุบัน ค่อย ๆ ไป ไม่รีบร้อน ครับ
    Thank you น้องเกษ ด้วยจ้า


     

แชร์หน้านี้

Loading...