จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับน้อง gibbgubb ผู้กล้า ท่านนี้ด้วยคนจ๊า
    เรื่องนี้ถึงรูหูแล้ว รู้สึกจะมีอีกหลายเรื่องเลยแหละ หุยยยยยยยย
     
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ของฝาก
    สำหรับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ
    อย่าลืมว่าทุกสิ่งอย่างในโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง ยกเว้นสิ่งเดียวคือความตาย
    ที่แน่นอน จ่อรอเราอยู่ มาหาเราได้ทุกเมื่อ ไม่มีข้อยกเว้นว่าเราจะเป็นใคร
    มาจากไหน ดีเลวปานใด รวยจนมากเท่าไหร่ คำเดียวสั้นๆ...ตาย.. หมด
    ฉะนั้นผู้ปฎิบัติจึงควรให้รู้ถึงความไม่เที่ยงทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา รอบหน้าหลัง
    ซ้ายขวา ของเรา ใช้สติมาพิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยงทั้งหลาย
    วันนี้จึงจะขอฝากเรื่องของการปฎิบัติ วันนี้เราอาจจะทำได้ดี พรุ่งนี้อาจ
    จะทำได้ไม่ดี หากจะให้ดีตลอดไปก็คงไม่ต้องมีครูมานั่งติวกันหรอก
    เรื่องแค่นี้หากนำมาพิจารณาให้เห็นชัดๆ จะเห็นถึงความไม่เที่ยงแม้แต่การ
    ปฎิบัติ บางท่านอาจเกิดอาการท้อ หรือกำลังใจตกว่า เกิดอะไรขึ้น
    ทำได้อยู่ดีๆ แต่วันนี้มีอะไรมากระทบเกิดเผลอไปซะแล้ว อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง
    บททดสอบของเราให้ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เราพลาดไปแล้วก็ต้องซ่อมแซมแก้ไข
    ขึ้นมาใหม่ให้ดีขึ้นไป เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ เป็นหนึ่งข้อธรรมะของความ
    ไม่เที่ยง เป็นอีกหนึ่งระดับที่จะต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้
    ฉะนั้นขอให้เรามาวางกำลังใจกันใหม่ว่า หากเรา เมื่อวานทำได้ดี อยู่ๆ
    วันนี้ทำไมเกิดความรู้สึกว่า ทำได้ไม่ค่อยดี นี่แหละความไม่เที่ยง อย่าไป
    ทำให้กำลังใจของตนตกไป ให้ใส่ความเพียรลงไปอีก ตั้งมั่นในสิ่งที่ทำอยู่
    ยังไงก็ขอฝากทุกท่านให้มีสติพิจารณาในสิ่งที่ฝากมาด้วยเถิด
    ขอเป็นกำลังใจกับทุกท่าน
    โมทนาสาธุการ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ดาวสองสีในดวงเดียวกัน
    จิตฝาแฝดจะยกพร้อมกัน หรือ เวลาใกล้เคียงกัน?
     
  4. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    นานๆครูดัชจะเขียนยาวๆ บางครั้งผมก็เข้าใจความว่าเฉยเมยกับวางเฉยนี้ผิดเหมือนกันนะครับ บางครั้งถามตัวเอง งงเองก็มี ขอคำแนะนำแบบกระจ่างแจ้งทีครับ
     
  5. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อุเบกขา

    อุเบกขา (ภาษาบาลี: อุเปกขา ภาษาสันสกฤต: อุเปกษา) แปลว่า ความวางเฉย ความวางใจเป็นกลาง

    อุเบกขา หมายถึง ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลางๆ โดยไม่เอนเอียงเข้าข้างเพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลงและเพราะกลัว เช่นไม่เสียใจเมื่อคนที่ตนรักถึงความวิบัติ หรือไม่ดีใจเมื่อศัตรูถึงความวิบัติ มิใช่วางเฉยแบบไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้เป็นต้น

    ลักษณะของผู้มีอุเบกขา คือเป็นคนหนักแน่นมีสติอยู่เสมอ ไม่ดีใจไม่เสียใจจนเกินเหตุ เป็นคนยุติธรรม ยึดหลักความเป็นผู้ใหญ่ รักษาความเป็นกลางไว้ได้มั่นคงไม่เอนเอียงเข้าข้าง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลถูกต้องคลองธรรม และเป็นผู้วางเฉยได้เมื่อไม่อาจประพฤติเมตตา กรุณา หรือมุทิตาได้

    อุเบกขา10ประเภท
    1. ฉฬงฺคุเปกขา อุเบกขาประกอบด้วย องค์ 6 คือ การวางเฉยในอายตนะทั้ง 6
    2. พฺรหฺมวิหารุเปกฺขา อุเบกขาในพรหมวิหาร
    3. โพชฺฌงฺคุเปกฺขา อุเบกขาในโพชฌงค์ คือ อุเบกขาซึ่งอิงวิราคะ อิงวิเวก
    4. วิริยุเปกฺขา อุเบกขาใน วิริยะ คือ ทางสายกลางในการทำความเพียร ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป
    5. สงฺขารุเปกขา อุเบกขาในสังขาร คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5
    6. เวทนูเปกฺขา อุเบกขาในเวทนา ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข
    7. วิปสฺสนูเปกขา อุเบกขาในวิปัสสนา อันเกิดจากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    8. ตตฺรมชูฌตฺตุเปกขา อุเบกขาในเจตสิก หรืออุเบกขา ที่ยังธรรมทั้งหลาย ที่เกิดพร้อมกันให้เป็นไปเสมอกัน
    9. ฌานุเปกฺขา อุเบกขาในฌาน
    10. ปาริสุทฺธุเปกฺขา อุเบกขาบริสุทธิ์จากข้าศึก คือมีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา

    ^ หนังสือ วิสุทธิมรรค 1 / 84 - 89 / 473 - 179
    พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    รบกวนช่วยขยายความ โพชฺฌงฺคุเปกฺขา
    อนุโมทนาค่ะ
     
  7. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สำหรับผู้กำลังเดินทางทุกท่าน

    ช่วงนี้จิตของข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงผู้ที่กำลังเดินทางอยู่ เพื่อให้พ้นจากวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดให้ได้

    แต่ .....

    เราพบว่า ยังมีหลายท่านที่

    1.ท้อ ....
    2.สงสัย ...
    3.เฉย ...
    4.ผู้วิเศษ ...
    5.ติดสุข ...
    6.เมื่อไหร่จะได้ ...

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เมื่อท่านเกาะพระได้ดี จิตละเอียดขึ้น เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเองชัดเจนขึ้น ...

    คำถามทั้งหลายจะผุดขึ้นมามากมาย พร้อมทั้งอารมณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ...

    ท่านต้องตั้งรับด้วย ... สติ

    จิตบุญ เคยบอกท่านหลายครั้งแล้วว่า ... อย่าอยาก ให้ทำๆๆๆๆๆๆ แล้วก้อ ทำๆๆๆๆๆ

    อยากสำเร็จ แต่ขาดความเพียร และก้อ ท้อ .... ขอให้ท่านกลับไปดูคำมั่นของท่านที่ท่านตั้งใจไว้แต่แรกว่าอยากกลับบ้าน ตกลงมันจริงไหม ถ้าอยากไปจริงๆๆ จงมีวามเพียรเป็นนิจ อย่าละความเพียร ทำไปเถอะ แล้ว วันนั้น มันจะเดินทางมาเอง

    อย่าไปเอาความคาดหวังมาก่อกิเลสในจิตนะ พอเกิดแล้ว มันจะอยาก มันจะเร่ง มันจะทำให้เราถามตนเองว่า เอ้ยยย มันช้านะ อย่าไปทำเลย มันจะได้รึ

    อย่า ... ไปหลงนะ กับดักทั้งนั้น มันคอยหลอกล่อเราให้เราหลงทาง ... ใช้สติให้เป็นประโยชน์ ... ท้อแล้วไม่ถึงธรรม

    ความสงสัยอีหนึ่งที่มันจะกิดขึ้น ... เราบอกเสมอ ให้ยึดแก่นไว้ อย่าไปหลงกับสิ่งต่างๆที่มันเกิดขณะปฎิบัตินะ มันไม่เที่ยง มันเป็นสีสรรเฉยๆ ไปจับไปยึดมันนะ ระวังไว้ จะติดนะ จิตมันจะหลงทางได้ ต้องวางหลักชัยในจิตตลอดว่า เรากำลังทำอะไร และจะไปจุดไหน อย่าวอกแวก ดู รู้ แล้ววางก้อพอ ...
    ครูให้ทำอะไร ก้อทำ มีอะไร อย่าไปแก้เอง หาทางคลายสงสัยเองนะ มันจะไปไกล แบบว่า Go So Big ... แก่นของเรา คือ รู้ แล้ว วาง

    เฉย ... อย่าไปเอากับเฉยนะ มันอาจจะดีนะ มันสบายดี ไม่มีอะไรดี มันอยู่แบบนี้ก้อดีแล้ว .. นี่แหละกับดักอีกตัว ให้ระวังไว้นะ
    เฉยก้อคือเฉยนะ อย่าลืม จิตต้องมีปัญญานะ ถ้าเฉยแล้วจิตจะมีปัญญาได้อย่างไร ... ต้องทำให้จิตเราทำงานสิ ต้องพิจารณานะ อย่าหนีทุกอย่างด้วยความเฉยนะ มันจะได้แค่นั้นแหละ พอเฉยๆไปเรื่อยๆ มันไม่ก้าวหน้า พอไม่ก้าวหน้า มันห้อท้อ มันก้อสงสัย สุดท้าย .. ตกม้าตายก่อนถึงทุกที ... อย่าเฉย ให้พิจารณาให้จิตเกิดปัญญา
    อย่าลืม ท่านเฉย ก้อจะได้เฉย ไม่ได้ธรรม ระวังไว้...

    ผู้วิเศษ ... อย่าคิดเด็ดขาดว่าเราคือผู้วิเศษ เรากำลังเดินทางเพื่อใหเพบธรรม มิใช่เดินทางไปเป็นผู้วิเศษ เราแค่คนธรรมดาที่กำลังทำความเพียร เพื่อให้พ้นทุกข์ หาใช่ผู้วิเศษเหนือผู้อื่นไม่ แม้แต่ผู้เขียนเองก้อมิใช่ผู้วิเศษ ... ผู้วิเศษ กับผู้ถึงธรรม ไม่เหมือนกัน ... มันไม่เที่ยงนะวิเศษนะ มันเสื่อมได้ มันหลอกให้เราหลงได้ อย่าไปติดเชียวนะ ถอนตัวยากเลยนะ เหมือนฝากประจำเลยละ ติดแล้ว มันจะยุ่ง
    ขอให้ท่าเป็น จิตธรรมดาที่ถึงธรรมพอนะ

    สุข ... คำนี้มันดึงดูเสียจริงๆ มันเยี่ยมจริงๆ
    ติดสุข นี่หนักกว่าติดทุกข์นะ ติดทุกข์ท่านยังยังอยากหนี เพราะมันลำบาก มันไม่ดี มันทุกข์ มันอยากออกจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด
    แต่ ... เมื่อท่านเจอสุขละ จิตสุข สบาย มันไม่มีทุกข์ มันดีจัง
    แล้วเราจะเอาอะไรอีก แค่นี้ ก้อสุขแล้ว ... ระวังไว้นะ กับดักชั้นยอด ตัวละเอียดเลยนะ สุขเนี่ย ติดแล้ว เลิกยาก
    เพราะฉะนั้น ต้องมีสติรู้นะ สุขไม่เที่ยง ทุกข์ก้อไม่เที่ยง

    อย่าไปเอากับมัน ..เอาแก่นสิ อย่าไปเอากระพี้ มันจะมีประโยชน์อะไร ใจเร็ว ด่วนได้ ชิงสุขก่อนห่าม ไม่ต่างกัน
    แล้วก้อมานั่งเสียใจที่หลัง ไม่น่าเล้ยยยยยย
    สุขก้อไม่เอา ทุกข์ก้อไม่เอา ... เอาแต่ธรรม

    ความอยาก ..... ตัวทีเด็ด
    เมื่อไหร่จะได้ เมื่อไหร่จะสำเร็จ เมื่อไหร่ๆๆๆๆๆๆๆ
    มันกระวนกระวายจริงๆ มันร้อนรนจริงๆ
    ขอบอกไว้เลยนะ .... อยากจนตาย ก้อไม่ได้ ..เชื่อผมสิ

    จะอยากไปทำไม .... รู้ไหม อยากๆนะ มันทำให้จิตเราไม่นิ่งนะ เมื่อไม่นิ่งจะให้เกิดปัญญาได้รึ เมื่อไม่มีปัญญา จิตจะก้าวหน้ารึ ลองคิดดู

    วางอยาก แล้ว ทำๆๆๆๆๆๆ .... มันจะอยาก ก้อให้รู้ แล้ว วางไป แล้ว ก้อทำๆๆๆๆๆไป

    ทำไป ด้วยจิตที่แน่วแน่ในธรรม ไม่สงสัยในธรรม ตั้งมั่นในธรรม แล้ว ท่านจะได้ธรรม

    อยากมาก ก้อช้ามากนะ จำเอาไว้ ...

    ทางสายกลางนี่จำกันได้หรือยัง ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้

    นี่คือคำขอร้องจากเรา ... อย่าติดเลยนะ อย่าไปยึดเลยะ

    อยากกลับบ้านกันมิใช่รึ อยากจบกันมิใช่รึกับการเวียนว่ายตายเกิด ...

    เรารอรับเจ้าอยู่นะ ... กลับบ้านกันเถอะ

    วางทุกอย่าง ให้ว่าง เหลือแต่ธรรม
    เมื่อได้ธรรม ... ก้อแจ้ง

    ขอให้ทุกดวงจิตอ่านหลายๆรอบ แล้วพิจารณานะ

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11(21 กค 55)

     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าเราจะเลือก "สู้" หรือจะ "อุเบกขา" ก็ตาม
    หากปราศจากเสียซึ่ง "สติ" แล้ว ก็จะเป็นไปเพื่อตามกิเลสทั้งนั้น
    คือเป็นไปเพื่อ "ตัวกู ของกู" นั่นแหละ
    กล่าวอีกนัยนึง หากไม่มีสตินะครับ
    เราเลือก "สู้" ก็เพราะทำตามกิเลส (แต่ตัวเราเองอาจจะไม่รู้ทัน)
    เราเลือก "อุเบกขา" ก็เพราะทำตามกิเลส (แต่ตัวเราเองอาจจะไม่รู้ทัน)

    เราก็ต้องมีสติ "รู้" เท่าทันความอยากที่เกิดขึ้นมาในขณะนั้นตามความเป็นจริงนะครับ
    พอมีสติแล้ว ใจเราจะเป็นกลางมากขึ้น และไม่โดนความอยากตัวใดตัวนึงมาหลอก หรือมาลากไป
    พอมีสติ "รู้" แล้ว ..... ต่อมา เราจะเลือกนอน หรือจะนั่งสมาธิต่อ ก็กลับมาใช้ "ปัญญา" ครับ
    พิจารณาเหตุและผลด้วยใจเป็นกลางว่า หากถึงเวลาที่ควรจะนอนได้แล้ว เราก็นอน
    หรือหากยังไม่ควรนอน แต่ควรจะนั่งสมาธิต่อ เราก็นั่งต่อไป
    หรือหากควรจะไปทำอย่างอื่น เราก็ไปทำ

    สรุปแล้ว คำว่า "สู้" หรือ "อุเบกขา" เราจะต้องมีสติ+ปัญญาก่อน
    ภาษาชาวบ้าน เรียกง่ายๆ ก็คือ อย่า"สู้" หรือ "อุเบกขา" แบบควาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พวกเราคอยสังเกตดูให้ดีๆนะว่า
    สำหรับผู้ที่มีความลังเล หรือความสงสัยตนเองมาก คนหูเบา คนสองจิตสองใจ ขาดความมั่นใจในตนเอง
    หรือคนที่ชอบถามคนอื่นอยู่ร่ำไป
    นั่นก็เป็นเพราะว่า จิตของพวกเรามันไม่นิ่ง จิตมันวุ่นวาย ซึ่งเกิดจากเราไม่มีสติกัน
    พอเราไม่มีสติ จิตก็ไม่นิ่ง เมื่อจิตไม่นิ่ง เพราะฉะนั้นสมาธิ และปัญญาก็จะไม่เกิด
    พอจิตเราไม่มีทั้งสติ หรือสมาธิและปัญญากันแล้ว สิ่งต่างๆที่กล่าวมานั้น
    พวกเราจึงมีปัญหาเกี่ยวกับด้านจิตกันมาก จึงไม่มีคำตอบให้ตนเอง

    วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ ให้สร้างสติเยอะๆ (ทำจิตเกาะพระ ง่ายที่สุดแล้ว)
    ในที่สุด ถ้าคนเรามีปัญหาเรื่องจิตพกพร่อง หรือมีปัญหาเรื่องจิต เราจำเป็นจะต้องหันกลับมาเริ่มต้นที่สติกันใหม่
    พระพุทธองค์ทรงวางเรื่องการเจริญสติภาวนาให้กับพวกเราไว้ปฎิบัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    นั่นก็คือ ศีล(สติ) สมาธิ ปัญญา
    (สติเกิดก่อน ศีลจึงตามมาทีหลัง) หรือ (สติมาก ศีลครบบริบูรณ์)
    แต่ถ้าใครรู้ตัวตนเองว่า ไม่มีศีล สมาธิ และปัญญา คนๆนั้นจะต้องมีปัญหาที่เกี่ยวกับจิตตนเอง อย่างแน่นอน

    ก่อนอื่นการแก้ไขที่ถูกต้อง ก็คือ แก้ไขที่จิตตนเองก่อน
    เพราะจิตคนเรานี้แหล่ะ จะพาตนเองไปในทางที่ดีหรือว่าไม่ดี
    แต่ถ้าท่านไม่ฝึกสติ ไม่ฝึกจิตกันแล้ว
    เท่ากับขาข้างนึงของท่านได้เหยียบลงไปในแดนอบายภูมิ หรือนรกภูมิกันไปแล้ว
    อย่าประมาทกันนะ นี่พูดแบบซีเรียส
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    จิตสงบ กายสงบ โลก(ส่วนตัว)สงบ

    ***ก่อนจะเรียนรู้เรื่องธรรมะ เราต้องมาเรียนรู้เรื่องจิต(ตนเอง)ก่อน

    แต่ก่อนเราจะมาเรียนรู้เรื่องจิต(ตนเอง) เราจำเป็นจะต้องมีสติก่อน
    เราจึงจะไปตามดู ตามรู้จิตของตนเองได้

    ในเมื่อสติเรามีไม่มากพอ การตามดูตามรู้จิตของตนเองนั้น จึงจบตามไปด้วย
    เมื่อสติเกิดไม่มาก จิตเราก็ไม่นิ่งตามไปด้วย
    "สติมา ปัญญาก็เกิด"

    เมื่อสติของพวกเรามีไม่มาก นี่ไง! นักภาวนาเอ๊ย หรือผู้ปฎิบัติธรรมเอ๊ย
    แต่ถ้าพวกเราพากันละเลยเรื่องสติ หรือไม่สนใจเรื่องศีลกัน
    เพราะฉะนั้น การเดินจิต(ดูจิต) หรือการปฎิบัติจึงไปไม่ถึงไหนกัน
    หรือไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้าในศีล ในธรรมเท่าที่ควร
    ก็ด้วยเหตุนี้แลฯ

    นักภาวนา ผู้ปฎิบัติธรรม หรือผู้เจริญในศีลในธรรมทุกท่าน ท่านจงลองพิจารณาตนเอง ว่า...
    1.ตอนนี้ท่านมีสติเพียงพอกันหรือไม่? สติเกิด แต่ต่อเนื่องหรือไม่?
    2.ตอนนี้ท่านรู้ไหม๊ว่า จิตของท่านอยู่ที่ไหน? และกำลังทำอะไรอยู่? หรือท่านตามหาจิต ดวงจิตของตนเองพบหรือไม่?

    ขอให้ท่านทั้งหลาย จงตอบตนเองให้ได้เสียก่อน
    แต่ถ้าตอบว่า สติเกิดแต่ไม่ต่อเนื่อง และยังหาจิต ดวงจิตเดิมแท้ของตนเองยังไม่เจอ
    ก็พากันทำ "จิตเกาะพระ" กันดิ่!


    ***แต่ถ้าพวกเราไม่ดำเนินทางมรรค์มีองค์๘ (ศีล-สมาธิ-ปัญญา)
    บอกได้คำเดียวว่า คุณกำลังเดินหลงทางแล้วครับ

    ***แต่ก่อนเราจะดูจิตตนเองนั้น เราจะต้องสร้างสติให้มากๆกันก่อนนะ มิฉะนั้นพวกเราจะตามหาจิต ดวงจิตตนเองไม่เจอ แต่ถ้าตามหาจิตไม่เจอ เพราะสติน้อยเกินไปละก้อ จบกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    จิต คือ พุทธะ​

    [​IMG]
    ในเมื่อสติเป็นตัวรู้ จิต(พุทธะ)เป็นผู้รู้
    แต่ถ้าพวกเราไม่พยายามนำสติมารวมกับจิต(สติ+จิต) ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
    จิตก็ไม่มีทางเกิดสมาธิ จิตก็ไม่มีทางเกิดปัญญาไปได้
    แต่จิตจะนิ่งกันได้ พวกเราจะต้องอาัศัยการเจริญสติภาวนา(สร้างสติ)ให้มากเสียก่อน

    เมื่อพวกเราสามารถเข้าไปถึงกระแสจิตกันได้ พวกเราก็สามารถเข้าไปในกระแสธรรมได้
    เช่นเดียวกัน
    แต่มันจะยากตรงที่ ทำอย่างไรให้จิตของพวกเรานิ่ง
    แต่ถ้าพวกเราสร้างสติกันไม่เป็น ไม่ได้ หรือมีสติไม่มากกันแล้ว
    พวกเราก็จะตามดู ตามรู้จิตของตนไม่ได้ เพราะตามไม่ทัน
    หรือตามหาดวงจิตเดิมแท้(ตนเอง)ไม่เจอแน่
    แต่ถ้าพวกเราหาจิต หรือดวงจิตไม่เจอแล้ว
    พวกเราก็ไม่มีทางเข้าไปถึง คำว่า กระแสจิต กระแสธรรมกันได้อย่างแน่นอน
    หรือพวกเรายังคงต้องทนทุกข์ไปกันตลอดชีวิต เพราะว่า พวกเรา(จิต)เข้าไปไม่ถึงธรรม
    ธรรมชาติแห่งจิตตน ธรรมดา(กฎไตรลักษณ์) หรือจิตเข้าไปไม่ถึงสัจจะธรรม(ความเป็นจริง)
    พวกเรา(จิต)จึงไม่เข้าใจ จึงไม่ยอมรับ
    เพราะจิตจะเป็นผู้ทำหน้าที่ละ ปล่อย วางกับทุกสิ่ง ทั้งหลาย ทั้งปวงในโลกนี้ได้
    ที่พวกเรา(จิต)เข้าไปยึด คำว่า สิ่งสมมุติทั้งหลาย ทั้งปวง

    ***พูดถึง/เรียนรู้เฉพาะเรื่องสติกับจิต สองตัวนี้ บางคนเรียนรู้กันจนตาย ก็ยังไม่รู้เรื่อง
    เอ่อ! อาการน่าเป็นห่วง
    เพราะนั่นจะหมายถึงว่า เราเองก็จะติดความลังเล ความสงสัยกันไปตลอดชีวิต
    หาคำตอบให้กับตนเองไปตลอดชีวิต หรือหลงทางกันไปตลอดชีวิต
    พวกเรา(จิต) ก็คงจะหนีไม่พ้น คำว่า สังสารวัฎ
    เมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องทนอยู่กับกองทุกข์กันต่อไป
    จนกว่าพวกเราจะหาทางออกจากกองทุกข์ กองกิเลสกัน

    จิตนิ่งกันเมื่อไหร่ พวกเราก็รู้เมื่อนั้น
    ได้คำตอบเมื่อนั้น หายความลังเล หายความสงสัยเมื่อนั้น
    ก็มันรู้เองโดยธรรมชาติ จะให้พูดยังไงดีหล่ะ!
    จิตนิ่งสงบมากเท่าใด มีสติปัญญา ฉลาดมากกันเมื่อนั้น
    จบ...
    โลกภายนอกกว้างไกลใครใครรู้
    โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
    จะมองโลกภายนอกมองออกไป
    จะมองโลกภายในให้มองตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  12. preechaniy

    preechaniy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,356
    สวัสดีครับครูวิทย์ ครูเพ็ญ จิตบุญทุกๆท่านครับ
    ผมอ่านคำสอนขอครูวิทย์แล้ว น่าจะเป็นสิ่งที่ผมกำลังสัมผัสอยู่ อยากก็จะไม่ได้
    อะไร พอไม่อยากซะเลย ภาพพระก็ไม่อยากเกาะ เห็นแล้วมันก็จะเฉยๆ วาง ว่าง
    สบายๆ เลยไปติดกับสุขซะอีก พิจารณาจิตก็ไม่เอาจะวางซะ ปัญญาก็เลยไม่เกิด
    ศีลผมยังไม่ผ่านครับ แต่ก็รักษาได้ดีกว่าแต่ก่อนนะ ก็จะรักษาความต่อเนื่องให้
    มากขึ้นครับ อนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมทานเจาะใจดีเจงๆ
    บอกแล้วอย่าให้ครูฝ่ายปกครองพูดนะ
    จิตครูดัชท่านนี่ แรงดีเจงๆ
    ท่านเน้นแต่แก่น เปลือกไม่เอา
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ
    ธรรมาทานท่านแจ่มเกินคาด ไร้ที่ติเจงๆ
    ถูกเผง ตรงประเด็น ท่านกล่าวได้ถูกต้องดีแล้ว
    อย่าอ่านอย่างเดียวนะ ได้โปรดปฎิบัติตามครูวิทย์แนะนำกันด้วยนะครับ
    ด้วยความเคารพทุกท่าน
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา"
    ท่านจะเลือกอะไร?

    ที่คนส่วนใหญ่มักพูดว่า...
    โลกใบนี้ดูวุ่นวาย ไม่สงบ และภัยธรรมชาติมาก
    คนเรานี่ยุ่ง เรื่องมาก ทะเราะกัน เอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน ฆ่ากันทำร้ายกัน
    คนอื่นทำให้เราทุกข์
    ***ไม่เคยจะโทษตนเองเลย ด้วยเหตุนี้เอง
    จึงมองเห็นคนอื่นผิด คนอื่นชั่วกันอยู่ร่ำไป
    กลับไม่หันมามองตนเองบ้าง ว่าตนเองผิด หรือตนเองนั้นชั่วกันเลย


    พวกเราก็พยายามตามแก้ไขปัญหากันเข้าไปเถอะ ดูจะเหมือนยิ่งแก้ไข ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ออกทะเลไปเลย
    ตามแก้กันรายวัน ได้แก่ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการศึกษา ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาภาคใต้ ปัญหาเรื่องปากท้องชาวบ้าน ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาเรื่องทำมาหากิน ปัญหาการจราจรโดยเฉพาะรถติด ปัญหาปรองดอง ปัญหาเรื่องความยุติธรรม ฯลฯ
    สารพัดปัญหา มีแต่ปัญหา
    คนยิ่งมากก็ยิ่งปัญหามาก ล้วนแต่ปัญหา
    ถึงจะตามแก้ไขกันสักเท่าไหร่ ดูๆไปแล้ว แก้ไขกันไปตลอดชีวิตก็จะไม่มีทางหมดไปได้

    พวกเราพอจะมองเห็นปัญหาที่แท้จริงกันไหม๊?
    พวกเราพอจะมองเห็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดกันไหม๊?


    แต่ผู้เขียนเห็นว่า คนเรานั้นมีปัญหาเดียว ก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    ที่คนส่วนใหญ่บอกว่ายุ่งๆ วุ่นวาย และสารพัดปัญหากันนี้
    ที่แท้มันก็มาจากรากเหง้าของจิตคนเราทั้งนั้น ปัญหาอย่างอื่น ไม่มี
    แก้กันไปเถอะไม่มีจบสิ้น
    ตราบใดถ้ามนุษยชาติตามแก้ไขที่ปลายเหตุกัน
    จริงๆแล้ว จิตมนุษษยชาติที่อยู่อาศัยบนโลกนี้นั้น คือจิตบกพร่อง
    จิตบกพร่องในที่นี้ หมายถึง จิตไม่นิ่ง จิตไม่มีสมาธิกัน จิตจึงไม่มีปัญญา
    ปัญญาทางโลกไม่มี มีแค่เพียงสัญญาเท่านั้น
    ต่อให้เก่งขนาดไหน ก็แก้ไม่ได้ สังเกตดูเอง
    ยิ่งยุคสมัยนี้ด้วยแล้ว...
    คนดีมักตายก่อน คนดีมักอยู่ไม่ได้ เพราะคนเลวมันเยอะกว่า
    ประเทศไทยรับกรรมกันไป เราไม่อยากไปโทษใคร
    ผู้เขียนก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นๆนักหรอก แต่ตอนนี้มองเห็นปัญหาที่แท้จริง
    และผู้เขียนก็พยายามแก้ไขตนเองที่เคยผิดพลาดไป พยายามกระทำแต่กรรมดีในปัจจุบันของตนเองฝ่ายเดียว และพยายามจะช่วยเรื่องจิตคนในที่นี้กัน แต่จะไปตามไปดู ตามไปแก้ไขปัญหา หรือว่ากรรมของผู้อื่น เพราะไม่มีประโยชน์ กรรมดีในปัจจุบันสำคัญกว่าอื่นใด

    แต่ถ้าคนส่วนใหญ่มีเพียงแค่ ศีลและธรรมเท่านั้น
    ทุกอย่างก็จบแล้ว กฎหมายก็ไม่ต้องมีก็ได้
    ถึงมีกฎหมายสักพันมาตราก็กำจัดคนชั่วไม่ได้ พอมองเห็นกันนะว่า ระหว่าง''ปัญหา" กับ "ปัญญา"


    ปัญหาก็จะกลับกลายมาเป็น ปัญญาแทน
    ถ้าคนมีศีลและธรรม


    พากันคิดไปกันใหญ่โต แท้ที่จริงปัญาหามันเกิดที่ต้นขั้ว ที่จิตต่างหาก
    จิตคนไม่มีศีล หรือจิตคนไม่มีสติ จิตคนจะมีปัญญากันได้อย่างไร
    เมื่อจิตคนไม่มีศีล หรือสติกันแล้ว ปัญญาก็จะกลายเป็นปัญหาแทน
    คิดกันง่ายๆ
    พอๆกับที่พวกเรากำลังฝึกกันอยู่นี้ ก็คือ แค่เพียงทำจิตตนเองให้นิ่งเท่านั้น
    ก็ยังทำกันไม่ได้เลย แล้วจะเปลี่ยนปัญหามาเป็นปัญญากันได้อย่างไร
    ในเมื่อปัญญาไม่เกิดกับคนในประเทศ ปัญญาไม่มีในโลกใบนี้
    เพราะฉะนั้นปัญญาก็กลายเป็น ปัญหาแทน
    เอิ๊กๆ

    พูดตามตรงนะ
    นักเรียน นักศึกษา ตั้งแต่อนุบาลยันป.เอก
    คนทำงาน ตั้งแต่ผู้ใช้แรงงานยันผู้บริหาร
    หรือกรรมกรยันนายแพทย์
    ที่กล่าวกันมาทั้งหมดนี้ แต่ถ้าใครไม่มีศีล ไม่มีธรรมะอยู่ภายในจิตใจ
    พวกเขาเหล่านั้น จะไม่มีทางพบกับคำว่า ความสุข(ที่แท้จริง)กันเลย
    หรือประเทศนั้น ก็จะไม่มีทางสงบไปได้เลย

    ***พากันเจริญสติภาวนา พากันทำจิตเกาะพระกันเยอะๆนะ
    เพราะอย่างน้อยที่สุด เราเองจะได้แก้ไขปัญหาของตนเองได้
    มาทำลายความลังเล ความสงสัยของตนเองเสีย หรือมาค้นหาคำตอบตนเองเสีย เพราะคำตอบที่ดีที่สุดนั้น อยู่ตรงที่จิตของคุณนิ่งนี่เอง
    แก้ไขต้นขั้ว แก้ไขต้นเหตของปัญหาทั้งหมด ด้วยตนเองก่อน
    แต่ถ้าใครแก้ปัญหาตนเองได้แล้ว ก็ไไปช่วยแก้ปัญหาให้กับคนรอบข้างหรือคนอื่นด้วย
    หรือถ้าเราเองสามารถเปลี่ยนคำว่า ปัญหามาเป็นปัญญากันแล้ว
    ขอให้ท่านจงช่วยบอกกันต่อๆไปว่า ให้พวกเราเปลี่ยน คำว่า ปัญหามาเป็นปัญญากันเถิด


    ผู้เขียนขอฝากข้อคิดให้กับพวกเรา แต่เพียงเท่านี้
     
  16. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โพชฺฌงฺคุเปกฺขา

    โมทนาสาธุกับคุณอุษาวดีด้วยครับในคำถาม..
    เอ้่า..นี่เลยครับ

    "โพชฺฌงฺคุเปกฺขา" หมายความว่า การวางอุเบกขาหรือวางเฉยจากโพชฌงค์7 (หนึ่งในองค์โพชฌงค์7) โดยการไปอิงกับวิราคะและวิเวก

    โพชฌงค์แปลว่า ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ หมายความว่าคนที่เข้าถึงการบรรลุมรรคผลหรือว่าเข้าถึงความดีได้ต้องมี โพชฌงค์ 7 ประการคือ
       1. สติ ความระลึกได้
       2. ธรรมวิจยะ การวินิจฉัยธรรม
       3. วิริยะ ความเพียร
       4. ปีติ ความอิ่มใจ
       5. ปัสสัทธิ ความสงบ
       6. สมาธิ จิตตั้งมั่น
       7. อุเบกขา ความวางเฉย (โพชฺฌงฺคุเปกฺขา)

    อุเบกขา ในกรณีนี้ คือวางเฉยต่ออาการของชาวบ้าน ชาวบ้านที่ทำให้เราไม่ชอบใจก็ดี ทำให้เราชอบใจก็ตาม เราเฉยเสียไม่ยอมรับนับถือทั้งชอบใจและไม่ชอบใจ นี่เป็นเรื่องธรรมดาๆนะ แล้วถ้าสูงขึ้นไปอีกนิด ก็อุเบกขาเหมือนกัน วางเฉยในขันธ์ 5 นี่สำคัญ ตัวนี้เป็นตัวแท้ ตัวแรกนั้นเป็นตัวหน้าตัววางเฉยเรื่องราวของชาวบ้านที่เขาพูดไม่ถูกหรือทำไม่ถูกใจ หรือทำไม่ถูกใจ พูดไม่ถูกใจ เราวางเฉยไม่เอาอารมณ์ไปยุ่ง ยังงี้เป็นเรื่องเปลือก ๆ เป็นอาการของเปลือก ไม่ใช่เนื้อ อุเบกขาที่แท้ต้องเป็นสังขารรุเปกขาญาณวางเฉยในขันธ์ 5 เรื่องของขันธ์ 5 มันจะรับอะไรมาก็ตาม เราเฉยเสีย คิดว่านี่เป็นธรรมดาของคนที่เกิดมามีชีวิต คนที่เกิดมามีขันธ์ 5 มันต้องมีอาการอย่างนี้เป็นปกติ ไม่มีใครจะพ้นอาการอย่างนี้ไปได้ ถึงแม้ว่าเราจะหลีกหนีให้พ้นไปสักขนาดใดก็ตาม เราจะมีเงินมีทองมีอำนาจวาสนาบารมียังไงก็ตาม ไม่สามารถจะพ้นโลกธรรม 8 ประการไปได้ 

    วิราคะ หมายความตรงข้ามกับราคะ  ได้แก่ความสิ้นความกำหนัด  ปราศจากเสน่หา ความล่วงไปของกิเลส ฟอกจิตจากน้ำย้อมคือกิเลสกาม
    วิเวก หมายถึง ความสงัด ความปลีกออก เป็นความสงัดกาย สงัดใจ และสงบ อุปธิ(กิเลสอย่างหยาบที่ทำให้สร้างกรรมทางกาย วาจา) ทั้งปวง

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาในธรรมของท่านลูกพลังเจงๆ
    กล่าวมาถูกเป๊ะ ตรงประเด็นดีมาก ถูกจริตผมเจงๆ
    ใครอ่าน/ฟังแล้ว ความสงสัยวางตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย
    สมแล้วที่ท่านทรงปัญญา และก็นักวิชาการแห่งบ้านทรายทอง
    เอิ๊กๆ ชอบใจ ก็ต้องวางอีก
    เหลือแต่เสื้อผ้า กางกางที่ขันธ์5ยังสวมใส่ มีเพียงแต่จิตเท่านั้น จะต้องวางเสียให้หมด อย่าได้ไปยึด คิดเป็นของตนอีกต่อไป
    จิตใครเดินทางมาถึงคำว่า อุเบกขา เราจะค่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆ ตามจิตตนเองละเอียด
    แต่ถ้าจิตนิ่ง จิตยิ่งละเอียดมากเท่าใด เราก็จะรู้ๆมากเท่านั้นไปเองโดยที่ไม่มีใครสอน หรือไม่จำเป็นที่จะต้องไปอ่านจากที่ใด
    เพราะยิ่งถ้าจิตใครเป็น พุทธะ


    งั้นผมขอฝากธรรมะของหลวงปูดูงย์เลยละกัน
    หลวงปู่ดูลย์...อัศจรรย์ !!! จิตคือพุทธะ ตอน จิตที่ไปรู้นิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  18. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    Re-play

    ธรรมะไม่มีกาลเวลา(อกาลิโก) ยังคงถูกต้องและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา.. สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะวันหยุด
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ...
    คำว่า สมาธิ ก็มาพร้อมกันกับขณะที่จิตมีความสงบด้วย อานาปานสติ
    คำว่า ปัญญา เมื่อจิตสงบตัวเข้าแล้วก็มีพลัง สามารถแยกแยะพิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกายและขันธ์ต่างๆ เกี่ยวโยงกับอวิชชา และหยั่งเข้าไปถึงตัวการของสมมุติคืออวิชชาได้อย่างตลอดทั่วถึง จนได้บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ขึ้นมา
    นิโรธคือความดับทุกข์ ก็ดับทุกข์อย่างสนิทในขณะที่กิเลสดับไปโดยสิ้นเชิง มรรคมีสติปัญญาเป็นต้นก็หมดหน้าที่
    นิโรธคือความดับทุกข์ เพียงดับทุกข์ขณะเดียวเท่านั้นก็หมดปัญหาไป เพราะไม่มีทุกข์ใดที่จะมาให้ดับแล้ว เนื่องจากสาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ไม่มี
    ผู้ที่รู้ว่าทุกข์ดับไป กิเลสดับไป นิโรธทำหน้าที่ผ่านไป มรรคทำหน้าที่ประหารกิเลสแล้วผ่านไป นั้นคือความบริสุทธิ์
    เมื่อได้ถึงความบริสุทธิ์แล้วจึงทรงรู้เห็นความอัศจรรย์อย่างประจักษ์ และทรงมีความขวนขวายน้อย ว่าเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่สัตว์ทั้งหลายจะรู้ได้


    (สนใจเสพธรรมะต่อที่นี่...)
    พระเมตตาสงสารต่อสัตว์โลก โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    Luangta.Com -
     
  20. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    -เฉยเมย ให้เข้าใจง่ายๆ คือ อะไรเข้ามากระทบ ก็จะไม่รับรู้
    ไม่เอา ไม่สนใจ อารมณ์เฉยเมยตัวนี้เป็นอารมณ์ด้านๆ เหมือนผนัง
    ลูกปิงปองวิ่งมาชน ผนังไม่รับรู้ไม่เอาไม่แคร์ ลูกปิงปองกระเด้งกลับ
    ผนังนี้ ช่างตายด้าน จริงหนอ 55555
    เหมือนจิตที่เข้าไปอยู่เกาะกับอารมณ์เฉย จิตไปฝังอยู่ข้างในอารมณ์ตัวนี้ พอมีสิ่งกระทบมา จิตไม่รับรู้ไม่เอาไม่แคร์ ถือว่าไม่มีสติ หรือไม่พยายามเอาสติตามดูเลย จึงไม่เห็นในสิ่งกระทบนั้นๆว่า เป็นอย่างไร สีไหน แรงเท่าใด แบบไหน อดเรียนรู้ในตัวของศรัทตรู(เอ๊ะ เขียนไงคำนี้ นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเขียนไง)ของจิต ผลคือ ปัญญาไม่เกิด แล้วจะเข้าไปแอ๊มทำไม๊กับขนมครกไม่ใส่กะทิกับน้ำตาล
    หุยยยยยยยยยย
    วิธีแก้ คือ เอาสติเข้าไปงัด ไปแงะ ไปแคะ ไปสะกิด ไปขุดเอาจิตที่เข้าไปฝังอยู่กับเฉยออกมา อย่าปล่อยไว้นานเกินแก้เดี๋ยวจะแย่เพราะถูกสต๊าร์ฟ
    -วางเฉย คุณพี่ลูกพลังได้เขียนไว้แล้ว โมทนากับคุณพี่ลูก
    เอาให้เข้าใจง่ายๆ การวางเฉยนี่เป็นอารมณ์วางเฉยแบบที่
    มีสติคอยดูคอยตามจิตอยู่ ก็คือเปลี่ยนจากผนังตายด้านมาเป็น
    ห่วงบาสเก็ตบอล ลูกบาสวิ่งมาเข้าห่วง ห่วงรับ พอรับแล้ว
    ห่วงปล่อย ห่วงวาง สบายเฉิบ ไม่มีอะไรค้างคา อยู่ ไม่ได้
    ตายด้าน เพราะรับรู้ เห็น เข้าใจ แต่ไม่เอาอ่ะ ไม่เอาเพราะ
    สติท่านสะกิดบอกจิตไปว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะเก็บไว้ นั่นไม่
    ใช่สิ่งที่เราควรเกาะไว้ จิตรู้จิตปล่อยวางสิ่งนั้นๆลงไป ปัญญาเกิด
    ได้กินหนมครกใส่กะทิกับน้ำตาล อร่อยอิ่มถ่าย จบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...