ไม่ได้ล้อเล่นค่ะ ของจริงเลยค่ะคุณสองเมือง การรับสัมผัสสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มีจิตละเอียด หรือคนที่มีจิตใจดีชอบทำบุญกุศล หรือว่าเคยผูกพันธ์กับเหล่าิวิญญาณนั้นๆ ตัวเองเคยเข้าวัดแล้วมีอาการเหมือนหายใจไม่ออกแทบขาดใจ เหมือนไม่มีอากาศให้หายใจ อยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นจากสถานที่นั้นๆ แต่ข้างในบอกว่ามีวิญญาณที่ถูกกักขังออกไปจากสถานที่นั้นไม่ได้ รอการช่วยเหลือปลดปล่อยค่ะ และอาการที่หายใจไม่ออก นั้นเพราะมีมากกว่าล้านๆๆๆๆ ดวง ทุกดวงวิญญาณพุ่งมาที่เรามาเกาะแขนเกาะขาล้อมหน้าล้อมหลัง มาตามแสงของบุญ หากเป็นวิญญาณชั้นสูง เช่น เทพ เทวดา จะรับสัมผัสจากเบื้องบน ซ่าๆ ที่ศรีษะ หากเป็นวิญญาณชั้นต่ำ เช่น เปรต อสุรกาย สัมภเวสี จะรับสัมผัสจากเท้าขึ้นมาค่ะ อาการอึดอัดผะอืดผะอมต่างๆ จะเกิดเพราะวิญญาณพวกนี้แหละค่ะ ก่อนจะออกจากวัด ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานบอกกล่าวกับพวกเค้าว่า เรารับทราบความทุกขเวทนาของพวกเค้าที่อยากเป็นอิสระ แต่ ณ ตอนนี้เราไม่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือ ให้อดทนรอไปก่อน วันหนึ่งข้างหน้าหากเรารู้วิธีแล้ว เราจะกลับมาช่วยให้พ้นจากความทุกข์นี้ เวลาผ่านไปเป็นปี เราได้กลับไปที่วัดนั้นอีก พร้อมกับคณะและำได้ทำการปลดปล่อยไปมากกว่า 100 ล้านดวง เนื่องจากที่วัดนั้นไม่มีธรณีเลย มีแต่คอนกรีต การอุทิศบุญของผู้ที่ไปทำบุญจึงไม่ถึงยังดวงวิญญาณเหล่านั้น เมื่อปีที่แล้ว เราได้กลับไปที่วัดนั้นอีก แต่ไม่มีความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้นอีกแล้ว นั่นหมายถึงว่าไม่มีดวงวิญญาณทุกขเวทนาหลงเหลืออยู่ที่นั่นแล้ว
ขอบคุณมากค่ะ พี่ดาว ที่กรุณาอธิบาย สองเมืองพึ่งเริ่มปฏิบัติธรรมใด้ไม่นาน ยังมีอีกหลายสี่ง หลายอย่างที่ไม่เข้าใจ ต่อจากนี้ไปพี่อาจจะใด้รับคำถามแปลกๆจากสองเมือง ที่พี่ๆนึกไม่ถึง ด้วยความที่ไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ สองเมืองใช้ชีวิตอยู่กับต่างชาติต่างภาษาต่างศาสนา จึงมีแต่ความไม่รู้ ต้องขอความอนุเคราะห์ จากรุ่นพี่ในเมืองคุรุวาโรทุกท่านด้วยนะคะ
ขอบคุณมากคะคุณ nouk ที่อธิบายให้ฟัง จากนี้สองเมืองจะใด้มีสติมากขึ้น ถ้าอาการแปลกเหล่านี้เกิดขึ้นอีก อาการหัวชาหรือขนหัวลุก หรือหายใจไม่ออก คือเทพเทวาดาชั้นสูง เขามาทักทายใช่ไหมคะ
สวัสดีค่ะเพื่อนสมาชิกทุกท่าน... วันนี้หวังว่า ท่านคุรุวาโรจะมาเฉลยคำตอบคราวที่แล้วนะคะ หากตอบถูก ตอนนี้เตรียมคำถามไว้ในใจเรียบร้อยแล้วค่ะ (แอบทวงรางวัลกลายๆ) เมื่อคืนไม่ได้ฝันว่าไปสอบ...แต่ฝันว่าไปเรียนวิชาไรไม่รู้ค่ะ...จดไม่ค่อยทัน เพื่อน จึงใช้วิธีขอลอกจากเพื่อน เลยโดนคุงครูเหน็บเข้าจนได้ "จดไม่ ทันก็แล้วไป" อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ (โดนคุงครูดุเลย) แต่คิดว่า อีกไม่นาน ก็คงต้องวิ่งไปสอบอีกจนได้นั่นแหละ...เรียน & สอบ จนแก่แหงมๆ
หวัดดีจ้ะมิิกกี้ ตั้งใจเรียนจนเก็บไปฝันทุกคืนเลยนะ เราก็ฝันนะ แต่เหมือนเดิมสัญญามันหาย เรื่องปัจจุบันมันมาดันเรื่องฝัน พอลืมตาปุ๊บมันถามตัวเองเลย ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ไล่ไปเลยตั้งแต่แปดโมงเช้า ฝันเกี่ยวกับส่วนสูงอะไรสักอย่างนี่แหละ ไม่รู้ไปคัดเลือกอะไรอีก วันก่อนก็ฝันเรื่องการเลื่อนตำแหน่งของเบื้องบน ว้า..ไม่นึกดีกว่า รออ่านหนอเหมือนเดิมดีกว่านะ...รออ่านหนอ
วันนี้วันพระ ฟังสิ่งที่เป็นมงคลก่อนอ่านนิทานแล้วกันนะ https://www.youtube.com/watch?v=ZYE3QwxSmFA&feature=player_embedded
คิดดี ทำดี พูดดี คนที่คิดดี ก็อ่านออกมาดีค่ะ ถ้าคิดไม่ดี ก็จะอ่านออกมาไม่ดีค่ะ ในถ้ำนี้ มีแต่คนดีๆ ทั้งนั้นค่ะ เจตนาไม่ดีคงไม่มีมั้งคะ เอาเรื่องต้นไม้ ไปอ่านกันเล่นๆ ก่อน พิกุล ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8-15 ม. เรือนยอดแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา มีรอยแตกระแหงตามแนวยาว ใบ เป็นใบเดี่ยว เกิดเรียงกันแบบสลับ ลักษณะใบมนเป็นรูปไข่ หรือรูปไข่แกมหอก มีขนาดกว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-10 ซม. โคนใบสอบมอน ปลายใบเรียวหรือหยักเป็นติ่ง ดอกเกิดเป็นกระจุกตามง่ามใบและตามยอด มีสีขาวปนเหลือง กลีบรองดอกมี 8 กลีบ เรียงเป็น 2 วง ๆ ละ 8 แฉก ดอกบานมีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ผลรูปไข่กลมถึงรี ภายในมีเมล็ดเดียว ส่วนที่ใช้ : ดอก เปลือก เมล็ด แก่นที่ราก ใบ สรรพคุณ : ดอกสด - เข้ายาหอม ทำเครื่องสำอาง แก้ท้องเสีย ดอกแห้ง - เป็นยาบำรุงหัวใจ ปวดหัว เจ็บคอ ขับเสมหะ ผลสุก - รับประทานแก้ปวดศีรษะและแก้โรคในลำคอและปาก เปลือก - ยาอมกลั้วคอ ล้างปาก แก้เหงือกบวม รำมะนาด เมล็ด - ตำแล้วใส่ทวารเด็ก แก้โรคท้องผูก ใบ - ฆ่าพยาธิ แก่นที่ราก - เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ขับลม กระพี้ - แก้เกลื้อน
"คิดดี ทำดี พูดดี คนที่คิดดี ก็อ่านออกมาดีค่ะ ถ้าคิดไม่ดี ก็จะอ่านออกมาไม่ดีค่ะในถ้ำนี้ มีแต่คนดีๆ ทั้งนั้นค่ะ เจตนาไม่ดีคงไม่มีมั้งคะ" สาธุๆ .. มีเรื่องให้อ่านเต็มเลย ไม่ค่อยได้อ่านมาหลายวัน เมื่อวานไปแจกทานมาครับ เอาบุญมาฝากทุกท่านด้วยนะครับ
สวัสดีทุกรูปทุกนามค่ะ.... เมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นเล็กๆน้อยๆให้พอสะกิดใจ เมื่อวานเห็นว่าเป็นวันพระ พระจันทร์เต็มดวง เลยนึกอยากสวดบทมหาเมตตาใหญ่ เลยสวดมนต์นานเป็นพิเศษ แถมทั้งสวดทั้งแปล 555+ นานจนแอบเหนื่อยเป็นระยะๆค่ะ พอช่วงนั่งสมาธิ จังหวะนั่งแรกๆ รู้สึกเหมือนขนจะลุกๆ หรือรู้สึกแปลกๆบริเวณศรีษะตลอดในช่วงแรก แต่สักพัก ก็โงก ตามระเบียบค่ะ อิอิ ประคองสติได้เพียงพักหนึ่งเท่านั้นเอง โงกบ่อยๆก็เลยนอนสมาธิซะ หลับสบายเลย ฝันแต่จำไม่ได้ค่ะ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ แต่ความฝันนี่ก็แปลกนะคะ ... มันจำได้ยังไงนะ ว่าเคยไปที่ตรงนั้นมาแล้ว วันดีคืนดี มันก็พาเรากลับไปฝันตรงที่เดิมได้อีก แปลกจริงหนอ
เพราะมีบางสิ่งที่ฝังใจ...ยังไงล่ะคะ น้องฟ้ามุ่ยยังโชคดีนะคะ ที่ยังฝันเห็นสถานที่ๆ ฝังใจเดิมๆ แต่พี่ไม่เคยฝันเห็นเลยค่ะ หัวใจด้านชาหรืออย่างไรก็ไม่รู้
บางทีในฝันจำได้ซะง้านว่าเคยฝันถึงที่ตรงนี้มาแล้ว แล้วนี่ไงเรื่องที่เราลืมไป แล้วฝันต่อจากเดิม แต่ตื่นมาก็ลืมไปตามระเบียบ คงเหลือแต่ความรู้สึก จำได้แต่ว่า ฝันว่าฝันต่อจากฝันเดิม แต่กลับจำไม่ได้ซะงั้นว่าฝันเรื่องอะไร แล้วต่อจากกอะไร
หืมม???? หัวใจด้านชาเลยเหรอจ้า ไม่น่าจะเกี่ยวกันน๊าาา อิอิ ไอ้สถานที่เดิมนั่น ทั้งป่า ทะเล บ้าน ...ไปทั่วหมดเลย จนไม่รู้ว่าฝังตรงไหน ไปซะทั่วขนาดนี้ 555+ วันนี้ก็มารอฟังนินานสนุกๆจ้า
จัดไปหนึ่งเรื่องสนุก สำหรับคนที่ชอบปีนป่ายนะจ๊ะ ต้นงิ้ว วิมานฉิมพลีของนางกากี โบราณเปรียบหญิงมากชู้หลายผัว ว่าเป็น ‘นางกากี’ ซึ่งมีเค้าเรื่องมาจาก ‘กากาติชาดก’ ว่า พระโพธิสัตว์ครั้งเกิดเป็นพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี มีพระเทวีนามว่า ‘กากาติ’ ซึ่งทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่ง วันหนึ่งมีพญาครุฑชื่อว่า ‘ท้าวเวนไตรย’ แปลงร่างเป็นมนุษย์มาเล่นสกา (การพนันชนิดหนึ่ง) กับพระราชา ท้าวเวนไตรยเห็นพระนางกากาติ ก็เกิดความรักใคร่ จึงแอบพาหนีไปอยู่ที่วิมานฉิมพลีซึ่งเป็นที่อยู่ของตน เมื่อพระราชาทราบเรื่องจึงมีรับสั่งให้คนธรรพ์ชื่อ ‘กุเวร’ นำพระเทวีกลับมา กุเวรได้ไปแอบซุ่มอยู่ในดงตะไคร้ข้างสระ พอพญาครุฑบินไปจากสระก็แอบกระโดดเกาะปีกไปจนถึงวิมานฉิมพลี แล้วแอบได้เสียกับพระเทวีที่วิมานนั้น จากนั้นก็เกาะปีกพญาครุฑกลับมาเมืองพาราณสีอีก วันหนึ่งขณะที่พญาครุฑเล่นสกากับพระราชา คนธรรพ์ก็ขับร้องเป็นเพลงว่า “หญิงรักคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด กลิ่นของนางยังหอมฟุ้งมาที่แห่งนั้น ใจของเรายินดีในนางใด นางนั้นชื่อกากาติ อยู่ไกลจากที่นี้” พญาครุฑพอได้ฟังแล้วสะดุ้งจึงถามกลับไปว่า “ท่านข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งไปได้อย่างไร แล้วขึ้นวิมานฉิมพลีได้อย่างไร” คำตอบที่ได้รับคือ “เราข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งได้ก็เพราะท่าน ขึ้นวิมานฉิมพลีได้ก็เพราะท่านอีกนั่นแหละ” เมื่อพญาครุฑได้ทราบความจริงก็กล่าวติเตียนตัวเองว่า มีร่างกายใหญ่โตเสียเปล่า แต่ไม่มีความคิด จึงเป็นพาหนะให้ชายชู้ของเมีย ดังนั้นจึงได้นำพระเทวีกากาติมาคืนพระราชา และไม่กลับมาเล่นสกากับมนุษย์อีกเลย วิมานฉิมพลีของพญาครุฑ ก็คือ ‘ต้นงิ้ว’ ซึ่งเรียกในภาษาบาลีว่า ‘สิมพลี’ นั่นเอง !! ต้นงิ้ว เป็นพืชในสกุล Bombax มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombax ceiba Linn. เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูงราว 15-20 เมตร เรือนอยดทรงกลมแผ่กว้าง ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีน้ำตาลอมเทา มีหนามแหลมคมทั่วทั้งลำต้น ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 5-7 ใบ ใบรูปรี ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา ดอกมีสีส้มแดง แดงเหลือง หรือขาว มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ออกเป็นช่ออยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งๆ มีดอกราว 3-5 ดอก มีกลิ่นหอมและร่วงง่าย ออกดอกราวเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ส่วนผลมีลักษณะกลมรี เปลือกแข็ง ภายในผลมีเมล็ดกลมสีดำมากมายซึ่งมีปุยสีขาวหุ้มห่ออยู่ เมื่อแก่จัดผลหรือฝักนี้จะแตกออก ประโยชน์ของงิ้วมีมากมาย อาทิเช่น เนื้อไม้ เป็นไม้เนื้ออ่อน จึงนำมาทำดินสอ ไม้จิ้มฟัน เยื่อกระดาษ, เปลือก ใช้ทำเส้นใย เชือก, น้ำมันจากเมล็ดใช้ปรุงอาหาร ทำสบู่ และปุยสีขาวใช้ยัดหมอนและที่นอนเช่นเดียวกับนุ่น ส่วนสรรพคุณทางยาพื้นบ้านหรือยาสมุนไพรนั้นก็มีไม่น้อย อาทิ เปลือก ใช้สมานแผลแก้ท้องร่วง กระเพาะอาหารอักเสบ ดอก ใช้แก้ไข้ ท้องร่วง บิด แผลฝีหนอง ห้ามเลือด ฟกช้ำบวม อักเสบ แก้คัน แก้กระหายน้ำ ยางใช้ห้ามเลือด ราก ใช้สมานแผล แก้แผลใน กระเพาะอาหาร บำรุงกำลัง เป็นต้น ในพระสูตรที่ว่าด้วย ‘เทวทูตสูตร’ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้เห็นถึงมหานรก ที่มีการลงโทษคนที่กระทำความชั่วอย่างน่าสะพรึงกลัว ก็ได้กล่าวถึงต้นงิ้วไว้ในความตอนหนึ่งว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ต้นสูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาว ๑๖ องคุลี มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุดฯ” และใน ‘นารทชาดก’ ได้พูดถึงเรื่องต้นงิ้ว ดังนี้ “...ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยหนามเหล็กคมกริบ กระหายเลือดคน หญิงผู้ประพฤติล่วงสามี และชายผู้หากระทำชู้ภรรยาผู้อื่น ถูกนายนิรยบาลผู้ทำตามสั่งของพระยายม ถือหอกไล่ทิ่มแทงให้ขึ้นต้นงิ้วนั้น...” รู้จักต้นงิ้วกันอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีใครอยากปีนอีกหรือเปล่า ?
พาเที่ยวภูทอก ภูสวรรค์แดนนิพพานค่ะ ภูทอก ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จ.หนองคาย ภูทอกมี 2 ลูกคือ ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ส่วนที่นักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถชมได้คือภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไปชมได้ตามปกติ ในอดีตอาณาบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย ต่อมาพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาจัดตั้งเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นสถานที่เงียบสงบ เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมของภิกษุ-สามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ในเวลาต่อมา ก่อนที่พระอาจารย์จวนจะละสังขาร ได้เล็งเห็นการณ์ไกลที่จะช่วยเหลือชาวบ้านแถวนี้ให้มีรายได้อย่างยั่งยืนและถาวร เป็นการตอบแทนบุญคุณญาติโยมที่มีอุปการะ จึงได้ริเริ่มจัดสร้างสะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพุทธรักษ์ คือการท่องเที่ยวในเชิงการแสวงบุญหรือธรรมจาริก นักท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์จากการเที่ยวชมธรรมชาติคือขุนเขาลำเนาไพรและได้ศึกษาพุทธศาสนา ส่วนชาวบ้านจะได้ประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าและธุรกิจร้านอาหาร (เงินจะสะพัด) นี่คือการช่วยเหลือประชาชนในแนวทางของพระอริยะ ส่วนพระที่ช่วยเหลือประชาชนโดยการบอกเลขใบ้หวย เป็นการช่วยเหลือที่ไม่จีรังยั่งยืน ฝากภาพเจดีย์พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ