ปฏิฆะ คืออะไรครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dooddd, 30 มิถุนายน 2012.

  1. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    ปฏิฆะคืออะไรครับ

    แล้วถ้าสมมติ
    พิจารณาร่างกาย บางทีก็รู้สึกว่าเกลียดร่างกายนี้ เกลียดการเกิด ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เบื่อ ลักษณะนี้
    แบบนี้ปฏิฆะหรือเปล่าครับ


    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2012
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center height=50><TBODY><TR><TD>
    ปฏิฆะ ความขัดใจ, แค้นเคือง, ความขึ้งเคียด, ความกระทบกระทั่งแห่งจิต
    ได้แก่ ความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ;
    (ข้อ ๕ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๒ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๒ ในอนุสัย ๗)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    คุณไปดูให้ดีว่ามันเป็น วิภวตัณหา หรือ นิพพิทาญาณ กันแน่....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2012
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ปฏิฆะ คือความโกรธ ครับ

    แล้วถ้าสมมติ
    พิจารณาร่างกาย บางทีก็รู้สึกว่าเกลียดร่างกายนี้ เกลียดการเกิด ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เบื่อ ลักษณะนี้
    แบบนี้ปฏิฆะหรือเปล่าครับ

    ใช่ครับ นี่คือ ปฏิฆะ
    แม้หน่อยหนึ่งก็เป็นปฏิฆะ เช่นความไม่สบายใจเป็นต้น
    ปฏิฆะ เป็นสังขารขันธ์
    โทมนัส เป็นเวทนาขันธ์
    ทั้งสองอย่างนี้ จะต้องเกิดพร้อมกันเสมอ จะพรากจากกันไม่ได้
    เมื่อเกิดปฏิฆะย่อมมีโทมนัส เมื่อมีโทมนัสย่อมมีปฏิฆะ
    ทั้งสองนี้เป็นเจตสิกเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ขันธ์ เพราะทำหน้าที่ทำกิจแตกต่างกัน
    และโทสะนั้น แปลว่า ประทุษร้ายอารมณ์ ซึ่งก็เป็นสังขารขันธเช่นเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กรกฎาคม 2012
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เป็น ปฎิฆะ เพราะจิตไม่มีความเป็นปกติ ความเป็นปกติจะไม่เกิดการดิ้นรน

    ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะขัดใจ หรือ ชอบใจ ปฎิฆะ หรือ ราคะ

    ก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน เพียงแต่อาจจะมองไม่เห็นเมื่อเกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา

    เพราะหากไม่มีการชอบใจ ย่อมไม่มีความรู้สึกขัดใจ

    สาธุครับ
     
  6. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    เกลียด แบบมี โทสะ ตัญหา
    เกลียด แบบมี ปัญญา
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    พิจารณาร่างกาย บางทีก็รู้สึกว่าเกลียดร่างกายนี้ เกลียดการเกิด ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เบื่อ ลักษณะนี้ แบบนี้ปฏิฆะหรือเปล่าครับ

    ตอบว่า ไม่ใช่ แน่นอน 1000% ครับ ของแบบนี้ หากลงมือปฏิบัติจริง
    เกิดความรู้สึก เกลียดการเกิด ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เบื่อ คุณจะพบว่า เรา
    จะไม่ตรึกแบบนี้

    การพิจารณาร่างกาย ให้เกิดความเกลียด หากลงมือจริง จะไม่ใช่ เกลียด
    การเกิด แต่ จะเป็น เกลียดการทำให้เกิด หรือ พูดกันตรงๆก็คือ การพิจารณา
    ร่างกาย หาก ทำจริง จะเกิดการเกลียด การเสพเมถุนธรรม เท่านั้น

    ส่วนการเกลียดการเกิด หรือ การรักชีวิตของตน จะต้อง เจริญมรณะสัญญา

    สรุปตรงนี้ก่อนว่า

    การพิจารณาร่างกาย เป็นเรื่อง การปฏิบัติธรรม 1000% ไม่ใช่ การไปทำ
    ให้พอกพูลกิเลส หรือ ปฏิฆะ ดังนั้น ใครก็ตามที่ตอบคุณว่า การพิจารณา
    ร่างกายเป็นการเจริญปฏิฆะ โทษะมูลจิต ไอ้พวกนี้ โง่บัลลัย ไม่เคยลงมือ
    ปฏิบัติธรรม อาศัย คำพูดหลอกตาชาวบ้านไปวันๆ ว่า รู้ตามความเป็นจริง
    แต่ ลงมือไปปฏิบัติไม่เป็นเอาเลย พวกเขาถึงได้ หลอกคุณเสียสนิทว่า
    การ เจริญพิจารณาร่างกายจนเกิดความไม่พอใจในราคะ เป็นเรื่อง การไป
    เจริญปฏิฆะ

    ทีนี้ ตัวเจ้าของกระทู้เอง ก็ ยังถือว่า ฟังธรรมมาไม่พอ หรือ ทรงจำมาผิด

    ให้คุณพิจารณาให้ว่า การพิจารณาร่างกายนั้น จะให้ผลเป็นความ รังเกลียด
    เบื่อหน่าย คลายกำหนัด งอ กลับมาพิจารณาที่จิต เนื่องจากจิตงอกลับออก
    จากราคะ เมถุนธรรมทั้งหลาย

    เมื่อตั้งจิตตั้งใจ จะจดธรรมของพระพุทธองค์ใหม่แล้ว สามารถรอดพ้นพวกที่
    ปฏิบัติไม่เป็น มากล่าวกลบสัทธรรม พูดให้เห็น ธรรม กลายเป็น อธรรม ได้
    แล้ว สามารถตั้งคำถามเพื่อให้ พวกที่กล่าวการปฏิบัติธรรมกลายเป็นการพอก
    พูลกิเลสได้แล้ว ก็ถือว่า คุณมีลาภทางการภาวนามาก ที่สามารถกำจัดพวก
    หลอกลวงลงเสียได้ ต่อไปนี้ ขอให้ จดจำ พระไตรปิฏก พุทธวัจนะ ที่จะ
    แสดงต่อไปนี้ให้ดี แทน

    ปล. โปรดหาอ่านเพิ่มเติมในส่วนของ

    อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑
    สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑
    อนิจจสัญญา ๑
    อนิจเจทุกขสัญญา ๑
    ทุกเขอนัตตสัญญา ๑

    ซึ่งถ้า จขกท สมาทาน การเจริญสัญญา 7 เหล่านี้ จะมีผลต่อการงกลับ
    ของจิตจากอกุศลธรรมอะไรบ้าง แล้วจดจำให้ดี สมาทานไปพิจารณาปฏิบัติ
    จนเห็นแจ้งจริงตามพุทธวัจนะ คุณก็จะเป็นผู้ที่สามารถ สำเร็จอรหันต์ได้ใน
    ชาตินี้ หากไม่ได้ ก็จะแทงตลอดจนเป็นอนาคามีเป็นอย่างต่ำ ตามอานิสงค์
    ของการเจริญสัญญา 7 ที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ไว้

    เราอย่าได้ไป จดจำพวกที่ มากล่าวให้เราเข้าใจผิดว่า การเจริญสัญญา7 กลาย
    เป็นการเจริญ โทษะมูลจิต โลภะมูลจิต โมหะมูลจิต อย่างพวกที่ ตอบให้คุณ
    เข้าใจผิดต่อธรรมข้างบนเด็ดขาด และ ขอให้รักษาตัวให้ห่าง อย่างปลอดภัย
    ตลอดชั่วกาลนาน


    ........................................................................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2012
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ปฏิฆะ ครับสังเกตุเวทนาจะเป็นโทมนัส อยู่ในกลุ่มโทสะ

    ขณะนั้นธรรม เป็นนิวรณ์ที่ควรกำหนดรู้


    ส่วนสภาวะเบื่อหน่ายในรูปนาม ที่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาโดยกำหนดรู้ โดยลำดับญาณ

    น่าจะเป็นเรื่องประจักษ์รูปนามเกิดดับซ้ำๆ เห็นโทษ เห็นภัยของการเกิดดับ

    เช่นกระทบอารมณ์มา มีอนุปัสสนาเป็นอารมณ์เห็นการเกิดขึ้นเมื่อกระทบอารมณ์

    เป็นปัจจัย เสวยผลวิบาก ปรุงกรรมใหม่ หรือ ปัจจัยสังขารปรุงแต่งเกิดรูปนาม

    เกิดดับไม่เกินนี้ เห็นโทษติดภพ พวกนี้เป็นปัญญาที่รู้แจ่มแจ้มยิ่งๆขึ้น

    เกิดจากปัญญาที่เห็นโทษภัย อารมณ์ไม่รุนแรงถึงขาดเกลียด จนไปฆ่าตัวตายเพื่อหนีโลกหรอก


    เป็นทัศนะนะครับ ^^
     
  9. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516


    เกียจร่างกาย เขาไม่เรียกปฏิฆะ เขาเรียกว่า มองเห็นสภวะธรรมตามความเป็นจริง

    ตัวนี้ละ จะทำไห้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ในร่างกายของเราเอง

    และของบุคคลอื่น

    คุณต้องไปตีความหมาย ว่า โกรธ คืออะไร พยาาบทคือออะไร ต้องตีไห้ออก

    ว่าสาเหตุ ทำไมถึงต้องโกรธ ต้องเกียจ ต้องไม่พอใจ รากฐานมูลเหตุมาจากอะไร

    การไม่ชอบใจในในร่างกาย ตามสภาวะธรรม หรือสภาวะได้พิจรณาธรรม

    พิจราณาอสุภะพระกรรมฐานเป็นต้น แบบนี้คนละส่วน คนละเรื่องกัน

    โลภ โกรธ หลง เป็นอารมณ์ ของโลก อารมณ์ที่ยังข้องอยู่ในโลก

    แต่อารมณ์แต่ เบื่อหน่าย เห็นางกายเป็นของสกปรก และก็เกียจ ร่างกาย

    อันนี้เป็นสภวะธรรม

    ผลลัพท์จะต่างกัน

    อย่างแรก ผลลัพท์ เกิดการประหัตประหาร ฆ่าฟัน ทำร้าย ทำลายซึ่งกันและ

    กัน (จิตใจพลุ่งพล่านมาก ดิ้นรน ไม่สงบสุข)


    อย่างที่สอง ผลลัพท์ ยิ่งเกิดมาก ยิ่งรู้สึกมาก จิตใจมีแต่สงบเย็น

    ไม่มีการประหัตร ประหาร หรือทำร้าย ทำลายกัน

    อะไรที่ไม่เข้ากัน สวนทาง ก็ต้งออยู่คนละกลุ่ม คนละจำพวกกัน คนละประเภทกัน
     
  10. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    ร่างกายนี้เป้นของน่าเกลียด น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก มองให้เห็นเป็นปฏิกูล ถูกแล้วไม่เกี่ยวกับปฏิฆะ
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เกลียดร่างกาย นี่ไม่ใช่ปัญญา เพราะร่างกายนี้เป็นสมบัติของตน ต้องบำรุงรักษาเพื่อประโยชน์ของเรา
    แต่ถ้าเป็นปัญญา ต้องพิจารณาว่า ร่างกายเป็นของสกปรก มีมูตร คูตร ต้องกิน ต้องขับถ่าย

    เมื่อเห็นประโยชน์และโทษ ทั้งสองฝั่ง้ว เราก็เลือกประพฤติตนให้เหมาะสมในทางสายกลาง คือ ไม่หลงไหลในกาย และ ไม่ปล่อยปะละเลย

    ทีนี้ มาดูการเกลียดการเกิด ก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะมันเป็นอารมณ์รู้สึกมาประเดี๋ยวประด๋าว พอหายจากอารมณ์แบบนี้ ก็ไปมีอารมณ์เพลิดเพลินอย่างอื่น ไม่เกลียดแล้วการเกิด มีแต่ความมัน ความสุข ที่ได้เกิดมา มันก็เป็นแบบนี้สลับไปทั้งสุขและทุกข์

    ทีนี้ถ้าเป็นปัญญา เราก็ต้องพิจารณาว่า โลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์ เราได้เกิดมาแล้วก็ต้องศึกษา ทุกข์และสุข เลือกเอาแต่ความรู้สึกที่ดี สนับสนุนให้ตนใช้ชีวิตได้มีความสุข มีกำลังที่จะกำจัดกิเลส และพัฒนาตนได้อย่างมีความสุข แต่ก็ไม่หลงเพลิดเพลินในความสุขจนเกินไป
     
  12. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    วิภวตัญหา. หรือ. นิพิทาญาณ. ตรองดูครับ
     
  13. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    อืมม งั้นผมขอถามอีกข้อครับ

    วิภวตัณหา กับ นิพพิทาญาณ

    ต่างกันยังไงครับ ผมแยกไม่ออกว่าผมหน่ะ อย่างไหนกันแน่

    แล้วสองอย่างนี้เกิดร่วมกันไม่ได้หรือครับ...

    ขอบคุณครับ
     
  14. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    เข้าใจล่ะครับ น่าจะ วิภวตัณหา ครับ

    แต่ก็แปลกดี เวลาโกรธวางได้ไว เสียใจวางได้ไว แต่พอเบื่อหน่ายทำไมวางไม่ได้ โง่จริงๆ ฮาๆๆๆ

    T_T บอกทางออกผมทีครับ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    โกรธวางได้ เพราะ พิจารณามาที่ กายใจ จึงเห็น จึงสละ

    เสียใจวางได้ ก็เพราะ พิจารณามาที่ กายใจ จึงเห็น จึงสละ

    เบื่อ วางไม่ได้ เพราะ ลืมกายลืมใจ เพราะ สำคัญในอารมณ์
    แล้วจมอยู่กับการสำคัญว่า...(เว้นให้เติบคำตอบ....


    *****************





    เบื่อ เมื่อไหร่ ก็ต้องย้อนกลับมา ดูกายดูใจ ไว้ พิจารณารสเบื่อนั้นห่างๆ
    อย่าไปเชื่อมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2012
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สังเกตนะ ว่า พระพุทธองค์กล่าวถึงคนที่กำลังทำ สติปัฏฐาน4 ทำได้
    ถึงขนาด พิจารณาธรรมในธรรมอยู่ กำจัดอภิชญา โทมนัสได้ด้วยนะ (ดูเบื่อนั่นแหละ)
    แต่ทว่า ไม่ฉลาดในการ รู้รส จิบๆรส แบบพ่อครัวชิมรสอาหาร ที่ปรุงให้พระราชานะ ไม่ใช่
    ปรุงให้ตน อันนี้ต้องพิจารณาด้วย ว่า เสมือนปรุงอาหารให้ผู้อื่น จึงให้ จิบๆ
    ชิมๆ รสเอาไว้ด้วย ไม่ได้ ให้ สวาปามเอาทั้งหมด

    พอเข้าใจไหม

    เบื่อเนี่ยะ ไม่ใช่ เพื่อให้เราเบื่อ แต่เรารู้รสเบื่อเอาไว้เผื่อ เพื่ออาศัยระลึก เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2012
  17. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    เอ่อ โดยตัวผมนะครับ
    เวลาโกรธ ก็คือรู้ว่าโกรธ โกรธแล้วทุกข์ (อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่ามันเสียดแทง)
    สุดท้ายพอโกรธ ก็หายโกรธ ก็ระงับในที่สุด โดยใช้เวลา
    ...เวลาโกรธ รู้แบบนั้น ผมก็วาง ตรงที่เบื้องปลายเลย ว่าตรงนี้มันวางไปแล้ว เลิกโกรธแล้ว เลิกเสียดแทงแล้ว
    พออารมณ์ตั้งเป็นปกติ ไอที่โกรธไปมันจบแล้ว จึงไม่วกไปหาความโกรธนั้น ไม่ถือสัญญาเก่ามาคิด

    เสียใจก็เช่นเดียวกัน

    แต่ไอที่ผมเบื่อนี้ ผมยอมรับว่ายังวางไม่เป็นจริงๆ
    เพราะไอที่เบื่อนี้ มันคือความปกติ เห็นว่ากายนี้มันทุกข์ มันเสียดแทงอยู่ตลอดเวลา
    เวลาพออารมณ์กลับมาเป็นปกติ คือไม่จับเบื่อแล้ว มันก็ต้องกลับมาดูเหมือนเดิมทุกที เพราะมันคือความจริง แล้วก็วนลูบ อย่างงี้ครับ

    ...ไม่รู้ถูกผิดนะ แต่ผมวางใจ รับอาตนะ ดูอาตนะ ให้รู้ว่ามันเป็นเช่นไร
    พอจับไปนานๆ ก็รู้สึกว่า มันรับอะไรมาตลอดเวลา แค่เราไม่รู้สีกตัว เช่นปากก็รับรสอยู่ตลอดเวลา หูก็ได้ยินตลอดเวลา ตาก็เห็นตลอด จมูกก็ได้กลิ่นตลอดเวลา กายก็รับความรู้สึกตลอดเวลา โดยเฉพาะสัมผัสกายด้านในผิวหนังนี้ มันรู้สึกตลอด แถมเป็นความรู้สึกที่เหมือนว่าเจ็บตลอดเวลา แค่มันเบามากจนแทบไม่รู้สึก (ใจยังดูไม่เป็น แต่คิดว่าเป็นอารมณ์รึเปล่าเอย ที่รับตลอดเวลา)

    พอจับตรงนี้ได้ก็รู้สึกว่า ไอกายเรานี้เหละ มันทุกข์อยู่ตลอด สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ทุกข์อยู่รำไป มันจับเอาอะไรดีไม่ได้เลย

    ทำเอาช่วงหนึ่งผมกินอะไร ผมก็จับผัสสะลิ้นเลย ว่ารสเป็นอย่างไร พอจับแบบรู้สึกเป็นช๊อตๆ มันก็รู้สึกว่า งั้นๆเหละ ไม่ได้อร่อยเลย แต่พอไม่จับโดยละเอียด มันก็ยังรู้สึกอรอ่ยอยู่บ้าง (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่อาหารเดียวกัน แต่ตั้งอารมณ์จับไม่เท่ากัน รสก็ไม่เท่ากัน...)

    สุดท้าย พออารมณ์ตกอยู่ตรงทุกข์ ผมก็นั่งดูเลย เมื่อกี้นี้สุข ตอนนี้ทุกข์
    เดียวมันจะสุข หรือจะทุกข์ก็ชั่งมันแล้ว ยึดไม่ได้เลย ยึดสุขเดียวก็ทุกข์ ยึดทุกข์มันก็ทุกข์ แถมมันแปรปรวนอีก

    โอ้ย ชีวิต จิตตกเป็นพักๆด้วยครับ วางไม่เป็น เพราะไม่รู้วางตรงไหน เพราะมันไม่ไช่อารมณ์ชั่ววูบเหมือนโกรธ กับเสียใจ

    สงสัยผมต้องลองหาวิธีวางให้ได้ซะล่ะมั้ง ไม่งั้นก็ลืมๆตรงนี้ไปให้ได้รึเปล่าก็ไม่แน่ใจครับ จะลองหาทางมั่วๆดู
     
  18. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    แล้วถ้าเบื่อ....ทั้งหลาย แล้วอย่างไรต่อครับ ----> ????

    ผมไปไม่ถูกจริงๆ

    ไม่งั้นผมก็ไปแบบโง่ๆ พุ่งชนตออยู่นั้นเหละครับ
    เบื่อ ---> ปฏิฆะ --> กลับเป็นปกติ ---> เห็นใหม่ ---> เบื่อใหม่ --> ปฏิฆะใหม่ ---> ปกติใหม่ --> เบื่ออีก --> ???

    ตอบ หรือเถียงได้เต็มที่ครับ ผมไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ขอให้ได้ความจริง หรือทางออกก็พอครับ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เนี่ยะ ภาวนามาได้เกินกว่า มีกึ๋น อีก


    แล้วสังเกตนะ ภาวนาได้ ในขณะที่เรา ไม่ต้องไปเรียกชื่อให้ถูกด้วย

    ปฏิฆะ วิภวะตัณหา นิพพิททา ที่ คนมั่วๆ เอามาให้คุณ จำไปใช้เนี่ยะ คุณโกย
    ทิ้งไปได้เลย ยังไม่ต้องไปหวง หรือ ห่วงว่า จะเรียกว่าอะไร

    คนฉลาดแท้ๆเนี่ยะ เขาจะภาวนาแบบคุณ นะ

    ทีนี้ กายเนี่ยะ ฐานกายเนี่ยะ คุณดูของคุณได้อยู่แล้ว

    ใจเนี่ยะ คุณก็ดูได้ ดูตรงไหน ก็ไอ้ตรง เสียดแทงใจ นั่นไง เอาตัวนั้นแหละ
    มาเป็น สำเนียกในนิมิต ที่พระพุทธองค์กล่าวถึง การรู้รสตรงนี้ คุณรู้ของ
    คุณคนเดียว จะหนัก จะเสียด จะเบา จะหายไปเลย ก็อยู่ตรงนี้

    เผลอทั้งวัน แต่ รสเสียดแทงใจยังอยู่ เนี่ยะ เจริญมรรค อยู่นะ ไม่ใช่ไม่ได้ภาวนา

    หากตกจากการรู้ เสียดแทงใจ สังเกตเลย มันจไปไหวๆ ตรงอื่น แล้ว คุณเนี่ยะ
    ฉลาดพอที่จะให้มันไม่เกินกายออกไปไหน เนี่ยะ คนภาวนาเป็น คนมีอินทรีย์
    ภาวนาชั้นยอด สามารถภาวนาได้ทั้งวัน โดยไม่ต้องตั้งท่า ....แต่เราไม่ทิ้งนะ
    หากว่าง ก็แอ๊คชั่นไว้บ้าง ไม่งั้น จะเป็นแบบวันนี้ คือ...................

    จิตมันหมดกำลัง แล้ว ไม่รู้จะทำอะไรต่อ

    ก็โถ จิตหมดกำลัง ก็ภาวนาในรูปแบบ ทำสมถะตามรูปแบบบ้าง ไม่ใช่
    วิปัสสนาดุ่ยๆ ทั้งวันแบบนั้น

    เว้นแต่.............................................

    ตรงนี้จะเป็นอีกพวกหนึ่ง ขณะที่คุณ กินก๊วยเตี๋ยว แล้ว แบ่งจิตไปสำเนียกรสที่ใจ
    สลับกับฐานลิ้น หรือกาย หรืออาการไหวๆ หรือ ศุภนิมิตอื่น ตรงนี้สังเกตดีๆ มัน
    จะมีจังหวะที่จิต ลงไปเก็บฌาณด้วยตัวเอง ตรงนี้หากมี ให้ทำการเห็นไว้ด้วย ถ้า
    มีปรากฏ เช่น กำลังยกกินอีกช้อนก็เกิดแสงว๊าบ สว่างขึ้นมาชั่วเสี้ยววินาที แล้วก็
    กินต่อ อะไรแบบนี้เรียกว่า จิตมันลงไปเก็บฌาณสมาบัติเอง แต่เก็บแบบ ไม่เสพเป็น
    สมาบัติ มันแค่เอาพอผ่านๆ ที่เรียกว่า ฌาณกระจุ๋มกระจิ๋ม พอเอามาวิปัสสนาต่อไม่
    หยุดเท่านั้น

    แต่หากไม่มี ก็ไม่ต้องกังวล ก็อาศัยทำตามรูปแบบไป

    ถ้าไม่ทำนะ อารมณ์หิวโลก มันจะเกิด

    ไอ้ อาการหิวโลกนี่แหละ ที่คุณเจอ อยู่ แล้วคุณก็รู้ว่า หากไม่ทำอะไรสัก
    อย่างเนี่ยะ อินทรีย์ภาวนาที่มีมันจะไม่ได้ใช้ ก็เลยมานั่งปรารภ

    ก็ต้องบอกหละว่า หากกลับไปเสพโลกบ่อยๆหนะ ลืมแน่นอน แหงแซะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2012
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้าคุณเป็นคนไม่มีภาระอะไรนะ ผมก็ ทำเป็นหยอดพูดว่า

    "หนทางของฆารวาส คับแคบ"

    ดีนะนี่ ที่ผมไม่ได้ไปรู้เรื่องอะไรคุณมาก ก็เลยไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...