ฝึกนั่งสมาธืแต่กลัวเห็นผี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย แพรมาลา, 7 พฤศจิกายน 2006.

  1. แพรมาลา

    แพรมาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +322
    กราบนมัสการแม่ชีค่ะ
    คือว่าเคยได้รับทราบมาว่าการนั่งสมาธินั้นพอพ้นระยะหนึ่งไป มันจะมีstep ที่จะเห็นโอปาติกะ วิญญาณ คนทีตายไปแล้วในนิมิต เพื่อให้เราปลงสังขาร ตอนนี้ผึกนั่งอยู่ค่ะ แต่กลัวขั้นตอนนั้นมากๆๆๆๆๆ เคยนั่งในห้องพระแล้วได้ยินคนดีดเล็บอยู่ข้างหู ดังแปะๆ พอลืมตาเสียงก็หายไป พอหลับตาก็เป็นอีก ประมาณ 4-5 ครั้ง ๆสุดท้ายเลยนั่งลืมตารอดูซิว่าจะเป็นงัย แต่ไม่มีเสียง พอหลับตาได้ยินอีกค่ะ คราวนี้ได้ยินทั้งเสียงดีดเล็บและเสียงเหมือนคนเอามือลูปถุงกอบแก๊ป ด้วยค่ะ ก็เลยลุกเลยเพราะกลัวมาก
    อยากเรียนนมัสการถามแม่ชีดังนี้ค่ะ
    1. จำเป็นไหมคะว่าทุกคนที่นั่งสมาธิพอจิตนิ่งสงบในขั้นหนึ่งแล้ว จะต้องมีช่วงฝ่าด่านเห็นผี หรือดวงวิญญาณ ในจิตของเรา ทำยังงัยไม่ให้ต้องฝ่าด่านนี้ได้ไหมคะ
    2.การที่เราสวดมนต์นั่งสมาธิในห้องนอนผิดไหมคะ พอจะทราบว่าควรทำในห้องพระ แต่ว่าหนูกลัวมากๆเลย นั่งในห้องนอนรู้สึกปลอดภัยกว่า เป็นอะไรไหมคะ เราต้องเลือกสถานที่หรือไม่คะ
    3. เวลาทำบุญตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว จำเป็นต้องกลับมากรวดน้ำอีกครั้งมั๊ยคะ ที่บอกว่าขนลุกแปลว่าเขาได้รับ ถ้าไม่ขนลุกแปลว่าเขาไม่ได้รับหรือคะ
    ขอบคุณแม่ชีค่ะ
    กราบนมัสการค่ะ
     
  2. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    เรื่องการนั่งสมาธิแล้วเห็นโน่นเห็นนี่นั้น...มันเป็นเรื่องปกติของคนที่จิตว่าง หรือที่เรียกว่า สงบนั่นแหละ

    สงบ แปลว่า ไม่เร่าร้อน ไม่พล่าน เมื่อไม่พล่าน ไม่เร่าร้อน จิตก็จะจับกับสิ่งที่เข้ามากระทบทางอายตนะ
    หรือร่างกายได้เร็วและชัด ความคิดก็จะปรุงแต่งเป็นโน่นเป็นนี่ ตามที่ตนเคยได้ยิน ได้ฟังมาสารพัด


    คนที่ไม่เคยเห็นผี จึงกลัวกว่าคนที่เคยเห็นผี

    ส่วนเรื่องการนั่งเห็นวิญญาณ หรืออะไรนั้น มันเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าจิตสงบ ทำได้ตามนั้น มันก็เกิดจริง...

    แต่ภาพเหล่านั้น ทำอะไรเราไม่ได้นี่ นอกจากเราจะทำตัวเราเองนั่นแหละ คือหลอกหลอนตัวเอง

    อย่ากลัวเลย ถ้าเราเห็นบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเอง ภาพที่เกิดขึ้นนั้น เดี๋ยวเดียวมันก็หายไป แล้วก็มีภาพใหม่เกิดขึ้นมาแทนอีก อยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่ไปใส่ใจกับมัน ทำจิตให้ว่าง สักพักมันก็หายไปหมด ไม่มีภาพอะไรมาปรากฎอีก คงมีแต่ความสบาย

    ส่วนเรื่องการนั่งสมาธินั้น นั่งตรงไหนก็ได้ แต่ต้องให้มิดชิดและปลอดภัยหน่อยนะ ไม่ใช่ไปนั่งตามที่ล่อแหลม หรืออันตราย

    การกรวดน้ำนั้น เราจะใช้น้ำก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ และเมื่อแผ่ส่วนบุญให้คนตายก็ขนลุก ก็แปลว่าผู้ตายได้รับ แต่ถ้าไม่ขนลุกก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ได้รับนะ มันอยู่ที่ว่า เราตั้งใจให้และผู้รับตั้งใจรับหรือเปล่า ก็เท่านั้นเอง

    (f)(f)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  3. nongkull

    nongkull เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +141
    ชอบกระทู้นี้มาก ๆ ค่ะ
    เพราะก้อกลัวเหมือนกัน เมื่อก่อน สมัยยังเด็ก ๆ ประมาณ สิบกว่าขวบ พ่อมักให้สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน จำคำครูสอนว่าถ้าตั้งใจนั่งสมาธิจะเรียนเก่ง เลยฝึกนั่งกำหนดลมหายใจ วันหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน แต่ไม่รู้ภาษา จึงลืมตาขึ้นมา ก้อไม่ได้ยินเสียงอะไร เป็นอย่างนี้อยู่ 2 วัน ก้อเตลิดเลยคะ ไม่เอาแล้ว
    และเมื่อ2-3 ปีที่แล้ว ก้อได้ลองนั่งใหม่ คราวนี้ไม่ได้ยินเสียงเลยแถมสบายใจอีกด้วย แต่แปลกตรงที่ว่ามักมีความรู้สึกว่ามีคนอยู่กับเราตอนนั่งสมาธิ และจากไม่เคยฝันประหลาดหรือสัมผัสอะไรได้ ก้อเจอคนที่ตายไปแล้ว เกือบยี่สิบปีมาหาทั้งกลุ่ม แถมได้กลิ่นเหม็นจนตื่น เลยไม่กล้าอีกเลยค่ะ เดี๋ยวนี้จะให้นั่งก้อกลัวจะเห็น จะฝัน จะได้ยิน ไม่รู้ว่าฟุ้งซ่านไปหรือเปล่าค่ะ
     
  4. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    หลายคนพอทำสมาธิแล้วเห็นโน่น เห็นนี่ ทำให้กลัวการนั่งหลับตาไปเลย...

    หนูเอ้ย...ขนาดเราเห็นโน่นเห็นนี่ เรายังกลัวขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เรายังไม่รู้ ไม่เห็นอีกมากมาย เราจะกลัวขนาดไหน?

    เห็นเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจจะได้ขจัดความกลัว เมื่อเกิดกลัวเสียแล้วจะทำอะไรได้เล่า? ยังมีผู้คนอีกมากมายที่กลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ กลัวในสิ่งที่เป็นความจริง มันจึงไม่รู้ ไม่เข้าใจ เรียกง่ายๆคือ "โง่"

    แม่ชีว่าหนูควรจะศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนดีไหม? แล้วเริ่มทำกับมันใหม่
    เมื่อนั้นแหละความกลัวของหนูจะหายไปทันที จะมีก็แต่ความอยากทำและทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในที่สุด

    พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนว่า "จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" นั่นคือ อย่าประมาทในชีวิต

    จงคิดสร้างสิ่งที่ดีงาม ทำในสิ่งที่ดี นั่นคือ"บุญ "ไว้เป็นเสบียง เป็นพี่เลี้ยงตุนไว้ เป็นผลกำไรสำหรับชีวิตนี้และชีวิตหน้าต่อไป

    อย่ากลัวเลย ลองเริ่มทำใหม่สิ แม่ชีเอาใจช่วยนะ ถ้าหนูอยู่ไม่ไกล คอยติดตามฟังข่าวดูนะ ประมาณเดือนธันวาคมนี้ แม่ชีจะขึ้นกรุงเทพฯไปสอนเรื่อง "การทำสมาธิพิชิตความโง๋ "ที่ทองหล่อ ซ. 7 ซึ่งลูกศิษย์เขาจัดให้
    และยินดีต้อนรับชาวพลังจิตด้วย ยังไงคงได้เจอกันบ้างนะ
    (verygood)(bb-flower
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  5. แพรมาลา

    แพรมาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +322
    กราบนมัสการแม่ชี
    ถ้ามีโอกาสอยากไปกราบแม่ชีในวันที่แม่ชีมาค่ะ
    ประชาสัมพันธ์ด้วยนะคะ วันและเวลาน่ะค่ะ
    แม่ชีคะ..การที่คนเราอย่างเช่นหนูนี้
    ยังอยู่ในสังคม ต้องทำงาน พบปะผู้คน
    หนูเองชอบเรื่องสวยงาม แต่งตัวค่ะ
    ชอบแฟชั่น (ทำงานในแวดวงเสื้อผ้ามาตลอด 7-8 ปี ก่อนตกงานน่ะค่ะ)
    ทุกวันนี้ก็ยังติดกับความสวยงาม คือกลัวแก่ ต้องทาครีมบำรุงผิว ไม่ทาก็ทนไม่ได้
    กลัวไม่สวย อยากแต่งตัว แต่งหน้าทำผม
    แต่ใจส่วนหนึ่งเวลาอ่านคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อ
    ท่านกล่าวถึง กิเลส การทำสมาธื ต่างๆ ซึ่ง
    เราจะต้องมองร่างกายของเรา ไม่ใช่ของเรา
    มันเป็นซากศพ สิ่งเน่าเหม็น เหมือนถุงหนังหุ้มขี้ (ขี้ทั้งหมดในร่างกาย ขี้หู ขี้ตา ขี้มูก ฯ)
    เราต้องมองว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ยึดติด
    ถามว่าหนูเชื่อคำสอนนี้ไหม หนูเชื่อ
    พยายามคิดตามแล้วมองให้มันเป็นสิ่งไม่เที่ยง
    เวลาเห็นอะไรก็จะคิดว่า เออ..นะ มันก็แค่เปลือกนอก
    มันเป็นสิ่งที่ต้องเน่าเปื่อยเหมือนกันทุกคน
    แต่พอมาถึงตัวเอง กลับยังต้องแต่งตัว แต่งหน้า
    ชอบของสวยงาม ยังรักตัวเอง
    ถ้าวันหนึ่งไปทำงาน ก็ต้องแต่งตัวไปทำงาน
    ให้ไปทำงานโดยไม่แต่ง ไม่ปรุง ก็ทำไม่ได้
    หนูจะทำอย่างไรดีคะ
    อย่างนี้แปลว่ายังมีกิเลสอยู่ใช่มั๊ยคะ
    แล้วจะเป็นอุปสรรค ต่อการผึกนั่งกรรมฐานหรือไม่คะ
    โปรดแนะนำ เพราะยังทำใจไม่ได้ต่อเรื่องนี้จริงๆ
    ไม่ทราบจะทำอย่างไรค่ะ
    กราบนมัสการค่ะ
     
  6. nongkull

    nongkull เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +141
    ถ้ามีโอกาสจะเข้าไปพบแม่ชีให้ได้ค่ะ
     
  7. rosey

    rosey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,345
    โอ๊ะ.. ดีจังเลยเจ้าค่ะ ..
    อยู่ใกล้กันแค่นี้..
    สงสัยจะมีโอกาสกับเค้าบ้างก็คราวนี้แหละน๊า...
    อนุโมทนา สาธุ ...
    (bb-flower (bb-flower (bb-flower

     
  8. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    พระพุทธเจ้าสอนในเรื่องของการลด ละกับกิเลส แต่ไม่ได้บอกว่า

    "ไม่ให้ดูแลร่างกายนี่ "

    พระองค์ท่านยังสอนให้ดูแล บำรุงร่างกายตามควร ตามภูมิประเทศ เช่น อากาศหนาว ผิวแตก ก็ต้องใช้ครีมทา ข้อนี้จัดอยู่ใน คิลาฯ คือเป็นยารักษา เป็นยาป้องกัน แต่ไม่ให้ไปยึดกับมันว่า ทาแล้วจะเป็นอมตะ คือ ไม่เหี่ยว ไม่ตายนะ

    ในพระภิกษุนั้น พระองค์ยังอนุญาตให้อบสมุนไพรได้เลย ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น

    การดึงหน้า ทาครีมตามฐานะ มีกำลัง สามารถเสียค่าใช้จ่ายได้ โดยไม่เดือดร้อนก็ไม่เห็นแปลก

    คนเราต้องอยู่ในสังคมที่อยู่รวมกันมากมาย การเสริมความงามก็ไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใคร และไม่ได้เบียดเบียนตัวเอง ก็ไม่ผิดนี่

    พวกที่รักสวยรักงาม ก็จัดอยู่ในพวกราคะจริต พวกนี้จะยึดสวยงามจนเกินความพอดี เมื่ออะไรในร่างกายพร่อง ของที่ชอบหาย ก็จะเป็นทุกข์

    ฉะนั้นการดูของไม่สวยงาม หรือของเหม็นเน่า เท่ากับเป็นการเตือน การสอนให้รู้ตามความเป็นจริงว่า

    ทุกอย่างมีเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา แต่เราสามารถชะลอ หรือบำรุงรักษา ซ่อมแซมเพื่อใช้งานมันต่อไปได้ สักระยะเท่านั้น

    และเมื่อต้องเสื่อม ต้องชำรุด ต้องสูญสิ้นไป เราก็ทำใจกับมันได้ ไม่เร่าร้อน เพราะเราเข้าใจตามความเป็นจริง

    อย่าพะวงเลย มีเงินก็ซื้อเครื่องบำรุงใช้ได้ แต่อย่าถึงกับขาดมันไม่ได้ และเมื่อถึงเวลาทิ้งมันไม่ได้นะ

    การทำสมาธิมันก็ไม่เกี่ยวกับข้อนี้นี่ สมาธิคือ การที่จิตตั้งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีสติครอง คือรู้ตัวทั่วพร้อมกับการกระทำ

    ชอบสวยงาม ก็รู้ว่าชอบสวยงาม เสื่อมก็รู้ว่าเสื่อม

    ไม่ใช่สวยงามก็ไม่รู้ เสื่อมก็ไม่เข้าใจ ถ้าเป็นอย่างหลังนี้ ก็เสร็จกัน...

    (b-oneeye)(b-oneeye)
    ธรรมะสวสัดี สาธุ!!!!
     
  9. แพรมาลา

    แพรมาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +322
    มีเรื่องกราบเรียนถามเพิ่มเติมค่ะ
    ได้อ่านหนังสือมีข้อความดังนี้
    "วิญญาณ คือ จิตขณะสุดท้ายในภพนี้ดับลง ก็เป็นเหตุให้ปฏิสนธิวิญญาณหรือ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ทันที
    หมายความว่า คนและสัตว์ตายแล้วเกิดทันที ไม่มีการรอเกิดหรือให้ใครสวดก่อนจึงจะเกิดได้ จะเกิดเป็นอะไรก็เป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ ได้รับผลของกรรมดีกรรมชั่ว เริ่มตั้งแต่เกิดเป็นต้นไป และในขณะที่รับผลกรรมเก่าอยู่ ก็เริ่มทำรรมใหม่ต่อไปอีก หมุนวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัฎฎสงสาร ...."(จากหนังสือ วิญญาณแสนรู้ - ต้นไม้ ใบใหม่)
    มีข้อสงสัยคือ
    1.ที่ท่านกล่าวว่า เมื่อตายแล้วเกิดทันที แล้วทำไมถึงมีดวงวิญญาณสิงสถิตคามที่ต่างๆ
    ที่มีคนตายแล้ววิญญาณเขายังวนเวียนอยู่ แบบยังไม่ไปเกิด
    เช่น บ้านร้างทีมีวิญญาณที่ตายในที่นั้นยังคงอยู่ ณ ที่ตาย สร้างปรากฏการต่างๆที่คนเรียกว่าโดนผีหลอก (ซึ่งเขาอาจไม่ได้อยากจะหลอก แต่เราคิดว่าเขาหลอก) พวกเขาเป็นวิญญาณ หรือจิตดวงหนึ่งเช่นกันหรือเปล่าคะ แล้วทำไม
    พวกเขาจึงไม่ได้ไปเกิดทันที หรือที่แม่ชีเล่าว่ามีผีทะเลาะกัน พวกเขาเป็นจิตทียังไม่ได้เกิดด้วยหรีอเปล่า
    สรุปแล้ว ผี คือวิญญาณหรือ จิตที่ไปเกิดเป็นผี หรือคะ หนูงงค่ะ
    2.ที่เขาบอก ตาย เพราะ กรรมตัดรอน คือยังไม่ถึงแวลาตาย แต่กรรมส่งผลให้ตายก่อนเวลา พอตายไป ดวงจิตจึงต้องสถิตอยู่บริเวณนั้น หรือล่องลอยไปรอเวลาเกิด อย่างนี้เท๊จจริงแค่ไหนคะ ตกลงตายแล้วเกิดทันทีหรือไม่คะ
    3.เจ้าที่ เช่น เจ้าที่บ้าน เจ้าที่เรือน บางที ปรากฏเป็นเทวดา บ้างก็เป็น ตายาย อยากทราบว่า บุคคลที่จะไปเกิดเป็นเจ้าที่นั้นทำบุญอะไร และอะไรเป็นตัวกำหนดว่า จะไปเกิดเป็นเจ้าที่ ที่บ้านหลังไหน เพราะบ้านทุกหลัง สถานที่ต่างๆนั้นมีเจ้าที ใช่ไหมคะ อันนี้ก็งงอีกเหมือนกันค่ะ
    4.ตอนที่แม่ชีเล่าว่าเมื่อก่อนกลัวผีมากนั้น ทำอย่างไรจึงหายกลัวจนสามารถคุยกับผีได้คะ เหื่อนหนูเขานั่งสมาธิแล้วมีเสียงคนเดินรูดของรอบห้องเลย เขากลัวมากรีบโทรมาเล่าให้หนูฟังเมื่อวาน หนูก็กลัวอยู่แล้วเมื่อคืนเลยไม่ได้นั่งสมาธิเลย ทำยังไงดีคะ ที่แม่ชีบอกว่า กลัวผีทำไม เขามาก็ช่างเขา ก็แผ่เมตตาให้เขาไป หนูรับทราบแต่หนูทำใจไม่ได้จริงๆ ทำไมเขาต้องทำเสียง อะไรแบบนี้ด้วย หนูเองก็เคยเจอ เขาไม่ทำแบบนี้กับเราไม่ได้หรือ หนูไม่เข้าใจ เรื่องนี้ทำให้หนูไม่กล้านั่งสมาธิเลย หนูกลัวมาก บอกได้คำเดียวว่า กลัวคร๊าบบบบบบ
    แล้วที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมานี้ พระที่สอบอารมณ์ท่านก็ได้บอกว่า หากได้ยินเสียงอะไร เห็นอะไร ก็ให้กำหนดรู้นะ
    เหมือนกับท่านจะบอกเป็นนัยๆเตืนอไว้ก่อนว่า เจอแน่ ถ้าเจอแล้วต้องทำอย่างนี้นะ
    ช่วยหาวิธีแก้กลัวให้หนูทีค่ะ ไม่ว่าใครจะสอนให้คิดยังไง หรือเข้าใจสัจธรรมว่าทุกคนก็เคยเป็นผีมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง อีกไม่นานเดี๋ยวก็ได้เป็นผีเหมือนกับเขานั่นแหละ จะไปกลัวทำไม
    อันนี้หนูทราบแต่ก็กลัวอยู่ดี กลัวๆๆๆๆๆๆๆ
    นมัสการค่ะ
     
  10. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    เรื่องที่ถามมานั้น ยังมีอีกหลายคนที่ยังงงอยู่เหมือนกัน...

    ที่บอกว่าตายแล้ว ก็จุติหรือเกิดเลยโดยไม่ต้องปฏิสนธินั้น หมายความว่า
    เมื่อตาย สังขารดับ จิตก็จุติหรือเกิดใหม่เลยโดยไม่ต้องปฏิสนธิในครรภ์มารดา

    คือเกิดใหม่ในอีกภพภูมิที่ไม่มีตัวตน เรียกง่ายๆคือจิตวิญญาณ
    หลุดออกจากร่างกายล่องลอยไปในอากาศนั่นเอง


    ส่วนเรื่องของเจ้าที่นั้น มันเป็นเรื่องของการมีบุญหรือมีบารมี คือตอนเป็นคนได้ทำบุญ สร้างความดีเอาไว้
    พอตาย ความดีหรือบุญนั้นก็เป็นเกราะป้องกัน หรือเรียกว่า รัศมี หรือความศักดาใหญ่นั่นแหละ คนหรือผีที่มีความศักดาในตน เขาก็เรียกว่า เทวดา
    คนดีหรือเทวดาไปอยู่ตรงไหน ใครก็ชอบให้อยู่ด้วยก็เท่านั้นเอง

    ฉะนั้นหนูไม่ต้องตกใจกลัวผีเลย เพราะผีที่มาให้เห็น ให้หนูสัมผัสได้นั้น บางคนหรือบางผีก็เป็นเทวดา

    ผีหรือเทวดา หรือคนมันก็อยู่รวมกันบนโลกใบนี้แหละ ผีหรือวิญญาณก็เหมือนกับลม ที่มองไม่เห็นรูป ไม่มีรูปแน่นอน แต่เมื่อลมมากระทบกับร่างกายของเรา เรารู้สึกได้ว่ามีลมมากระทบ


    มันไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์อะไรเลย เพราะมันมีของมัน แต่คนเราไม่ได้เรียนรู้ จึงไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เลยกลัว ถ้ารู้ ถ้าเข้าใจ ก็จะหายกลัวแน่นอน
    ผีหรือวิญญาณเหล่านี้รอการจุติเป็นมนุษย์

    แล้วใครเป็นผู้กำหนดการเกิดของพวกเขา?

    ความพร้อมและจังหวะ ที่เรียกว่า กรรม คือ กรรมที่ตนยึดอยู่นั้นเบาบาง เผ่าพันธ์ เครือญาติผู้ร่วมกรรมพร้อม ที่จะตั้งครรภ์ ถ้าทุกอย่างพร้อม การกลับมาจุติเกิดในครรภ์มารดาก็เป็นไปได้เร็ว

    แต่ถ้าบางอย่างไม่พร้อม ที่เขาเรียกว่า ยังต้องรับกรรมชั่วอยู่ การมาเกิดในครรภ์มารดาใหม่ก็ยากนักนั่นเอง

    บางอย่างอ่านในหนังสือเองก็อาจจะทำให้เรางงๆก็เป็นได้ เพราะไม่มีผู้อธิบาย มันก็เหมือนกันกับ เวลาที่เราเรียนในห้องเรียน มีอาจารย์อธิบาย ขยายประโยคออกไป


    ส่วนคนที่เรียนโดยอ่านหนังสือเอง แล้วไปสอบนั้น พวกนี้ต้องขยันและหาข้อมูล เพิ่มเติมมากกว่าผู้ที่มีครูอาจารย์อธิบายเสียอีก

    คนเราจะรู้ จะฉลาดได้นั้น มันต้องมีครูคอยชี้นำและชี้แนะ แต่ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่าเชื่อเพราะเป็นครูของเรา"

    นั้นไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้มีครู หรือไม่ให้เชื่อครู แต่อย่ายกย่องผู้ที่ไม่มีความรู้จริงว่าเป็นครู หรือให้เป็นครูคอยชี้แนะแต่สิ่งที่ผิด
    ไม่ถูกต้องนั่นเอง

    ถ้าไม่มีครูกัน ป่านนี้คนทั้งโลกก็โง่ตายกันหมดแล้ว จริงไหม?

    อธิบายมาพอประมาณ ถ้ายังกลัวผีอยู่ ก็แปลว่า ไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงนะ คนที่รู้จริง เข้าใจจริง เขาเลิกกลัวผีกันแล้วจ้า...

    ถ้าอยากหายกลัวผี ก็ลองมาอยู่ที่สถานที่ปฏิบัติธรรมของแม่ชีสิ ที่นี่มีเด็กๆที่กลัวผีมาอยู่ปฏิบัติธรรม จนเลิกกลัวผีแล้ว

    แถมยังอยากเจอ อยากเห็นผีตลอดเวลาเสียอีก ลองดูไหมล่ะ?

    เอ้า...อย่ากลัวในสิ่งที่ไม่รู้และในสิ่งที่ไม่เห็นเลยนะ

    (b-oneeye)(b-oneeye)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  11. แพรมาลา

    แพรมาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +322
    กราบนมัสการแม่ชีค่ะ
    ขอบคุณแม่ชีที่ชี้ทางสว่างให้กับคนใจมืดมนคนนี้
    ฟังดูลิเกเล็กน้อย แต่รู้ตัวเองดีว่า เอาดีได้ยาก แต่ก็ยังไม่ท้อที่จะเอาดี
    คนมันรั้น และที่สำคัญใคร่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้
    ถ้าจะถามแม่ชีอีกสักเรื่อง แม่ชีโปรดเมตตาสงเคราะห์เป็นธรรมทานด้วยนะคะ
    คืออยากถามเรื่องการเกิดเป็นชาย กับเป็นหญิง
    1.ผู้เกิดเป็นชายนั้นมีบุญจำเพาะบางอย่าง มากกว่าคนเกิดเป็นหญิงใช่หรือไม่
    เคยอ่านมา ท่านว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงระบุไว้ พระพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นชายแต่สถานเดียว
    อีกทั้งคนเกิดเป็นหญิงถือศิลบวชได้แค่ 10 ข้อ
    ที่นี้ก็อยากเรียนถามว่า
    2.บุญอะไรที่กำหนดเพศเกิด
    แล้วถ้าคนเกิดเป็นชายมีบุญ(บางอย่าง)มากกว่าหญิง
    3.ทำไมคนชั่วคนเลวส่วนใหญ่เป็นชาย เช่น นักฆ่า มือปืน จิตทราม ข่มขืน ฆาตกรใจโหด
    คนเลวนั้นจะเลวก็มีกำเนิดมาแต่อดีตชาตประกอบกับกรรมปัจจุบัน
    ทำให้ไฝ่เลว ทำไมเขาได้เกิดเป็นชายละคะ
    4.ทำไมเพศหญิงถึงได้มีสิทธิในการบวช และ
    มีสถานะและสิทธิในเชิงปฏิบัติของโลกธรรมด้อยกว่าเพศชาย
    จะเห็นเพศหญิงห้ามเข้า ในเขตศักดิ์สิทธิบางที่ด้วย
    5.อยากทราบว่าองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้างหรือไม่คะ
    นมัสการค่ะ
     
  12. แพรมาลา

    แพรมาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +322
    ศิล 8ข้อ ไม่ใช่ 10 พิมพ์ผิด ขอโทษด้วยค่ะ
     
  13. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ต้องขอโทษที่ตอบช้า มาเปิดดูเห็นคำถามที่ถามมา น่าสนใจจริงๆ ดีมากที่ถามมาเช่นนั้น นานๆจะเจอคำถามอย่างนี้
    จึงรอช้าไม่ได้แล้ว ขอตอบจ้า....

    คนเราได้เกิดมาเป็นหญิงเป็นชายนั้นไม่สำคัญนะ เพราะหญิงชายเป็นของคู่กันของโลกธรรมชาติ

    การได้เกิดมาเป็นหญิงเป็นชายไม่ได้หมายความว่าทำบาปและทำบุญต่างกันหรอก ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า

    "หญิงชายต่างมีปัญญาและสามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน หากทำเหมือนกัน"

    การผิดเพศนั้นเกิดจากการผิดศีล ฉะนั้นคนที่ทำกรรมเอาไว้มากมาย ก็จะมีการเปลี่ยนเพศไปตามกรรม และต้องมาชดใช้กรรมที่ตนทำ

    ส่วนพระพุทธองค์ไม่เคยเกิดมาผิดเพศนั้น

    เพราะพระองค์ตั้งมั่นในการทำความดี ไม่หวั่นไหวและไม่คลอนแคลน
    สรีระภายนอกนั้นเป็นชายเป็นสิ่งสมมติทางโลก แต่สภาวะทางจิตใจนั้น


    พระองค์มีทั้งหญิงและชายรวมอยู่ภายใน จึงทำให้พระองค์มีจิตใจอ่อนโยน ละมุนละไม ร่างกายภายนอกนั้นมีความแข็งแรง แข็งแกร่ง

    พระพุทธองค์ทรงสอนผู้ชายให้รู้จักความเป็นชายที่แท้จริง คือต้องปกป้องคุ้มกัน ผู้หญิงและผู้ที่อ่อนแอกว่า

    เพราะในอินเดียนั้น ธรรมเนียมประเพณีนั้นยึดถือผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นกันทั้งโลกนั่นแหละ
    พระองค์จึงกำชับผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง อย่าเบียดเบียนสตรีผู้มีร่างกายอ่อนแอกว่าด้วยกำลัง ให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สันติสุขย่อมเกิดมีขึ้น

    เมืองไทยเรารับประเพณีมาจากอินเดีย ที่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ซึ่งมันก็ยากแก่การที่จะเปลี่ยน หรือลบล้างชนชั้นวรรณะได้
    ก็ขนาดพระพุทธองค์ยังทำไม่ได้เลย มันก็เลยเถิดมาถึงทุกวันนี้แหละ

    อย่าแปลกใจไปเลยที่บางที่ห้ามสตรีเข้า ก็บอกแล้วไงเรารับประเพณีมาจากอินเดียและมันก็เปลี่ยนยากเสียด้วย

    เพราะผู้ชายบางคนก็ยังยึดถือแบบเดิม ไม่ยอมให้ผู้หญิงมาเดินข้างๆ
    ให้ผู้หญิงเดินตามหลังแต่พอมีปัญหาก็ดันผู้หญิงนำหน้าไปแก้แทน เฮ้ย...ทำใจแล้วกันนะ

    ผู้ชายบางคนที่มีจิตใจเข้าข้างผู้หญิงก็มักจะถูกโจมตีจากผู้ชายด้วยกัน

    เอาละ...จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายและเพศไหนไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ วันนี้เราทำดีกันแล้วหรือยัง?
    อย่างอื่นแก้ไม่ได้ เรามาแก้ใจของเราให้ดี ทำดีออกมาทางกาย และพูดในสิ่งที่ดีแล้วกัน
    เมื่อเราทำดีได้อย่างนี้ครบถ้วน กรรมเวรชั่วก็จะมีน้อย ที่สำคัญใจเราไม่ทุกข์ สุขใจแต่ว่ากายต้องมีอันเป็นไปตามเวลา

    นี่แหละคือธรรมชาติที่เป็นเรื่องธรรมดาของโลกจ้า...
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  14. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ต้องขอโทษที่ตอบช้า มาเปิดดูเห็นคำถามที่ถามมา น่าสนใจจริงๆ ดีมากที่ถามมาเช่นนั้น นานๆจะเจอคำถามอย่างนี้
    จึงรอช้าไม่ได้แล้ว ขอตอบจ้า....

    คนเราได้เกิดมาเป็นหญิงเป็นชายนั้นไม่สำคัญนะ เพราะหญิงชายเป็นของคู่กันของโลกธรรมชาติ

    การได้เกิดมาเป็นหญิงเป็นชายไม่ได้หมายความว่าทำบาปและทำบุญต่างกันหรอก ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า

    "หญิงชายต่างมีปัญญาและสามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน หากทำเหมือนกัน"

    การผิดเพศนั้นเกิดจากการผิดศีล ฉะนั้นคนที่ทำกรรมเอาไว้มากมาย ก็จะมีการเปลี่ยนเพศไปตามกรรม และต้องมาชดใช้กรรมที่ตนทำ

    ส่วนพระพุทธองค์ไม่เคยเกิดมาผิดเพศนั้น เพราะพระองค์ตั้งมั่นในการทำความดี ไม่หวั่นไหวและไม่คลอนแคลน
    สรีระภายนอกนั้นเป็นชายเป็นสิ่งสมมติทางโลก แต่สภาวะทางจิตใจนั้น พระองค์มีทั้งหญิงและชายรวมอยู่ภายใน
    จึงทำให้พระองค์มีจิตใจอ่อนโยน ละมุนละไม ร่างกายภายนอกนั้นมีความแข็งแรง แข็งแกร่ง

    พระพุทธองค์ทรงสอนผู้ชายให้รู้จักความเป็นชายที่แท้จริง คือต้องปกป้องคุ้มกัน ผู้หญิงและผู้ที่อ่อนแอกว่า

    เพราะในอินเดียนั้น ธรรมเนียมประเพณีนั้นยึดถือผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นกันทั้งโลกนั่นแหละ

    พระองค์จึงกำชับผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง อย่าเบียดเบียนสตรีผู้มีร่างกายอ่อนแอกว่าด้วยกำลัง ให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สันติสุขย่อมเกิดมีขึ้น

    เมืองไทยเรารับประเพณีมาจากอินเดีย ที่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ซึ่งมันก็ยากแก่การที่จะเปลี่ยน หรือลบล้างชนชั้นวรรณะได้
    ก็ขนาดพระพุทธองค์ยังทำไม่ได้เลย มันก็เลยเถิดมาถึงทุกวันนี้แหละ

    อย่าแปลกใจไปเลยที่บางที่ห้ามสตรีเข้า ก็บอกแล้วไงเรารับประเพณีมาจากอินเดียและมันก็เปลี่ยนยากเสียด้วย

    เพราะผู้ชายบางคนก็ยังยึดถือแบบเดิม ไม่ยอมให้ผู้หญิงมาเดินข้างๆ
    ให้ผู้หญิงเดินตามหลังแต่พอมีปัญหาก็ดันผู้หญิงนำหน้าไปแก้แทน เฮ้ย...ทำใจแล้วกันนะ

    ผู้ชายบางคนที่มีจิตใจเข้าข้างผู้หญิงก็มักจะถูกโจมตีจากผู้ชายด้วยกัน

    เอาละ...จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายและเพศไหนไม่สำคัญ

    สำคัญตรงที่ วันนี้เราทำดีกันแล้วหรือยัง?

    อย่างอื่นแก้ไม่ได้ เรามาแก้ใจของเราให้ดี ทำดีออกมาทางกาย และพูดในสิ่งที่ดีแล้วกัน
    เมื่อเราทำดีได้อย่างนี้ครบถ้วน กรรมเวรชั่วก็จะมีน้อย ที่สำคัญใจเราไม่ทุกข์ สุขใจแต่ว่ากายต้องมีอันเป็นไปตามเวลา

    นี่แหละคือธรรมชาติที่เป็นเรื่องธรรมดาของโลกจ้า...
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  15. Story Note

    Story Note สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    ฝึกนั่งสมาธิแต่กลัวเห็นผี

    O^_^O

    เป็นคำถาม...ที่หลาย ๆ คน อยากถาม..แล้วตัวฉันเองก็อยากถาม

    ความกลัว กับ ความกล้า พอจิตอยาก กลับไม่เจอ..

    จิตตั้งมั่น สติพร้อมที่จะรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น มันรับมืออยู่ค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ
     
  16. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ความกลัวของคนเราเกิดจากความไม่รู้และความไม่เข้าใจ
    ส่วนความกล้าของคนเรา เกิดขึ้นจากความมุทะลุของจิต

    สติจะเกิดจะมีขึ้นได้นั้น บุคคลจะต้องรู้และเข้าใจเสียก่อน เมื่อรู้และเข้าใจ ความประมาทหรือเผลอจึงมีน้อย

    รู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะจิตแบบไม่ต้องเกร็งและไม่ต้องฝืน

    สติครองอยู่ได้ด้วยความปกติในชีวิต นั่นแหละจึงจะเรียกว่า มีสติโดยแท้

    บุญรักษา ธรรมะสวัสดี

     
  17. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    กราบนมัสการแม่ชีค่ะ
    ดิฉัน ..เกิดมามีกรรม มาแต่เด็ก..เกิดมา ยังไม่ครบเดือน พ่อ ก็ส่งไปอยู่โรงเลี้ยงเด็ก ..
    อยู่จน พ่อไม่มีเงินถ่ายตัวออกมานั่นแหระ
    นานเท่าไร ไม่รู้ ..รู้แต่ว่า เวลาแม่ไป เยี่ยม แม่จะกลับมาเล่า ว่าดิฉัน ชอบเอา
    หัวโขกพื้น ชอบทำร้าย ตนเอง อันนี้เป็นพฤติกรรมของ เด็กมีปัญหา
    พอ พ่อมี เงิน ไปเบิกตัว ก็ส่งไปให้ย่าเลี้ยง ที่ ต่างจังหวัด โต จนเข้า อนุบาล
    ไปรับกลับ
    กลับมาอยู่ก็เหมือน คนแปลกหน้า โดนตี เหมือนวัว ควาย เข็มขัด ไม้สามหน้า
    โดน ทีเขียวไป หลายวัน
    แรงผุ้ชายคนหนึ่ง ตี สุดๆๆ แรงเกิด ชีวิตตอนเด็กไม่มีความสุข คำว่ารักพ่อ ไม่มี
    แต่ก่อน เกลียด แต่เดี่ยวนี้ ให้อภัย แต่จะให้บอกว่ารัก ไม่อยากผิดศีลห้า นะค่ะ
    เพราะความ เป็น เด็กมีปัญหา ทำให้ชีวิต หวังพึง ผุ้ชาย แต่โชคดีเค้าไม่ได้ทิ้งเรา
    เรากลับเป็นฝ่ายทิ้งเค้า
    ชีวิต วนเวียนอยู่แบบนี้
    ทุกวันนี้ มีลูกสาว สี่คน ..
    ต้อง ทนเลี้ยงลูก ให้จบ
    มีเวลา ก็ จะไปถือศีล

    ทุกวัน ปฏิบั้ต ธรรม อยู่กับบ้าน




    นั่งใหม่ เกิด ปิติ
    นั่งใหม่ เกิด เห็นสิ่งต่างๆ นา ๆ

    รู้แต่ว่า กลัวบาป กลัวกรรม
    เวลานั่งสมาธิ ภาวนา เสมอ เกิดชาติ ขอให้ กลัวบาป กลัวกรรม อย่าทำผิดศีล
    อยู่ในศีล ในธรรม อยู่ใน พระพุทธบาท มุ่งสู่ นิพพาน ต่อไป

    เวลาโกรธ พยายามเตือน ตนเอง อย่าโกรธ ความโกรธ คือ คนบ้า


    พยายาม อยู่เสมอ ..


    ขอขอบคุณนะค่ะ ที่มีกระทู้ดีๆๆ ให้ อ่าน
    แคทค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2007
  18. สุขและทุกข์

    สุขและทุกข์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +55
    กราบนมัสการแม่ชีครับ
    เมื่อ10กว่าปีก่อนผมเคยฝึกนั่งสมาธิ จนสามารถมองทะลุกำแพงได้ มองเห็นของที่กำอยู่ในฝ่ามือได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันมืดไปหมด มองอะไรไม่เห็น นั่งสมาธิก็ไม่ติด ใจวุ่นวาย ขี้เกียจ ปวดเมื่อย ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ฝึกมานั้นเป็นโลกียณาน ไม่ใช่โลกุตตระธรรม แต่ผมก็ยังวางโลกียไม่ได้ อยากมุ่งโลกุตตระเหมือนกันแต่ยังมืดมนหาทางไปไม่ได้ ขอกราบแม่ชีช่วยสั่งสอนด้วยครับ
    นมัสการด้วยความเคารพ
     
  19. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    เรื่องการทำสมาธินั้นไม่ยากหรอก สมาธิ คือการมีสติอยู่กับตัวและความคิด รู้ว่าทำอะไร พูดอะไร นั่นแหละสมาธิ

    ส่วนการนั่งหลับตาแล้วเห็นนั่น เห็นนี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราสามารถทำได้ระดับหนึ่งก็จะเกิดการรู้เห็น เหมือนเป็นจริง

    ตอนที่เห็นนั้น เราพยายามกระทำ ทำแล้วจิตเกิดการเคลิบเคลิ้มเป็นภวังค์ ลืมความอยากไปชั่วขณะ ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม

    อยากกลับไม่ได้อยาก ไม่อยากกลับได้ในสิ่งที่เลิกอยาก นี่เป็นธรรมข้อหนึ่งที่คนเรามักหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เมื่อรู้แล้วก็จงจดจำอารมณ์เดิมตอนไม่อยากนั้น แต่ให้เพียรพยายามทำให้ถึงที่สุด ผลที่อยากได้ก็จะบังเกิดขึ้นเป็นที่ประจักษ์แก่ตาในโดยประการฉะนี้ละจ้า...
    บุญรักษา/ธรรมะสวัสดี
     
  20. Dear-Dear

    Dear-Dear Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +45
    กราบนมัสการแม่ชีค่ะ

    คือ หนูนั่งสมาธิตอนเด็กๆรู้สึกเหมือนตัวลอย พอตอนนี้รู้สึกแขนขาหายไป หนูอ่านกระทู้เขาบอกว่าเป็นเพราะจิตกำลังรวมกันจริงหรือเปล่าคะ

    บางครั้งหนูก็รู้สึกเหมือนกับว่า วิญญาณออกจากร่างแต่เมื่อพิจารณาดูแล้วก็รู้ว่ากายหยาบนั่งอยู่ที่เดิมอ่ะค่ะ แบบนี้เป็นอุปาทานหรือเปล่าคะ คือนั่งอยู่ในบ้านแต่เหมือนจิตอยู่นอกบ้านค่ะ หนูก็งงๆ

    และล่าสุดขณะนั่งสมาธิรู้สึกมีคนอยู่ข้างๆ คือได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังมากๆที่ข้างๆหูซ้ายค่ะ
    หนูตกใจกลัวจึงออกจากสมาธิ เป็นอันจบ สิ่งที่หนูเล่าเกิดจากอะไรคะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...