ไปปฏิบัติธรรมแต่เจอผู้ไม่หวังดี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย birdskung, 15 มิถุนายน 2012.

  1. birdskung

    birdskung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +32
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง และเกิดขึ้นเมื่อช่วงสัปดาห์วิสาขบูชาที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา (ขอเรียกแทนสำนักปฏิบัติธรรมว่า "วัด") ซึ่งการไปวัดของดิฉันครั้งนี้ เป็นการไปครั้งแรกหลังจากที่ไปกับโรงเรียนสมัยยังเป็นเยาวชน และวัดแห่งนี้ก็ไปเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน

    คอร์สวิสาขบูชาที่ดิฉันได้ไปนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 7 คืน 8 วัน ด้วยความที่ไม่เคยไปวัดนี้ และไม่เคยปฏิบัติธรรมแบบเป็นคอร์สมาก่อนจึงเดินทางไปก่อนล่วงหน้า 1 วัน เพื่อดูที่นอน และห้องน้ำ (ตามประสาผู้หญิง)

    ดิฉันเดินทางไปถึงวัดประมาณบ่าย 3 โมง หลังจากที่ไปแจ้งทางวัดว่าจะมาเข้าคอร์สครั้งนี้ และไปสำรวจดูเรือนนอนเรียบร้อย ก็กลับมาเอาสัมภาระที่รถ ระหว่างที่กำลังเตรียมของอยู่ก็มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเป็นสำเนียงโคราชพูดมา ดิฉันหันกลับไปมองเพราะไม่ทราบว่าพูดกับใคร ชายคนนั้นรูปร่างสูง อายุประมาณ 55-60 ปี กำลังพูดมาที่ดิฉันว่าให้ย้ายที่จอดรถ เพราะตรงที่ดิฉันจอดอยู่นั้นอาจจะมียางไม้หล่นลงมาทำให้สีรถเสียหายได้ ดิฉันเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมีต้นไม้หนาแน่นเต็มไปหมด จอดตรงไหนก็คงไม่ต่างกัน แต่ด้วยความที่ดิฉันไม่เคยมา และมีผู้หวังดีเตือน ก็เลื่อนไปจอดตรงที่ลุงคนนั้นแนะนำ หลังจากขอบคุณเรียบร้อย ลุงแกก็เข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบ ว่ามาวัดนี้กี่ครั้งแล้ว มากับใคร ถามนู้นนี่สัพเพเหระ ดิฉันก็รู้สึกดีที่เพิ่งมาถึงวันแรกก็ได้พบกัลยาณมิตรเสียแล้ว คุยกันสักพักดิฉันก็ขอตัวไปเก็บสัมภาระ

    หลังจากวันนั้นเวลาพบกันตามสถานที่ต่าง ๆ เช่นในศาลาปฏิบัติธรรม โรงอาหารสำหรับดื่มน้ำปานะ หรือเดินสวนกันระหว่างทาง ดิฉันก็มักจะยกมือไหว้ ยิ้มทักทายเสมอ เพราะเนื่องจากทางวัดมีกฏระเบียบในการปฏิบัติคือให้ปิดวาจา ห้ามพูดกัน ระหว่างที่รับศีล ให้อยู่กับตัวเองให้มากที่สุด

    แต่เราก็มีโอกาสได้พูดกันอีก เพราะดิฉันจะเดินไปที่ลานจอดรถเพื่อสตาร์ทรถวันเว้นวัน เพราะรถจอดไว้นาน และก็มักจะเจอลุงที่รถเสมอ แกก็จะเข้ามาคุย ถามว่าไหวมั้ย กินข้าวมื้อเดียว จะอยู่ถึงวันสุดท้ายหรือเปล่า และก็จะถามเรื่องส่วนตัวว่าดิฉันมีครอบครัวหรือยัง ทำไมยังไม่แต่งงาน ฯลฯ แกเล่าให้ฟังว่าแกชอบไปวัด มีพรรคพวกชวนไปวัดที่เวียดนาม แล้วก็จะไปอินเดียปลายปีนี้ อีกทั้งยังบอกว่าหลังจากจบคอร์สแกจะไปวัดอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่แถว ๆ นั้น วัดนี้เก่งเรื่องดูดวง เกี่ยวกับเนื้อคู่ คู่ครอง พูดจบก็ถามดิฉันว่าสนใจไปหรือไม่ ดิฉันได้แต่ตอบไปว่าก็น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ตกลงใจว่าจะไปหรือไม่

    หลังจากที่คุยกันสัก 2-3 ครั้ง ดิฉันก็มักจะสังเกตุเห็นลุงมักจะมองดิฉันเวลาเดินเข้ามาในห้องปฏิบัติ เวลาเดินไปตักอาหาร หรือเวลาทานน้ำปานะ และมักจะจำได้เสมอว่าดิฉันมาศาลาปฏิบัติสาย หรือไม่ได้ขึ้นมานั่งสมาธิหลังทำวัตรเย็น ดิฉันเริ่มแปลกใจว่าทำไมลุงต้องสังเกตมากขนาดนี้ จึงพยายามหลบหน้า ไม่ไปสตาร์ทรถเวลาพัก เพราะทราบว่าแกต้องไปอยู่ที่รถ จึงมักไปเวลาหลวงพ่อบรรยาย ซึ่งทำให้ขึ้นไปฟังธรรมสาย หรือเวลาเดินอยู่ในวัดก็มักจะสังเกตว่าลุงเดินอยู่ตรงไหน ดิฉันก็จะหลบไปอีกทาง จนถึงวันก่อนวันสุดท้าย ที่หลวงพ่ออนุญาติให้พูดกับคนรอบข้างได้บ้าง ดิฉันก็ได้มีโอกาสคุยกับคุณป้าสองท่านที่นอนติดกันอยู่ทุกวัน ได้แต่ยิ้มให้กัน แต่ไม่มีโอกาสได้คุย เริ่มต้นก็คุยด้วยเรื่องทั่วไป มาจากไหน มาวัดบ่อยมั้ย ทำไมมาคนเดียว ทำงานการอะไรอยู่ หลังจากนั้นดิฉันก็เล่าเรื่องลุงคนนี้ให้ฟัง เพียงแค่อยากรู้ว่าป้าทั้งสองท่านเคยเห็นลุงคนนี้มาก่อนหรือไม่ เพราะแกมาบ่อยเหมือน ๆ กัน คุณป้าทั้งสองหลังจากฟังเรื่องราวก็สรุปตรงกัน ลุงคนนั้นน่าจะแอบชอบดิฉัน และอาจจะพูดจาทำนองจีบก็ได้ แต่ดิฉันก็แย้งไปว่า ลุงแกแก่คราวพ่อขนาดนั้น แล้วนี้ก็ในวัดคงไม่ได้คิดอย่างนั้น คุณป้าก็ให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไร จีบหรือไม่จีบเราก็รับไมตรีไว้ เวลามาวัดจะได้มีเพื่อน

    วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม หลังจากได้ลาศีล และกราบลาหลวงพ่อแล้ว ดิฉันก็ไปอาบน้ำ เปลี่ยนจากชุดขาว เป็นชุดธรรมดา และเก็บข้าวของสัมภาระต่าง ๆ รวมถึงทักทายคนรอบข้างที่เห็นหน้ากันมากว่า 8 วันแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกัน ตามประสาผู้หญิงซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควร และดิฉันก็ได้ตกลงกับคุณป้าทั้งสองท่านว่าจะไปส่งที่สถานีรถไฟแถวนั้น เพราะท่านต้องนั่งรถไฟกลับจ.สุรินทร์

    หลังจากขนของเดินลงมาที่รถ ปรากฏว่าลุงแกยืนรออยู่ที่รถ หน้าตาไม่สู้ดี และถามดิฉันด้วยน้ำเสียงดูดันว่า ทำอะไรอยู่ ทำไมเพิ่งลงมา ดิฉันกับคุณป้าทั้งสองมองหน้ากันอย่าง งง ๆ ว่าทำไมใช้น้ำเสียงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเช่นนี้ ดิฉันก็ตอบไปว่า อาบน้ำ และเก็บของอยู่ค่ะ ลุงแกถามกลับมาว่าแล้วจะไปไหนต่อ กลับบ้านเลยหรือเปล่า ดิฉันตอบไปว่าจะไปส่งคุณป้าสองท่านนี้ที่สถานีรถไฟ แล้วก็กลับบ้านเลย แกหันกลับมาทำหน้าไม่พอใจแล้วถามว่า ไหนตกลงกันไว้ว่าจะไปวัดด้วยกันไง ดิฉันที่ลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็คิดในใจว่าแกยังจำได้หรือนี่ ก็เลยบอกไปว่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวไปส่งคุณป้าก่อน แล้วจะตามไป เพราะวัดอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นให้บอกทางแล้วกัน ลุงแกก็ซักไซร้ว่าไปส่งคุณป้าที่สถานีรถไฟไหน ทำไมไม่ไปที่สถานีที่อยู่ข้าง ๆ วัด คุณป้าแกก็ส่งภาษาอีสานกลับไปว่าสถานีข้างวัดมันเล็กกลัวรถจะไม่จอด ให้ไปสถานีใหญ่หน่อยจะได้ไม่ตกรถ ลุงแกก็เหมือนไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมเพราะดิฉันยืนยังว่าอย่างไรก็ต้องไปส่งคุณป้าทั้งสองให้ได้ แกจึงตัดบทว่าให้เอาเบอร์มือถือให้แก แล้วแกจะออกไปรอก่อน เดี๋ยวแกจอดรอตรงไหนจะโทรบอก

    พอขึ้นรถแล้วดิฉันและคุณป้าทั้งสองก็คุยเรื่องนี้กัน ซึ่งดิฉันบอกว่าดิฉันไม่ค่อยไว้ใจลุงคนนี้ และไม่ชอบน้ำเสียง กริยาท่าทางที่แกแสดงออก ซึ่งคุณป้าทั้งสองก็เห็นด้วย แต่ก็บอกดิฉันว่า อย่าคิดมาก แกคงจะไม่ใช่คนไม่ดี เพราะมาวัดบ่อยแล้วก็ถือศีล แต่ก็ไม่ลืมกำชับว่า ถ้าไปแล้วเห็นท่าไม่ดีให้รีบขับรถกลับบ้าน และอย่าไปขึ้นรถเค้า ดิฉันรับปากและบอกว่าจะคอยโทรบอกข่าวคราวเป็นระยะ

    ระหว่างขับรถไปสถานีรถไฟลุงแกโทรตามตลอดว่า อยู่ไหนแล้ว จอดรถรออยู่เส้นบายพาสเข้ากรุงเทพ ให้รีบมา พอส่งคุณป้าเสร็จดิฉันก็ขับรถไปจนถึงที่ ๆ แกบอกว่ารออยู่ ก็ไม่เห็นรถ ดิฉันจึงขับไปเรื่อย ๆ แกโทรเข้ามาอีก ดิฉันบอกว่าไปถึงตรงที่ลุงบอกแล้วก็ไม่เห็น แกบอกให้ขับมาเรื่อย ๆ จนเห็นแกยืนอยู่ริมถนน ดิฉันขับรถเข้าไปจอดเทียบและลดกระจกลง ลุงแกโผล่หน้าเข้ามาในรถและพูดว่า แกโทรไปถามลูกสาวแล้วบอกว่าพระท่านไม่ดูให้ตอนเย็น ต้องมาตอนเช้า ดิฉันโล่งใจจึงบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นค่อยมาใหม่วันหลังก็แล้วกัน ลุง
    แกทำหน้าไม่พอใจว่าวันหลังกว่าจะได้มา เดี๋ยวก็ว่างไม่ตรงกัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้นอนค้างที่โคราชนี้สักคืน แล้วพรุ่งนี้เช้าก็ค่อยไปดูดวงที่วัดด้วยกัน ดิฉันตกใจมากที่ลุงคนนี้กล้าเอ่ยปากชวนดิฉันให้นอนค้างด้วยกัน จึงต้องมุสาไปว่าคงไม่ได้ เพราะคุณแม่โทรมาแล้วให้รีบกลับ ลุงแกเลยบอกว่าให้นอนค้างเพราะลุงเห็นว่าหนูมีไฝ 3 เม็ดข้างหลัง ดิฉันแย้งกลับไปว่าไม่มีหรอกค่ะ แกบอกว่ามีสิลุงเห็น อยู่ที่กระเบนเหน็บข้างหลัง ลุงเคยไปเรียนวิชามาจากเขมร ตอนไปรับเหมาติดตั้งเสาโทรศัพท์ ไปกับเพื่อนอีกคน และเพื่อนคนนั้นได้บวชตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดที่ชวนดิฉันไปตั้งแต่ต้น แต่บอกว่าพระทำพิธีเอาไฝออกให้ไม่ได้ ลุงจะทำให้ก่อน แล้วชีวิตหนูจะดีขึ้น ทั้งหน้าที่การงาน และคู่ครอง อีกทั้งยังได้อ้างว่าลูกชาย และลูกสาวแก แกก็ทำให้เอง ตอนนี้ได้ทำงานธนาคาร และมีครอบครัวที่ดีไปแล้ว ทั้งยังบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาซื้อเป็ด 1 คู่ และดอกไม้ธูปเทียนสำหรับทำพิธี

    หลังจากที่ได้ยินคำว่า "ไฝ" และ "ทำพิธี" ดิฉันรู้เลยว่ากำลังจะโดนหลอกไปทำมิดีมิร้ายแน่ ๆ และยังให้นอนค้างอ้างแรมอีกตะหาก จึงยืนยันกลับไปว่าไม่ค้าง และต้องกลับแล้ว เดี๋ยวจะถึงกรุงเทพค่ำ แกจึงจำใจให้ดิฉันกลับ ดิฉันปิดกระจกรถ แล้วรีบขับรถออกไปทันที หลังจากนั้นไม่ถึง 2 นาทีลุงแกโทรเข้ามือถือดิฉัน แต่ดิฉันไม่รับโทรศัพท์อีกเลย ซึ่งโทรมาเกือบ 10 สายได้ หลังจากนั้นก็มีเบอร์แปลก ๆ โทรเข้ามา ดิฉันก็ไม่กล้ารับ เพราะคิดว่าแกอาจจะเอาเบอร์อื่นโทร ดิฉันกลัวมาก ไม่คิดว่าจะเจอคนบาปในคราบนักบุญในการมาปฎิบัติธรรมครั้งแรกนี้ ดิฉันโทรกลับไปเล่าให้คุณป้าทั้งสองฟัง ท่านฟังแล้วก็ตกใจมาก และไม่คิดว่าคนนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล และอายุมากแล้ว จะคิดอะไรลามก น่าขยะแขยงเช่นนี้ แต่ท่านทั้งสองก็ยังให้กำลังใจดิฉันว่า ยังดีนะที่เราเป็นคนดี คิดดี และเพิ่งปฏิบัติธรรมเสร็จ จึงทำให้ลุงนั้นเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็น และเราก็ได้รู้เสียก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อพิธีกรรมหลอกลวงนั่น

    เรื่องที่ดิฉันนำมาเล่านี้เพียงเพื่ออยากให้เป็นอุทธาหรณ์กับทุกท่านว่าคนที่ไปวัดทุกคนอาจจะไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิด ถึงอย่างไรก็ต้องระวังตัว และมีสติตลอดเวลา อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ เด็ดขาด เพราะช่วงที่ดิฉันอยู่วัดยังมีเพื่อนผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกัน โทรศัพท์มือถือหาย และของหาย ซึ่งหลวงพ่อเองท่านก็ยอมรับว่าพวกมิจฉาชีพที่แฝงมาในคราบผู้เข้ามาทำบุญและมาขโมยของมีมาตลอด ซึ่งก็ต้องให้เราช่วยกันสอดส่องดูแล และไม่ทิ้งของมีค่าไว้เด็ดขาด ยังไงก็ฝากให้เพื่อน ๆ ระวังตัวกันด้วยนะค่ะ บุญรักษาค่ะ
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขึ้นชื่อว่าคน มีดี และไม่ดี ปะปนกันไป ไม่เลือกสถานที่ แม้แต่ในวัด ในสถานปฎิบัติธรรม ฉะนั้น จงรักษาตัว อย่าไว้ใจใครครับ การปฎิบัติธรรม ไม่ได้ขึ้นกับผู้อื่น แต่อยู่ที่ตัวเราเอง
     
  3. ทีมชุมพร

    ทีมชุมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +167
    ถูกต้องครับให้ระวังไว้ ทุกท่านนะครับ ขอบคุณมากครับที่นำมาเขียนโพสเตือนทุกคน อย่าดืมน้ำจากคนแปลกหน้า อย่าวางแก้วน้ำไกลตัว
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ขอขอบคุณสำหรับประสบการณ์ตรงนี้นะคะ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากสำหรับผู้หญิงเรา
     
  5. บัวล้านนา

    บัวล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +436
    ในที่ที่ซึ่งมีผู้ปฏิบัติ ในสถานที่แห่งนั้นย่อมมีมารแฝงตัวอยู่เสมอ ผมก็เคยเจอทั้งในรูปของพระ ในรูปของแม่ชี และผู้ที่มาปฏิบัติธรรมก็ตาม บางครั้งเห็นแล้วทำให้จิตตกมากไม่เชื่อว่าจะมีบุคคลแบบนี้อยู่ในพระพุทธศาสนา บางสถานที่ (สถานปฏิบัติธรรม) ก็เคยเกิดเหตุที่ไม่ดีต่างๆๆ มากแต่ก็ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะสถานที่แห่งนั้นอาจเสียชื่อเสียงได้ ............ด้วยความเคารพ เวลาไปปฏิบัติธรรมพระหรือแม่ชีที่ดีท่านจะบอกให้ระวังตัวเสมอ อย่าไว้ใจใครให้มาก ท่านจะคอยเตือนเรื่องพวกนี้มากเพราะท่านก็รู้อยู่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในสถานที่ปฏิบัติธรรม..............
     
  6. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    ...คนดีไม่ได้ดูที่เข้าวัดเข้าวา หรือนุ่งขาวห่มขาวค่ะ

    ...ที่พูดนี่เพราะเคยประสบมาแล้ว และเคยหัวเสียกับคนประเภทนี้มาแล้ว

    ...จึงทำให้รู้ว่า..คนเราถึงจะปฏิบัติธรรมแม้ไม่ถึงพระอนาคามีขึ้นไป ก็ยังหาความดีมิได้ค่ะ
     
  7. Era

    Era Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +191
    ต้องระมัดระวังครับ ทุกวันนี้คนจิตไม่ปกติ มากมายเหลือเกิน!!
     
  8. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    ยินดีด้วยที่ปลอดภัย ในหมู่คนย่อมมีคนดีและคนเลว อย่าคิดว่าเราดีไม่เป็นภัยกับใครแล้ว
    คนอื่นจะคิดแบบเราทุกคน(อยากรู้จังวัดไหนทำให้คนโคราชเสียหาย)
    อันที่จริงแล้วการปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องไปวัดเพราะธรรมไม่ได้อยู่ที่วัดตัวธรรมอยู่ที่ใจของเรา ให้ใจของเราอยู่ในกุศลกรรมตลอดเวลานี้เป็นจุดประสงค์ของการปฏิบัติธรรมแล้ว
     
  9. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    อ่านกระทู้นี้แล้ว
    ทำให้เข้าใจว่า ทำไม หลวงปู่ที่เราชอบไปปรึกษาปัญหาการปฏิบัติสมาธิ
    ท่านถึงไม่ให้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่วัด(วัดท่านไม่มีคอร์สปฏิบัติธรรม เป็นเพียงวัดป่า)
    ท่านแนะนำให้ทำห้องพระที่บ้านให้เป็นวัด เพราะเราก็เคยไปหลายวัดแล้ว แนวทางก็รู้แล้ว น่าจะทำเองได้แล้ว และอันตรายก็อยู่รอบด้านจริงๆ สาธูค่ะ เป็นอุทาหรณ์สอนใจจริงๆ
     
  10. sornchai-k

    sornchai-k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +672
    ผมว่าเขาคงได้บาปไปเยอะนะครับ ขนาดออกจากวัดหมาดๆ ทำเป็นทักนั่นทักนี่อีก ไม่เข้าใจจริงๆ สาธุบุญรักษานะครับ
     
  11. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ก้ไม่ได้มีอะไรเเน่นอนอยู่เเล้ว ในการใช้ชีวิต ก็ต้องเจอคนดี คยเลวสลับกันไปมา
    ในสมัยพุทธกาลก็มีปริพาชกเข้าไปถามพระองค์ว่า เจอคนทุศิลบนสวรรค์ เจอคนรักษาศิลในนรกก็มี พระองค์งบตอบบอก อานนทว่า เป็นกรรม3ระดับ กรรมที่3คือกรรมก่อนที่จะตาย เพราะความประมาท

    มีบางพวกก็ไปตีความหมายของศิล5ผิดๆว่า ตัวเองนั่นถือศิล5เเล้ว เห็นว่าเป็นข้อปฏิบัติ นึกว่าเป็นคนดีเเละ ก็พูดจาดีไป อาศัยที่ว่าพูดจาดีอย่างเดียว เเต่จิตใจก็ยังไม่ได้ปรับปรุงอะไร เหมือนเดิม ไม่ได้เพียรละ เพียรระวัง เพียรสร้าง เพียรรักษา ก็เหมือนกับว่า ผู้นั่นอยู่ในความประมาทโดยเเท้ เป็นทางเดินที่ถูกครึ่ง1 เเต่ก็ตกม้าตายก่อนเข้าเส้น เพราะไม่ได้ทำ สิ่งที่สมควรทำ คือ ความไม่ประมาท เเทนที่ปัญหาจะหมดไปครึ่ง1 เเต่ดันไปเอาความเป็นปัญหาเพิ่มมาอีก1เต็มๆ คือความติดดี ความคิดว่าตัวเองทำถูกต้อง ศิล5ครบเเละไม่ต้องต่อเเละ ติดในสมมุติพอ ในตัวตนดี เลยมี บุคคลเลวขึ้น ตนเองเลยคิดว่าไม่มีใครดีเท่าเรา เราดีกว่า เราเยอะกว่า เรายิ่งกว่า เรียกว่าจิตมีอารมใหญ่ก็ต้องพิจรณา ถ้าเผลอๆก็ดู จืดๆ หมองๆ หงอยๆ พวกนี้เมื่อ เห็นคนทุศิล อย่างดีก็ได้เเค่คิดว่าไม่ดีไม่นานก็หยุดคิด อย่างเลวนี้ก็ลงไม้ลงมือ ลงมือลงเท้า
    เห็นมั้ย ถึงยังไงเราก็ต้องดูคน ที่จิตใจของคน สำคัญ ดีกว่ามองคนภายนอกไม่ไหว

    เเม้ว่าจะ ขั้นลุง ขั้นพ่อ อายุสูงๆ เเต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า ความขลังจะสูงตามอายุ ต้องปฏิบัติชำระจิตใจให้ผ้องเเผ้วเท่านั่นถึงเรียกว่า ผู้สูงด้วยปัญญา ต้องใช้เวลาในการดูคนให้นานๆ ไม่ใช่เห็นหน้าตาน่านับถือ หรือดูเเค่คำพูดที่ดีเท่านั่น


    อยากบอกว่า ศิล5นั่นเป็นข้อปฏิบัติก็จริง เเต่ในพระสูตรบอกเป็น ปฏิปทาจนถึงวิมุตติได้เลย สำคัญมาก ก็ต้องเริ่มที่ กายวาจา เเต่ก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาทางใจ ให้ดีขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  12. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    คนเรามองกันภายนอกไม่ได้หรอกครับ จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง

    โชคดีที่คุณมีสติ
     
  13. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,843
    อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน อย่าหยิบของจากคนแปลกหน้า..ฯลฯ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องระวังนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...