สนทนาภาคปฏิบัติธรรมที่ควรรู้ของ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ" สำหรับอนุชนรุ่นหลังๆ

เล่าเรื่องหลวงปู่ให้หลานฟัง

[FONT=&quot]บันทึกคุณลุงเล่าเรื่องหลวงปู่ให้หลานฟัง[/FONT]

[FONT=&quot]หลานเอ๋ย สมัยที่เจ้ายังเป็นเด็กเล็กอยู่นั้น เป็นช่วงเวลาที่ลุงได้ไปรู้จักพระดีรูปหนึ่งที่อยุธยา ลุงมีความสุขมากที่ได้เห็น ได้พูดคุย ได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ใคร ๆ เรียกท่านว่า "หลวงพ่อดู่" และเรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่ลุงอยากจะเล่าให้หลานฟังเพื่อให้หลานได้รู้จักว่าหลวงปู่ ท่านเป็นอย่างไร เพราะไม่แน่ว่าวันข้างหน้า คนเขาอาจจะเล่าเรื่องท่านคลาดเคลื่อนจนหลวงปู่กลายเป็นองค์อื่นไปเสียฉิบ[/FONT]

[FONT=&quot]๑.[/FONT] [FONT=&quot] เรื่องที่เขาหาว่าหลวงปู่ท่านสอนวิชาตั้งศาลพระภูมิ [/FONT]
[FONT=&quot]สมัยที่ลุงเข้าวัดกราบหลวงปู่ใหม่ ๆ นั้น[/FONT][FONT=&quot] ลุงสังเกตเห็นมีลูกศิษย์หลวงปู่ ๒ คน มีอาชีพตั้งศาลพระภูมิทั้งคู่ ลุงได้เห็นถึงความเมตตาอย่างล้นเหลือของหลวงปู่ที่มีต่อศิษย์ที่สนใจมา ปฏิบัติธรรมกับท่าน ถ้าหลานรู้จักหลวงปู่ หลานจะรู้ว่าท่านเคารพรักพระพุทธเจ้ามากเพียงไหน เรื่องที่จะให้ไปส่งเสริมศาสนาหรือลัทธิอื่นใดนั้นท่านไม่ทำเด็ดขาด เพื่อที่จะสงเคราะห์ศิษย์ที่มีอาชีพอยู่กับลัทธิพราหมณ์ หลวงปู่ท่านใช้อุบายที่แยบยล โดยการต่อยอดอาชีพของเขามิให้เสียหลักความเป็นพุทธ โดยการแนะเขาให้อธิษฐานขอบารมีพระเป็นวิมานแก้วมาครอบศาลพระภูมิอีกชั้น หนึ่ง ทีนี้เวลากราบไหว้ก็จะได้กราบไหว้พระพุทธเจ้าแทนผีสางนางไม้ ส่วนผีสางนางไม้หรือเทวดาต่าง ๆ นั้น หลวงปู่ท่านให้มองเหมือนอย่างกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่มิใช่สรณะ เพราะอะไร เพราะเทวดาก็ยังมีกิเลส และทั้งเทวดาและเราต่างก็กราบพระพุทธเจ้าเหมือนกัน [/FONT]
[FONT=&quot]ว่าโดยสรุปก็คือหลวงปู่ท่านมิได้ส่ง เสริมหรือสอนวิชาตั้งศาลพระภูมิแต่อย่างใด ท่านเพียงชี้แนะปรับทิฏฐิของคนพุทธ[/FONT][FONT=&quot] (หมายถึงศิษย์ท่านที่มีอาชีพตั้งศาลพระภูมิ) ที่ข้องเกี่ยวกับพิธีพราหมณ์ให้ไม่เสียหลักชาวพุทธไปมากกว่านั้นเท่านั้น[/FONT]

[FONT=&quot]๒. เรื่องที่เขาหาว่าหลวงปู่เป่ายันต์เกราะเพชร[/FONT]
[FONT=&quot]เรื่องยันต์เกราะเพชรนี้เป็นวิชาของหลวง พ่อปาน วัดบางนมโคที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำผู้เป็นศิษย์ นำมาเผยแพร่[/FONT][FONT=&quot] ลุงจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านขอโอกาสเข้ากุฏิเพื่อร่วมอธิษฐานจิตช่วยหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป่า ยันต์เกราะเพชรที่จังหวัดอุทัยธานี เพราะท่านพิจารณาเห็นว่าเป็นการสงเคราะห์ชาวบ้านที่ต้องการกำลังใจ เพราะบารมีพระนั้นเป็นของมีอยู่จริง แต่ท่านก็มิได้สอนมิได้พาทำ เพราะท่านคงเน้นที่การประพฤติธรรม ท่านสอนว่ากายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต นั้นแหละจะเป็นธรรมที่คุ้มครองเราได้จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับการประพฤติธรรม[/FONT]
[FONT=&quot]หลานเอ๋ย ป่านนี้ บรรดาผู้ที่เข้าใจว่าตนมียันต์เกราะเพชรอยู่ในตัวก็ไม่พ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายดอก อีกทั้งยันต์เหล่านั้นก็มิอาจตามเราไปได้ ส่วนที่จะติดตัวเราไปได้จริง ๆ เห็นมีแต่บุญบาป และนิสัยวาสนาของการประพฤติธรรมเท่านั้น[/FONT]

[FONT=&quot]๓. เรื่องที่เขาว่าหลวงปู่สอนวิชาแต่งองค์[/FONT]
[FONT=&quot]เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของศิษย์คนหนึ่ง ที่ชอบทางคาถาอาคม เอาเรื่องคาถาแต่งองค์ไปเรียนสอบถาม ก็อย่างเคย หลวงปู่ท่านก็มีอุบายวกเข้าหาธรรมจนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวกเข้าหาพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ไม่ว่าจะล้างหน้า จะดื่มน้ำ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้องระลึกถึงพุทธัง ธัมมัง สังฆัง อยู่เสมอ วิชาแต่งองค์นี้จึงไม่ใช่วิชาของหลวงปู่ เป็นของมีมาแต่โบราณ เมื่อลูกศิษย์นำมาถามหลวงปู่ หลวงปู่ก็ชี้แนะและพยายามตะล่อมเข้าหาธรรมอย่างเคย[/FONT]
[FONT=&quot]ส่วนว่าผู้หญิงเอาวิชาแต่งองค์ไปท่อง แล้วจะช่วยป้องกันภัยได้นั้น ลุงก็เชื่ออยู่ว่าคาถาเหล่านั้นย่อมมีผล แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมไม่มีผลเท่ากับสอนให้หญิงรู้จักแต่งองค์แต่งกายตัวเอง ให้มิดชิด อันนี้น่าจะมีผลมากกว่า[/FONT]

[FONT=&quot]๔. เรื่องที่เขาบอกว่าพระของหลวงปู่ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน[/FONT]
[FONT=&quot]อันนี้ลุงก็เคยได้ยินหลวงปู่พูดอย่าง นั้นเหมือนกันนะ แต่บรรยากาศของการพูด ท่านมิได้ขึงขังจริงจัง ท่านพูดยิ้ม ๆ ของท่าน พูดเพื่อจะให้ลูกศิษย์ที่ได้รับพระไปจากท่าน ตั้งใจรักษาพระไว้ให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาไปกำนั่งปฏิบัติ ท่านยังเคยพูดสำทับอีกว่า[/FONT][FONT=&quot] "ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำให้เหมือนที่ข้าทำให้พวกแก ข้าอธิษฐานให้คุณพระอยู่ไปจนสิ้นศาสนา หรืออยู่ไปจนกว่าองค์พระจะละลายเป็นน้ำ รักษาไว้ให้ดี" หลานเอ๋ย พวกลุงป้าน้าอาล้วนมีพระหลวงปู่ติดตัวกันทุกคนทีเดียว แต่พวกเราก็ไม่เคยลืมคำสอนหลวงปู่ที่จะปฏิบัติธรรมตามหาพระเก่าพระแท้ในตัว เพราะอะไร เพราะพระภายนอกนั้นหายได้ แล้วก็ไม่ใช่สรณะที่แท้จริง เป็นแต่บันไดให้เราก้าวไปให้ถึงสรณะที่ประณีตกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น นั่นก็คือพระในตัวนั่นเอง ดังนั้น หากหลานมีพระของหลวงปู่แล้ว ก็อย่าชะล่าใจไป อย่าหยุดอยู่เพียงเท่านั้น จงเร่งตามหาพระเก่าพระแท้ในตัวต่อไป [/FONT]

[FONT=&quot]๕. เรื่องที่เขาบอกว่าหลวงปู่สอนกรรมฐาน ๙ ฐาน หรือ ๙ จุด[/FONT]
[FONT=&quot]เรื่องก็ไม่มีอะไรเลยหลานเอ๋ย ช่วงเวลานั้นมีสำนักปฏิบัติธรรมใหญ่แห่งหนึ่ง สอนกรรมฐาน ๗ ฐาน กันอย่างกว้างขวาง มีศิษย์หลวงปู่นำมาถามหลวงปู่ ท่านก็เลยบอกว่า ตำราวัดประดู่ทรงธรรมเขาสอนมากกว่านั้นอีก สอนฐานของจิตไว้มากถึง ๙ ฐาน ลุงเองก็มิได้ใส่ใจจดจำว่ามีฐานอะไรบ้าง เพราะแม้แต่หลวงปู่ ท่านพูดให้ได้ยินคราวเดียว แล้วท่านก็สอนให้ภาวนาไตรสรณคมณ์อย่างเดิม มิได้สอนกรรมฐานให้ซับซ้อนอะไรเลย ซึ่งอุบายการทำจิตให้สงบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาข่มกัน ใครถนัดใช้อุบายใดทำจิตให้สงบได้ก็ให้เอาอันนั้น บางคนถนัดบริกรรมพุทโธหรืออย่างใดมา ท่านก็ให้เขาบริกรรมอย่างเก่านั้นแหละ เว้นแต่ผู้ที่ยังไม่เคยบริกรรมอะไรมาก่อนเลย ท่านจึงให้ลองบริกรรมไตรสรณคมณ์ดู[/FONT]
[FONT=&quot]หลานเอ๋ย ลุงบันทึกเรื่องราวหลวงปู่ไว้ให้หลานได้ฟัง เพื่อหลานจะได้เข้าใจหลวงปู่ให้ถูกต้อง เผื่อว่าใครเขามากล่าวตู่หลวงปู่ เราจะได้ไม่ไขว้เขว และไม่เสียหลักความเป็นชาวพุทธ[/FONT][FONT=&quot] สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะเรื่อง ปาฏิหาริย์ที่พาให้เรา โอ้ โอ้ ... เราก็อย่าไปฟูจนเกิน ตั้งสติของเราให้ดี พิจารณาว่าประโยชน์อยู่ที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เรามีตนเป็นที่พึ่งได้อย่างไร ถ้าขัดกับหลักความเพียร หลักการพึ่งตนเอง ก็ถือว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ หลวงปู่ใช้เวลาตลอดชีวิตท่าน นั่งอบรมญาติโยมอยู่บนไม้กระดานแข็ง ๆ เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ก็เพื่อปลูกฝังสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในตัวลูกศิษย์ เมื่อเรามีบุญมารู้จักท่านแล้ว ก็อย่าให้ความเหนื่อยยากของท่านต้องมาเป็นโมฆะ จงมีความปรารถนาดีต่อสัตว์โลกทั้งหลาย ให้สัตว์โลกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายจงตั้งอยู่ในสัมมา ทิฏฐิ มีพระนิพพานเป็นที่หมาย ที่พ้นทุกข์ทั้งสิ้นทั้งมวลเทอญ.[/FONT]


[FONT=&quot]http://www.luangpordu.com/?cid=453342&f_action=forum_viewtopic&forum_id=41281&topic_id=142011[/FONT]


[FONT=&quot]
[/FONT]
[FONT=&quot]
[/FONT]