ฆ่าตัวตายดีไหม....มาดูกันนะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 10 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    เอามาจาก Fd mail

    [​IMG]

    ..
    [​IMG]

    ...
    [​IMG]

    ....
    [​IMG]

    .....
    [​IMG]

    ......
    [​IMG]

    .......
    [​IMG]

    ........
    [​IMG]

    .........
    [​IMG]

    10
    [​IMG]

    11
    [​IMG]

    12
    [​IMG]

    13
    [​IMG]

    14
    [​IMG]

    15
    [​IMG]

    16
    [​IMG]

    17
    [​IMG]

    18
    [​IMG]

    19
    [​IMG]

    20
    [​IMG]

    21
    [​IMG]

    22

    เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยากแล้ว....อย่าทำลายความยากด้วยการกระทำเช่นนั้นเลยครับ

    ไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม...... กรรมของการฆ่าตัวตาย จะทำให้ต้องไปสู่อบายภูมิ 500 ชาติ
    แล้วถึงจะมีสิทธิ์มาเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉานอีก 500 ชาติ
    ก่อนจะกลับมามีสิทธิ์เกิดเป็นมนุษย์.....
    แต่แม้ได้กลับมาเป็นมนุษย์ ก็จะต้องพิกลพิการไปอีกไม่ต่ำกว่า 500 ชาติ
    ก่อนที่จะสามารถกลับมามีอัตภาพมนุษย์ที่พร้อมสำหรับการปฏิบัติภาวนา

    ********สิ่งที่ควรฆ่าให้ตายคือกิเลส ตัณหาและอุปทาน********

    ในทางพุทธศาสนาถือว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่เรามีหน้าที่ต้องดูแลรักษา แม้บางครั้งอาจหมายถึงการสูญเสียอวัยวะก็ตาม ดังพระพุทธองค์ได้ตรัสว่าพึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ในเมื่อชีวิตเป็นสิ่งมีคุณค่า เราไม่ควรให้ความคิด ทฤษฎี หรืออุดมการณ์ใด ๆ มามีความสำคัญมากกว่าชีวิต ยกเว้นว่าเป็นเรื่องของความถูกต้องดีงาม หรือธรรมะ ในกรณีเช่นนั้นจึงสมควรสละชีวิต ดังพระพุทธองค์ได้ตรัสต่อไปว่า พึงสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

    "ความอกหัก รักกลับกลาย ทำลายจิต
    อย่ามัวคิด ทำลายตน ให้คนหยัน
    สร้างชีวิต ให้เฟื่องฟู สู้ประจันต์
    ให้เขาหัน สยบกาย เสียดายเรา"

    เมื่ออกหัก
    เมื่อไม่มีใครรัก แม้แต่ตัวเองก็ยังเกลียดชังตัวเอง บางคนถึงขั้นอยากฆ่าตัวเอง ควรจะทำอย่างไร
    ๑. หาที่สงบสติอารมณ์ ให้เวลากับตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเราเองให้ถ่องแท้
    ๒. พึงเข้าใจว่าการทำร้ายตัวเอง การฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การแก้ปัญหา ไม่ใช่วิธีหนีพ้นจากทุกข์ กลับเป็นการเพิ่มปัญหายิ่งขึ้นร้อยเท่าทวีคูณ เพราะการฆ่าคนเป็นบาปหนัก ต้องชดใช้กรรมอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
    ๓. ทำใจให้ได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเนื้อคู่ของเรา ถึงจะอยู่ด้วยกันก็จะมีปัญหาในอนาคตแน่นอน อกหักตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว น่าดีใจที่เรารู้ความจริงเสียแต่บัดนี้
    ๔. ให้ระลึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า
    "ความรักเสมอด้วยความรักตนเองไม่มี"
    หมายถึง ความรักตน เป็นความรักอันสูงสุด
    ๕. เรากำลังผิดหวัง หลงอยู่ในอารมณ์อกหัก จึงคิดว่าไม่มีใครรักเรา พ่อแม่ก็ไม่รักเรา คนนี้คนนั้นไม่ดี ไม่รักเรา เรากำลังผิดหวังจากความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครรักเราเลย พิจารณาดูให้ดีว่าเรารักตัวเองไหม ก็คงจะไม่รัก ถ้าแม้แต่เรายังคิดที่จะทำลายตัวเอง ทั้งทางกาย วาจา ใจ แสดงว่าเราก็ไม่ได้รักตัวเองเลย แล้วจะให้คนอื่นมารักได้อย่างไร
    ๖. พยายามตั้งสติ ระลึกถึงอารมณ์ปกติที่เราก็มีอยู่ ที่เราเคยมีชีวิตอยู่ตามปกติของเราตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก อารมณ์ยามอกหัก ก็เปรียบเหมือนถูกน้ำเน่ากระเด็นใส่ตัว เปื้อนเสื้อผ้าเลอะเทอะเต็มไปหมด เรารู้สึกตัวเหม็นเน่า น่ารังเกียจ แต่นั่นไม่ใช่ของจริงอะไร นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา เมื่อเราชำระล้างเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปกติตามเดิม อารมณ์เมื่อเราอกหักก็เหมือนกัน มันเพียงแต่ผ่านเข้ามากระทบใจเราเท่านั้น
    ๗. พระพุทธองค์ตรัสว่า..........จิตของเรานี้ประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติ จิตเศร้าหมองเพราะอุปกิเลส ครอบงำจิต โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาตน ค้นหาธรรมชาติของตนที่บริสุทธิ์ ผ่องใส เบิกบานใจ สบายใจ
    ๘. ตั้งใจ หยุดคิด ปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หายใจออกยาว ๆ หายใจแรง ๆ หน่อย ๆ หายใจเข้า ลึก ๆ หน่อย ๆ เน้นที่หายใจออกยาว ๆ ความตั้งใจปรับลมหายใจยาว ๆ ช่วยให้เกิดสติ ระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว ความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่สบายใจ จะค่อย ๆ จางหายไป ความสบายอกสบายใจ จะปรากฎขึ้นแทน ในที่สุด เราจะค้นพบตัวเอง เข้าถึงธรรมชาติของจิตใจ ที่สงบ เบิกบานใจ ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคน นั่นเอง เมื่อเราสบายใจ สุขใจ เราจะรักตัวเอง.........เมื่อรักตัวเองแล้ว เราจะมีความสุข สุขภาพใจดี
    และจะเป็นที่รักของบุคคลรอบข้างด้วย


    (จากหนังสือสาระแห่งชีวิต คือรักและเมตตา พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)

    ความโกรธพยาบาททำให้เกิดการเบียดเบียนด้วย ใจ วาจา กาย จนถึงทำร้ายผู้อื่นจนถึงตาย แต่ที่มากกว่าคือพอความโกรธพยาบาทถึงที่สุดทำใครไม่ได้จึงลงท้ายด้วยการฆ่าตัวตายอันเป็นที่สุด

    อ้างอิง..
    ในพระไตรปิฎก (๒๙/๓๘๔) พระสารีบุตรได้แสดงขั้นตอนของความโกรธอย่างละเอียดดังนี้
    ๑. ทำจิตให้ขุ่นมัว
    ๒. ทำให้หน้าเง้าหน้างอ หน้าบูดหน้าเบี้ยว
    ๓. ทำให้คางสั่น ปากสั่น
    ๔. เปล่งผรุสวาจา (คำหยาบ)
    ๕. เหลียวดูทิศต่าง ๆ เพื่อหาท่อนไม้
    ๖. จับท่อนไม้และศาสตรา
    ๗. เงื้อท่อนไม้และศาสตรา
    ๘. ให้ท่อนไม้และศาสตราถูกต้อง (ผู้อื่น)
    ๙. ทำให้เป็นแผลเล็กแผลใหญ่
    ๑๐. ทำให้กระดูกหัก
    ๑๑. ทำให้อวัยวะน้อยใหญ่หลุดไป
    ๑๒. ทำให้ชีวิต (ผู้อื่น) ดับ
    ๑๓. ฆ่าผู้อื่น แล้วจึงฆ่าตน (ความโกรธขั้นสูงสุด)
    จึงฆ่าตน (ความโกรธขั้นสูงสุด)

    =========================================
    http://dhammathai.org/webboard/view.php?No=5237
     
  2. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    874
    ค่าพลัง:
    +3,159
    ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองหรอก แบบอกหักแล้วเสียใจน๊ะ

    แต่นี้ เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงเลย แจ่ม!!!!!!!

    อนุโมทนาค่ะ _/l\_
     
  3. aisa0101

    aisa0101 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +89
    น่ากลัวจริง ก่อนทำไม่คิดให้ดีก่อน จะมาเปลี่ยนใจทีหลังก็สายไปแล้ว เพราะฉะนั้นคนเราควรคิดให้ดีๆ ก่อนจะทำอะไรลงไป กว่าจะเกิดมาเป็นคนได้นี่มันลำบากนะคะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
     
  4. beermaruko

    beermaruko สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +24
    อ่านแล้วกลัวผลกรรมที่จิงๆเลยค่ะ จะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาดแล้วก้อจะแนะนำเพื่อนๆด้วย อนุโมทนาค่ะ
     
  5. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    พึ่งใครไม่ได้พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดีที่สุด
    คือทางที่สว่างไสวไม่มืดมัว ไม่มัวคิดแต่ตัวเอง
    คิดคนอื่น คิดให้อภัยคนอื่น และไม่ลืมให้อภัยตัวเอง
    คิดให้มาก อย่าด่วนตัดสินใจ ทบทวนให้ดีก่อนจะทำ
    จะไม่คิดฆ่าตัวตายเลย อนุโมทนา
     
  6. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    เมื่อก่อนก็เคยคิด แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจล่ะ อกหัก มันก็แค่เรื่องทางโลก เรายึดติดเกินไป เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรนี้เท่าไหร่ล่ะ มันก็แค่เรื่อง เท่า เมล็ดข้าว
     
  7. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    เคยได้รับเมล์จากเพื่อนมาแล้ว แต่ก็คิดว่าแค่น่ากลัว จะไม่คิดฆ่าตัวตาย แต่พอได้อ่านข้อความที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ทำให้เข้าถึงสัจจะธรรมดีจริง ๆ กระจ่างสว่างในธรรม อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  8. nok_sparrow

    nok_sparrow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +370
    ดีนะ..ใครที่คิดฆ่าตัวตาย ถ้าได้อ่าน ก็คงจะสะท้อนใจบ้าง
     
  9. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ฆ่าตัวตายชาติหนึงแล้ว ก็จะต้องฆ่าตัวตายอีก 500 ชาติ ที่ได้เกิดเป็นคนครับ
    และอีกอย่างไม่ต้องรีบหรอกนะ อีกหน่อยก็ต้องตายอยู่ดีครับ
     
  10. guitargun

    guitargun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2007
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +137
    จะขอเล่าเรื่องของการฆ่าตัวตายให้ฟัง กับประสปการณ์ที่ได้ฟังจากปากคนสมัย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต. ความว่า..ยายของกระผม ในปัจจุบันนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้เล่าให้ฟังว่า ท่านเป้นคนบ้านหนองผือโดยกำเนิด ที่ๆ หลวงปู่มั่นไปจำพรรษา ช่วง 5 ปี สุดท้าย ก่อนมรณาสมัย.. ท่านเล่าว่ายังจำได้ว่าเคยได้ ตักบาตร ให้หลวงปู่ มั่น และเมื่อตักบาตรเสร็จ คนสมัยนั้นก็จะไปวัดเพื่อเตรียมฟังฟังธรรม ซึ่งชาวอีสานจะทำอย่างนี้. และมีอยู่วันหนึ่งซึ่งช่วงนั้นท่านมาจำพรรษาได้ไม่นานนัก หลังจากที่ได้ฉันภัตตาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่มั่น ได้กล่าวถาม อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายว่า..เคยมีใครผูกคอตายที่หมู่บ้านนี้ใหม เป็นผู้หญิงสวย หน้าตาดี ผมยาว..หลายคนบอกว่าไม่เคยมี แต่ท่านบอกว่ามี.ให้คิดให้ดี ๆ และก็พอดีมีคนคิดออก แล้วก็จำกันได้ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง เคยผูกคอตาย แต่ว่า ตายไปนานมากแล้ว หลวงปู่มั่นกล่าวว่า หญิงคนนี้ยังไม่ได้ไปเกิดที่ไหน ยังอยู่ เพราะหลวงปู่มั่นได้ยินเสียงร้องให้ทุกคืนและหญิงคนนี้ได้มาขอให้ท่านนำฝ้ายที่ผูกคอ(เชือกผูกคอ)ออกให้ แต่หลวงปู่มั่นตอบว่า มันเป็นกรรมของตน ผู้อื่นเอาออกให้ไม่ได้ ได้แต่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง จะต้องรอไปจนกว่ากรรมของตนจนหมด เชือกถึงจะออกจากคอ.

    นี่เป็นคำบอกเล่าของคนสมัยหลวงปู่มั่น ซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ได้เล่าให้ฟัง และยังมีเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นที่ท่านพอจำได้ ได้เล่าให้ผมฟัง ก็มี ซึ่งฟังดูบางเรื่องก็ตลกดีกับคนสมัยนั้นที่ไม่รู้เรื่องอะไร. และบางเรื่องก็ศรัทธา ในตัวท่านหลวงปู่มั่นมาก..ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวของหลวงปู่มั่นจากปากคนสมัยนั้นก็เมล์มาถามได้ จะเล่าให้ฟังครับ.

    นะโมวิมุตตานัง นุโมวิมุตติยา.

    คนไกลฝั่ง..guitargunsolo@hotmail.com
     
  11. mu-nice

    mu-nice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +650
    ตายได้แต่ให้ตายจากโลกมนุษย์ไปสู่โลกแห่งธรรมเมื่อใดที่จะคิดสั้นให้เข้าวัดขอยืมหนังสือเกี่ยวกับหลวงปู่ท่านทั้งหลายมาอ่านแต่ถ้าสามารถหาหนังสือกฏแห่งกรรมมาอ่านได้อ่านหลายๆรอบจนกว่าจิตใต้สำนึกดีจะกลับมาเมื่อนั้นคุณจะนั่งหัวเราะว่าทำไมเราจะมาทิ้งชีวิตอันมีค่านี้ได้ ภพภูมิมนุษย์นี่ดีสามารถทำบุญก็ได้ แผ่ส่วนกุศลก็ได้อยากจะสำเร็จขั้นไหนๆก็ทำได้ในภพภูมิมนุษย์นี่แหละอยากสมหวังอยากสำเร็จในชีวิตก็โดยการเข้าทางธรรม ชีวิตคนเราสั้นนักทุกวินาทีที่นาฬิกาเดินไปเวลาในการทำบุญของเราก็เหลือน้อยแล้วนะรีบทำบุญ นั่งสมาธิกันดีกว่า
     
  12. สัพเพ ธัมมา อะนัตตา

    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +104
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ

    ___________________________________________________
    สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร และมิใช้สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช้ตัวไม่ใช้ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...