ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    เรื่องของชะตากรรม หามีใครลิขิตไม่
    กฎแห่งกรรม ยุติธรรมที่สุด
    เมื่อถึงคราว...ก็ต้องก้มหน้ารับกรรม
     
  2. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    ก็กึ่งพุทธกาลตามคำทำนาย
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พระท่านจึงได้ให้พวกเราเน้นเรื่องงานการเผยแพร่ธรรมทาน เป้นหลักใหญ่ หลักสำคัญที่ทิ้งไปไม่ได้ด้วย

    ขณะนี้ได้เผยแพร่ ซีดี และดีวีดี ธรรมมะออกไปใน งานกองบุญของชาว "พลังจิต" ออกไป ไม่ต่ำกว่า 1,000 แผ่นแล้วครับ ไม่นับรวมที่พวกเราบางท่านได้นำไปไรท์แจกต่อกันอีก ก็ขอให้ทุกๆท่านได้โมทนาบุญกันตรงจุดน้ด้วย และต้องขอขอบพระคุณทั้งทีมไรท์ และทีมแจก ซีดีธรรมทานทุกๆท่านด้วยครับ

    มีผู้ปฏิบัติธรรมมาก ก็ย่อม ช่วยแบ่งเบา กรรมที่กำลังจะปรากฏขึ้นนี้ให้เบาบางลงบ้างไม่มากก็น้อยครับ ที่หนักก็เป็นเบา ที่เบาก็เป้นไม่ประสพ หรือที่ต้องประสพก็ปลอดภัย
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193

    [​IMG]


    ปรากฏการณ์สำคัญบนท้องฟ้าคือ คราส ปี 2550 จะเกิด 4 ครั้ง ดังนี้ (มักจะเกิดเหตุการณ์ร้ายทั้งแก่โลกและแต่ละคนด้วย)

    - วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2550 เกิดจันทรคราสเต็มดวง (TOTAL LUNAR ECLIPSE) ในราศีสิงห์
    - วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2550 เกิดสุริยคราสบางส่วน (PARTIAL SOLAR ECLIPSE) ในราศีมีน
    - วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2550 เกิดจันทรคราสมิดดวง (TOTAL LUNAR ECLIPSE) ในราศีกุมภ์
    - วันอังคารที่ 11 กันยายน 2550 เกิดสุริยคราสบางส่วน (PARTIAL SOLAR ECLIPSE) ในราศีสิงห์

    ควรระวัง ช่วงเวลาก่อนและหลังวันที่เกิดคราสประมาณ 15 วัน ก่อน-หลัง ไม่ควรเดินทางไกล สงบจิตใจไม่ทะเลาะมีปากเสียง ไม่ควรลงทุน ใช้เงินซื้ออะไรที่เป็นเงินจำนวนมากในช่วงดังกล่าว

    ดวงเมืองไทย ปี พ.ศ.2550 นี้ อายุ 224 ปี ตามมหาทักษาท่านว่า ในช่วงนี้ดวงจันทร์เสวยอายุ และมีดาวอังคารเข้าแทรก เป็นจริงตามตำราที่ครูบาอาจารย์ท่านเก็บสถิติไว้จริงๆ

    ดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อน้ำ เมื่อเสวยอายุดวงเมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ต่อมาถึงปี 2550 น้ำจึงไหลทะลักมามากมาย ท่วมไปถึง 46 จังหวัด

    ดาวอังคารเข้าแทรก...ดาวอังคารมีอิทธิพลต่อทหาร ตำรวจ...ทหารก็ทำการปฏิวัติ ปฏิรูป เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี และรัฐธรรมนูญ
    น้ำ และ ทหารจะยังมีอิทธิพลอยู่ ตลอดปี 2550


    ที่มา http://www.siamrath.co.th/Education.asp?ReviewID=158632
     
  5. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ธรรมชาติ คือผู้สร้างสรรค์และชำระล้าง เวียนวนเป็นวัฏจักรอยู่เช่นนี้
     
  6. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <TABLE width=750 border=0><TBODY><TR><TD width=525><TABLE cellPadding=0 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>รายงานพิเศษจาก Nectec



    </TD></TR><TR><TD width=20>


    </TD><TD vAlign=top width=430>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=750 colSpan=2>เมือวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 8:00 น.ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในบริเวณตะวันตกของเกาะสุมาตราเหนือ ประชาชนคนไทยที่อยู่บริเวณฝั่งทะเลอันดามันในหลายๆพื้นที่ ได้รับผลกระทบอย่างแรงจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ และในเวลาต่อมา ประมาณใกล้เที่ยง ปรากฏว่ามีคลื่นยักษ์ ซัดเข้าสู่ฝั่ง มีรายงานความเสียหายอย่างรุนแรงที่เกาะพีพี เกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา ฯลฯ ในต่างประเทศ มีรายงานผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่ศรีลังกา อินเดีย
    เว็บรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินไหวนี้ จัดทำขึ้นเพื่อติดตามและศึกษาสถานการณ์ เพื่อบันทึกเหตุการณ์ และเชื่อมโยงถึงแหล่งความรู้ต่างๆสำหรับผู้สนใจ และผู้รับผิดชอบ นำไปใช้แก้ปัญหาต่อไป
    [​IMG]รวมข้อมูลผู้สูญหายและผู้เสียชีวิตจากสึนามิ จากเนคเทค [New!]
    [​IMG]Thailand Tsunami Relief Information by Internet Thailand [New!]
    หมายเหตุ ความถูกต้องและแม่นยำของข้อมูลเหล่านี้อยู่ในระดับ "ดีที่สุด" เท่าที่จะค้นหาได้ในว้นที่รายงาน คณะผู้นำเสนอจะพยายามปรับปรุงข้อมูลนี้ให้ทันสมัยเท่าที่จะทำได้ และข้อมูลทั้งหมด จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาและการอ้างอิงเท่านั้น
    [​IMG]
    • บทความใหม่ 29 ธันวาคม 2547 - updated 30 ธันวาคม 2547
      รายงานลักษณะของสึนามิที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 [New!]
      [FONT=Tahoma, Helvetica][FONT=Tahoma, Helvetica]ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ( htk (at) nectec.or.th)[/FONT] [/FONT]
      วันที่ 28 ธันวาคม 2548
    [FONT=Tahoma, Helvetica]บทคัดย่อ รายงานฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อศึกษารูปแบบของระดับน้ำทะเลของจังหวัดภูเก็ตในวันที่เกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลและคลื่นยักษ์ซึ่งเดินทางมายังชายฝั่งอันดามันของไทย ผลจากการศึกษานี้ สามารถให้เราประมาณความเร็วของคลื่นยักษ์ได้ว่าประมาณ 175 กิโลมตรต่อชั่วโมง และที่ชายฝั่งภูเก็ต ก่อนที่คลื่นจะมาถึง ระดับน้ำจะวูบลงไปถึง 1.10 เมตร ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที อย่างน่าผิดสังเกต ภาวะเช่นนี้ หากมีการทำความรู้จักกันให้อย่างกว้างขวาง ก็จะมีส่วนช่วยในการหลบภัยจากคลื่นยักษ์ได้ในอนาคตได้ แม้ว่าข้อสังเกตนี้จะไม่เป็นการเพียงพอ แต่การทราบไว้ก่อนจะสามารถช่วยลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินได้มาก[/FONT]

    [FONT=Tahoma, Helvetica][FONT=Tahoma, Helvetica]Abstract This report is a study of the lates Tsunami in Asia which took place in the morning of December 26, 2004. From this study, we could establish the speed of the Tsunami which travelled from the epicenter in the west of northern Sumatra to Phuket Island. It was also observed that the water level went down by 1.10m prior to the big rise in the average water level to +1.10 in less than 20 minutes. At the peak water level, several big waves were seen to destroy all terrestrial objects in sight: houses, people, cars, buses and train. Calculating from the confirmed time of the first shock and the time of Tsunami, the big wave travelled in the sea at the speed of about 175 km/h. The basic knowledge about the sudden drop of the water level can also assist in the future alarm for leaving the seaside if this would happen again.[/FONT][/FONT]

    ในวันที่เกิดเหตุการณ์ ผู้เขียนได้พยายามรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับลักษณะของระดับน้ำทะเลก่อนที่จะเกิดคลื่นยักษ์จากสื่อมวชน แต่พบว่าข่าวที่ออกมา ค้อนข้างจะไม่สอดคล้องกัน แต่พอจะประมาณการได้ว่าประมาณเวลา 10:45 - 11.20 น. มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ระดับน้ำทะเล ได้วูบต่ำลงไปมากในเวลาอันสั้น ก่อนที่จะสูงขึ้นมาใหม่ พร้อมกับคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้าฝั่ง และโถมเข้าทำลายสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ติดพื้นดิน รถยนต์ รถบรรทุก รถประจำทาง และรถไฟ ในประเทศศรีลังกา ระดับน้ำที่มากับคลื่นยักษ์ได้ล้ำขึ้นสู่บกไปได้เป็นระยะทางกว่า 300 เมตร และเมื่อคลื่นซัดเข้ามา ภาพจากโทรทัศน์ได้แสดงให้เราเห็นชัดเจน ว่ามีความเร็วมากกว่าคนเราจะวิ่งหนีทัน
    ในวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2547 ผู้เขียนได้ติดต่อขอข้อมูลจากกองทัพเรือ ซึ่งมีสถานีตรวจวัดอากาศที่แหลมพรหมเทพ จงหวัดภูเก็ต และสถานีวัดระดับน้ำทะเลที่เกาะตะเภาน้อย ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเรือน้ำลึก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต ข้อมูลของสถานีวัดระดับน้ำเป็นข้อมูลที่น่าสนใจต่อการศึกษา และในบันทึกของวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เราได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "สึนามิ" ครั้งนี้ตามรูปที่ 1
    [​IMG]
    รูปที่ 1 แสดงระดับน้ำทะเลในวันที่ 26 ธันวาคา 2547
    กดภาพแผนที่เพื่อชมภาพใหญ่ Click the map to see a magnified version.
    ข้อมูลที่บันทึกในกราฟเป็นข้อมูลระดับน้ำเฉลี่ย ซึ่งเครื่องวัดเป็นเครื่องมือที่สามารถ "กรอง" ทิ้งความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำที่เกิดจากคลื่นปกติ ซึ่งมักจะมีระยะเวลาจากยอดบนถึงท้องคลื่นประมาณ 10-30 วินาที ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ของการวัด คือการดูระดับของน้ำทะเลที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง (tides) ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ในวันหนึ่งๆจะมีน้ำขึ้นสองครั้ง น้ำลงสองครั้ง ตามอิทธิพลของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ในดังนั้น การสำรวจ Tidal Wave ตามปกติ จะจดการอ่านค่าระดับน้ำทะเลเพียงชั่วโมงละครั้งก็เพียงพอแล้ว (ดูเส้นประ ซึ่งแสดงค่าทำนายของระดับน้ำตามปกติ) อย่างไรก็ดี เครื่องวัดของกองสมุทรศาสตร์ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ได้วัดข้อมูลเอาไว้อย่างต่อเนื่องราวๆนาทีละ 1 ค่า ทำให้เราได้เห็นภาพค่อนข้องชัดเจน ว่าระดับน้ำเป็นอย่างไรในวันนั้น เครื่องวัดดังกล่าว เป็นเครื่องวัดที่กรองเอาค่าระดับน้ำที่แกว่งมากเนื่องจากคลื่นลมในทะเลออกไปแล้ว กราฟที่เราเป็นจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับน้ำขึ้นน้ำลงตามปกติ
    สิ่งที่เห็นได้ชัด คือในเวลา 10:16 น. มีน้ำลงที่ไม่ปกติ เพราะอยู่ดีๆระดับน้ำทะเลลดลงไปกว่า 1 เมตร ภายในเวลาไมถึง10 นาที ชายฝั่งที่มีความลาดระดับ 1:100 คงจะพบว่าน้ำลดลงไปเป็นระยะทางยาว 100 เมนตรบนชายหาด ราวกับว่ามีปั๊มน้ำขนาดยักษ์ดูดน้ำออกไปจากทะเลชนิดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเวลาสั้นขนาดนั้น
    แต่แล้ว ในเวลาประมาณ 17 นาทีต่อมา ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นมาเป็น +1.1 เมตรจากระดับน้ำทะเลปกติ และที่มาคู่กับระดับน้ำที่มีความสูงขนาดนี้ ก็คือคลื่นยักษ์ซึ่งซัดเข้าฝั่งแทบทุกนาที มีผู้รายงานว่า คลื่นบางลูกสูงประมาณ 5 เมตร ซึ่งสามารถดันวัตถุ สิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะขึ้นฝั่งไปไกล และกระแสน้ำที่พัดเข้ามา ทำให้ทุกอย่างที่ผ่านหน้า หลุดลอยไปกับกระแสน้ำราวกับว่าเป็นของเล็กๆ

    การขึ้นลงของระดับน้ำเฉลี่ยที่วัดค่าได้นี้ ยังมีการแกว่งตัวต่อไปอีกหลายครั้ง โดยมีระยะเวลาที่แตกต่างกันตามรูป และเป็นภาพที่สลับซับซ้อน เพราะบางส่วนน่าจะเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งต่อๆมา (after shock)
    อย่างไรก็ตาม หากคลื่นสึนามิกำลังจะเข้ากระทบฝั่ง ใช่ว่าจะมีการ "เตือน" โดยมีการลดระดับน้ำอย่างเร็วแบบนี้เสมอไป มันยังมีได้หลายแบบ ซึ่งเราคงไม่มีโอกาสศึกษาด้วยตนเองในช่วงอายุขัยของเรา วิธีที่ดีกว่า คือการศึกษาจากประวัติศาสตร์ และจากบรรพบุรุษที่บันทึกและทำข้อสังเกตเอาไว้ กับศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งชอบคิดและสร้างรูปแบบจำลองทางธรรมชาติ เพื่ออธิบาย และสร้างเหตุการณ์คล้ายจริงในห้องทดลอง เพื่อมาช่วยให้เราสามารถทำการเตรียมการเรื่องระบบเตือนภัย

    ประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นชาติที่คุ้นเคยกับคลื่นชนิดนี้มากที่สุด ถึงกับมีชื่อเรียกว่า Tsunami หรือ สึนามิ (คำว่า สึ แปลว่าฝั่งทะเล นามิ แปลว่าคลื่น) ด้วยเหตุแห่งความเสียหายนี่เอง ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีการบันทึก ศึกษา วิจัยเกี่ยวกับเรื่องคลื่นยักษ์อย่างจริงจัง เพื่อให้มีความสามารถในการเตือนภัยในกรณีที่การเฝ้าระวังพบว่า คลื่นกำลังจะมาขึ้นฝั่ง โดยอาจจะทราบล่วงหน้าเพียงไม่นาน ศูนย์การวิจัยเกี่ยวกับสึนามิ ตั้งอยู่ที่ Disaster Control Research Center มหาวิทยาลัย สึกุบะ หากประเทศไทยจะตั้งศูนย์การเตือนภัยจากแผ่นดินไหวและสึนามิ เราอาจจะศึกษาจากสิ่งที่ญี่ปุ่นเริ่มไว้แล้ว และที่สำคัญ ศูนย์แห่งนี้ ควรจะมีการศึกษาวิจัยกันให้มาก พร้อมทั้งมีระบบงานที่พร้อมแจ้งภัยที่อาจจะเกิดน้อยมากๆ แต่เมื่อเกิด มีเวลาไม่เพียงกี่นาทีปรือชั่วโมงเท่านั้น ศูนย์ต้องมีความพร้อม 24 ชั่วโมง 365 วัน ไม่มีวันหยุด
    สำหรับความเร็วของสึนามิที่เราอาจจะวัดได้จากแผ่นดินไหวครั้งแรก (ตรงกับเวลา 7:58 ในประเทศไทย) จนถึงจุดที่ระดับน้ำขึ้นสูงสุด ในเวลา 10.36 น. หากนำมาคำนวณเป็น "ระยะเวลาเดินทาง" จาก epicenter มายังเกาะภูเก็ต ก็คงประมาณ 2ชั่วโมงกับ 38 นาที ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 470 กิโลเมตร เมื่อนำมาหารดู ก็จะได้ความเร็วประมาณ 178 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ถือว่าเร็วกว่ารถสปอร์ตที่วิ่งบนทางด่วน ซึ่งแปลว่าหากคลื่นเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่ง แม้จะวิ่งหนีให้เร็วเท่าใดก็คงไม่ทัน และด้วยความเร็วขนาดนี้ หากเราดูความห่างของระดับน้ำลดและระดับน้ำขึ้น ซึ่งห่างกันประมาณ 17 -23 นาที เคลื่อนด้วยความเร็ว 178 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในท้องทะเล ก็จะมีความยาวคลื่นประมาณ 59 กิโลเมตร ซึ่งก็เรียกว่าการแกว่งของระดับน้ำแค่นี้ เราอยู่บนเรือเดินสมุทรคงไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าไม่มีคลื่นประเภทอื่นซัดเข้าที่เรือ จะเห็นได้ว่า "ฐาน" ของสึนามิ หรือพลังของธรรมชาติ มีความหนักแน่นและยิ่งใหญ่เพียงใด
    จากความเร็วที่เราคำนวณได้ และเมื่อมามองดูแผนที่ของการเกิดแผ่นดินไหว เราก็สามารถวาดรูปวงกลมที่มี epicenter เป็นศูนย์กลาง ที่รัศมี 178 กิโลเมตร ก็คือ หน้าของคลื่นสึนามิ เมื่อเวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไป และที่รัศมี 356 กิโลเมตร ก็คือหน้าคลื่นที่เวลา สองชั่วโมงนับจากแผ่นดินไหวครั้งแรก (โปรดดูรูปที่ 2)
    [​IMG]
    รูปที่ 2 แสดงความเคลื่อนไหวของสึนามิในเวลาต่างๆกัน
    ในช่วงเวลาเดียวกันกับการรายงานนี้ เว็บไซต์ในต่างประเทศหลายแห่ง ก็ได้ทำ animation cartoon เพื่อแสดงภาพของสึนามิครั้งนี้ ให้แก่สถาบันการศึกษาและสาธารณชนทั่วไปเข้าดูได้ตามปกติ
    ในภาพแผนที่ การแสดงรูปวงกลมของสึนามิเคลื่อนผ่านเกาะสุมาตราอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะอธิบายว่าเป็นคลื่นที่มาถึงเกาะภูเก็ต พังงา กระบี่ ฯลฯ เพราะคลื่นไม่ได้เคลื่อนผ่านแผ่นดิน จึงอาจจะมีข้อสันนิษฐานว่า คลื่นใหญ่นั้น น่าจะเกิดจากการเคลื่นตัวของ Tectonic Plate ที่อยู่ใต้ทะเลตามแนวที่วาดเป็นเส้นสีขาวในรูปที่สอง ดังนั้น แนวของคลื่นที่เดินทางมาถึงเกาภูเก็ต และพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน น่าจะเกิดจาก aftershock ที่อยู่ในแนวสีขาว มากกว่ามาจากจุดที่เป็น epicenter หากเป็นเช่นนั้น ก็อาจอธิบายได้ว่า นี่เป็นเหตุผลที่หน้าคลื่นของสึนามิที่เดินทางไปยังศรัลังกาและอินเดีย จึงมีความแรงยิ่งกว่าที่ไปถึงยังคลาเทศและพม่า และบางส่วน ยังเดินทางไปไกลหจนเกือบถึงทวีปอัฟริกา แต่อ่อนตัวเสียก่อน
    กิตติกรรมประกาศ ผู้เขียนขอขอบคุณ นอ.วิฑูรย์ ตันฑิกุล ผู้อำนวยการกองสมุทรศาสตร์ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และท่านเจ้ากรมอุทกศาสตร์และรองฯ ที่อนุญาตให้ใช้รายงานผลการวัดระดับน้ำที่เกาะตะเภาน้อย ใกล้กับท่าเรือน้ำลึกที่ภูเก็ตในการศึกษาและเขียนรายงาน


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=750 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=744>[​IMG]
    <!--NAMO_NAVBAR_START T h C h -1 6 2 4 3 5 -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/tsunami/theme_3.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2007
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อ้างอิงข้อความดั้งเดิมของคุณ คนเมืองบัว

    ส่วนลัทธิต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ อ้างถึงพระศรีอริยเมตไตรยเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะถึงทางตันที่ไม่สามารถแก้ไขให้พ้นทุกข์ไปได้ ทุกคนก็จะหันมาฝึกมโนมยิทธิสายวัดท่าซุงจนหมดสิ้น เพราะเห็น เข้าใจ ในเหตุ และผล ตลอดสายตั้งแต่ต้น กลาง ปลาย ส่วนการวางแนวทาง ในการปฏิบัตินั้นต้องอาศัยศิษย์วัดท่าซุงในประเทศไทยเป็นหลักในการเผยแพร่

    ในพระไตรปิฎกได้บอกเอาไว้แล้วว่า พระพุทธเจ้าจะไม่มาบังเกิดซ้อนกัน 2 พระองค์ในโลกธาตุเดียวกันอย่างเด็ดขาด ในปัจจุบันนี้มีผู้ประกาศตัวว่าเป็นพระศรีอริยเมตไตรย ซ้ำยังบิดเบือนเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า มาเป็นคำสอนของตัวเอง ซึ่งเป็นอนันตริยกรรม มีโทษหนักถึงอเวจีมหานรก(เหมือนพระเทวทัตที่ประกาศตัวเองแข่งกับพระพุทธเจ้า)

    ขอให้ชาวพุทธทั้งหลาย ได้โปรดอย่าไปหลงเชื่อในลัทธิที่อ้างถึงพระศรีอริยเมตไตรย ทั้งในเว็ปไซต์นี้และในที่อื่นๆ เพราะเวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนามว่า"พระสมณโคดม" อยู่นะครับ ซึ่งอายุพระพุทธศาสนานี้จะยังคงอยู่ไปจนครบ 5,000 ปี

    พระศรีอริยเมตไตรยองค์จริง จะไม่มาประกาศพระศาสนาซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันอย่างแน่นอน ถ้าท่านได้จุติลงมาเกิดในยุคปัจจุบันนี้จริง ก็เพียงมาทำหน้าที่ฟื้นฟูพระศาสนาของ"พระสมณโคดม" ให้รุ่งเรืองไปจนครบ 5,000 ปีเท่านั้น ไม่ได้มาประกาศพระศาสนาแข่งกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแต่อย่างใด

    พระศรีอริยเมตไตรยองค์จริงจึงยังอยู่ในฐานะพระโพธิสัตว์ มาบังเกิดในโลกยุคปัจจุบันนี้ในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิราช ในฐานะพระยาธรรมมิกราช มิใช่มาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ดังที่เจ้าลัทธิเหล่านั้นกล่างอ้างแต่อย่างใด ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายโปรดได้เข้าใจในความเป็นจริงนี้ และอย่าได้หลงเชื่อไปตามลัทธิดังกล่าว เพราะจะทำให้ท่านต้องติดร่างแหแห่งบ่วงกรรมนี้ตามไปด้วย อันจะทำให้ท่านต้องไปทนทุกข์ทรมานในนรกอย่างยาวนาน........

    ตัวอย่างกระทู้ที่จะทำให้คนต้องตกนรก

    อนุญาติให้ใช้สอนได้ตามแต่สมควร
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=78884

    กระทู้รวม หลักคำสอนของพระศรีอารยะเมตไตรยพุทธเจ้า
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=78689
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2007
  8. รัก+ยม

    รัก+ยม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    861
    ค่าพลัง:
    +3,122
    ปัจจุบันนี้ตอนนี้หรือเปล่าครับ
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ถึงคุณ เกษม เรื่อง "สามร่มโพธิ์ศรี" นั้นที่จริงคือเรื่องของพระจักรพรรดิ์ ที่พระศรีฯ จะลงมายกยอพระศาสนา ที่พระศรีฯท่านมาเป็นพระยาธรรมิกราช ปกครองโลก พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่เป็นคล้ายพระสังฆราชของโลก และพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่คล้ายนายกของโลก โดยมีเหล่า อัญญาสิทธิ์ และ อัญญาธรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ลงมาทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปฎิบัติรอพระจักรพรรดิ์ กันทั้งนั้นและมักอยู่ในที่ลี้ลับ แต่ถ้าปฏิบัติจิตถึงก็สื่อกันได้

    รายละเอียดเรื่องสามร่มโพธิ์ศรี ผมกำลังรวบรวมจากคนในคณะหลายๆคน เพราะฟังมา ต่างวาระกัน แล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟังทีหลังครับ

    ที่สำคัญก็คือกาลของยุคพระจักรพรรดิ์ ใกล้เข้ามามากแล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกบ่อยๆให้เร่งปฏิบัติกัน พระศรีฯใกล้จะลงมาทำหน้าที่พระจักรพรรดิ์ แล้ว คำว่า "ใกล้" นี้ ในโลกภายในนั้นหากเป็น 5-10 ปีมนุษย์นั้น ถือว่าน้อยมาก

    ที่ผมกำลังกังวลก็คือ กาลของพระจักรพรรดิ์ จะมาเร็วกว่าที่คิดมาก ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมยังทำไม่เสร็จอีกมาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่าเมื่อกาลของพระจักรพรรดิ์ใกล้เข้ามา หายนะจะเกิดขึ้นกับโลก เทวดาเขาจะทำฤทธิ์ โลกจะปั่นป่วนเท่าที่จำได้ ท่านบอกว่า "ประเทศอเมริกาจะเป็นเกาะเป็นแก่ง" ยุโรปต่อไปก็จะหายนะอยู่ไม่ได้ ต้องมาพึ่งแผ่นดินไทย (ต่อไป ไทยกับลาวจะกลับมารวมกัน) ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หายไป ฯลฯ และ ประเทศไทยจะดีได้ ก็ต่อเมื่อ "เกิดเหตุใหญ่" เสียก่อน การเมืองไทยคนจะฆ่ากันตายเป็นเบือ แต่ที่เป็นอยู่ทางภาคใต้ตอนนี้คิดว่ายังไม่ใช่เหตุการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ เคยถามท่านว่า "ไม่ให้เกิดไม่ได้หรือ" ท่านว่า "ปู่ยีเว่าไว้แล้ว ปานพระเจ้าเว่า เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

    หากใครสังเกตดีๆ ลมพายุนั้นคล้ายจักรหมุน หากใครเคยขี่จักรภายในจะเข้าใจว่าเป็นยังไง เท่าที่เห็นตอนนี้คือภายใน ปราบภายใน ก็ล้นออกมาภายนอก ใครมีกรรม เป็นเชื้อสายของพวกที่เขาปราบภายในก็จะได้รับผลกระทบ ถ้าจะไล่ลำดับ ก็ต้องไปตั้งต้นศึกษาระบบจิตวิญญาณที่หมุนเวียนอยู่บนโลกตั้งแต่ยุครามเกียรติ์แหละ

    เอาเป็นว่าพวกอิสลามคือเชื้อยักษ์พวกนึง ฝรั่งก็เชื้อยักษ์อีกพวกนึง ทางเอเชียก็เป็นพวกเทวดา นาค ฯลฯ รวมทั้งลูกผสมเชื้อยักษ์ก็มีเช่นกัน ศาสตร์วิชาการที่มนุษย์ใช้อยู่บนโลกปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นวิชาของพวกเชื้อยักษ์เป็นคนคิด (ยิวกับยักษ์ เป็นภาษาลัญญลักษณ์) สุดท้ายศาสตร์วิชาการที่มนุษย์เอามาใช้ก็จะทำลายเบียดเบียนมนุษย์กันเอง

    Aunyasit<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_115719", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    ที่มา http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=13361&page=3<!-- / message -->
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ภัย 3 ทาง...

    [​IMG]

    ขอแทรกข่าวด่วนพิเศษ ก่อนจะถึงคิวข่าวไร้สาระของคนนั้น เพราะในเดือนพฤษภาคมนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองคงจะมีขึ้นติดต่อถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นเดือนที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษเพราะเป็นเดือนแห่งการชุมนุมของมวลชนจากทั่วสารทิศ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นจากหลายฝ่ายหลายกลุ่มรุมเร้ารัฐบาล
     
  11. kirikoujung

    kirikoujung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +158
    สอบถามเรื่อง: จากคุณ Mr.Ake IP : 203.130.133.121
    เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 17:41:40

    อ้างอิง
    from website:http://www.stou.ac.th/Thai/Schools/slw/Webboard/Question.asp?GID=13469



    เรื่อง : จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปี 2551 บ้าง
    จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปี 2551 บ้าง

    มีคำถามที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 2551หลั่งไหลเข้ามาหาผู้เขียนค่อนข้างมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 อันเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น ขยับตัว และซ้อนเกยกันบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศไทยประมาณ 400 กิโลเมตร มีอัตราการสั่นไหว 9 ริกเตอร์ เป็นเหตุให้ประเทศไทยได้รับความสูญเสีย โดยได้คร่าชีวิตผู้คนที่พักอยู่อาศัย และมาท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยพบศากศพมากกว่า 5,000 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายอีกมากกว่า 3,000 คน โดยมีผู้คนของประเทศต่างๆอีกหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล เมื่อนับจำนวนซากศพผู้ที่เสียชีวิตในคราวเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนี้ ก็มีจำนวนมากกว่า 220,000 ศพ ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2534 ผู้เขียนเคยเขียนเตือนเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ซูนามิ ที่จะเกิดขึ้นโดยมีผลกระทบต่อประเทศไทย ( คำที่ถูกต้องในปัจจุบัน เรียกว่า สึนามิ) และได้เขียนบทความอีกครั้งในต้นปี2539 รวมทั้งผู้เขียนได้เคยออกรายการให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น ที่ itv 2 เสาร์ติดกันในรายการ “ น้ำท่วมโลก ”ในปลายปี 2539 ซึ่งมีผู้เคยอ่านบทความ ในปี 2534 แจ้งว่าผู้เขียนเคยเขียนเตือนให้ระวังซูนามิที่จะเกิดในปี 2547 , 2551 หรือ 2560 ในประเทศไทยมาก่อนแล้ว
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปลายปี 2547 นี้ หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ อภิมหามหันตวิปโยคสุดแสนโศกสลด” ทั้งนี้ เพราะจะมีผู้คนเสียชีวิตมากกว่าเหตุการณ์ช่วงปลายปี 2547 ประมาณ 1,000 เท่า หรือถ้าจะพูดให้ชัดมากขึ้นคือ มีคนตายมากกว่าเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกของช่วงปลายปี 2547 นี้ถึง 1,000 เท่าทีเดียว
    เหตุการณ์อะไรเล่า ที่ทำให้มีคนตายประมาณ 220 ล้านคน ในปี 2551 (ปลายปี 2547 เหตุจากคลื่นสึนามิได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายประเทศรวมกัน มากกว่า 220,000 คน)เหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 มิได้มาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เดียว แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในปีเดียว คือปี 2551 หรือ ปี 2560 ตลอดทั้งปี เสมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกถูกถล่มด้วยพระราหู ทั้งนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกหลายแผ่นมีการขยับเคลื่อนตัว และเกยทับกัน (การเกยทับกันเพียงเล็กน้อยของชั้นเปลือกโลก บริเวณเหนือเกาะสุมาตราเพียงจุดเดียว เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นเหตุให้เกิดการไหวของแผ่นดินถึง 9 ริกเตอร์ ทำให้เกิดคลื่นยักษ์วิ่งไปถึงชายฝั่งอัฟริกา ซึ่งมีระยะห่างกันหลายพันกิโลเมตรได้) ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะมีการเกยทับกันทั้งในบริเวณใต้ทะเลลึก และบริเวณที่เป็นพื้นแผ่นดินในหลายทวีป ความรุนแรงมีขนาดตั้งแต่ 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป (ปกติถ้ามีการไหวของแผ่นดินเพียง 6.5 ริกเตอร์ ก็เป็นเหตุให้อาคารบ้านเรือน ตึกรามอาคารบ้านช่อง ถนนหนทางถล่มทลาย สามารถสร้างความเสียหายได้แล้ว แต่ถ้าเกิดการไหวของเปลือกโลกบริเวณใต้ทะเลลึก ประมาณ 7.5 ริกเตอร์ จะเกิดคลื่นสึนามิ (คลื่นยักษ์) ซึ่งในปี 2551 หรือ ปี 2560 จะมีการเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีขนาด 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป)
    สำหรับในประเทศไทยเอง ผลกระทบจากการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเกิดบนพื้นแผ่นดินประมาณ 3 – 4 จุด ซึ่งในทะเลก็มีทั้งบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เกาะบอร์เนีย และอีก 2 รอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งจะมีผลทำให้เขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนแตก และ ตึกราม บ้านเรือน สะพานและถนนหนทางพังพินาศทลายลงเป็นจำนวนมาก สำหรับจังหวัดชายฝั่งทะเล ก็จะได้พบกับสึนามิ หรือคลื่นยักษ์อีกครั้ง ด้วยความรุนแรงของการเกยทับของแผ่นเปลือกโลกอีกครั้งด้วยความแรงมากกว่าเดิม คือ ขนาด 9.5 ริกเตอร์ ขึ้นไป แม้ระบบเตือนภัยจะทำงานในอนาคต แต่ความเร็วของคลื่นสึนามิใช้ความเร็วในทะเลประมาณ 500 กม./ ชั่วโมง นักวิชาการบางท่านบอกว่ามีความเร็วระหว่าง 600 – 800 กม./ ชั่วโมง ผู้คนจำนวนมากยังไม่ใส่ใจคำเตือน คนจำนวนมากหนีไม่รอด ศพตายเป็นเบือ โผล่ให้เห็นในน้ำยิ่งกว่าดอกเห็ด แม้จะได้ทราบคำเตือน แต่ความประมาทของประชาชนที่ไม่ติดตามข่าวสารก็คงยากที่จะป้องกันความเสียหายชีวิตของผู้คนและทรัพย์สินที่อยู่ชายฝั่งทะเล ยกเว้นท่านต้องร่นให้อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลให้มากหน่อย โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นกำแพงกั้น หรือภูเขาสูงบังไว้ ( ความจริงตามกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน บริเวณชายฝั่งทะเล บริเวณเกาะ บริเวณภูเขา จะต้องเป็นที่สาธารณะเท่านั้น จะไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ แต่ด้วยความฉ้อฉล ฉ้อโกง ของบุคคลผู้มีความละโมบโลภมาก ร่วมกับข้าราชการที่มีหน้าที่ออกหลักฐานกรรมสิทธิ์ ( โฉนด) ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส. 1,2,3) ออกหนังสือแสดงสิทธิครอบครอง (ส.ค.) กลับกระทำละเมิดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน ออกหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ผิดกฎหมาย จึงทำให้ข้าราชการ นักการเมืองและผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ได้สิทธิ์ที่ผิดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน กลายเป็นเจ้าของเกาะ เจ้าของภูเขา เจ้าของชายฝั่งทะเล ซึ่งตามกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินจริงๆนั้น ต้องเป็นที่สาธารณะ กลายเป็นสถานที่ส่วนบุคคล หากว่ากันตามกฎหมายทรัพย์สินจริงๆทุกสถานที่ดังกล่าวข้างต้น คือ ชายฝั่งทะเล บริเวณที่เป็นเกาะ บริเวณที่เป็นภูเขา เป็นสถานที่ที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทรัพย์สิน)
    สิ่งสำคัญที่ทุกคนที่อยู่ริมฝั่งทะเลต้องรับทราบ คือ เมื่อใดมีเหตุการณ์ขึ้นลงของน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว ต้องรีบหนี 2 วิธี คือ วิ่งเรือออกสู่กลางทะเลลึก ถ้าขณะนั้นอยู่บนเรือในทะเล ห้ามกลับเข้าชายฝั่งทะเลเป็นอันขาด อีกวิธี คือให้วิ่ง หรือขับรถขึ้นที่สูงที่มีความมั่นคงแข็งแรงโดยเร็ว ซึ่งถ้ามีภูเขา ขึ้นเขาให้เร็วที่สุด ถ้ามีตึกที่มั่นคงแข็งแรง ต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง ต้องอาศัยเป็นที่ยึดไว้ก่อน อาคารที่บอบบาง ที่ไม่มั่นคงแข็งแรง ห้ามเข้าไปอาศัยในช่วงขณะนั้น เพราะตัวอาคารอาจพังทลายได้แม้จะขึ้นบนชั้นสูง แต่ถ้าฐานรากไม่ดี อาคารพังทลายลงมาได้ง่าย ผู้หนีไปอยู่ชั้นบนของอาคาร ก็ไม่รอดเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อใดที่อยู่บริเวณชายทะเลในปี 2551 หรือ ปี 2560 กรุณามองทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าก็มีส่วนช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2007
  12. kirikoujung

    kirikoujung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +158
    กรณีที่พึงต้องระวังเพิ่มขึ้นก็คือ ระดับน้ำในแม่น้ำลำคลองโดยเฉพาะแม่น้ำสายใหญ่ๆทุกสาย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำตาปี แม่น้ำโขง ฯลฯ ถ้ามีลักษณะขึ้นลงเร็วผิดปกติ ผิดธรรมชาติที่เคยมีเคยเป็น โปรดเตรียมการอพยพขนย้ายหาที่อยู่อาศัยพักพิงใหม่โดยเร็ว
    และอีกเรื่องหนึ่ง โปรดศึกษาและสังเกตคำเตือนของคนโบราณที่ให้สังเกตดูลม ฟ้า อากาศ และอาการของสัตว์ต่างๆที่แสดงออกก่อนที่จะเกิดภยันตรายต่างๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเพียงพอ จึงขอบอกกล่าวประชาสัมพันธ์ท่านผู้รู้ที่มีโอกาสอ่านสารชมรมฯฉบับนี้ว่า “ ถ้าท่านทราบคำบอกเล่า หรือคำสอนสั่งของปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา คุณพ่อคุณแม่ หรือครูบาอาจารย์ พี่น้องลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหาย หรืออ่านพบจากหนังสือใดๆ ที่บอกกล่าวในเรื่องดังกล่าว กรุณาช่วย E- mail แจ้งมาให้ผู้เขียนได้ทราบที่ mkrichti @ ktb.co.th ด้วย จักขอบคุณยิ่ง หรือส่งทางโทรสารที่หมายเลข 0 – 2256 – 8320 ก็ได้ หรือส่งทางไปรษณีย์ที่ตู้ ปณ. 1234 นานา กรุงเทพฯ 10112 ซึ่งเป็นตู้ไปรษณีย์ของชมรมศาสนาและการกุศลได้เช่าไว้เป็นเวลา 3 ปี ( พศ. 2548 – 2550 ) ด้วย ก็จักขอบคุณยิ่ง
    สัตว์มีประสาทสัมผัสบางเรื่องและหลายเรื่องดีกว่ามนุษย์ จากสัญชาติญาณจะทราบล่วงหน้าว่า ภัย หรือ ภยันตรายกำลังจะคืบคลานมาถึง ด้วยสัญชาติญาณเพื่อความอยู่รอด ก็จะกระเสือกกระสนหนีตายก่อน หรืออาจเกิดสิ่งผิดปกติบางประการที่แตกต่างกับความเป็นไปของธรรมชาติ เช่น ในเดือนพฤศจิกายน 2547 มีปลาวาฬ 165 ตัว มานอนตายเกยชายหาดของประเทศออสเตรเลีย พอเดือนถัดมา คือ เดือนธันวาคม 2547 ก็มีคลื่นสึนามิถล่มเมืองชายฝั่งทะเลอันดามันไปหลายประเทศ ซึ่งจะต้องย้อนกลับไปดูอดีต ทั้งนี้การนอนตายเกยชายหาดของปลาน้ำลึก มีมาหลายครั้งหลายหน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดโยง 2 เหตุการณ์ ให้กลายเป็นเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันเท่านั้น
    ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น นอกจากจะมีแผ่นดินไหวบนพื้นดิน และใต้ทะเลลึกแล้ว ปัญหาที่เกิดจากฝนตกหนัก โคลนถล่ม น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุโซนร้อน ดีเปรสชั่น ทอนาโด และเฮอริเคน ต่างก็มาเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้นบางประเทศแอบทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ระเบิดไฮโดรเจน อาวุธเชื้อโรคและอาวุธสารเคมี (เป็นปีที่มีการทดลองอาวุธร้ายแรงมากที่สุดในรอบพันปี) จนปรากฏความเปลี่ยนแปลงของพื้นเปลือกโลกหลายชิ้น ก่อให้เกิดแผ่นดินยุบ ธรณีสูบ เกาะแก่งสูญหาย แผ่นดินโผล่ขึ้นมาใหม่ และเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ไปทั่ว มีคนตายมากกว่า 220 ล้านคน แต่บางท่านว่าอาจถึง 1,000 ล้านคน (ผู้เขียนไม่ยืนยันตัวเลข เพราะไม่สนใจจะไปนับซากศพที่ตายเกลื่อนกลาด)
    ข่าวดี ขณะนี้ มีแนวโน้มว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดในปี 2551 (คศ. 2008) อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไปเกิดในปี 2560 (คศ. 2017) แต่ยังไม่มีผู้ใดกล้ายืนยันฟันธง ประการสำคัญ คือ ต้องไม่ประมาท ถ้าเหตุการณ์เลวร้ายระดับ “ อภิมหามหันตวิปโยคสุดแสนโศกสลด ” ถ้าเกิดในปี 2551 โดยไม่เปลี่ยนกำหนดการล่ะ ท่านควรประพฤติปฎิบัติตนในปัจจุบันอย่างไร ?
    ผู้เขียนขออนุญาตนำผลการบันทึกของกรมอุตุนิยมวิทยา มาเรียนให้ท่านทราบว่า กรมอุตุนิยมวิทยามีบันทึกการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยที่วัดได้ในอดีตหลายจุด หลายจังหวัด เช่น
    - 17 ก.พ. 2518 มีแผ่นดินไหวที่บริเวณ อ. ท่าสองยาง จ. ตาก ขนาด 5.6 ริกเตอร์
    - 15 เม.ย. 2526 ” อ. ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ” 5.5 ”
    - 22 เม.ย. 2526 ” อ. ศรีสวัสดิ์ จ. กาญจนบุรี ” 5.9 ”
    - 11 ก.ย. 2537 ” อ. พาน จ. เชียงราย ” 5.1 ”
    - 9 ธ.ค. 2538 ” อ. ร้องกวาง จ. แพร่ ” 5.1 ”
    - 21 ธ.ค. 2538 ” อ. พร้าว จ. เชียงใหม่ ” 5.2 ”
    - 22 ธ.ค. 2539 ” บริเวณพรมแดนไทย – ลาว ” 5.5 ”
    - 29 มิ.ย. 2542 ” บริเวณจังหวัดเชียงราย ” 5.6 ”
    - 15 ส.ค. 2542 ” บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ” 5.6 ”
    - 20 ม.ค. 2543 ” บริเวณจังหวัดน่าน, แพร่, พะเยา,
    เชียงราย ” 5.9 ”
    - 14 เม.ย. 2543 ” บริเวณจังหวัดสกลนคร ” 4.9 ”
    - 29 พ.ค. 2543 ” บริเวณ อ. สันกำแพง, อ.สันสันทราย
    จ. เชียงใหม่ ” 3.8 ”
    - 7 ส.ค. 2543 ” อ. พร้าว จ. เชียงใหม่ ” 3.0 ”
    มาตราริกเตอร์นั้นแบ่งออกเป็น 6 ระดับ คือ
    ขนาด 1.0 – 2.9 ริกเตอร์ จะเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย ประชาชนรับความรู้สึกได้ บางครั้งรู้สึกเวียนศีรษะ
    ขนาด 3.0 – 3.9 ริกเตอร์ ผู้อยู่ในอาคารจะรู้สึกสั่นไหวเหมือนมีรถไฟหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านข้างบ้านที่พักอาศัย
    ขนาด 4.0 – 4.9 ริกเตอร์ เกิดการสั่นไหวขนาดปานกลาง วัตถุที่แขวนไว้จะมีอาการแกว่งไกวไปมา
    ขนาด 5.0 – 5.9 ริกเตอร์ เกิดการสั่นไหวรุนแรง บริเวณกว้าง เครื่องใช้ไม้สอย และวัตถุสิ่งของเคลื่อนที่
    ขนาด 6.0 - 6.5 ริกเตอร์ เกิดการสั่นไวรุนแรงมาก อาคารบ้านเรือนจะเกิดความเสียหาย มีการพังทลาย
    ขนาด 7.0 ริกเตอร์ขึ้นไป จะเกิดความสั่นไหวรุนแรง อาคารสิ่งก่อสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ถนนหนทาง สะพาน จะเกิดความเสียหายมาก แผ่นดินแตกแยก วัตถุที่อยู่บนพื้นจะถูกเหวี่ยงกระเด็น
    ในอดีตประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา มีแผ่นดินไหวหลายครั้งที่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศต่าง ๆ เช่น
    20 ก.ค.2519 แผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ ที่เมืองตังชาน มณฑลเหอเป่ย ของจีน มีคนตาย 242,000 คน บาดเจ็บ 164,000 คน
    19 ก.ย. 2528 แผ่นดินไหวขนาด 8.1 ริกเตอร์ ที่ประเทศแม็กซิโก มีคนตายมากกว่า 100,000 คน
    7 ธ.ค. 2531 แผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ ที่อาร์มาเนีย มีคนตายมากกว่า 25,000 คน
    21 มิ.ย. 2533 แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่อิหร่าน มีคนตายมากกว่า 40,000 คน
    30 ก.ย. 2536 แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ ที่อินเดีย มีคนตายประมาณ 10,000 คน
    17 ม.ค. 2538 แผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ ที่โกเบ – โอซาก้า ญี่ปุ่น มีคนตายประมาณ 6,400 คน
    10 พ.ค. 2540 แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่ทางตะวันตกของอิหร่าน มีคนตาย 16,130 คน บาดเจ็บ 37,120 คน
    4 ก.พ. 2541 แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ ที่อัฟกานิสถาน มีคนตายประมาณ 4,000 คน
    30 พ.ค. 2541 แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่อัฟกานิสถานเช่นเดิม มีคนตายประมาณ 5,000 คน
    17 ส.ค. 2542 แผ่นดินไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์ เกิดที่ตุรกี มีผู้เสียชีวิต 15,613 คน บาดเจ็บประมาณ 25,000 คน
    26 ม.ค. 2544 แผ่นดินไหวขนาด 7.9 ริกเตอร์ เกิดที่รัฐคุชราช อินเดีย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20,000 คน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 160,000 คน
    25 ม.ค. 2545 แผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริกเตอร์ เกิดที่อัฟกานิสถาน มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,000 คน
    21 พ.ค. 2546 แผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ เกิดที่เมืองแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,000 คน มีผู้บาดเจ็บประมาณ 10,000 คน
    26 ธ.ค. 2546 แผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ เกิดที่เมืองบาม ประเทศอิหร่าน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 31,000 คน บาดเจ็บมากกว่า 18,000 คน
     
  13. kirikoujung

    kirikoujung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +158
    ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์เล็กๆ ที่เคยเกิดในอดีต เหตุการณ์ใหญ่ยังมาไม่ถึง จึงไม่อยากให้ท่านประมาทเหตุการณ์ต่างๆ ในปี 2551
    บทส่งท้ายที่ขอให้ข้อมูลแก่ท่านผู้อ่านเพิ่มอีกนิด คือ ได้รับทราบข้อมูลจาก
    ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงของโลก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่า มีการเคลื่อนที่ของพิกัดบนเกาะภูเก็ตจริง และจากผลการศึกษาของคุณเลิศสิน รักษาสกุลวงศ์ ผอ.สำนักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี พบว่าหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว มักจะมีการยุบของแผ่นดิน หรือแผ่นดินถล่มติดตามมา
    ตัวบ่งชื้หรือลักษณะเตือนภัยเกิด “แผ่นดินยุบ” มี 3 อย่าง
    1. สังเกตได้จากการได้ยินเสียงดังคล้ายดินถล่มมาจากใต้ดิน
    2. บริเวณนั้นมีน้ำผุดขึ้นมาจากใต้ดินโดยไม่มีสาเหตุ และ
    3. มักมีรอยแตกคล้ายร่างแห หรือใยแมงมุมยาว 3 – 5 เมตร ในบริเวณนั้น
    ผอ.เลิดสินบอกว่า ถ้าพบสิ่งบอกเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ลักษณะที่ว่าให้ผู้อยู่ในบริเวณนั้นรีบถอยห่าง และแจ้งเจ้าหน้าที่ทางการ หรือกรมทรัพยากรธรณีโดยด่วน เพราะอาจเกิดปรากฏการณ์แผ่นดินยุบตัวในบริเวณนั้นได้
    ผอ.สำนักธรณีวิทยาเตือนว่า ในเมืองไทยพื้นที่ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงเกิดแผ่นดินยุบตัว หลังเกิดแผ่นดินไหว มีมากถึง 49 จังหวัด
    จังหวัดที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินยุบสูงมี 23 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ สระแก้ว ขอนแก่น นครสวรรค์ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย ฉะเชิงเทรา น่าน ระนอง สุราษฎร์ธานี ชัยนาท ปราจีนบุรี ราชบุรี อุดรธานี ชุมพร พะเยา ลำปาง อุทัยธานี เชียงใหม่ พัทลุง และ เลย
    จังหวัดที่มีโอกาสเกิดแต่ไม่ถึงกับเสี่ยงสูง มี 26 จังหวัด คือ กระบี่ ตาก สตูล นครศรีธรรมราช เพชรบุรี กำแพงเพชร แพร่ สระบุรี จันทบุรี นราธิวาส ยะลา สุพรรณบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระยอง หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ปัตตานี ลพบุรี อุตรดิตถ์ เชียงราย พังงา ลำพูน ตรัง สงขลา และพิษณุโลก
    นอกจาก “แผ่นดินยุบ” เป็นปรากฏการณ์ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังแผ่นดินไหวรุนแรง “แผ่นดินถล่ม” (Landslide) อาจเป็นอีกของแถมตามมา
    “แผ่นดินถล่ม” หมายถึง ภาวะการเคลื่อนที่ของแผ่นดิน เป็นกระบวนการซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนที่ของดินหรือหินตามแนวลาดชัน โดยมีแรงดึงดูดของโลกเข้ามาเกี่ยวการเคลื่อนที่ของมวลดินหรือหิน อาจมีความเร็วตั้งแต่ปานกลางจนถึงเร็วมาก
    รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย วิศวกรโครงการ ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวจากคณะวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (เอไอที) หัวหน้าคณะวิจัยในโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวของประเทศไทย (ระยะที่ 1) บอกว่า
    ผลของแผ่นดินไหว ซึ่งมีแรงสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน อาจก่อให้เกิดแผ่นดินถล่มในบริเวณที่มีความลาดชัน ส่งผลให้มวลดินหรือแผ่นดินเลื่อนไถลลงมายังพื้นที่ราบ หรืออาจเกิดภาวะแผ่นดินยุบ ซึ่งคนไทยมักเรียกกันว่าธรณีสูบขึ้นได้
    ในเมืองไทยโอกาสที่จะเกิด “แผ่นดินยุบ” เป็นหลุมกว้าง หลังเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของเพดานโพรงหินปูน ซึ่งอยู่ใต้ผิวดินแด่ละบริเวณ ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีได้ออกสำรวจ เฝ้าระวัง และติดตามตรวจสอบเป็นระยะ บริเวณนั้นมีความลาดเอียง เช่น บริเวณที่ราบสูงต่างๆ
    ทั้ง 2 กรณี อาจทำให้ก้อนธรณีหรือมวลดินมหึมาทรุดตัวลงมา ยิ่งถ้าเกิดขึ้นบริเวณริมถนนหรือชุมชน ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่น ถือว่าอันตราย
    แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่น่าเป็นห่วงกว่าและหลายคนมองข้าม ก็คือผลของแผ่นดินไหวที่มีต่ออาคารซึ่งถูกต่อเติมหรือก่อสร้างผิดแบบ
    “เรามักจะย่ามใจกันว่า ดูจากประวัติการเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทยผ่านมามักจะไม่รุนแรง และมักเกิดตามรอยเลื่อนที่สำคัญ เช่น ในภาคเหนือ เคยมีแผ่นดินไหวขนาด 5 – 6 ริกเตอร์ เกิดขึ้น 8 ครั้ง ในรอบ 30 ปีมานี้”
    “แต่หารู้ไม่ว่า แผ่นดินไหวขนาดกลางเพียง 5 ริกเตอร์กว่าๆ ซึ่งคิดกันว่าไม่น่าอันตราย เป็นความเข้าใจผิดมหันต์ เพราะหากศูนย์กลางการเกิดอยู่ที่ภาคเหนือ หรือแถวกาญจนบุรี ซึ่งยังมีรอยเลื่อนมีพลังอยู่ จะก่อความเสียหายอย่างมโหฬาร เพราะมีรัศมีการทำลายที่อาจแผ่กว้างไปไกลถึง 20 กิโลเมตร”
    ดร.เป็นหนึ่งบอกว่า เรามักสนใจแต่เพียงว่ารอยเลื่อนหรือรอยแตกของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งมีการเคลื่อนตัวได้และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว มีอยู่ 2 แบบหลักๆ
    แบบแรก รอยเลื่อนที่ตายแล้ว (ไม่มีพลัง) ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน และภาคใต้ของไทย อีกแบบ รอยเลื่อนที่ยังไม่ตาย (มีพลัง) อยู่ในภาคเหนือ และภาคตะวันตก
    “เราคิดว่ารอยเลื่อนพวกนั้นอยู่ไกลตัว และในรัศมีใกล้ กทม. ไม่มีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว แต่หารู้ไม่ว่า ยังมีความเสี่ยง จ่อคอหอย เพราะระยะห่างจาก กทม.โดยรอบ 200 – 400 กม. มีรอยเลื่อนใหญ่อันดามัน ซึ่งอาจเกิดแผ่นดินไหวได้รุนแรงถึง 8 ริกเตอร์ และรอยเลื่อนย่อยที่กาญจนบุรี มีโอกาสเกิดได้เกิน 7 ริกเตอร์”
    “คุณรู้มั้ย ถ้าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7 ริกเตอร์กว่าที่เมืองกาญจน์ อาคารสูงที่มีโครงสร้างอ่อนแอในกรุงเทพฯ มีโอกาสโยกไหวรุนแรงหรือพังโครมลงมาได้ทั้งหลัง”
    ดร.เป็นหนึ่งบอกว่า แม้ “แผ่นดินยุบ” และ “แผ่นดินถล่ม” สร้างความน่าสะพรึงให้แก่ผู้อยู่ในบริเวณที่ล่อแหลม แต่เมื่อเทียบระดับความน่าสะพรึงกันแล้ว ทั้งรอยเลื่อนใหญ่ในทะเลอันดามัน และรอยเลื่อนแขนงที่ จ.กาญจนบุรี เปรียบเสมือนระเบิดเวลากลางเมืองกรุงที่น่าสะพรึงกว่า
    เขาบอกว่า ทุกวันนี้อาคารสูงส่วนใหญ่ใน กทม. ไม่มีการออกแบบเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว ส่วนในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในภาคเหนือ แม้ปัจจุบันมีกฎหมายบังคับให้ออกแบบอาคารสูง รองรับแผ่นดินไหว แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครสนใจปฏิบัติ
    ดร.เป็นหนึ่งว่า ทางออกที่ดีในการล้อมคอก ก่อนเกิดปัญหาไม่คาดคิด สำหรับอาคารสูงในกรุงเทพฯ หรือบางจังหวัดในภาคเหนือตอนบน ที่จะสร้างขึ้นใหม่ ควรนำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด ให้มีการออกแบบโครงสร้างเผื่อรองรับกรณีแผ่นดินไหว
    ส่วนอาคารสูงสำคัญหรือมีผู้ใช้งานมาก ที่สร้างขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่มีระบบรองรับแผ่นดินไหว แก้ไขได้โดยออกมาตรการบังคับให้เจ้าของอาคาร เสริมตัวโครงสร้างทั้งคานและเสา โดยใส่เฟรมเหล็กเพิ่มเข้าไป หรือปรับปรุงเสาและคานบางจุดให้แข็งแรงขึ้น ไม่ก็ทำเป็นกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) เข้าช่วยในบางจุดเพื่อลดความอ่อนแอของตัวอาคาร
    “ถ้าคิดจะป้องกันแก้ไขจริงจังตอนนี้ ยังไม่สายเกินไป แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย วันหน้าอาจสายเกินแก้ และต้องเสียใจกว่าเหตุการณ์สึนามิ”
    ดร.เป็นหนึ่งฝากประโยคทิ้งท้าย นั่นคือ สิ่งที่ผู้เขียนขอนำข้อมูลด้านวิชาการมาฝากเพิ่มเติมครับ
    มงคล กริชติทายาวุธ
    ศุกร์ที่ 14 มกราคม 2548
    23.59 น.
     
  14. kirikoujung

    kirikoujung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +158
    ท่านวางแผนจะทำอะไรบ้าง หากท่านมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 ปี (2548 – 2550)
    คลื่นสึนามิ หรือคลื่นยักษ์ที่ได้ถล่มภาคใต้ 6 จังหวัด เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 มีคนตายไปมากกว่า 5,000 คน บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายมากกว่า 3,000 คน หากรวมกับประเทศที่อยู่ริมทะเลหลายประเทศ ปรากฏว่าคนตายรวมกันมากกว่า 220,000 คน ซึ่งทุกคนส่วนใหญ่ มีความเห็นว่าเป็นมหันตภัยใหญ่ ที่ไม่มีคนไทยคนใดได้เคยพบเห็นมาก่อน แต่ถ้าเทียบกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 (ค.ศ.2008) แล้ว จะเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะจะมีชีวิตชาวโลกเสียชีวิตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในปี 2551 นั้น มากกว่าเหตุการณ์สึนามิครั้งนี้ประมาณ 1,000 เท่า มีหลายเสียงให้ความเห็นมาว่า น่าจะมากกว่า 1,000 เท่า แต่ผู้เขียนขอเพียงตัวเลข 1,000 เท่าก่อน จึงไม่อยากให้เป็น 1,000 ล้านคน ขอเพียงตัวเลข 220 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องสังเวยชีวิตในปี 2551 ก็น่าจะมากพอแล้ว โปรดเก็บบทความนี้ไว้ตรวจสอบ เพราะอีก 3 ปีเศษเท่านั้น เราจะได้รู้เห็นกัน แต่ถ้าโชคดีขยับเคลื่อนไปอีก 9 ปี จากปี 2557 เป็นปี 2560 (ค.ศ.2017) ก็จะมีเวลาวางแผนป้องกันมากขึ้น แต่ไม่ยืนยัน เนื่องจาก ณ ขณะนี้ (มกราคม 2548) โอกาสเกิดมหันตภัยในปี 2551 มีโอกาสมากกว่าปี 2560 อยู่
    สำหรับจังหวัดใดอยู่ จังหวัดใดหาย ผู้เขียนเคยนำแผนที่ออกแสดงทาง itv. ในรายการ “น้ำท่วมโลก” ซึ่งผู้เขียนได้ยืนยันว่า ไม่มีน้ำท่วมโลก มีแต่น้ำท่วมในบางพื้นที่ของโลกเท่านั้น บางพื้นที่อาจเปลี่ยนจากพื้นดินเป็นผืนน้ำถาวรแทน เป็นการออกรายการทีวี ประมาณปลายปี 2539 โดยให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น 2 เสาร์ติดกัน โดยมีนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นฝ่ายโต้แย้ง เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่อง “ซูนามิ” ที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึง
    ท่านที่ไม่เชื่อ ผู้เขียนไม่ว่า เพราะผู้เขียนไม่มีวัตถุมงคลมาบอกขาย ไม่มีที่ดินมาบอกขาย ไม่มีการเรี่ยไรขอบริจาคสิ่งใดจากท่านผู้อ่าน หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สิ่งใดจากท่านผู้อ่าน เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านจะใช้ดุลพินิจและตัดสินใจดำเนินชีวิตของท่านเอง
    แต่ถ้าท่านติดตามข่าวสารของสื่อมวลชนต่าง ๆ ในช่วงเกิดคลื่นสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ท่านคงได้ยินข่าวต่างประเทศ รายงานข่าวให้ทราบว่า มีเกาะหลายเกาะของประเทศอินเดีย ปัจจุบันสูญหายไปจากที่ตั้งเดิม บางเกาะเหลือเพียงเสาสูงโผล่ให้เห็นเท่านั้น
    แต่ไม่เห็นบ้านเรือนของประชาชน บางพื้นที่ในภาคใต้ของเราเอง ก็มีพื้นดินยุบตัวเป็นหลุมใหญ่ มีการเคลื่อนตัวของเกาะภูเก็ตไป 15 ซ.ม. จากพิกัดละติจูดและลองติจูดเดิม (ปกติจะมีการเคลื่อนตัวประมาณปีละ 1 มม.เท่านั้น แต่ครั้งนี้เคลื่อนตัวเท่ากับ 150 มม.) เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มิใช่เหตุการณ์ใหญ่โตอะไร ถ้าเทียบกับสิ่งที่จะปรากฏในปี 2551 แม้จะเป็นเหตุการณ์วิปโยคที่คนตายไปมากกว่า 220,000 คน ตามที่ทุกคนได้ทราบกันดีแล้วก็ตาม
    กรุณาอย่าประมาท การเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ มีการบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า ธรณีพิบัติภัย ซึ่งปกติน่าจะเป็นเพียง ธรณีภัย ซึ่งจะสอดคล้องภัยที่เกิดจาก อุทก (น้ำ) วาตะ (ลม) อัคคี (ไฟ) โดยเรียกว่า อุทกภัย วาตภัย และอัคคีภัย ภัยที่เกิดจากแผ่นดิน ก็ควรเป็นธรณีภัย คำว่า ภัย : ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ปี 2542 ให้ความหมายคำว่า “ภัย คือ สิ่งที่น่ากลัว หรือ อันตราย" โดยมีการเติมคำว่า พิบัติเข้าแทรกกลาง คำว่า “พิบัติ แปลว่า ความฉิบหาย ความหายนะ หรือความอัปมงคล”
    ดังนั้น คำที่ถูกต้องในการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ (เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547) ซึ่งมีคนตายในเหตุการณ์เดียวกันนี้มากกว่า 220,000 คน คือ ธรณีพิบัติภัย ซึ่งแปลว่า สิ่งที่น่ากลัวจากความหายนะของแผ่นดิน โดยในปี 2551 จะมีคำที่เรียกเกี่ยวกับสิ่งที่น่ากลัวจากน้ำ ลม และไฟ เปลี่ยนไป โดยเรียกว่า อุทกพิบัติภัย / วาตะพิบัติภัย และอัคคีพิบัติภัย ทั้งนี้เพราะจะมีเหตุให้มีคนตายในแต่ละเรื่อง ในแต่ละคราว ไม่น้อยกว่าครั้งละพันคน หมื่นคนทีเดียว
    ผู้ใดใครเชื่อ ก็เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องเชื่อ เพราะผลคงไม่แตกต่างกันมากนัก
    ถ้าสภาพจิตใจของท่านยังไม่พัฒนา ท่านยังไม่ฝึกเตรียมตายก่อนตายจริง ท่านอาจต้อง
    เผชิญกับการสูญเสียสิ่งที่เรารักที่สุด หวงที่สุดทั้งด้านทรัพย์สินเงินทองและบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เกียรติยศและชื่อเสียง รวมตลอดถึงบิดามารดา คู่สมรส และบุตรหลานที่รักยิ่งของเรา ที่ต้องฉับพลันสูญหาย หรือตายลงต่อหน้าต่อตา ถ้าท่านยังยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู หลงติดอยู่ในโลกียสมบัติ จิตใจไม่สอดรับความจริงตามธรรมชาติที่เป็นลักษณะสามัญ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ซึ่งหมายความว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทนอยู่สภาพเดิมตลอดเวลามิได้ และแท้จริง ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตน เนื่องจากเกิดจากการผสม หรือรวมตัวของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น
    อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมิได้หมายความว่า ท่านต้องละทิ้งครอบครัว ละทิ้งสังคม ออกบวช การบวชที่กาย แต่ใจมิได้บวช หาประโยชน์ไม่ได้ ภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้จะมีมากกว่า 400,000 รูป ในประเทศไทย แต่ที่มีศีลาจานุวัตร และเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เป็นบุคคล 4 จำพวก ตามคำสรรเสริญพระสงฆ์นั้นน่าจะมีในประเทศไทยไม่เกิน 400 องค์ หรือภิกษุ 1,000 รูป ที่เป็นพระแท้ หรือพระสงฆ์จริง ๆ นั้นอาจจะมีเพียง 1 รูป เท่านั้น หรือ 0.001% แม้จะมีวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยมากกว่า 30,000 วัด ซึ่งก็แปลว่า เจ้าอาวาสวัดมากกว่า 29,000 วัด มิใช่พระสงฆ์แท้ ตามบทสวดพระสังฆคุณ เพราะบุคคล 4 จำพวก ในคำสรรเสริญพระสงฆ์นั้น คือ เป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งผู้เขียนมิได้ปรามาส พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่ปรามาสลูกชาวบ้านที่มาบวชในพระพุทธศาสนา แต่มิได้ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งเป็นได้อย่างมากก็เพียง “ภิกษุ” ในพระพุทธศาสนา ยังไม่ถึงระดับนักบวช ยังไม่ถึงระดับสมณะ และยังไม่ถึงระดับ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่เป็นพระอริยบุคคล
    ความหมายของผู้เขียน คือ ท่านจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นภิกษุ นักบวช สมณะ พระหรืออุบาสก หรือฆราวาสก็ตาม จะต้องลดความโลภ ความโกรธ ความหลง มีเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ผู้อื่น มีความกตัญญูกตเวที /
    มีกรุณา(ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ไม่เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ทุกข์ยากลำบาก)
    มีมุทิตา (ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี) และอุเบกขา (วางตัวเป็นกลาง / รักษาความเป็นธรรม /
    ไม่ลำเอียง / ไม่ปรุงแต่งอารมณ์) มากขึ้น มีหิริ โอตตัปปะมีความละอายชั่ว กลัวบาป ยอมรับกฎแห่งกรรมว่าเป็นความจริงแท้ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จะต้องได้รับผลกรรมหรือการกระทำของตน ผู้ใดทำดี ย่อมได้รับผลดีในสัมปรายภพ หรือโลกหน้า ผู้ใดทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ทุกขเวทนาในสัมปรายภพ หรือโลกหน้า ต้องยอมรับความจริงว่า ทุกอย่างล้วนแต่ไม่เที่ยงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ตลอดไป และไม่มีตัวตนที่แน่นอน ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้น เป็นส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ มารวมกัน เป็นวัตถุสิ่งของตัวตนบุคคลล้วนแต่เป็นสมมุติบัญญัติทั้งสิ้น ในที่สุดก็ต้องแปรเปลี่ยนและแตกสลายไป การหลงเรื่องตัวกู ของกู แท้จริงก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมมิให้มีสภาพแก่ มิให้เจ็บและมิให้ตายไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องทิ้งร่างกายของตนจากไป นั่นก็แปลว่า ตัวกู ก็มิใช่ของกู สิ่งอื่น ๆ ของอื่น ๆ ย่อมต้องมิใช่ของกูใช่ไหม เพราะตัวกู ยังมิใช่ของกู คิดดูให้ดี เพื่อพวกเราจะได้รู้จักปล่อยวางบ้าง ลดแสวงหาโลกียทรัพย์ หันมาสะสมอริยทรัพย์มากขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าในช่วง 3 ปีสุดท้ายที่เหลือ หรืออาจกล่าวโดยสรุป คือ ในช่วง 3 ปีสุดท้ายนี้ ท่านจะต้องสร้างเสริมและถือปฏิบัติอย่างจริงจังให้มี 5 มี 5 ให้ และหนึ่งทำ
    มี 5 มี ได้แก่ 1. มีสติสัมปชัญญะ – ในการทำหน้าที่ของตนจะต้องทำทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด คิด
    ก่อนพูด / ก่อนทำเสมอ ไม่ปล่อยชีวิตให้หมดไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ทุกวัน
    ต้องพยายามทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
    2. มีความกตัญญูกตเวที – รู้บุญคุณคนและรู้จักตอบแทนคุณทุกคน ตั้งแต่ พ่อ
    แม่ ปู่ ย่า ลุง ป้า น้า อา และผู้มีพระคุณทุกคน
    3. มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา – มีความต้องการให้คนอื่นมีสุข พ้น
    ทุกข์ และได้ดีก็ยินดีด้วย ไม่อิจฉาริษยาใคร มีใจเป็นธรรมช่วยใครมิได้ก็ทำ
    ใจเป็นกลาง
    4. มีน้ำใจ – ช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้ออาทรคนอื่นเสมอ
    5. มีศีล 5 – ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมียคนอื่น ไม่พูดปดหลอกลวง
    ไม่ดื่มสุรา
    มี 5 ให้ ได้แก่ 1. ให้อภัย – ไม่ว่าใครจะทำอะไรให้ไม่พอใจ จะต้องให้อภัยเสมอ
    2. ให้ความรัก – ให้ความเอาใจใส่ ให้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
    3. ให้ความจริงใจ – ไม่หลอกลวง ไม่เบียดเบียนคนอื่น
    4. ให้เกียรติผู้อื่น – ให้เกียรติในความเป็นคนของคนอื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยามคน
    5. ให้การเสียสละ – ยิ่งให้ จะยิ่งได้ ไม่มีหมดในสิ่งที่ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือ
    แก่คนอื่น
    1 ทำ ได้แก่ - ทำความดี ทุกเวลา ทุกโอกาส และทุกสถานที่
    - ทำให้ทุกคน และทุกชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดมีความสุข และได้ประโยชน์จากตัวของ
    เรา โดยเริ่มจากคนในครอบครัวเป็นลำดับแรก คนในที่ทำงานเป็นลำดับ
    ที่สอง คนในสังคมเป็นลำดับที่สาม
    - ทำการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจโดยการวิปัสสนากรรมฐานให้มากขึ้น พิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเห็นชัดในดวงจิต
    หวังว่าในวันที่โลกเข้าสู่วิกฤติ ท่านคงจะได้สะสมคุณสมบัติ 5 มี 5 ให้ และ 1 ทำ ที่มีปริมาณมากเพียงพอให้ชีวิตของท่าน และครอบครัวอยู่รอดและปลอดภัย
     
  15. kirikoujung

    kirikoujung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +158
    เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น ผู้เขียนแนะนำแนวทางที่เคยชี้แนะไว้ ในสารชมรมศาสนาและการกุศลที่ผู้เขียนได้พิมพ์แจกเผยแพร่ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2540 โดยได้ประมวลข้อมูลจากบางตอน ในบทความเก่าที่เคยพิมพ์เผยแพร่แล้ว โดยได้ข้อมูลจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือศีลที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ บางท่านเป็นพระธุดงค์ที่เคร่ง บางท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมมานานหลายปี ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ปฏิบัติในสายพุทธธรรมนั้น ส่วนใหญ่ท่านไม่ตอบปัญหาที่ถามตรง ๆ เกี่ยวกับ “อันตรายที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้” ท่านมักจะพูดในทำนองว่า “โยมจะรู้ไปทำไม โยมรู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก เพราะผู้ที่ไม่เชื่อนั้นมีมาก ระวังเขาจะกล่าวหาโยมว่า เพี้ยน หรือเพ้อเจ้อ เลื่อนลอย ไร้แก่นสาร และที่สำคัญ คือ ถ้าอาตมาพูดออกไป ก็จะเป็นเรื่อง “อุตริมุนษย์ธรรม”..........โยมต้องเข้าใจนะว่า เมื่อความเจริญได้เดินทางมาถึงที่สุด ความเสื่อมก็จะต้องติดตามมา และในช่วงเวลานับแต่นี้ไป จะเข้าสู่เวลาแห่งการนับถอยหลังเข้าไปสู่ความเสื่อม ความหายนะแล้ว มันเป็นวัฏจักรของโลก เหตุการณ์อย่างนี้ เคยเกิดขึ้นมาในโลกนับเป็นแสนปี ล้านปีมาแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย และมิใช่เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในโลกของเรา............. ความทุกข์ยากลำบาก ทุพภิกขภัยต่าง ๆ โยมคงจะได้เห็นกันในช่วงชีวิตของโยมนี่แหละ เพราะเท่าที่ดูมารดำ หรือความชั่วร้าย แผ่คลุมโลกมากขึ้นทุกที กฎหมู่จะมีอำนาจเหนือกฎหมาย คนดีจะถูกย่ำยีมากขึ้น คนโดยทั่วไปจะขาดสติในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ฝูงชนจะถูกชักนำให้ร่วมขบวนการในการทำลายล้างมากขึ้น คนส่วนใหญ่จะถูกชักนำและจูงใจให้ทำสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้นจะสนุกกับการทำลาย บางครั้งทำเหมือนคนบ้าคลั่ง ที่เจ็บแค้นมานานปี ทั้ง ๆ ที่มิได้มีเหตุที่ควรเจ็บแค้นเช่นนั้นเลยก็ตาม เหมือนเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมารดำเข้าสิงจิตใจผู้คน เมื่อไรก็ตามที่คนขาดสติกำกับการคิด การพูด และการทำ มารดำจะสิงสู่ทันที และมีอิทธิพลครอบงำจิตใจให้ทำในสิ่งที่เป็นภัยต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง............................ความรุนแรง ความเดือดร้อน อันตรายต่าง ๆ จะลดลงได้อย่างมาก ถ้าบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้.........จะหันมาปฏิบัติสิ่งที่ดีให้มากขึ้น ให้ความดีงามช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย ความรุนแรงก็จะลดลงได้
    สิ่งที่ดี หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นมีหลายระดับ ในระดับของคนทีเป็นฆราวาสที่ยังต้องเกี่ยวพันกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มากมายนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงประโยชน์ในชาติไหน ๆ เอากันในชาตินี้ก็พอ พยามยามละเว้นการทำความชั่ว พยายามทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส มารร้าย มารดำ ย่อมครอบงำเราไม่ได้ แต่ถ้าตรงกันข้าม คือ ทำแต่ความชั่ว ละเว้นทำกรรมดี และทำจิตใจให้เศร้าหมอง การกระทำดังกล่าวจะเป็นแรงเสริมมารดำ มารร้าย ให้มีพละกำลังเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ปัญหาความเดือดร้อนก็จะมีไปทั่ว และรุนแรง ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในปี 2551
    การละเว้นทำชั่ว นั้น ในเบื้องต้นขอให้ละเว้นการทำผิดศีล 5 ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้
    1. ละเว้นการฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนสัตว์และการสนับสนุนให้เกิดการฆ่าและเบียดเบียน สัตว์ด้วย แม้จะไม่ได้ลงมือกระทำ แต้ถ้าเป็นเหตุให้เกิดการกระทำดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีควรละเว้น ควรลด และเลิกเสีย
    2. ละเว้นการลักขโมย หรือการเอาทรัพย์สินบุคคลอื่นมาเป็นของตน การกระทำทุจริตต่อหน้าที่ หรือการขโมยผลงานคนอื่น แล้วอ้างว่าเป็นผลงานของตน ผู้ที่ถูกลักขโมยก็ย่อมเกิดความเสียดาย และเกิดอาฆาตแค้น ผูกใจเจ็บ
    3. ละเว้นผิดลูกเมีย (สามี) คนอื่น คือ คนที่เขามีเจ้าของแล้ว ผู้ที่ได้ครอบครองก่อนหากถูกแย่งชิงไป ก็ย่อมโกรธแค้นและอาฆาตพยาบาทเป็นธรรมดา ปัญหาความไม่สงบก็จะเกิดขึ้นติดตามมา
    4. ละเว้นการพูดโกหก หลอกลวง นินทาว่าร้าย ส่อเสียด ประชดประชัน กระทบกระแทกแดกดัน พูดแล้วเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเสียแก่ตนเอง เสียแก่ผู้ฟัง หรือเสียแก่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็ตาม ไม่ควรพูดออกไป
    5. ละเว้นการเสพสิ่งเสพย์ติดให้โทษ ที่ก่อให้เกิดอาการมึนเมา ที่เป็นการเสียหายแก่สุขภาพของผู้เสพย์ ที่เป็นการทำลายทรัพย์สินที่ก่อให้บุคคลอื่นเดือดร้อน รำคาญจากการเสพย์ของตน บุคคลอื่นนั้น นับตั้งแต่บุคคลในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และสาธารณชนโดยทั่วไป
    พยายามทำแต่ความดี นั้น หมายถึง การกระทำต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น
    - มีเมตตา คือ มีความปรารถนาให้ทุกชีวิตมีความสุข ตั้งจิตด้วยความกรุณา คือ ปรารถนาให้ทุกข์ชีวิตพ้นจากทุกข์ รู้จักการให้อภัย และการอโหสิกรรม ตั้งจิตให้มีมุทิตา คือ แสดงความยินดีกับทุกชีวิตที่ได้ดีมีสุข ไม่อิจฉาริษยา เมื่อเห็นคนอื่นเขาได้ดีกว่า ในกรณีที่เราช่วยลดทุกข์ให้ผู้อื่นมิได้ หรือช่วยเพิ่มสุขให้ผู้อื่นมิได้ ก็จะต้องทำจิตวางเฉย ทำความเข้าใจว่า ทุกชีวิตต่างก็มีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นมรดก เมื่อกรรมนั้นตามทัน ใครก็ช่วยไม่ได้ เว้นแต่กรรมนั้นเบาบาง หรือกรรมนั้นตามยังไม่ทัน แต่บุญนั้นฉุดขึ้นให้พ้นจากห้วงกรรมไปก่อน ดังเช่น ท่านองคุลิมาร แม้จะได้ฆ่าฟันชีวิตไปถึง 999 ชีวิต แล้วก็ตาม แต่กุศลกรรมดีที่สั่งสมมามากได้ดึงท่านให้หลุดพ้นบ่วงกรรม ทำให้ท่านบรรลุเป็นอรหันต์ได้ ดังนั้น ใครก็ตามแม้เคยทำความชั่วมามาก หรือทำความชั่วมากกว่าทำดี ต้องเร่งทำกรรมดี เพื่อความดีจะได้ฉุดรั้งขึ้นก่อนที่กรรมชั่วจะตามทัน ก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น และเป็นไปได้ ความดีที่ได้ทำแล้ว ผลดีย่อมตอบสนอง แต่ถ้าประมาทขาดความใส่ใจ โชคร้าย โรคภัยต่าง ๆ ย่อมเบียดเบียน หรืออาจเป็นโรครักษาไม่หายได้ ซึ่งเป็นกรรมที่ตามมาทัน หรือเป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นั่นเอง ขอให้ทุกคนได้โปรดหันมาทำแต่กรรมดี ทั้งในด้านการคิด การพูด และการกระทำต่าง ๆ ความดี ทำได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกโอกาส และทุกหน้าที่ หากทุกคนทำดีกันมาก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดในปี 2551 อาจเลื่อนไปเกิดในปี 2560 แทน
    - ถ้าเราทำงาน เราก็ทำงานของเราให้ดี มีความรับผิดชอบ ทำงานให้เต็มที่ ไม่เบียดเบียนเวลาไปเดินซื้อของ หรือคุยติดลม จนลืมว่าต้องกลับมาทำงานอีกครั้ง อันเป็นเครื่องแสดงถึงความบกพร่องอย่างหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ “พอกันสักทีจะได้ไหม”
    - ถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชา เราก็ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี ช่วยชี้แนะสอนงานให้ลูกน้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำผิดพลาด ก็ตักเตือนให้โอกาสลูกน้องในการทำงาน และทำความดี ชมเชยทุกครั้งที่ลูกน้องมีความดี เพื่อเป็นกำลังใจ และต้องมีใจที่ยุติธรรม มองเห็นลูกน้องอยู่ในสายตา มิใช่พิจารณาแต่บุคคลที่เป็นพวกพ้อง หรือสอพลอคอยรับใช้ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการที่ทำงานรับค่าตอบแทนเลย ซึ่ง “น่าจะพอกันสักทีได้แล้ว”
    - ถ้าเราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เราก็ต้องทำตนให้เป็นลูกน้องที่ดี ช่วยเหลือกิจการงานของผู้บังคับบัญชาให้สำเร็จ ไม่นินทาว่าร้ายผู้บังคับบัญชา แต่ปกป้องผู้บังคับบัญชา ขยันและตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และสำเร็จอย่างไม่บกพร่อง อีกทั้ง ต้องไม่พูดในทางที่จะเกิดความเสียหาย แก่สถาบันหรือธนาคารที่เราทำงานอยู่โดยเด็ดขาด หากผู้อื่นเข้าใจผิด เราต้องช่วยแก้ความเข้าใจผิด มิใช่พูดซ้ำเติมสถาบันที่เราทำงานอยู่
    - ถ้าเราเป็นเพื่อนร่วมงาน เราต้องไม่กลั่นแกล้งเพื่อน ไม่พูดให้ร้ายเพื่อน ไม่เหยียบย่ำเพื่อน ไม่ทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เพื่อนต้องตกต่ำ ถ้าท่านอยากได้ดี ท่านก็แสดงความรู้ความสามารถของท่านให้ผู้บังคับบัญชาเห็นได้อยู่แล้ว ไม่สมควรเลยที่ท่านจะต้องพูดให้ร้ายแก่คนอื่น เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาเห็นคนอื่น เป็นผู้ที่ไม่เหมาะสม โดยมีท่านเท่านั้นที่เหมาะสม การก้าวขึ้นตำแหน่งสูง โดยการเหยียบย่ำผู้อื่นนั้น ท่านต้องเข้าใจว่า ความลับไม่มีในโลก สักวันหนึ่ง ความนั้นมันจะไม่ลับต่อไป ถ้าคนที่ท่านเหยียบย่ำเขาเกิดใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเขาทราบว่าท่านนั้นเคยแอบแทงข้างหลังให้ร้ายเขามาก่อน กรรมชั่วที่ท่านทำไป ก็อาจกลับมาสนองท่านได้ จงละ ลด และเลิกกระทำเสียตั้งแต่บัดนี้เถิด
    - ถ้าเราเป็นผู้มีครอบครัว เราต้องถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า เราได้ทำดีกับทุกคนในครอบครัวของเราหรือยัง ทำดีนั้น ต้องดีชนิดที่คนอื่นในครอบครัวเขายอมรับว่าดี มิใช่ตัวท่านคิดเอง เออออเอง แต่คนอื่นที่ใกล้ชิดกลับอึดอัด บางคนเข้าใจผิดคิดว่าการห่วงใยติดตามทุกฝีก้าว คอยตรวจสอบทุกเวลา เป็นความดี แท้จริง คือ ความเห็นแก่ตัวเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน จริงใจต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก่อนช่วยชาวบ้าน ก่อนช่วยสังคม ก่อนช่วยชาติบ้านเมือง ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าท่านได้ช่วยครอบครัวของท่านเป็นอย่างดี ทำให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ดีมีสุขแล้ว บางคนหลงผิด ครอบครัวเดือดร้อนลำบาก กลับปล่อยปละละเลย โดยใช้เวลาไปช่วยเหลือคนที่อยู่ไกลตัวก่อน คนใกล้ตัวเป็นอย่างไรก็ช่าง ซึ่งดูให้ดีแล้วเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว ความอยากได้หน้าของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อตนเองจะได้รับประโยชน์จากคำสรรเสริญ คำยกยอปอปั้น แท้จริงคือ คนที่ขาดความรับผิดชอบและเห็นแก่ตัว เพราะแม้แต่ครอบครัวของตัวเอง ยังรับผิดชอบมิได้ แต่ก็อยากได้ชื่อว่า เป็นผู้รับผิดชอบต่อสังคม
    ถ้าทุกคนเริ่มต้นจากตัวเอง และครอบครัวเป็นลำดับแรก ที่ทำงานเป็นลำดับถัดไป อย่างน้อยสังคมก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป ขอให้พวกเราใส่ใจกันสักนิดว่า ทุกชีวิตในบ้านของเรา
    ในที่ทำงานของเรา มีความเป็นอยู่อย่างไร เราจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีความสุข และต้องคิดเสมอว่าเราต้องไม่นำทุกข์ใด ๆ มาใส่ครอบครัวและมาใส่ที่ทำงานของเรา
    ตัวอย่างความดีต่าง ๆ ที่ว่ามานี้ เป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ของการมีชีวิตของคนเรา
    หากเราคิดได้ พูดชักชวนคนอื่นได้ และทำได้ ก็นับว่าได้สร้างให้สังคมของเรา เป็นสังคมที่มีคุณธรรมแล้ว
    ในชีวิตของคนเรา ในระหว่างมีสติอยู่ เรามักวนเวียนอยู่กับการคิด การพูด และ
    การกระทำเกือบตลอดเวลา แม้ในเวลาหลับ ซึ่งเราไม่มีสติกำกับ บางครั้งกระแสแห่งการคิดก็ยังทำงานต่อ แต่ถ้าในขณะที่เรามีสติ ในขณะที่เราตื่นอยู่ เรามาหยุดคิด หยุดพูด และหยุดทำทุกสิ่ง วันละ 5-10 นาที อาจช่วยท่านเติมพลังงาน หรือเติมประจุใหม่ ให้ท่านมีพลังแห่งความสดใส ชื่นบานด้วยจิตใจที่ผ่องใส เราอาจมานั่งจับความคิดของเราดูก็ได้ ว่า 5-10 นาที เราจับความคิดได้กี่เรื่อง เอาเทปเล็ก ๆ มาอัด หรือเอากระดาษมาจด เมื่อความคิดมันวิ่งผ่านเข้ามา เราอาจจะได้แง่คิด หรือแนวคิดที่มีประโยชน์อย่างมากก็ได้ จิตใจของเราก็จะผ่องใสด้วย
    สำหรับ “อันตรายที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้” นั้น ให้สังเกตเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ว่าจะมีเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้น ก็ขอให้มนุษยชาติได้เตรียมตัวเผชิญชะตากรรมร่วมกันที่จะพบกับมหันตภัยสาธารณะ ทุพภิกขภัย และความเดือดร้อน ที่จะติดตามมาหลังเหตุการณ์เหล่านี้ไม่นาน
    1. ทารกแรกเกิด คนหนุ่มสาว และคนแก่เฒ่าชรา จะเป็นโรคที่รักษาไม่มีหาย มีการติดโรคร้ายได้ทุกวัยของมนุษย์ ใครเป็นโรคนี้แล้วจะต้องตายทุกคน จะนับจำนวนได้มากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งโรคนี้ติดต่อได้ยาก เพราะจะติดต่อได้โดยการมีเพศสัมพันธ์ หรือโดยโลหิตของมนุษย์เท่านั้น (องค์การอนามัยโลก ได้แถลงข่าวทางสื่อมวลชนเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2547 ว่าขณะนี้ ประชากรโลก ได้ติดเชื้อเอดส์แล้ว ประมาณ 60 ล้านคน)
    2. จะไม่พบว่า มีวันใดที่จะว่างเว้นจากการฆ่ากัน เพื่อแย่งชิงอำนาจปกครองดินแดน ไม่เกิดในประเทศนี้ ก็เกิดในประเทศโน้น มีการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองดินแดนทุกวัน (ให้สังเกตข่าวต่างประเทศในโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ดูกันเอาเอง)
    3. สภาพดิน ฟ้า อากาศ จะมีความแปรปรวนสูง ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่เคยเป็นมา แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จะเกิดขึ้นในช่วงนี้มากขึ้น แม้บางแห่งไม่เคยเกิดแผ่นดินไหว ก็จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น บางแห่งภูเขาไฟได้ดับไปหลายร้อยปีมาแล้ว ก็จะระเบิดอีกครั้ง (เช่น เหตุการณ์ภูเขาไฟพินาตูโบ้ ในฟิลิปปินส์ ซึ่งดับมาเกือบ 600 ปีแล้ว ได้ระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นต้น)
    4. ความต้านทานโรคของมนุษย์จะมีน้อยลง จะมีโรคแปลก ๆ เกิดใหม่มากขึ้น
    5. หลายประเทศจะมีการสร้าง ที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากินกันอยู่ในใต้ดิน (ใครที่เคยไปโตเกียวมาแล้ว หากได้มีโอกาสเดินลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน จะพบความยิ่งใหญ่ของเมืองใต้ดินที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่นับเป็นหมื่นคน อยู่ในใต้ดินถึง 3 ชั้นมหึมา มีทั้งร้านอาหาร ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่าง ๆ น้ำพุ น้ำตก ฯลฯ อยู่ในใต้ดินนั่นเอง ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยือนเมื่อปลายปี 2534 แล้วพูดได้อย่างเดียวว่า มีเหตุการณ์เช่นว่าแล้วจริง)
    6. พลังแห่งความชั่วร้าย หรือซาตาน จะครอบงำโลก จะยุแหย่ให้ผู้คนแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเอง คนจะขาดสติมากขึ้น คนจะมีทิฐิมากขึ้น คนจะเห็นผิดเป็นชอบมากขึ้น ใครพูดผิดจากฝ่ายที่ตนคิด จะถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายผิด ในขณะที่ฝ่ายตนตะโกนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ใครที่มีความคิดต่างจากฝ่ายตน จะถูกประฌาม และสาปแช่งในรูปแบบต่าง ๆ แม้แต่พี่น้องพ่อแม่ก็อาจแตกแยกอันเนื่องมาจากแนวคิดในทางการเมืองต่างกัน และรุนแรงถึงขนาดทำร้ายและฆ่ากันได้ เพียงเพราะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในทางการเมืองเท่านั้น การกระทำเพื่อยุติปัญหาการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจ ก็กระทำควบคู่กับการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง วิถีทางการทูตก็ทำกันไป แต่ไม่สามารถยุติการฆ่ากันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ได้
    7. อารมณ์ของคนโดยทั่วไป จะมีความพลุ่งพล่าน หงุดหงิดงุ่นง่าน อย่างไม่ค่อยมีสาเหตุมากขึ้น คนที่รักสงบ จะถูกกดขี่ย่ำยี ผู้ที่มีอำนาจ ก็จะบ้าอำนาจมากขึ้น
    หากสังเกตได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นแน่ อันตรายโดยส่วนรวมของมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้นติดตามมาในปี 2551 แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่หันมามีการกระทำความดีมาก ๆ โดยมีคุณสมบัติ 5 มี (มีสติสัมปชัญญะ มีความกตัญญูกตเวที มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา มีน้ำใจ และมีศีล 5 มีคุณสมบัติ 5 ให้ (ให้อภัย ให้ความรัก ให้ความจริงใจ ให้เกียรติผู้อื่น ให้การเสียสละ) และทำ 1 ทำ คือ ทำความดีมาก ๆ เหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยร้ายครั้งร้ายแรง จะเคลื่อนย้ายไปเกิดในปี 2560 (ค.ศ.2017)
     
  16. kirikoujung

    kirikoujung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +158
    ขออนุญาตเรียนเพิ่มเติมว่า เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ผู้เขียนขอให้ท่านดำเนินการดังนี้
    1. นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านต้องเตือนตัวเองทุกวัน ว่า “ต้องไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวัน โดยมิได้ทำประโยชน์อันใดให้เกิดขึ้น”
    อะไรก็ได้ สิ่งใดก็ได้ ที่เป็นประโยชน์ จะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง ประโยชน์ต่อคนในครอบครัว ประโยชน์ต่อที่ทำงาน ประโยชน์ต่อผู้บังคับบัญชา ประโยชน์ต่อลูกน้อง ประโยชน์ต่อชุมชน ประโยชน์ต่อสังคม ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ฯลฯ
    โปรดอย่าปล่อยชีวิตให้หมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ และอย่าอ้างว่า “การนอนมาก การกินมาก การไม่ทำอะไร” เป็นประโยชน์ตน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่หลงผิดอย่างมหันต์ หรือกล่าวโดยสรุป คำว่า “ประโยชน์ตน” จะต้องเป็นสิ่งที่ปราชญ์สรรเสริญว่า “สิ่งนั้นต้องเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์โดยแท้” สิ่งนั้น จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนใด ๆ ให้แก่ผู้ใด สิ่งนั้นจะต้องทำให้บุคคลผู้นั้นเอง มีความเข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สิ่งนั้น จะต้องทำให้บุคคลนั้นเอง ไร้ทุกข์-มีสุข อย่างถาวร สิ่งนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ครอบครัว ที่ทำงานชุมชน และสังคม ได้ประโยชน์ร่วมกันด้วย ฯลฯ
    2. ขอให้ท่านตระหนักว่า ในยามที่มหันตพิบัติภัยของโลก และของชาติมาถึง โรคภัยไข้เจ็บมีมาก ภัยธรรมชาติ และภัยสงครามระหว่างชาติแผ่ขยาย ข้าวปลาอาหารและยารักษาโรคขาดแคลน มีเงินและทรัพย์สินก็อาจหาอาหารมาประทังชีวิตมิได้ อาจเข้าสู่ยุคของการ “นำอาหารแลกเปลี่ยนอาหาร” หรือ “นำอาหารไปแลกเปลี่ยนเป็นยารักษาโรค” เพราะการป่วยเจ็บในยามมีภยันตราย ย่อมมีมากกว่าเกณฑ์ปกติ เป็น 10 เท่าทวีคูณได้
    3. ฝึกฝนตนให้เป็นคน “กินน้อยลง ใช้น้อยลง และนอนน้อยลง” ให้เริ่มต้นโดยพยายามลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ เมื่อลดได้มากพอ ให้ลดมื้ออาหารลงเหลือเพียงวันละ 2 มื้อ เพราะจะเดือดร้อนน้อยเมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ที่ขาดแคลนอาหารอย่างที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ ข้าวราดแกง ที่เคยมีราคาจานละ 20 บาท อาจจะมีราคาถึงจานละ 600 บาท ทุกอย่างที่มีราคาในปัจจุบัน ถ้าราคากระโดดสูงขึ้น 30 เท่าตัว จะเป็นอย่างไร กรุณาลองวาดภาพดู เราจะไม่มีทางฟุ่มเฟือยได้เลยในภาวะวิกฤติภายหน้า
    ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองในปัจจุบันให้เกิดความเคยชิน เราต้องลำบากยากเข็ญมากแน่
    4. ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจให้มากขึ้น ฝึกจนใจร้อยเข้าสู่แกนสงบนิ่ง แล้วพิจารณาพระไตรลักษณ์ อันประกอบด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ประจักษ์แจ้ง เห็นจริง ลงไปในส่วนลึกของจิต และให้เห็นจริงตามธรรมชาติว่า ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป วนเวียนเปลี่ยนไปเสมอ ให้เห็นเรื่องการตายเป็นเรื่องธรรมดา ฝึก “ตายก่อนตายจริง” แล้วทุกสิ่งจะเห็นเป็นธรรมดา
    5. ฝึกกินอาหารพืชผักให้มากขึ้น ค่อย ๆ ลดเนื้อสัตว์ลง หากงดกินได้ในที่สุด ก็จะอยู่รอดได้ยาวนาน เพราะในสภาวะที่แร้นแค้น ทุกชีวิตล้วนแต่ตกระกำ ยากแค้น มีเงินทองก็อาจซื้อเนื้อสัตว์มิได้ แต่เราสามารถที่จะปลูกผักสวนครัว ไว้รับประทาน ประทังให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ถ้าไม่ฝึกเสียแต่วันนี้ ความเคยชินก็จะไม่มี บางท่านอาจบอกว่า หากกินแต่พืชก็ขาดโปรตีน จะทำอย่างไรดี ก็ขอเรียนว่า โปรตีนจากพืชก็มี ความจริงในโรงพยาบาลบางแห่ง เช่น โรงพยาบาลมิชชั่น ทั้งหมอและพยาบาล ตลอดจนผู้ป่วยทุกราย รับประทานอาหารมังสวิรัติตลอดชีวิต เขาอยู่อย่างปกติสุข มีสุขภาพที่ดี ก็มีมากให้เราพบเห็นในปัจจุบัน “โปรดอย่าอ้างว่า กินแต่ผัก จะทำให้อ่อนแอ” แท้จริงนักโภชนาการ กลับบอกว่า “ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ต่างหาก จะมีความอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ที่รับประทานพืชผัก”
    พวกเราจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตที่หวนคืนกลับเข้าหาธรรมชาติให้มากขึ้น ผู้ใดเข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ในสมัยโบราณได้ จะมีความเป็นอยู่ปกติสุขได้มาก ในยามโลกวิกฤติ ท่านจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปาใช้ ไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์ขาย.......... โปรดไตร่ตรองให้ดี พิจารณาให้รอบคอบ ผู้เขียนไม่ปรารถนาให้เกิดมีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดใน 3 ปี ข้างหน้า (ปี 2551) หรืออีก 12 ปี ข้างหน้า นับจากมกราคม 2548 (ปี 2560) แต่เราก็คงจะหลีกหนีเหตุการณ์ณ์ดังกล่าวมิได้ อย่างมาก ก็คงช่วยให้เหตุมหันตภัยดังกล่าวขยายเวลาออกไปให้ยาวไกลที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น แต่ถ้าไม่มีเหตุวิกฤติหรือมหันตภัยใด ๆ เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ โดยแลกกับการที่ผู้เขียนต้องถูกประฌามด่าว่า “ไอ้บ้า ทำให้คนตกใจกลัวทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดในโลกใบนี้” ผู้เขียนยินดีให้ประฌามด่าว่า ผู้เขียนอยากให้เรื่องเลวร้ายและมหันตภัยไม่เกิดขึ้น ผู้เขียนอยากให้เรื่องของมหันตภัยเป็นเรื่องเหลวไหล หลอกลวง เลอะเทอะ ผู้เขียนยอมให้เวลาที่ผู้เขียนค้นคว้าในวันหยุดและตอนกลางคืนวันละหลายชั่วโมง สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้ายใด ๆ เกิดขึ้น กับมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง ความจริงนั้น ผู้เขียนไม่ต้องการเห็นมนุษย์และสัตว์ต้องทุกข์ทรมาน จากภัยพิบัติที่ร้ายแรง ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มนุษย์ทั้งหลายตกอยู่ในความประมาท ในที่สุด ก็ต้องสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ในยามโลกเข้าสู่วิกฤติอีกทั้งไปเพิ่มความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เป็นการเพิ่มความรุนแรง ด้วยการฉกชิง วิ่งราว จี้ปล้น และฆ่าผู้มีทรัพย์สิน หรืออาหาร หรือยารักษาโรค ผู้เขียนขอวิงวอนท่านที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ ได้โปรดไตร่ตรองและอ่านทบทวนโดยรอบคอบ แม้จะเป็นชีวิตของท่าน ที่ท่านจะเลือกทางเดินอย่างไร ได้ตามใจชอบ แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากให้ท่านทุกข์ยากเข็ญใจหนักหนาสาหัสกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น สิ่งใดที่ผู้เขียนจะชี้แนะให้พ้นภยันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ขอทำหน้าที่ดังกล่าวสักนิด
    6. ถิ่นที่อยู่อาศัยในยามโลกเข้าสู่แดนมิคสัญญี เกิดโรคร้ายแรงระบาด สารพิษแพร่กระจายเต็มไปในอากาศและน้ำดื่มน้ำใช้ เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด การสื่อสารทุกชนิดงดให้บริการหมด “อยู่ในภาวะสิ้นสุดของโลกยุคโลกาภิวัตน์” เป็น “การสิ้นสุดของโลกไร้พรมแดนในการติดต่อสื่อสาร” สภาพดังกล่าว พวกเราอาจจะได้พบได้ใน 3 ปี ข้างหน้า มิฉะนั้นก็ภายใน 12 ปี ข้างหน้า (เวลาผ่อนปรนสุดท้าย) ไม่อาจหลีกหนีพ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม ขงจื๊อหรือเต๋า และนิกายศาสนาอื่นใด มีคำเตือนมาแต่โบราณกาล กล่าวถึง “วันพิพากษาโลก / วันชำระล้างคนบาป / วันที่ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก” เพียงแต่อาจจะมาเกิดให้เห็นในยุคของเราเท่านั้น
    สถานที่ต้องระวังและต้องขยับขยายถิ่นฐานคือ จังหวัดชายทะเลทุกจังหวัดบริเวณที่ลุ่ม บริเวณใต้เขื่อนต่าง ๆ และสถานที่ควรเข้าใกล้ คือ สถานที่ใกล้พุทธสถาน สถานที่ใกล้วัดป่า สถานที่ใกล้บริเวณที่ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
    สถานที่อยู่อาศัย จะต้องหาบริเวณไว้ปลูกผักสวนครัว พืชไร่ พืชสวน และพื้นที่เลี้ยงสัตว์สำหรับประกอบอาหาร (สำหรับผู้ที่ยังติดในรสชาติเนื้อสัตว์ที่เลิกรับประทานมิได้ ก็เตรียมไว้ จะเป็นไก่ เป็ด หมู ปลา กุ้ง หอย ท่านก็จะต้องวางแผนไว้) หรือเลี้ยงสัตว์ที่จะใช้แทนยานพาหนะ เพื่อการติดต่อหรือเดินทางในยามจำเป็น และถ้าเป็นไปได้ ขอให้สร้างห้องใต้ดินไว้ทุกบ้าน ห้องใต้ดินควรปูด้วยแผ่นหินที่จะช่วยให้เกิดความเย็น หรือใช้วัสดุใดก็ได้ที่มีความเย็นเป็นหลัก มีระบบระบายอากาศที่มีคุณสมบัติในการกรองอากาศเสีย เพื่อมิให้ควันพิษจากข้างนอกเข้าไปภายในห้องใต้ดินได้
    7. ต้องจัดเตรียมเสบียงอาหาร โดยเฉพาะเครื่องกระป๋องให้มาก (ต้องดูวันหมดอายุให้ดีด้วยครับ) ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่าง ๆ อุปกรณ์เครื่องใช้และเครื่องช่วยดำรงชีพในป่า เพราะทุกแห่งหน จะมีสภาพเหมือนป่า โดยให้จัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ เช่น
    - เชือกชนิดดี มีความเหนียวทน ความยาวประมาณ 10 เมตรต่อคน
    - ยารักษาโรคที่จำเป็นต่าง ๆ อาทิ ยาแก้ปวดศรีษะ ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้อักเสบ ยาแก้ไข้หวัดและยาประจำตัวต่าง ๆ ก่อนวิกฤติดังกล่าว
    - อุปกรณ์ให้แสงสว่างต่าง ๆ เช่น ไฟฉาย ไฟแช็ค ไม้ขีดไฟ น้ำมันก๊าด เป็นต้น
    - ถังใส่น้ำดื่มขนาดใหญ่ หรือภาชนะสำรองน้ำดื่ม (น้ำใช้มีความจำเป็นน้อยกว่ามาก ช่วงเวลานั้นไม่มีการซักเสื้อผ้า ไม่มีการอาบน้ำกันแล้ว)
    บทความนี้ ขอให้ท่านเก็บไว้อ้างอิง และเป็นแนวทาง เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้เห็นในปี 2548 เป็นต้นไปว่า จะมีความรุนแรงอันเกิดจากภัยธรรมชาติมากขึ้นถี่ขึ้น ดินฟ้าอากาศจะปรวนแปรมากขึ้น พายุใต้ฝุ่นและน้ำท่วมมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมีเพิ่มขึ้น การฆ่าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามในประเทศต่าง ๆ มีมากขึ้น การแย่งชิงอำนาจในการเข้าบริหารประเทศชาติมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งก็ได้เกิดให้เห็นแล้วในปัจจุบันหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอัลบาเนีย ซาอีร์ ปาปัวนิวกินี เป็นต้น และจะมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่เป็นจริง ก็สบายใจไปได้ 50% แสดงว่าเงื่อนเวลาขยายออกไปอีกช่วงหนึ่ง ประมาณ 9 ปี นั่นคือ
    ความพยายามในการสงบระงับเหตุร้ายแรงนั้น ทำได้สูงสุดไม่เกิน พ.ศ.2560 หรือภายใน 12 ปีข้างหน้า ถ้าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นจริง เกิดใน 12 ปีข้างหน้า นับจากมกราคม 2548 ย่อมดีกว่าเกิดภายใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2551) แต่ถ้ารอไปอีก 12 ปีข้างหน้า ผู้คนทั้งหลายยังตกอยู่ในความประมาท ตกอยู่ในความมัวเมา ก่อกรรมทำเข็ญมากขึ้น หลีกหนีจากความดีงาม ไม่สนใจที่จะงดกระทำสิ่งที่เป็นบาปกรรม ไม่สนใจที่จะฝึกจิตให้ผ่องใส หากจะเกิดเหตุร้ายใน 3 ปีข้างหน้า ก็คงจะหนีชะตากรรมไปมิได้ เมื่อนั้น ต่างก็คงจะต้องหาทางช่วยตัวเองและรับการตัดสินจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ติดค้างมานานถึง 60,000 ปี จะได้ขุดรากถอนโคนให้หมดหนี้กรรมไปวาระหนึ่ง โดยผู้โชคดี หรือมีหนี้กรรมน้อย จะได้ตายในทันที ไม่ทรมาน แต่ผู้ที่มีกรรมชั่วมากจะตายก็ไม่ตาย แต่ได้รับความทรมานแสนสาหัส อยู่อย่างแร้นแค้น ยากเข็ญ ร้อนก็ร้อน สุดโหด หนาวก็หนาวสุดขีด ซึ่งก็คงจะได้พบเห็นกันในเร็ว ๆ นี้ โดยจะได้เห็นหิมะตกในประเทศไทยด้วย
    ด้วยความปรารถนาดี
    จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ
    วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2547
    เวลา 02.35 น.

    ฤฤฤฤฤฤฤฤ ลลลลลลลล

    หมายเหตุ ท่านใดที่ต้องการรับข่าวสารชมรมศาสนาและการกุศล ที่รวดเร็วโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
    ใด ๆ ชมรม ฯ จะจัดส่งข่าวสารชมรม ฯ ให้ทาง E-mail กรุณาแจ้งให้ชมรมฯ ทราบ ด้วยว่าจะให้ส่งทาง E-mail ของท่านหมายเลขใด แจ้งมาที่ประธานชมรมฯ
    ที่ mkrichti @ ktb.co.th ด้วยครับ


    อ้างอิง จาก.... http://www.stou.ac.th/Thai/Schools/slw/Webboard/Question.asp?GID=13469



    กระทู้นี้ได้ทำการเขียนไว้๒ปีเเล้ว เราเพิ่งมาเจอวันนี้เอง
    เสาร์ที่๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2007
  17. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ถือเป็นบทความที่เตือนสติได้ดีมากครับ
    ถึงวันนี้รู้สึกว่าสิ่งบอกเหตุที่คุณมงคล กริชติทายาวุธ เขียนไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2547 เวลา 02.35 น.(ตามที่อ้างไว้แล้ว) จะปรากฎเด่นชัดขึ้นมากแล้ว ประการหนึ่งคือความแปรปรวนของธรรมชาติ นึกย้อนไปเมื่อสองปีที่แล้ว กับวันนี้ต่างกันมาก ถ้าไม่สังเกตหรือไม่ใส่ใจก็จะดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ถ้ามีความสังเกตหรือมีความละเอียดอ่อนบ้างจะเห็นได้ว่าภูมิอากาศปัจจุบันแปรปรวนมาก ๆ ดูประหนึ่งว่าคงไม่ใช่อีก 12 ปีแล้ว น่าจะเร็วๆนี้

    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังหลงระเริง ยังประมาท และมีอีกเป็นจำนวนมากๆๆที่ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ เมื่อมีความประมาทก็ลืมตาย การหันหน้าเข้าสู่ธรรมเพื่อสั่งสมคุณงามความดีจึงไม่เกิดมีขึ้น
    นี่กระมังที่เป็นมูลเหตุให้คนตายเป็นจำนวนมาก

    ส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่ต้องถึงปี2551 แค่ปลายปี50นี้ ก็น่าจะหนักหนาสาหัสทีเดียว แค่เรื่องน้ำอย่างเดียวก็คงจะเกินความคาดหมายของคนทั่วไปแน่ๆ จะพยายามวางใจให้มากที่สุดครับ
     
  18. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    วิเคราะห์แผนสงคราม... หากมะกันถล่มอิหร่าน

    [​IMG]รายละเอียด : เมื่อวานตั้งประเด็นว่าถ้าสหรัฐถล่มอิหร่าน จะบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งใหม่หรือไม่? อิหร่านประกาศแล้วว่าถ้าอเมริกา และอิสราเอล เล่นงานเขาด้วยกำลัง เขาก็จะตอบโต้...และสิ่งแรกที่จะทำก็คือการยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอล ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ​


    อิหร่านไม่เคยปิดบังนโยบายของตนว่าอิสราเอลไม่ควรจะอยู่บนแผนที่โลกนี้อีกต่อไป ​


    และอย่าแปลกใจถ้าหากอิหร่าน จะยิงถล่มเป้าหมายของอเมริกันในตะวันออกกลางด้วย หากตัวเองถูกโจมตีก่อน ​


    ซึ่งแปลว่าสงครามจะขยายวงในตะวันออกกลาง ​


    ต้องไม่ลืมว่าตุรกี อาจจะถูกดึงเข้าร่วมรบอยู่ข้างสหรัฐ และอิสราเอล ด้วยเพราะเพิ่งจะมีการบรรลุข้อตกลงระหว่างอิสราเอล กับตุรกีว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร ​


    ประเทศในตะวันออกกลางที่ไม่ถูกกับอิสราเอลก็ย่อมจะไม่เข้าต่อต้านการที่อิหร่านเปิดศึกกับอิสราเอล แม้ว่าหลายชาติที่ไม่ถูกกับอิสราเอลจะมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับสหรัฐก็ตาม


    อิสราเอล ได้สำรองอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยหลายอย่างจากสหรัฐในระยะหลัง เป็นสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมว่า การ "เตรียมทำสงคราม" ได้เริ่มขึ้นแล้ว ​


    วงการข่าวกรองทางทหารบอกว่า อเมริกาได้ส่งอาวุธที่ยิงทางอากาศทันสมัยกว่า 5,000 ชุดไปให้อิสราเอล และที่น่าสนใจเป็นการเฉพาะคือเจ้า "bunker-buster" รุ่น BLU109 ซึ่งมีพลังทำลายทะลุทะลวงลงไปใต้ดินได้ ​


    ที่ต้องมีอาวุธที่ทิ้งทางอากาศเพื่อเจาะลงไปใต้ดินลึกได้ ก็เพราะรู้กันว่าโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านดังที่สุดอยู่ที่เมือง Natanz ซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินประมาณ 30 เมตร


    จึงไม่ต้องบอกว่าทำไมมะกัน และอิสราเอล จึงต้องแสวงหาเจ้า bunker-buster รุ่นที่มีพลังทำลายสูงเป็นพิเศษคือ BLU-113 มาเก็บไว้ในคลังแสงอาวุธของอิสราเอล ​


    แผนรบของอิสราเอลตามที่นักวิเคราะห์ทางทหารมองก็คือ การใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศของตัวเองถล่มโรงงานนิวเคลียร์ที่เมือง Bushehr โดยที่จะใช้เครื่องบินจารกรรม AWACS และยานล่องหนอย่างอื่นเข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของปฏิบัติการทางอากาศครั้งใหญ่ ​


    ต้องไม่ลืมว่าที่โรงงานนิวเคลียร์แห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญรัสเซียหลายร้อยคน ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษามาช่วยอิหร่านในด้านนี้มาตลอด ​


    มะกันต้องประเมินสถานการณ์ให้ชัดเจนว่า ความเสี่ยงที่จะมีเรื่องบาดหมางกับรัสเซีย (และอาจจะจีนด้วย) ในการล่มอิหร่าน นั้น มีความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด ​


    ที่อาจจะไม่เป็นข่าวแต่เป็นอีกด้านหนึ่งของแผนปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายมะกัน และอิสราเอล คือ เรือดำน้ำรุ่น Dolphin class ของอิสราเอล ที่ติดหัวจรวดนิวเคลียร์ Harpoon ของสหรัฐ นั้นได้ซ้อมรบโดยมีอิหร่าน เป็นเป้าหมายมาระยะหนึ่งแล้ว ​


    ที่ต้องเตือนกันตั้งแต่ตอนนี้ก็คือว่า ถ้ามะกันถล่มโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอนก็คืออาจจะเกิดการกระจายตัวของรังสีนิวเคลียร์ออกจากโรงงานเหล่านี้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าสารอันตรายต่อมนุษย์อย่างนี้จะกินบริเวณกว้างขวางเพียงใด


    และนี่จะเป็นเพียงสงครามทางอากาศ หรือสหรัฐวางแผนทำสงครามภาคพื้นดินด้วยหรือไม่? ​


    ไม่มีนักวางแผนทหารคนไหนจะไม่วางแผนครบถ้วน หากต้องทำข้อเสนอถึงผู้นำประเทศที่สั่งการให้เขียนแผนรบเบ็ดเสร็จให้พิจารณา ​


    สหรัฐกล้าทำสงครามภาคพื้นดินกับอิหร่านในขณะที่ยังเอาอิรักไม่อยู่หรือ? ​


    ไม่มีใครประเมิน "ความบ้าเลือด" ของคาวบอยบุช ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารระหว่างประเทศบอกว่าอเมริกาไม่มีความสามารถพอที่จะส่งทหารเข้ายึดอิหร่านในขณะที่ยังต้องทำสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน ได้เป็นแน่นอน ​


    อิหร่าน ไม่ใช่ประเทศไร้น้ำยาเสียเลยทีเดียว หากต้องทำสงครามครั้งใหม่ก็มีความสามารถที่จะป้องกันตัวเองและตอบโต้ได้หลายด้าน ​


    ระบบป้องกันทางอากาศของอิหร่านอยู่ในเกณฑ์ก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศตะวันออกกลางอื่นๆ เพราะเขาต้องปกป้องจุดที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์ซึ่งกระจายตัวตั้งอยู่หลายจุดที่อยู่ใต้ดิน ยากแก่การโจมตีทางอากาศของสหรัฐและอิสราเอล ​


    อิหร่านได้พัฒนาแสนยานุภาพของจรวด Shahab-3 ขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง ซึ่งแปลว่าเขาสามารถยิงถล่มเป้าหมายในอิสราเอลได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ​


    วงการทหารรู้ว่าอิหร่านมีจรวดขีปนาวุธแบบ 12X-55 ที่ผลิตโดยยูเครน และมีอาวุธป้องกันภัยจากทางอากาศที่รัสเซียผลิตให้ เช่น SA-2, SA-5, SA-6 และจรวดประทับไหล่แบบ SA-7 ที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน


    ต้องไม่ลืมว่าอิหร่านเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันดิบร้อยละ 10 ของโลก (อันดับสามรองจากซาอุฯ ที่มีร้อยละ 25 และอิรักที่มีประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์) ขณะที่อเมริกาเองมีแหล่งน้ำมันสำรองเพียง 208 เปอร์เซ็นต์ของโลกเท่านั้นเอง ​


    หากคาวบอยบุชตัดสินใจลุยอิหร่าน, นี่คือสงครามครั้งที่ 2.5 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

    วันบันทึก: March 14th 2007
    ผู้วิจารณ์ สุทธิชัย หยุ่น
    คะแนน: [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    ข้อมูลเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้อง: ข่าวสารเทคโนโลยีทางทหาร

    http://www.signal.co.th/modules.php?name=Reviews&rop=showcontent&id=40
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2007
  19. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    [​IMG]

    [​IMG]

    "This is a particularly dangerous situation," the National Weather Service said.
    The weather service's Storm Prediction Center said more than 60 tornado touchdowns had been reported on Saturday -- 40 of them between 6 and 9 p.m. Central Time.

    Second wave of tornadoes rakes Plains

    <!-- date --><SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript> <!-- if ( location.hostname.toLowerCase().indexOf( "edition." ) != -1 ) { document.write('POSTED: 0346 GMT (1146 HKT), May 5, 2007');}else { document.write('POSTED: 11:46 p.m. EDT, May 5, 2007');} //--> </SCRIPT>POSTED: 0346 GMT (1146 HKT), May 5, 2007 <!-- /date -->


    <!--endclickprintinclude-->
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    [​IMG]

    There has been much speculation about the identity of what Nostradamus calls the King of Terror, the third Antichrist. Nostradamus said he was supposed to have descended from the skies in July 1999. I'll bet by King of Terror he really meant King of Pop. According to Nostradamus, the third Antichrist has a name: Mabus. (Sing with me: My Antichrist has a first name, it's M-a-b-u-s...) According to some Nostradamian scholars, if you turn M and a upside down and reverse them and add h to the end of bus, you get gWbush! See?


    [​IMG]


    It's a stretch, but few among us would actually dispute this idea.

    ที่มา http://www.geocities.com/celtboxer/blog/2006/02/crystal-unclear-till-armageddon-no.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...