พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่จริงหรือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 20 มกราคม 2012.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิตที่เกิด-ดับนั้น เป็นการเกิดการรับรู้ ไม่ใช่จิตเกิดดวงใหม่ขึ้นนะครับ

    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มาจากเกิดการรับรู้ และ ครุ่นคิด แล้วจึงวางลงเพื่อรับรู้ในสิ่งใหม่

    หากสงสัยที่ผมบอกกล่าวนี้ ให้ปฎิบัติจนเห็น "จิต" ด้วยตนเอง แล้วจะเข้าใจเองครับ

    ผมเพียงมาบอกกล่าวถึงผลที่พระท่านอธิบายเอาไว้ครับ ไม่ได้มาถกเถียงกับใครในที่นี้ครับ

    อีกอย่าง ผมไม่ทราบว่าจะใช่ไหม แต่ที่เห็นเป็นความรู้สึกจะเกิดขึ้นมาก่อน ใช่ที่เขาเรียกว่า "เจตสิก"

    และ จะมีผลกับการนึกคิดเป็นอย่างมาก หากไม่มีความรู้สึก การนึกคิด และ การรับรู้ จะไม่เกิดขึ้น

    ผมจึงบอกกล่าวถึง กาย๑ ใจ๑ จิต๑ หากสามารถแยกได้ขาดออกจากกันโดยสมบูรณ์

    จะไม่มีสิ่งที่ให้ยึดติดได้อีก จะเห็นการยึดติดอย่างชัดเจน ด้วยตนเองครับ

    ตัณหาจะเกิดขึ้นมาได้นั้น มาจากความเคยชินในการใช้ชีวิตครับ ตัวอย่าง

    ชีวิตที่จนยาก ขาดแคลน ความเคยชินจะมีแต่ความลำบาก อยากได้สิ่งใดก็ไม่มี

    แต่หากมีเพื่อนที่พอมีฐานะ ก็จะเกิดความรู้สึกอิจฉา และ ถ้าเพื่อนมีสิ่งของที่มีราคา ความอยากจะเกิดขึ้นมาครับ

    ยังมีอีกมากมายที่เป้นแบบนี้ นี่แค่เพียงตัวอย่างเดียว และ จะเห็นถึงการยึดติดอีกด้วย

    ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คือ กิเลส ตัณหา อุปทาน ครับ ทั้งหมดมาจากการไม่รู้ (อวิชชา)

    หากมนุษย์รู้ตัวตลอดทุกการกระทำ ไม่มีที่ไม่รู้ จะเรียกว่าอะไรดีครับ ผู้ที่มีสติบริบูรณ์ สาธุครับ
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขอเนื้อๆหน่อย จิวแปะทง

    ไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่อ บางครั้งอารัมพบทยาวๆมันไม่จำเป็น

    อ่านแล้วเคลิ้ม แต่ไม่รู้ว่ากล่าวอะไรอยู่ ปรับปรุงหน่อย ปรับปรุงหน่อย :cool:
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ขอเถอะ อย่าพูดแบบเลื่อนรอยคอยงาน พาลให้คนฟังงงอยู่เลย

    เอาแบบชัดๆสิ บอกมาเลยถ่ายทอดตอนไหน เช่น อากู๋ภูตินอนก็เป็นจิตดวงหนึ่ง

    พอตื่นก็ถ่ายทอดเป็งหนูเล็กนั้นจิตดวงใหม่ อะไรแบบนี้ เอาชัดๆๆๆๆ

    แล้งหลงหลานรักถามว่า "ขณะที่เห็นวัตถุอะไรซักอย่าง ขณะนั้นความเป็นธรรมภติปรากฏไหม"


    อากู๋ภูต ถามกลับก็แล้วกัน นั่นคือคำตอบ ใครที่เห็นวัตถุซักอย่าง?

    แล้วใช่อากู๋ภูตที่เห็นใช่หรือไม่?

    ถ้าใช่ก็ชัดแล้วนิว่า อากู๋เห็นอะไรซักอย่างผ่านไป55+

    ก็หลงหลานรัก เล่นคิดเองเออเองตามตำราอะ ว่า มีแต่การเห็น ผู้เห็นไม่มี

    เป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งนั้น ไม่มีคนเห็น แต่บอกว่ามีการเห็น ทำให้ดูหน่อยสิที่รัก

    การสืบต่อตลอดเวลา ต้องไม่มีการดับ ถ้ามีการดับสักนิดก็เรียกว่าสืบต่อตลอดเวลาไม่ได้ใช่หรือไม่?

    ไม่ใช่การเกิดดับ การเกิด-ดับนั้น เป็นขณะๆ จึงเรื่องว่าเกิด-ดับได้ใช่หรือไม่?

    การสืบต่อนั้น จะต้องรู้อยู่ตลอดเวลาของการสืบต่อ จึงเรียกได้ว่ามีการสืบต่อตลอดใช่หรือไม่?

    อ้าว ไม่รู้จริงๆหรือว่า เมื่อจิตเสพอารมณ์แล้วดับไป ถามก่อนอะไรดับไป?ตอบให้ได้ก่อนนะ

    ก่อนที่อาหลงหลานรักของอากู๋ภูตจะมั่วไปกว่านี้อีก เอาที่ค้างๆมาตอบด้วยจะว่ากันต่อไปได้

    หลงเอ๋ย อย่าทำให้พระสัทธรรมสูญสิ้นไปเร็วกว่านี้เลย เพราะความเชื่อตามๆกันมาเท่านั้น

    หัดเป็นคนมีเหตุ มีผล เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ื่ท่านเถิด ไม่เสียทีที่เกิดมา...

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  4. วัชรวงศ์

    วัชรวงศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +7
    กระผมจะตอบตามความรู้ที่มีแต่เน้นสัมมาทิฏฐิเป็นสำคัญ

    1.เพลง1เพลงก็ต้องมีผู้แต่ง หากไม่มีผู้แต่งเพลงนั้นก็ไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ แลให้สมญานามว่านักแต่งเพลง หรือนักประพันธ์เพลง
    2.หนังหรือภาพยนตร์ 1เรื่องก็ต้องมีผู้แต่งหากไม่มีผู้แต่งหนังหรือภาพยนตร์เรื่องเรื่องนั้นก็ไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ แลให้สมญานามว่านักแต่งละคร หรือนักประพันธ์ละครภาพยนตร์
    3.การทดลองวิทยาศาตร์ หลอดไฟหากไม่มีเจมวัตเป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์หลอดไฟ หลอดไฟฟ้าก็ไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ แลให้สมญานามว่านักวิทยาศาตร์
    4.การทดลองวิทยาศาตร์ สูตรปรมาณู หากไม่มีอัลสไตล์สูตรปรมาณูย่อมไม่บังเกิดมาบนโลกใบนี้ แลให้สมญานามว่านักวิทยาศาตร์
    5.การทดลองวิทยาศาตร์ แรงโน้มถ่วงของโลก หากไม่มีกาลิเลโอ คนในโลกก็ย่อมไม่รู้เรื่องกฎแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นเช่นนั้นเอง แลให้สมญาญานามว่านักวิทยาศาตร์
    6.หนังสือวิชาการ1เรื่อง ก็ต้องมีผู้ค้นคว้าหากไม่มีผู้ค้นคว้าหนังสือวิชาการเล่มนั้นย่อมไม่บังเกิดมาบนโลกนี้ แลเรียกสมญานามว่านักวิชาการ
    7.ชื่อจังหวัดก็ต้องมีผู้ตั้งเป็นคนแรก หากไม่มีผู้ตั้งชื่อ ชื่อนั้นจะไม่บังเกิดมาบนโลกใบนี้
    8.ชื่อประเทศก็ต้องมีผู้แต่งเป้นคนแรก หากไม่มีผู้ตั้งชื่อ ชื่อนั้นย่อมไม่บังเกิดมาบนโลกใบนี้
    9.พระไตรปิฎก ๘๔000 พระธรรมขันธ์ ก็ต้องมีมหาบุรุษผู้เห็นเทวทูตทั้ง จึงทรงเสียสละค้นคว้าหาความดับทุกข์จึงทรงสำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมที่มีรอบ๓ มีอาการ ๑๒ พระองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ ๔ในพระปัญญาธิคุณ
    พระองค์ทรงดับเพลิงกิเลสกองทุกข์ข้ามวัฏฏสงสารสิ้นเชิงในพระบริสุทธิ์คุณ แลประองค์ทรงประกาศพระธรรมนำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ในพระมหากรุณาธิคุณ หากไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุณ องค์สมเด็จพระธรรมเจ้าคุณ องค์สมเด็จพระสงฆ์เจ้าคุณ พระไตรปิฎก ๘๔000 พระธรรมขันย่อมไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้หรือเป็นเพียงใบลานหรือกระดาษเปล่า๘๔000ใบเช่นนั้นเอง แลให้สมญานามพระองค์ว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่าสัมมาคือพระแรกที่คิดค้น
    10.เรื่องนิพพานตราบใดที่กิเลสยังไม่หมดกระผมก็สุดวิสัยที่จะอธิบายได้เพราะแม้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของกระผมก็ยังมีกิเลสอยู่แต่จะกระทำให้ระงับแลดับไปให้เบาบางมากที่สุด
    11.เรื่องสิ่งสมมุติเป็นวิธีพิจารณาในกองกรรมฐานที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องมือในการระงับแลดับกิเลสในแต่ละลมหากใจที่มีกิเลสมากระทบกับผัสสะทั้ง๖ อายตนะทั้ง ๑๒
    12.พระธรรมอันสุดแสนประเสริฐสูงส่งอย่างยิ่งแห่งองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุให้บุคลเข้าถึงทางอันประเสริฐในอริยมรรคมีองค์๘ ก็ด้วยบุคลนำพระธรรมของพระพุทธองค์ไปประพฤติปฏิบัติทุกขณะจิตเป็นสัมมาทิฏฐิเช่นนั้นเอง แลที่สำคัญกระผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยโดยมากถึงมากที่สุดเป็นคนดี
    แลที่สำคัญที่สุดคนไทยโชคดีที่มีผู้ปกครองแผ่นดินองค์สมเด็จในหลวงแลองค์สมเด็จพระราชินีที่เป็นผู้ประเสริฐยิ่งแลทรงธรรม เห็นได้จากคุณูประการในโครงการอันเนื่องมากจากพระราชดำริหลายโครงการนับไม่ถ้วนที่มีคุณูประการต่อประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขพ้นทุกข์เป็นอย่างมากอันสุดจะพรรณาขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ
     
  5. วัชรวงศ์

    วัชรวงศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +7
    1.เพลง1เพลงก็ต้องมีผู้แต่ง หากไม่มีผู้แต่งเพลงนั้นก็ไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ แลให้สมญานามว่านักแต่งเพลง หรือนักประพันธ์เพลง
    2.หนังหรือภาพยนตร์ 1เรื่องก็ต้องมีผู้แต่งหากไม่มีผู้แต่งหนังหรือภาพยนตร์เรื่องเรื่องนั้นก็ไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ แลให้สมญานามว่านักแต่งละคร หรือนักประพันธ์ละครภาพยนตร์
    3.การทดลองวิทยาศาตร์ หลอดไฟหากไม่มีเจมวัตเป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์หลอดไฟ หลอดไฟฟ้าก็ไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ แลให้สมญานามว่านักวิทยาศาตร์
    4.การทดลองวิทยาศาตร์ สูตรปรมาณู หากไม่มีอัลสไตล์สูตรปรมาณูย่อมไม่บังเกิดมาบนโลกใบนี้ แลให้สมญานามว่านักวิทยาศาตร์
    5.การทดลองวิทยาศาตร์ แรงโน้มถ่วงของโลก หากไม่มีกาลิเลโอ คนในโลกก็ย่อมไม่รู้เรื่องกฎแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นเช่นนั้นเอง แลให้สมญาญานามว่านักวิทยาศาตร์
    6.หนังสือวิชาการ1เรื่อง ก็ต้องมีผู้ค้นคว้าหากไม่มีผู้ค้นคว้าหนังสือวิชาการเล่มนั้นย่อมไม่บังเกิดมาบนโลกนี้ แลเรียกสมญานามว่านักวิชาการ
    7.ชื่อจังหวัดก็ต้องมีผู้ตั้งเป็นคนแรก หากไม่มีผู้ตั้งชื่อ ชื่อนั้นจะไม่บังเกิดมาบนโลกใบนี้
    8.ชื่อประเทศก็ต้องมีผู้แต่งเป็นบุคลคนแรก หากไม่มีผู้ตั้งชื่อ ชื่อนั้นย่อมไม่บังเกิดมาบนโลกใบนี้
    ***9.พระไตรปิฎก ๘๔000 พระธรรมขันธ์ ก็ต้องมีมหาบุรุษผู้เห็นเทวทูตทั้ง๔ จึงทรงเสียสละค้นคว้าหาความดับทุกข์จึงทรงสำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมที่มีรอบ๓ มีอาการ ๑๒ พระองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ ๔ในพระปัญญาธิคุณ
    พระองค์ทรงดับเพลิงกิเลสกองทุกข์ข้ามวัฏฏสงสารสิ้นเชิงในพระบริสุทธิ์คุณ แลประองค์ทรงประกาศพระธรรมนำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ในพระมหากรุณาธิคุณ หากไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุณ องค์สมเด็จพระธรรมเจ้าคุณ องค์สมเด็จพระสงฆ์เจ้าคุณ พระไตรปิฎก ๘๔000 พระธรรมขันย่อมไม่บังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้หรือเป็นเพียงใบลานหรือกระดาษเปล่า๘๔000ใบเช่นนั้นเอง แลให้สมญานามพระองค์ว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่าสัมมาคือพระองค์ทรงเป็นมหาบุรุษบุคลแรกที่คิดค้น
    10.เรื่องนิพพานตราบใดที่กิเลสยังไม่หมดกระผมก็สุดวิสัยที่จะอธิบายได้เพราะแม้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของกระผมก็ยังมีกิเลสอยู่แต่จะกระทำให้ระงับแลดับไปให้เบาบางมากที่สุด
    11.เรื่องสิ่งสมมุติเป็นวิธีพิจารณาในกองกรรมฐานที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องมือในการระงับแลดับกิเลสในแต่ละลมหากใจที่มีกิเลสมากระทบกับผัสสะทั้ง๖ อายตนะทั้ง ๑๒
    12.พระธรรมอันสุดแสนประเสริฐสูงส่งอย่างยิ่งแห่งองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุให้บุคลเข้าถึงทางอันประเสริฐในอริยมรรคมีองค์๘ ก็ด้วยบุคลนำพระธรรมของพระพุทธองค์ไปประพฤติปฏิบัติทุกขณะจิตเป็นสัมมาทิฏฐิเช่นนั้นเอง แลที่สำคัญกระผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยโดยมากถึงมากที่สุดเป็นคนดี
    แลที่สำคัญที่สุดคนไทยโชคดีที่มีผู้ปกครองแผ่นดินองค์สมเด็จในหลวงแลองค์สมเด็จพระราชินีที่เป็นผู้ประเสริฐยิ่งแลทรงธรรม เห็นได้จากคุณูประการในโครงการอันเนื่องมากจากพระราชดำริหลายโครงการนับไม่ถ้วนที่มีคุณูประการต่อประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขพ้นทุกข์เป็นอย่างมากอันสุดจะพรรณาขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อากู๋ พิจารณาดีๆ ขณะที่เห็นนั้น กับสัญญาจำได้ว่าเห็นเป็นวัตถุอะไร

    และความยึดมั่นว่าตากู กูกำลังเห้นนี้ ขณะนั้นหลงรูปเป็นกู เป็นขันธ์เดียว เป็นขณะเดียวกันหรือไม่

    ขณะที่รู้วัตถุ แล้วสติไปรู้ว่ากำลังรู้วัตถุ แล้วรู้ว่าสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่รู้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

    ๓ สิ่งนี้ เป็นการรู้คนละขณะหรือไม่

    นี้ไม่ใช่ตำราหรอก จิวแปะทง ของมันมีอยู่ในปัจจุบัน ^^
     
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ก้เกิดแล้วดับ แล้วเกิด แล้วดับ นี้เรียกสันตติ

    ก็ลักษณะสันตติ เกิดดับนี้ มีอยู่เป็นธรรมชาติ แม้จะรู้หรือไม่รู้ก็ดี

    ก็ในธรรมชาตินี้ เรียกว่า ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง

    เคยหายใจไหม หายใจเข้าขณะหนึ่ง หายใจออกก้ขณะหนึ่ง

    คงไม่มีใครหายใจเข้าและออกในขณะเดียวกัน ^^
     
  8. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ที่ผมหมายความถึง ก็คือคนในบอร์ดนี้ครับ ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า หรือคนอื่นที่มีกุญแจแล้วเข้าไปในห้องแล้ว คือ ว่าคนในบอร์ดนี้ ได้แค่ดูรูที่มีอยู่ตามห้อง แต่ยังหากุญแจหรือวิธีเข้าไปในห้องไม่ได้สักคน เพราะคนที่เจาะรูไว้ ก็ไม่ได้เข้าไปในห้องเหมือนกัน แต่สำหรับพวกที่เข้าไปแล้ว ก็ส่งมอบกุญแจให้กับคนรู่นต่อๆมา แต่คนรุ่นต่อมาบางคนก็มีปัญญามีมากหรือมีน้อย ก็จัดเก็บกุญแจ ต่างกันไป แถมยังไปคละกับกุญแจอย่างอื่นอีก ทำให้หากุญแจที่จะเข้าไปยากขึ้น เพราะต้องลองไขมันทุกดอก ถ้าเจอคนที่มีกุญแจจริงๆ เขาก็จะเอากุญแจให้ หรือปั้มเพิ่มให้ แต่ตอนนี้มันหายากครับ คนที่มีกุญแจจริงๆ ส่วนใหญ่ดูตามรูที่เจาะไว้แล้วทั้งนั้น
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลงเอ๋ย ตกลงจะให้เป็นอากู๋ภูต หรืออากู๋จิวเอาให้แน่ๆซักอย่างนะ

    อะไรกันที่อธิบายไป พอขัดใจเข้าหน่อย รีบเบี่ยงเลยหรือว่าเอาเนื้อๆ

    ปกติชอบเนื้อๆไม่ชอบยืดเยื้ออยู่แล้ว เห็นแต่หลานรักนะตัวดีเลย55+

    หลงเอ๋ย ถ้าจะอธิบายมั่วเพื่อเอาตัวรอดล่ะก็ อยู่เฉยๆดีกว่า ก็เตือนไปแล้วใช่หรือไม่?

    หลักฐาน"ก่อนที่อาหลงหลานรักของอากู๋ภูตจะมั่วไปกว่านี้อีก เอาที่ค้างๆมาตอบด้วยจะว่ากันต่อไปได้"

    ถ้าจะอธิบายก็ควรกลับไปที่ประเด็นก่อนนะว่า "ขณะที่เห็นวัตถุอะไรซักอย่าง"

    ขนาดพูดว่าเห็นอะไรสักอย่างผ่านไป เอาสัญญาที่ไหนมาพูด ยังไม่รู้เลยว่าอะไรที่ผ่านไป

    เอาอะไรมาหลงว่าของกู ขนาดอะไรสักอย่างไม่รู้ ยังทำให้หลงได้ ไม่บ้าก็เมาแล้ว.

    รู้หรือยัง โทษของการพูดเรื่อยเฉื่อย เพื่อยั่วยุเท่านั้น จึงได้หลงกับดักตนเองเข้าให้

    หลงเอ๋ย ถ้าขันธ์๕ที่อาศัยใช้สอยอยู่ ไม่ใช่ของกูแล้ว จะให้เป็นของใครหละ

    พระอริยเจ้าทั้งหลาย ขันธ์๕ที่ท่านอาศัยใช้สอยอยู่ของท่านทั้งนั้นแหละ ต้องดูแลรักษาให้ดี

    แต่ท่านไม่ไปยึดถือเอาว่าเป็นของๆท่าน ถึงเวลาก็ต้องทิ้งไปเป็นธรรมดาใช่หรือไม่?

    หลงเอ๋ยพูดไปได้ว่าขณะหลงรูปวัตถุอยู่ เอาสติกำลังไปรู้วัตถุ เป็นได้หรือ?

    ขณะที่หลงรูปอยู่ก็เพราะ ขาดสติแล้ว จึงได้หลงรูปใช่หรือไม่?

    เฮ้อ!!! บอกแล้วปัดตำราทิ้งไปก่อนตำราอะ เอาสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เป็นจริง

    ศาสนาพุทธนั้น ไม่ใช่การสำเร็จได้ด้วย ความใคร่(พอใจ)ทางความคิดซักกะหน่อย

    จะสำเร็จได้นั้น ต้องรู้เห็นตามความเป็นจริงที่พิสูจน์จากการปฏฺบัติ(fact)ได้เท่านั้น...

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เอาพระพุทธพจน์ไปอ่านสั้นๆดี กระชับได้ใจความ
    v
    v

    เมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น เบิกบานผ่องใส
    เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลายสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ
    พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน
    หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลงเอ๋ย ยังจะดันไปให้ได้อีกหรือ ภาษาไทยนะ ต้องตีความอีกหรือ?

    คำก็ออกจะชัดเจนอยู่แล้ว สืบต่อเป็นสันตติ ไม่ใช่เกิดดับเป็นสันตติ คนละเรื่อง

    อย่ามั่วขยำให้รวมเป็นเรื่องเดียวกันเลย อายรุ่นเดียวกันบ้าง

    ถ้าบอกว่าเกิดดับเป็นสันตติ พอเข้าใจได้ว่า อารมณ์จิตเกิดดับเป็นสันตติ

    ส่วนสืบต่อเป็นสันตตินั้น เป็นการรู้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเป็นสันตติ

    เฮ้อ!!! ไม่เคยภาวนาอานาปานสติมาก่อน แต่เอาลมหายใจมาเล่น อายจริง

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เป็นอย่างที่คุณว่ามานั่นแหละ ส่วนใหญ่ได้แต่เจาะรูดู มันดี ลุ้นเอา ใช่หรือไม่?

    เพราะง่ายๆ สบายๆ ลัดสั้น ไม่ต้องเหนื่อยยากอะไรเลย....การเจาะรู

    จึงได้พยายามเข้ามาเตือนสติว่า ถ้าง่ายๆ สบายๆ ลัดสั้นมีจริงแล้ว

    บุคคลอย่างพระพุทธองค์คงไม่ต้องเสียเวลาในการต้องสั่งสมบรมีธรรมมาหลายแสนกัปป์

    ยิ่งในชาติปัจจุบันที่จะบบรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็ยังต้องเสียเวลาไปอีก๖ปี

    ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงเป็นบุคคลที่ทรงภูมิปัญญามาก ก่อนพระพุทธองค์จะตรัสรู้นะ

    แล้วพวกเราจะไม่ยอมเสียเวลาบางเลย ใช้แรงกายแรงใจลงมือปฏิบัติตามพระพุทธองค์เชี่ยวหรือ

    เพราะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ มักง่าย ติดสบายเอาอะไรง่ายๆเข้าว่าไม่มีเวลา หลงไปว่าตัวเองมีภูมิปัญญา

    ธรรมภูตจึงต้องคอยมากระทุ้ง พวกนักเจาะรูทั้งหลาย ให้ได้คิดว่าอย่าเสียเวลาลงมือปฏิบัติเถอะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    แม้หากสัททารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยโสต ....
    แม้หากคันธารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยฆานะ ....
    แม้หากรสารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยชิวหา ....
    แม้หากโผฏฐัพพารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วกาย ....
    แม้หากธรรมารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยมโน
    ผ่านมาสู่คลองใจของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้
    ก็ไม่ครอบงำจิตของภิกษุนั้นได้เลย
    จิตของภิกษุนั้นอันอารมณ์ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้
    เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และ
    ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั้น

    อ่านต่อที่นี่
    ....................................
    ^
    ^
    ชัดๆนะ พระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสดีแล้วในพระสูตรมานั้น

    ควรยกในส่วนที่มีเนื้อความต่อเนื่องกันมาด้วย ไม่ต้องตีความใดๆเลย

    พระสูตรชี้ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า

    จิตไม่ได้เกิดดับ ที่เกิดดับคืออารมณ์ผ่านมาสู่คลองใจ(อายตนะ) ไม่กระทบจิต

    ส่วนที่เชื่อตำราอภิธรรม ปักธงไว้ก่อนที่คลองใจแล้ว

    พออ่านพระสูตรแล้วงงและไม่เข้าใจ จึงตีความตามมติชอบใจตนเองที่เชื่อไว้ก่อน

    หรือเชื่อตามๆกันมาโดยที่ไม่เคยพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อนเลย

    พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกันเอง ยิ่งกับพระพุทธองค์ด้วยแล้ว

    จิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว จิตของภิกษุนั้น(จิตของเรา)อันอารมณ์ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้(ครอบงำ)

    ยังจะให้จิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวนั้นเกิด-ดับไปอีกหรือ?

    ตามความเป็นจริงแล้ว ควรเป็นอารมณ์ที่ครอบงำไม่ได้ใช่มั้ยที่เกิด-ดับ?

    เพราะจิตของภิกษุนั้น อันอารมณ์เจือติดจิตไม่ได้ อารมร์ครอบงำจิตของภิกษุนั้นไม่ได้

    ความเกิดและความดับไปควรเป็นอารมณ์ต่างๆเหล่านั้นใช่หรือไม่?

    จิตของภิกษุนั้น(ไม่ใช่จิตของภิกษุอื่น คือจิตของเรา)

    ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ(อารมณ์)ของจิตนั้นใช่หรือไม่?

    ทำไมต้องของจิตนั้น เพราะเราจะไปรู้จิตของภิกษุ(คน)อื่นไม่ได้ จิตใครจิตมันใช่หรือไม่?

    ตรงไหนที่ทรงกล่าวว่าจิตเกิด-ดับ ของแบบนี้คิดเองเออเองไม่ได้หรอกชัดๆ

    อ่านพระสูตรหัดพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ย่อมรับในพระพุทธพจน์ที่ชัดเจน อย่าเอนเอียงสิ

    พระสูตรกล่าวถึงอารมณ์ต่าง เช่นสัททารมณ์ คันธารมณ์ฯลฯ

    ที่ไม่สามารถครอบงำจิตของภิกษุนั้น หรือเจือติดที่จิตของภิกษุนั้นไม่ได้

    แต่เวลามีการเกิด-ดับขึ้นมา ตำราว่าไว้ยังไง ก็เมโมให้จิตเกิด-ดับไปเลย.

    ทั้งที่เห็นๆอยู่ว่าที่เกิด-ดับไปนั้น ล้วนเป็นอารมณ์ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นใช่หรือไม่?

    ยังมีพระสูตรยืนยันอีกนะว่า เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วจิตยังดำรงค์อยู่ใช่หรือไม่?

    ที่ยกมาก็เพราะเคยถกไว้กับนักตำรานิยม ที่ยึดถือเอาอาจาริยวาทแทนพระพุทธเจ้าอย่างเหนียวแน่น

    ไม่กล้าแม้แต่จะคิดแย้ง เนื่องจากตำราที่เรียนมาขาดเหตุผล เพราะโดนข่มขู่ไว้นั่นเอง

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=wayTdPmvNLc&feature=related"]????????? ???????????????? ??? - YouTube[/ame]

    จะตูดหมึกไปถึงไหนเนี่ย วันนี้เม้าท์ไม่ดี ไม่อยากตอบอะไรยาวๆ

    เห็นถามกลับมาหลายข้อแล้ว ใจเย็ลๆเน้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มกราคม 2012
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ภิกษุน้อมไปสู่บรรพชา ๑ ผู้น้อมไปสู่ความเงียบสงัด
    แห่งใจ ๑ ผู้น้อมไปสู่ความไม่เบียดเบียน ๑ ผู้น้อมไปสู่
    ความสิ้นอุปาทาน ๑ ผู้น้อมไปสู่ความสิ้นตัณหา ๑ ผู้น้อม
    ไปสู่ความไม่หลงไหลแห่งใจ ๑ ย่อมมีจิตหลุดพ้นโดย
    ชอบ เพราะเห็นความเกิด และความดับแห่งอายตนะ
    ภิกษุมีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบนั้น ไม่ต้องกลับ
    สะสมทำกิจที่ได้ทำแล้ว กิจที่จำจะต้องทำก็ไม่มี เปรียบ
    เหมือนภูเขาที่ล้วนแล้วด้วยศิลาเป็นแท่งทึบอันเดียวกัน
    ย่อมไม่สะเทือนด้วยลม ฉันใด รูป เสียง กลิ่น รส
    ผัสสะ และธรรมารมณ์ ทั้งที่น่าปรารถนา และไม่น่า
    ปรารถนาทั้งสิ้น ย่อมทำท่านผู้คงที่ให้หวั่นไหวไม่ได้ ฉัน
    นั้น จิตของท่านตั้งมั่น หลุดพ้นแล้ว ท่านย่อมพิจารณา
    เห็นความเกิด และความดับของจิตนั้นด้วย.




    นี้เป็นพระสูตรเดียวกับที่ธรรมภูตยกมา เรื่องจิตเกิดดับ

    สนใจอ่านบ้างไหมครับ

    ผู้เจริญสติปัฏฐาน วิปัสสนา เขาประจักษ์ชัดกันดีโดยสภาวะ พูดไปก้ไม่เคยฟัง

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=136&Z=223&pagebreak=0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มกราคม 2012
  16. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ผมว่าคุณธรรมภูติ ใส่ใจเรื่องสติปัฏฐานให้มากๆดีกว่าครับ

    อย่าเสียเวลาถกเถียง ไปเทียบสภาวะจิตพระอรหันต์เลย

    แค่ได้ญาณ ๒ เห็นความเป็นปัจจัย มันก็ทำลายสสัตทิฏฐิได้แล้ว

    นั้นแล ควรเข้าไปรู้ด้วยปัญญาตนเอง

    แล้วก็วางเรื่องดูจิตแบบธรรมภูติไปเถิด เสียเวลามามากแล้ว

    การเอาจิตไปแช่ตั่งมั่นจนเกินไป ผมก็บอกไปแล้วว่านามขันธ์๔ มันไม่ได้หายไปไหน

    แค่สงบจากนิวรณ์ธรรมดา จนจิตตั้งมั่น

    ผมถามเรื่อง ความนึกคิดมีในนั้นไหม ก็ตอบไม่ได้เต็มปาก ถูกไหม

    เพราะมันมีอยู่ เมื่อมีอารมณ์ให้จิตรู้ ก็มีเรื่องราว มีเวทนา มีสัญญา มีสังขารอยู่ครบ

    และจิตที่สำคัญว่าจิตรู้จิตนั้น

    ถามหน่อย จิตออกไปรู้จิต หรือ จิตรู้มากระทบให้จิตรู้อีกที
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ถ้าเขาประจักษ์จริง ไม่ใช่ประจักษ์แบบคิดเองเออเองตามตำราว่าไว้

    ทำไมจะไม่ฟัง มีเหตุมีผลยิ่งน่าฟัง แต่ที่เห็นๆเป็นพวกเพ้อเจ้อ ที่หลงวิปัสนึกอยู่

    ถ้าได้วิปัสสนา(รู้เห็นตามความเป็นจริง)จริง ย่อมต้องเห็นชัดว่าที่เกิดดับนั้นไม่ใช่จิต

    เป็นสภาวะที่จิตรู้เห็นความเกิด และความดับแห่งอายตนะที่ผัสสะกับอารมณ์ทั้งหลาย

    ทำไมต้องของจิตนั้น ถ้าไม่ใช่ของจิตนั้น จะเป็นจิตใครหละ? เพราะเห็นความเกิด และความดับแห่งอายตนะ

    ภิกษุมีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบนั้น

    เฮ้อ!!! ถ้าอ่านไม่เข้าใจก็อย่าเอาตูดไปแช่หมึก ให้สกปรกน่าอับอายไปเลย

    แปลกแฮะ ผู้ที่มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว มีจิตสงบตั้งมั่นดีแล้ว ยังจะให้จิตเกิดดับได้อีกหรือ?เฮ้อ!!!

    พระพุทธองค์ไม่ทรงตรัสอะไรที่ขัดแย้งกันเอง ก็มีแต่พวกหลงบ้าแต่วิปัสสนึกเท่านั้น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลงเอ๋ย ทำไมจะตอบไม่ได้เต็มปากล่ะ

    ถ้าจิตสงบตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวจริงๆ ต้องหยุดคิดเท่านั้น

    จึงจะเรียกได้ว่าจิตสงบตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวได้ใช่หรือไม่?

    หลงเอ๋ย เคยรู้โดยไม่ต้องคิดกับเขาบ้างมั้ย?

    เคยสัมผัสหรือยัง ถ้ายังไม่เคยก็ลงมือทำซะ อย่าหลงบ้าแต่วิปัสสนึกอยู่เลย

    แถมยังเที่ยววิจารณ์แบบปล่อยไก่มาให้เห็นว่า ไม่รู้จักสัมมาสมาธิเสียเลย

    จึงได้กล้าวิจารณ์ธรรมะของพระพุทธเจ้าในเรื่องสัมมาสมาธิกรรมฐาน เวรกรรมๆๆ

    รู้จักสติปัฏฐานดีแล้วหรือ? ขนาดสัมมาสมาธิยังไม่รู้จัก แต่กลับไปคุยเรื่องมหาสติปัฏฐาน

    เฮ้อ!!! ถ้าไม่เคยรู้เคยสัมผัสมา ยิ่งพูดก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าไม่รู้เสียเลย

    จิตจะไปรู้จิตทำไม?

    จิตมีหน้าที่อะไร?

    รู้อารมณ์ใช่หรือไม่?

    หัดตอบมาบ้าง อย่าคิดที่พูดเพื่ออวดว่ารู้ เพราะยิ่งพูด ก็รู้ว่ายิ่งรู้ว่า รู้แต่ตำรา

    แค่ที่ถามไปก็รู้แล้วว่าไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเลย

    เอ้า เอาพระพุทธพจน์ชัดมาให้ซักร้อยเที่ยวพันหนอาจจะหายบ้าแต่วิปัสสนึกได้บ้างนะ


    V

    V
    เมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น เบิกบานผ่องใส

    เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลายสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ

    พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน

    หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ ชัดๆๆๆๆเจนมั้ย?


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ที่จริงนายหลงไม่มีความพยายามสนทนากับใครนานๆในเรื่องซ้ำๆ

    จิตเกิดดับ จะเห็นชัดได้ ตรงภังคญาณ

    ที่เกิดดับ นั้นเป็นลักษณะของนามที่ดับแล้วเกิดขึ้นทันที

    แต่อาการที่ดับขณะเห็นมันดับไปพร้อมกับอารมณ์ปรุงแต่งด้วย

    ขณะนั้นปัญญาญาณปรากฏ

    ก็ในภังคญาณนี้ อายตนะดับลงเห็นๆเลย อารมณ์ทางมโนทวารก็ดับไปพร้อมกัน

    ถามสิว่า ขณะดับนั้นแค่แว็บเดียวนั้น มีความนึกคิดไหม

    ก็อย่าไปเหมาว่าเขาจะเป็นวิปัสนึกกันหมด

    ในพระสูตรกูระบุชัด ว่าย่อมพิจารณา ความเกิด ความดับของจิตนั้นด้วย

    เพราะอะไร ตอบว่ามันไม่อะไรให้พิจารณาแล้วนอกจากจิต


    แต่ทีนี้ที่ไม่เห็นกัน เพราะตามอ่านแนวทางธรรมภูติก็รู้เลยว่า ไปแช่รู้อยู่

    จนจิตมันตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว มันเข้าทางสมถะ

    เห็นอย่างนี้ มันก็ไม่ลงไตรลักษณ์ไง ทิฏฐิว่าเที่ยงมันเลยปรากฏ แต่พูดไม่เต็มปาก ถูกไหม

    เพราะอะไร ตอบว่า แช่ที่รู้จะว่าอยู่ที่ฐานจิตอะไรก็ว่ากันไป

    แล้วไม่วิ่ง ไม่แลบอะไรของธรรมภูตินั้น ขณะนั้นแหละมันปรุงอยู่ในมโนวิถี

    ถ้าบอกว่า วิญญาณไม่ใช่จิต

    งั้นถามหน่อย วิญญาณทำหน้าที่อะไร มโนทำหน้าที่อะไร จิตทำหน้าที่อะไร

    ๓ สิ่งนี้เกิดทีละขณะให้ละรึกได้ หรือ ทำกิจเดียวกัน
     
  20. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เพื่อพระรัตนตรัย

     

แชร์หน้านี้

Loading...