เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. hanky

    hanky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +176
    ผู้ดูแลบอร์ดช่วยเข้ามาดูแลหน่อยครับ เรื่องชักจะไปกันใหญ่แล้วนา
     
  2. metha9999

    metha9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +232
    คุณ Toplus99 ใจเย็นๆน่ะครับ กระทู้เขาส่อเจตนารบกวนเต็มที่เดี๋ยวทาง webmaster คงจะดูแลเอง
     
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เรื่องเล่าเพิ่มเติม จากผลสืบเนื่อง จากคณะวิเคราะห์แหล่งขุดเจาะน้ำบาดาล

    ก่อนที่ทางพระอาจารย์,หลวงพี่นิด และคณะญาติๆโยม แพรว และข้าพเจ้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 10 ชีวิต
    จะออกเดินทางโดยรถตู้ของทางสำนักสงฆ์ เพื่อไปงานบรรจุโลงแก้วสังขารหลวงปู่ละมัย สำนักสวนป่าสมุนไพร ในวันอาทิตย์ที่ 25 ธ.ค. 54


    ระหว่างที่รอท่านพระอาจารย์ ฉันจังหัน 9โมงครึ่ง จู่ๆได้มีคณะสำรวจเอกชน โดยมีนักวิชาการจากสถาบันแห่งหนึ่งพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ทรัพยากรธรณี จำนวนหนึ่ง โดยมีนักวิชาการชาวอเมริกา เป็น วิทยากรมาถ่ายทอดเทคนิคแก่นักวิชาการคนไทย จำนวน 8คน โดยมาพร้อมรถยุโรปหรู 3 คัน ได้เข้ามาแจ้งความจำนง เพื่อขอสำรวจถ้ำและ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
    ในโซน ปาก ช่อง,มวกเหล็ก,และลพบุรีตามนโยบายของกระทรวงเกษตร
    พระอาจารย์จึงให้ความกรุณาต่อคณะดังกล่าวโดยที่ มอบหมายให้ผู้เขียนทำหน้าที่ประสาน
    (โดยที่ท่านไม่ได้สอบถามความเห็น แม้แต่นิดว่า... เต็มใจรับงานนี้หรือเปล่า?)

    ภายหลังก็เพราะมัวแต่ต้อนรับคณะนี้เหละครับ เลยถูกทิ้ง..อดไปงานหลวงปู่ละมัยซะฉิบเลย

    โดยท่านพูดว่า เรื่องหินๆ แร่ๆ ไอ้ทิดนี่มันถนัด มันคงจะคุยรู้เรื่องดีกว่าคนอื่น
    ท่านได้แนะนำเพิ่มเติมว่า ห่างจากศาลานี้ออกไปประมาณ 500 เมตร
    มีหลุบหินขนาดใหญ่ที่น้ำในเขตนี้จะไหลลงรวมกัน
    แล้วหายไปได้ยินแต่เสียงน้ำลอดช่องหิน ไม่ว่าปริมาณน้ำจะมารุนแรงขนาดไหนก็ตามมันจะไหลลงไปที่หลุมนี้ทั้งหมด ไปโผล่อีกที ที่ช่องลำธารใต้ดินในอีกหมู่บ้านถัดห่างไประยะทาง ประมาณ 3 กิโลเมตร ท่านบอกเพิ่มเติมว่า ชาวบ้าน เจอทางทางออกของเส้นทางน้ำนี้ แต่แปลกตรงที่ น้ำขุ่นๆที่ไหลเข้าหลุมปากทางนี้ แต่พอปลายน้ำกลับมีสีใส และมีปลาออกมาด้วย น่าแปลก!

    หรือว่าใต้พื้นดินแห่งนั้นมีบึงใหญ่ซุกซ่อนอยู่...!

    เมื่อหลายสิบปีก่อนสมัยป่ายังรกชัฏ มีชาวบ้านแถบนี้ เคยพบเห็นงูขนาดใหญ่มากจำนวน 2 ตัว เกี้ยวพันกันผสมพันธุ์ ชูตัวขึ้นสูงเกือบๆเท่าๆกับความสูงของต้นมะพร้าวสูงๆ<O:p</O:p
    ท่านว่ามีงูตัวเมียได้ตายไปแล้ว ยังเหลืออยู่อีก 1 ตัว เพราะไม่เจอซากกระดูกของอีกตัว
    ถ้าตายแล้วท่านว่าท่านน่าจะรู้ นะ
    และท่านได้เก็บ ชิ้นส่วนที่เป็นหัวกะโหลกงู พร้อมกระดูกบางส่วน เพื่อมาสวดอุทิศส่วนกุศล ตามนิมิตที่งูมาบอก

    เมื่อหลายปีก่อนข้าพเจ้าได้เคยพบเห็นหัวกะโหลกงูชิ้นดังกล่าวมาแล้วที่วางไว้ในพานทองเหลืองขนาดใหญ่ ท่านวางไว้ใกล้ๆกับพระประธานในศาลา ปัจจุบันน่ายังจะอยู่ มีโอกาสจะถ่ายรูปมาให้ดูกัน
    <O:p</O:p
    ขนาดเฉพาะกระโหลกหัว ใหญ่เท่าๆกับสองฝ่ามือผู้ชายใหญ่ๆมาแนบกันของสองฝ่ามือ และผุพังไปบ้างบางส่วน<O:p</O:p
    ส่วนลำตัวถ้าสมัยยังไม่ตายนี้ สันนิษฐานว่า น่าจะขนาดน้องๆต้นตาล เพราะโดยทั่วไป ส่วนหัวของูนั้นจะเล็กกว่าลำตัวมาก( อนาคอนด้า แห่งลุ่มน้ำ อเมซอน ชิดซ้ายตกขอบไปเลย)
    แล้วท่านว่ามันงูพันธุ์อะไร ?ทำไมมันใหญ่ได้ขนาดนั้น….หว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    และท่านฝากบอกทีมสำรวจว่าระวังหน่อยแล้วกัน...เล่นเอาทีมที่มามองหน้ากัน เลิ่กหลั่กๆ เลยทีเดียว
    แต่สุดท้ายก็ได้ไปสำรวจกันจนได้ มีภาพมาประกอบบางส่วน
    ใครตาดีมองเห็นอะไรกันบ้างหรือเปล่าไม่รู้?

    เมื่อเจอเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึง ความฝันที่ผ่านมา ที่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้ โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนมามีหลุมหินน้ำลอดขนาดใหญ่บริเวณนี้อยู่ เพิ่งมารู้ก็วันนั้นเองจากการที่มีพระรูปหนึ่งของที่นั้น พาไปคณะสำรวจไปดู
    แล้วจะเล่าให้ฟังอีกทีครับ...<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PC180335.jpg
      PC180335.jpg
      ขนาดไฟล์:
      503.2 KB
      เปิดดู:
      201
    • PC180337.jpg
      PC180337.jpg
      ขนาดไฟล์:
      540.6 KB
      เปิดดู:
      215
    • PC180338.jpg
      PC180338.jpg
      ขนาดไฟล์:
      485.7 KB
      เปิดดู:
      207
    • PC180330.jpg
      PC180330.jpg
      ขนาดไฟล์:
      452.1 KB
      เปิดดู:
      180
    • PC180343.jpg
      PC180343.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153 KB
      เปิดดู:
      211
    • PC180345.jpg
      PC180345.jpg
      ขนาดไฟล์:
      307.3 KB
      เปิดดู:
      190
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    [​IMG]ผลจากที่เคยฝันเรื่อง พญานาคจำแลงมารอตักบาตรขบวนพระสงฆ์ที่เดินมาจากบริเวณพื้นที่หลุมหินดังกล่าว

    เริ่มที่ครั้งหนึ่งเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนได้ฝันไปว่าในขณะที่ พักผ่อนอยู่ในถ้ำบนเขา ได้มีผู้มาบอกว่าให้มารีบลงไปดู ชาวบังบด เมืองลับแลและพญานาค ปลอมแปลงจำแลงร่างมาร่วมตักบาตรในวันพระใหญ่ (น่าจะเป็นก่อนเข้าพรรษา)

    โดยที่พระอาจารย์ท่านจะกำหนดให้คณะเหล่าพระสงฆ์เดินเป็นแถวขบวนยาวร่วมเกือบร้อยรูปเดิน ลงมาจากเส้นทางจากบนเขา โดยมีญาติศรัทธาธรรมจำนวนมาก เฝ้ารอตักบาตรทั้ง สองฝั่งซ้ายขวา
    (เป็นเส้นทางเดียวกับภาพในคณะสำรวจเดินไปสำรวจนั่นแหละ)
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนลงมาบริเวณที่รอตักบาตร พบชายร่างใหญ่ท่านหนึ่ง สูงสง่าแต่งชุดขาว พร้อมลูกน้องบริวารอีก2 คน รอตักบาตรเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ

    จิตบอกว่านี้แหละพญานาคผู้แปลงร่างมา ผู้เขียนจึงได้ส่งกระแสจิตไปเพื่อสอบถามว่า

    <O:p</O:p
    “ท่านเป็นพญานาคจำแลงมาใช่มั๊ย” ผู้เขียนถาม
    <O:p</O:p
    “ ใช่...เราเป็นนาคจำแลงมาเพื่อทำบุญกับพระสงฆ์ ชายในรูปพญานาคจำแลง
    <O:p</O:p
    “เราขอร่วมอนุโมทนาด้วยเช่นกัน” ผู้เขียน
    <O:p</O:p
    “เราไม่เคยเห็นรูปร่าง ที่แท้จริงของพญานาคเลย เคยเห็นแต่ในรูปภาพตามวัด ท่านแสดงให้เราดูบ้างได้หรือไม่” ผู้เขียน

    <O:p</O:p
    “ได้...จะแสดงให้ดู ท่านดูนะ”

    ชายในรูปพญานาคจำแลงตอบรับคำขอ
    <O:pภายหลังจากนั้น ชายคนดังกล่าวได้เปลี่ยนร่าง กลายเป็นร่างพญานาค สีน้ำเงินอมเขียวขนาดใหญ่ ทะยานขึ้นบนท้องฟ้าไปในทางทิศเหนือ โดยที่ภาพที่แสดงนั้น คนที่มารอคนอื่นๆมองไม่เห็น ภาพที่แสดงเป็นเสมือนภาพอีกมิติที่ซ้อนกันขึ้นมา

    <O:p</O:p
    จากนั้นผู้เขียนจึงรู้สึกตัวได้ยามเช้ามืด....เพื่อทำสมาธิพร้อมกับไม่ลืมสวดมนต์ บทวิรูฬปักษ์เข พร้อมบทอุทิศบุญกุศลจากการปฏิบัติสมาธิ แด่องค์พญานาค ดังกล่าว<O:p</O:p
    นิทานของคนช่างฝัน...บ่นให้ฟังเล่นๆ<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  5. ปลายคลอง

    ปลายคลอง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +20
    เจ็บปวด..มากเลยใช่ไหมมีดปักอกตัวเอง เกือบอาทิตย์ โวยวายประสาทหลอนไปเลย

    บาดทะยักกินแผล วิ่งขึ้นสมองเอาจนเพี้ยนซ้ำซาก สมน้ำ....

    ไม่อยากทะเลาะกันอีก ก้อทำตัวดีล่ะเอ็งหน่ะ เดี๋ยวของเจ้ากระทู้มาไล่ปิดอีก

    คนอื่นก้อรำคราญเห็นแก่ส่วนรวมอย่าอาแต่อารมณ์ตัวเองนัก ทำตัวDD
    จะได้โตเร็วๆ (อะไรโตหนอ)
     
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    [​IMG]

    ผลสืบเนื่องจากวันที่ 16-18 ธ.ค. 54
    หญิงสาวผู้มีความสามารถพิเศษโดยไม่รู้สาเหตุที่มา กับการต้องปฏิบัติธรรมรักษาศีลเพื่อภารกิจการเตรียมสังขาร รองรับการมาจุติของทารกผู้มีบุญ ญาณบารมีธรรมสูงในปีหน้า(ปี55)

    ยังมีเหตุการณ์ทับซ้อน ขึ้นมาอีกหนึ่งเหตุการณ์ของพระผู้ดูแลกุฏิพระอาจารย์บนภูเขาอีกอย่างคือ...?

    # พระนิด ทำจิตเฝ้าดูเวทนาที่ทรมานจากปวดฟันกรามอักเสบจน วิญญาณออกมานอกร่าง

    หลังจากในคืนวันวันศุกร์ที่ 16 ธ.ค. หลวงพี่นิดเข้าจำวัตรนอนตั้งแต่ 1ทุ่ม
    เนื่องจากปวดฟันกรามอักเสบ ทั้ง 3 ซี่จนหน้าบวมเบี้ยว เสียรูปหน้าไปเลย พูดไม่ได้
    และนอนปวดจนไข้ขึ้น จนถึงเช้าวันถัดมาอาการอักเสบยังหนักหนาไม่บางเบาลงแต่อย่างใด
    จนไม่อาจฉันข้าวฉันน้ำตามปกติได้ นอกจากข้าวต้มอ่อนๆได้นิดหน่อย โดยวิธีค่อยๆหยอดเข้าปาก นับเป็นภาพที่ชวนเวทนา...ซะเหลือเกิน
    แต่ยังดื้อไม่ยอมไปหาหมอ และดันมีโยมที่มาปฏิบัติธรรมบอกอีกว่า

    ไปหาหมอตอนนี้คงได้แค่ยาอักเสบมากินอย่างเดียว หมอจะไม่ยอมถอนฟันให้แน่ ๆจนกว่าแผลอักเสบจะทุเลาหมอจึงจะรักษาถอนฟันให้.(จริงหรือเปล่าไม่รู้...แต่หลวงพี่นิด...ท่านเชื่อตามนั้น)

    ใครที่เคยปวดฟันหนักๆคงนึกออกว่ามันเจ็บปวดโหดร้ายปานใด

    จนวันนั้นทั้งวัน หลวงพี่นิดท่านก็นอนซมด้วยพิษไข้เพราะแผลอักเสบ ร่างกายเกิดภาวะหนาวร้อน
    สลับกันไปมา ท่านใช้สมาธิจิตนอนดูเวทนา ที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุดในชีวิต
    พร้อมภาวนาว่า “ตายแน่ๆ”

    จนเห็นเป็นกระแสปราณของความเจ็บ มันวิ่งเหมือนไฟฟ้าวิ่งวนจากกระดูกฟันกราม
    วิ่งตามแนวกระดูกลงพาดบ่าซ้าย ลงผ่านแนวสะดือ วิ่งวนขึ้นบนบ่าขวา วิ่งวนไป-มาในร่างกายหลายรอบ แล้วเกิดอาการเจ็บเสียวแปล๊บๆเหมือนฟ้าผ่าไปทั้งร่าง เป็นระยะๆจนจิตดับวูบหายไป จนถึงจุดหนึ่งที่จิตระลึกรู้อีกครั้ง

    กลับมองเห็นอีกร่างหนึ่ง อยู่ตรงหน้าของตน ในท่านั่งสมาธิข้างๆกับที่ตนนอนอยู่ มันแปลกที่ไอ้คนที่นั่งอยู่นั่นทำไม รูปร่างหน้าตาทำไม มันเหมือนเราเป๊ะเลย!

    และจิตระลึกรู้ว่านั่นคืออีกร่างของตน ท่านเองก็สับสนไปมาว่า ร่างไหนคือร่างจริงร่างปลอมกันแน่....ระหว่างอีกร่างที่นอนอยู่ กับอีกร่างที่นั่งสมาธิอยู่ พิจารณาอยู่นานทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองไปมาไปรอบๆห้อง
    <O:p</O:p
    ท่านว่ามันก็แปลกดี!

    ......จนมารู้สึกว่าได้ยินเสียงพระอาจารย์ท่านมาเรียก ให้ท่านมาเปิดประตูหน้ากุฏิเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ด้วยเกรงว่าพระอาจารย์ท่านจะมาดุเอาว่า จนป่านนี้ทำไมยังไม่ตื่นมาทำวัตรสวดมนต์
    จิตจึงสะดุ้งกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง พบว่าตัวเองนอนอยู่บนสื่อที่ปู
    เหมือนตอนแรกเริ่มเดิมในยามหัวค่ำ โดยที่ไม่มีอาการเซื่องนอนแต่ใดๆเลย

    และทั้งนี้จริงๆแล้วหาได้มีพระอาจารย์ และผู้ใดมาที่กุฏิหลังนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น?

    อ้าว! แล้วเสียงที่ได้ยินมาเรียกให้เปิดประตูมาจากไหน?
    (พระอาจารย์ท่านเพิ่งได้จำวัตรนอน ในช่วงประมาณ ตี 4 ของคืนนั้น และเข้าพักที่ศาลาด้านล่างของเนินเขา หลังสนทนาธรรมกับพระและคณะญาติโยมแพรว)<O:p></O:p>

    แต่ที่น่าแปลกอีกอย่างคืออาการปวดฟันที่เคยเจ็บปวดทรมาน มา 3 วัน /2คืน กลับทุเลาลงอย่างมากจนเกือบเข้าปกติ
    สามารถพูดได้จ่อยๆ ฉันอาหารเช้าได้ปกติ และช่วงบ่ายจึงไปให้หมอตรวจรักษาอีกครั้ง
    ตามคำข้อร้องของผู้เขียน
    <O:p</O:p
    เหตุการณ์นี้นับว่า....แปลกประหลาดดี
    คือเจ็บทรมานปวดฟันกราม จนจิตถอดออกจากอีกร่างหนีมาอยู่นอกสังขารเดิมได้ และกลับคนร่างเดิมเพราะเข้าใจว่ามีเสียงมาเรียก จนสะดุ้งคืนร่างเดิม แล้วหายปวดฟันได้...
    ..ท่านว่ามันแปลกดีไหมครับ!
    แล้วเหตุใดจึงมีเสียงเรียกขึ้นมาได้….?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  7. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    เพิ่มเติมครับ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมา สำหรับท่านที่ที่รู้อยู่แล้วก็อย่าหาว่าเป็นการอวดรู้เลยนะครับ การที่
    "เจ็บทรมานปวดฟันกราม จนจิตถอดออกจากอีกร่างหนีมาอยู่นอกสังขารเดิมได้" เป็นลักษณะของจิตเป็นสมาธิครับ พระอาจารย์ สมภพ โชติปัญโญ ท่านได้แสดงไว้ใน
    "อานาปานสติ ปี 34 ตอนที่ 1" ท่านบอกใ้นกำหนดตามลมหายใจไปตลอดจนกว่าจะหลับ
    ถ้าจิตเป็นสมาธิมากๆเวลาจะหลับจะมีหลายอาการทางจิตที่เกิดขึ้น หนึ่งในอาการนั้นคือ ขันธ์ 4 จะหลับเป็นกายอยู่ อีก 1 ขันธ์ จะออกมาเห็นตัวเองหลับอยู่ครับ หลวงพี่นิดท่านกำหนดจิตตามดูเวทนาอยู่จนจิตเป็นสมาธิครับ(อนุโมธนา สาธุกับท่านด้วยครับ)

    พระอาจารย์สมภพ ท่านเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แห่งวัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา, หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และ หลวงปู่คำสิงห์ สุภัทโท แห่งวัดสิงหารินทาราม ต.ท่าดอกคำ อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย
    ประวัติพระอาจารย์สมภพครับ
    ::
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004


    อนุโมทนาอย่างสูง ในข้อมูลเพิ่มเติมเป็นประโยชน์อย่างมาก

    ที่ร่วมกันส่งเสริมเป็นกำลังใจแด่ชาวพุทธศาสนิกชน นี่นับเป็นการเตรียมรับภัย

    พิบัติที่ถือเป็นขั้นสูงสุด คือการเตรียมจิตวิญญาณ..

    ที่เรียกว่า" เตรียมตัวตาย..ก่อนตาย"


    ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในกาล ไม่ประมาทในวัย ไม่ประมาทในสังขาร

    ว่าจะจีรังยั่งยืนด้วยเหตุทั้งปวง



    ผู้เขียนจึงสันนิษฐานมูลเหตุที่เกิดปรากฏการณ์กับพระนิดดังนี้คือ

    ด้วยพื้นฐานของพระนิดท่าน ระดับกำลังธรรมสมาธิที่ยังถือว่ายังไม่ชำนิชำนาญนัก แต่ได้รับมอบหมายให้ช่วยสอนแนะนำการให้อารมณ์กรรมฐานสมาธิแก่ญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรม แทนพระอาจารย์ในช่วงที่พระอาจารย์มีกิจนิมนต์ที่อื่นอยู่เสมอๆ

    1. พระนิด จำเป็นต้องมีประสบการณ์สมาธิขั้นอุกฤษ์ ทางหลวงปู่ใหญ่ท่าน
    จึงจัดสรรเหตุสถานการณ์ให้ เพื่อยกระดับพื้นฐานกรรมฐานให้สูงขึ้น หาใช่เป็นการปวดฟันโดยบังเอิญไม่....

    2. การกลับคืนเข้าร่าง ท่านพระอาจารย์น่าจะรู้เหตุนี้ล่วงหน้าแล้ว จึงคอยกำกับดูแลควบคุมอยู่ในระยะไกล/ หรือระดับครูบาอาจารย์อริยเทพ พรหม ท่านทำหน้าที่แทนท่านพระอาจารย์

    3. ก่อนหน้านี้พระนิด ต้องการลาสิกขาเพื่อออกไปค้าขาย พระอาจารย์เคยบอกว่าอย่าเพิ่งคิด พระนิดไม่ควรใช่ชีวิตฆราวาสเพราะจะลำบากล้มลุกคลุกคลาน อย่าเป็นห่วงผู้อื่นเอาตัวเองให้รอดก่อน...

    ญาณหลวงปู่ครูบาอาจารย์ จึงจำให้เห็นภัยจากทุกข์ของวัฏสงสารและสังขารที่ต้องทุกข์ทนได้ยาก เพื่อให้โน้มเอียงมาทางสมณเพศยิ่งขึ้น ช่วยกันทำหน้าที่ผดุงพุทธศาสนานั่นเอง
     
  9. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    ท่านทั้งหลายครับ

    ขอความกรุณาสร้างบรรยากาศมิตรไมตรี...ในห้องภัยพิบัติด้วยเิถิด...นะครับ

    เมตตาบารมี...อุเบกขาบารมี..ทานบารมี (อภัยทาน)

    ขอให้มี...แด่พวกคณะของเรา...พระศาสดาท่านสอนใ้ห้...เตือนตนด้วยตนเอง...ครับ

    ขอบพระคุณ...ครับ


    .
     
  10. ญานธรรม

    ญานธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,936
    ค่าพลัง:
    +14,705
    การติเพื่อก่อ มีวิธีการ สำนวน คำเขียนมากมายที่ผมว่าเป็นการก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ถ้าพูดไม่ถูกต้อง หรือมีเจตนาที่จะทำลาย อะไรๆ ก็ยิ่งเลวร้ายลงไป มาร่วมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อชุมชนน่าอยู่ของเรากันเถอะ

    ขอยกบทความจาก ที่นี่มาให้อ่านกันครับ (เครดิต บทความ คำพูดกับความรู้สึก ที่พูดออกไป)

    คุณเคยใช้คำพูดที่พูดออกไปด้วยอารมณ์ ความคะนอง
    แต่แล้วคำพูดที่พูดออกไป ทำร้ายความรู้สึกดีๆของอีกฝ่าย
    ผู้ฟังฟังแล้วเสียความรู้สึกดีๆไป....


    ........จะเป็นด้วยความตั้งใจที่จะพูดออกไปหรือไม่ก็ตามแต่
    สุดท้ายคนที่รับฟังประโยคเหล่านั้นรู้สึกผิดหวังที่ได้ยินอย่างนั้น

    ........คุณอาจจะรู้สึกดีที่ได้พูดอย่างนั้นออกไป ได้ระบายความรู้สึก
    แต่ภายหลัง...คุณกลับมานั่งขบคิดในสิ่งที่คุณทำลงไป
    คุณกำลังทำลายความรู้สึกดีๆระหว่างกันลงไป
    คุณเริ่มรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ทำลงไป


    .......คำพูดที่หลุดออกจากปากไปแล้ว
    มันคืออดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย

    มีแต่สติเท่านั้นที่ควบคุมคำพูดที่จะออกจากปากไม่ให้พลั้งเผลอพูดในสิ่งไม
    ่สมควร เพียงแต่เราขาดสติควบคุม
    คำพูดที่หลุดออกไปก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งทันที

    ........บางครั้งคุณอยากจะเป็นฝ่ายกล่าวขอโทษในสิ่งที่คุณกล่าวซึ่งทำร้าย
    ความรู้สึก ดีๆของอีกฝ่าย
    เพียงแต่คุณไม่กล้า คุณมีทิฐิ
    คุณเป็นฝ่ายลังเลที่จะกล่าว อยากให้อีกฝ่ายยกโทษให้คุณ แต่ในใจคุณ
    ความมีทิฐิ กลัวเสียหน้า
    ข่มความกล้าที่จะทำให้คุณเป็นฝ่ายเริ่มต้นกล่าวก่อน
    คุณกลับรอเวลาให้ผ่านไปด้วยหวังว่าเวลาที่ผ่านไป...ทุกอย่างก็จะดีเอง

    .......คุณเคยคิดบ้างไหมว่า
    เวลาที่ผ่านไปยิ่งทำให้ทุกอย่างไม่ดีขึ้นเลย อีกฝ่ายที่รับฟังคำพูดของคุณ
    ถึงแม้ว่าคำพูดที่ผ่านไปมันกลายเป็นอดีต
    แต่ความรู้สึกมันยังคงค้างอยู่ในใจ

    .......ถ้าทิฐิมันทำลายความรู้สึกที่ดีระหว่างกัน
    มีประโยชน์อะไรที่คุณจะถือทิฐิเอาไว้กับตัว คุณควรจะปล่อยทิฐิตรงนั้นไป
    การกล่าวขอโทษ
    ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และยากในยามที่ความรู้สึกดีๆระหว่างกันเกิด
    รอยร้าวขึ้น

    ความรู้สึกดีๆจะกลับมาก็เพียงแต่คุณกล้าที่จะเริ่มต้นกล่าวคำขอโทษออกไป

    .............ถามใจตัวคุณเองว่า
    คุณยังให้ความสำคัญกับคนๆนั้นอยู่ไหม
    ไม่ต้องกลัวเสียหน้าถ้าคุณจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นกล่าวก่อน หลังจากกล่าวออกไป
    คุณจะรู้สึกว่าจิตใจคุณบางเบา
    อีกฝ่ายคงรู้สึกดีที่ได้ยินอย่างนั้นและยินดีจะให้อภัยคุณ

    ......ผมเคยมีทิฐิและไม่ยอมที่จะลดละความมีทิฐิ
    สุดท้ายผมพบว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้น
    แล้วกลับมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแทน

    ถ้าความรักหมายถึง การไม่โกรธ และให้อภัย
    คนที่คุณรักเขาคงยินดีและไม่โกรธเมื่อได้ยินคำขอโทษจากคุณ
    และเขาก็ยินดีที่จะให้อภัยคุณตราบเท่าที่เขายังรักคุณอยู่
     
  11. Akornlokudorn

    Akornlokudorn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +60
  12. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,460
    ค่าพลัง:
    +5,423
    อ่านมานานละ ขอลงบ้างครับ

    เป็นธรรมของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก สอนศิษย์เรื่อง

    กรรมทางวาจา

    หลวงปู่ดู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตายก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

    หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกันแต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่ ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

    ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไปถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
    ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า
    ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้นซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางทีก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน
    แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆ มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่นหรือโชคครั้งนี้จะได้หลายหมื่น แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดีและรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความเดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก
    มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้นมีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อนให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมักจะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ อีกมากมายหลายชนิด

    หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจหรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสียถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้ พอตายลงไปยังต้องไปใข้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีก ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร" ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขาแต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดืดร้อนเสียหาย และทุกข์ใจ หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี
     
  13. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    มีผู้ใดรู้ภาพปริศนาหลวงปู่ละมัย ว่าเลข 626 ที่ท้ายหางหมูคือ?

    และ รูปฝาขวดที่ ปากหมู ช่วยบอกหน่อย...ครับ


    และภาษาขอม ใต้ขาหมู อ่านว่าอย่างไร?แปลว่า?

    ช่วยเพิ่มเติมหน่อย เถอะครับ....

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2012
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เลข 626 ผู้ใดเข้าใจ จิตเข้าถึง
    ...ย่อมหยั่งถึง..ซึ่งสิ้นสุดแห่งวัฏฏะสงสาร

    อย่าคิดให้ยาก ทำให้มันยาก...
    หลวงปู่ท่านว่า มันเรื่อง หมูๆ...


    นี่คือคำเฉลยปริศนาภาพนี้ ของพระอริยะอภิญญาสายเหนือโลก
    (พระอาจารย์ท่านพูดรับรองกับข้าพเจ้าว่า หลวงปู่ท่านเป็นระดับพระอริยะ)

    พระแก่ๆ ท่านผู้ที่มักแจก...ส้นตีน..ไล่กลับไปให้พ้นๆ
    ให้กับญาติโยมที่เข้ามากราบท่านให้ผงะ หน้าเสีย


    ...ถ้าโง่ก็เป็นทุกข์ ไม่อยากมาพบ มาเจออีก
    ...ถ้าฉลาดก็นั่งอมยิ้ม..สบายใจเฉิบ!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sontin.jpg
      sontin.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.6 KB
      เปิดดู:
      814
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  15. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    [​IMG]





    - ได้รับดวงแก้วนิพานเป็นผลตอบแทน (ที่ปากหมู)
    -โดยมีกำหนดอายตนะทั้ง2
    ภายนอกทั้ง6 ภายใน6 รวมเป็นอายตนะ 12(ด้านท้ายของหมู)

    -กำหนดรู้ จิตพิจารณา ทำง่ายๆแค่ หมู หมู หมู หมู (บรรทัดล่างของหมู)

    อายตนะ 12
    อายตนะ หมายถึง สิ่งที่เชื่อมต่อกันให้เกิดความรู้ ทำให้จิตและเจตสิก 2 ประกอบด้วย
    อายตนะภายในมี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    อายตนะภายนอกมี 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์
    อายตนะ 12 อย่างนี้ ถ้าจัดเป็นรูปและนามมีดังนี้คือ
    1. ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จัดเป็นรูปธรรม
    2. ใจจัดเป็นนามธรรม
    3. ธรรมารมณ์ คือ ประสาทรูป 5, สุขุมรูป 16, จิต 89, เจตสิก 52, นิพพาน 1 บัญญัติเหล่านี้เป็นไปได้ทางรูปและนามโดยแท้
    ขันธ์ 5 และรูปนามเป็นปัจจุบันที่อายตนะ 12 มีดังนี้
    1. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ตาได้เห็นรูปอยู่นี้
    2. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่หูได้ยินเสียงอยู่นี้
    3. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่จมูกได้กลิ่นอยู่นี้
    4. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ลิ้นได้รสอยู่นี้
    5. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่เราสัมผัสอยู่นี้เป็นปัจจุบันทั้งหมด
    6. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบันที่ใจกำลังนึกคิดอยู่ ก็เพราะมันเป็นผู้ปรุงแต่งให้ขันธ์ อื่น ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในกิริยาอาการ อันแตกดับ เวทนา สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ อยากได้อยากดี ไม่อยากเลว อยากโกรธ อยากโลภ อยากหลง อยากนินทาคนอื่น อยากฉลาด ไม่อยากเป็นคนโง่ ล้วนแล้วแต่สังขาร เป็นผู้แต่งขึ้นมาทั้งนั้น
    อายตนะเป็นรูปนามคือ
    1. ตากับรูปมากระทบกันเป็นรูป เห็นเป็นนาม รู้ว่าได้เห็นเป็นสติ
    2. หูกับเสียงมากระทบกันเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม รู้ว่าได้ยินเป็นสติ
    3. จมูกกับกลิ่นมากระทบกันเป็นรูป ได้กลิ่นเป็นนาม รู้ว่าได้กลิ่นเป็นสติ
    4. ลิ้นกับรสมากระทบเป็นรูป ได้รสเป็นนาม รู้ว่าได้รสเป็นสติ
    5. กายกับโผฏฐัพพะ มากระทบเป็นรูป รู้การมากระทบเป็นนาม เข้าใจละเอียดในการกระทบเป็นสติ
    การเกิดดับของรูปนามคือ
    1. ตากับรูปมากระทบกัน รูปธรรมเกิด รู้นามธรรมเกิด รูปจางหายไป รูปธรรมดับ ไม่ได้เห็น นามธรรมก็ดับตาม
    2. หูกับเสียงมากระทบกัน รูปธรรมเกิด รู้ว่าได้ยิน นามธรรมก็เกิด เสียงหายไป รูปธรรมก็ดับ ไม่ได้ยิน นามธรรมก็ดับ
    3. จมูกได้กลิ่นมากระทบ รูปธรรมก็เกิด รู้ว่าได้กลิ่น นามธรรมก็เกิด กลิ่นหายไป รูปธรรมก็ดับ ไม่ได้กลิ่น นามธรรมก็ดับ
    4. ลิ้นได้รสมากระทบกัน รูปธรรมเกิด รู้ว่ารส นามธรรมก็เกิด รสจางหายไป นามธรรมก็ดับ ไม่รู้รส นามธรรมก็ดับ
    5. กายกับโผฏฐัพพะมากระทบ รูปธรรมเกิด รู้การกระทบ นามธรรมก็เกิด การกระทบหายไป รูปธรรมก็ดับ
    6. ใจกับธรรมารมณ์มากระทบ รูปธรรมเกิด รู้การกระทบ นามธรรมเกิด การกระทบหายไป รูปธรรมก็ดับ ใจก็สั่งให้นามธรรมดับไป
    กาลทั้ง 3 คือ
    1. อดีต - สิ่งที่ล่วงเลยไปแล้ว
    2. อนาคต - สิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    3. ปัจจุบัน - สิ่งที่กำลังอยู่ต่อหน้า
    การกำหนดอารมณ์ในกาลทั้ง 3 อย่างมีดังนี้คือ
    1. ตากำลังเห็นรูปอยู่นี้เป็นปัจจุบันแท้จริง รูปกำลังเห็นดับไปแล้วนั่นละเป็นอดีตไปแล้ว รูปกับเห็นยังไม่เกิด นั้นคือ อนาคตยังมาไม่ถึง
    2. หูกำลังได้ยินเสียงอยู่นี้เป็นปัจจุบัน เสียงกับได้ยินดับไปนั้นคืออดีตผ่านไปแล้ว เสียงที่ยังไม่ได้ยินยังไม่เกิดขึ้นนั้นคือ อนาคตยังไม่มาถึง
    3. จมูกกำลังได้กลิ่นอยู่นั้นคือปัจจุบันแน่นอน จมูกกับการได้กลิ่นดับไปนั้นเป็นอดีตไปแล้ว จมูกกับการรู้กลิ่นยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่เกิดคือ อนาคต ยังไม่มาถึง
    4. ลิ้นกำลังได้รสอยู่นี้เป็นปัจจุบัน ลิ้นกับการรู้รสหายไปเป็นอดีตไปแล้ว ลิ้นกับการรู้รสยังไม่เกิดขึ้นคือ อนาคตยังไม่มาถึง
    5. กายกำลังรู้การสัมผัสอยู่นี้เป็นปัจจุบัน กายกับการสัมผัสรู้ว่าดับไปนั้นเป็นอดีตไปแล้ว กายกับการรู้สัมผัสยังไม่เกิดขึ้นนี้ คืออนาคตยังมาไม่ถึง
    6. ใจกำลังรู้อารมณ์อยู่นี้เป็นปัจจุบันแท้จริง อารมณ์กับความรู้สึกดับไปนั้น คือ อดีต อารมณ์กับความรู้สึกยังไม่ได้เกิดขึ้น คืออนาคตยังมาไม่ถึง
    สำหรับผู้ปฏิบัติให้กำหนดรู้ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ อันเป็นปัจจุบันเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  16. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ใครหลายๆคน ที่บอกว่าเคารพนับถือบูชาคุณความดี
    ของท่านหลวงปู่ละมัย พระอภิญญาเหนือโลก

    ท่านแนะนำสั่งสอน แนะเส้นทางง่ายๆ ไว้แล้ว รีบปฏิบัติตามกันเลย...ทีเดียว

    อนุโมทนาบุญอย่างสูง
     
  17. tum399

    tum399 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,908
    แถบไหนของเมืองกาญ เพราะขึ้นไปบ่อยมาก

     
  18. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    จำได้ว่าเลยน้ำตกไทรโยค ไปอีกพอสมควร ผมไม่ค่อยรู้เส้นทางในจังหวัดกาญจนบุรีมากครับ เพราะเพื่อนผมเป็นผู้นำทางไป

    เคยไปมา 2 ครั้ง และ ครั้งล่าสุดก็เกือบสิบปีมาแล้ว และผมคิดว่าคงจะไม่ไปรบกวนพระอาจารย์ท่านอีก เพราะครั้งที่ 2 ที่ผมไปนั้น กว่าจะหาทางเข้าได้ ก็ขับรถเลยไปเลยมาอยู่หลายรอบ ไม่พบทางเข้าสักที ต้องอธิฐานจิตขออนุญาติเข้าอยู่หลายรอบ จนไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว จึงจอดรถลงไปสูบบุหรี่ สักพัก มองไปมา ว่าจะเอาไงดี ปรากฎว่า เห็นทางเข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดีเลย เป็นช่องเขาเล็กๆ มีภูเขาเล็กๆ ซ้ายขวา และ มีช่องทางเข้าอยู่ตรงกลาง พอเข้าไปได้ก็ต้องลุยทางวิบากเข้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง

    และพบกับอุปสรรคต่างๆ จนไปพบ ท่านที่ใส่เชิ้ตแดงกลางทางนั้นล่ะ และต้องลุยเข้าไปอีก จนสุดทางรถ เดินขึ้นเนิน ต่อด้วยการปีนขึ้นอีก กว่าจะได้พบพระอาจารย์ท่าน และ พบเรื่องราวแปลกๆอีกหลายเรื่อง จนตอนขากลับ จึงตกลงกับเพื่อนๆว่า เราคงจะไม่เข้าไปรบกวนท่านอีก และผมก็ยังมีความสงสัยอยู่ด้วยว่า...ระหว่างที่พบท่าน และ ได้สนทนากันนั้น เวลานั้น พระอาจารย์ท่านยังมีชีวิตอยู่ หรือ ท่านได้มรณะภาพไปแล้ว (กายท่านผ่องมาก และมีแสงสว่างอยู่รอบๆตัวท่านด้วย)
     
  19. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เรื่องนี้น่าสนใจ....หากมีข้อมูลเพิ่มเติมเชิญเลยครับ อยากฟังเหมือนกัน

    หากท่านใดมีโอกาสพบเรื่องราวพระสายอภิญญาสายอื่นๆ

    ช่วยนำมาถ่ายทอดลงในกระทู้นี้เพิ่มเติมได้ครับ ยินดีต้อนรับ...

    ส่วนใครจะเชื่อ/ไม่เชื่อเพียงใด..

    อย่าไปใส่ใจนักเลย...

    และโปรดใช้วิจารณญาณกันเองตามกำลังปัญญา




    เพื่อเป็นการยืนยัน ผลแห่งการปฏิบัติสายพุทธเจ้าว่ามีอยู่จริง และทำได้จริง

    ผลแห่งการปฏิบัติพิสูจน์ได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล

    ขอท่านจงมาดูและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเถิด..
     
  20. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    ขอขอบคุณท่าน จขกท. ที่อนุญาติให้เล่าข้อมูลพระสายอภิญญา และ มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวนี้

    ขอแยกเรื่องเป็น 2 ตอน เนื่องจากผมมีโอกาสเดินทางไปพบพระอาจารย์ท่าน 2 ครั้ง ตอนแรกอาจไม่มีเนื้อหาแปลกนัก แต่จะเล่าถึงสภาพทั่วไปของที่นั้น

    ขออนุญาติที่จะไม่กล่าวถึง ชื่อ และ สถานที่ หรือ พิกัด ที่แน่ชัด เนื่องจากไม่อยากไปรบกวนในการปฎิบัติธรรม หรือ การปฎิบัติภาระกิจของท่าน และ ไม่ทราบว่าขณะนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ (จะอธิบายเหตุผลในตอนที่ 2 อีกครั้ง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...