2 ช่วงตำนาน ทหารไทย ...ทหารผี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กิดากร, 18 ตุลาคม 2011.

  1. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,047
    ถ้าซ้ำขออภัยอยากให้มีเรื่องได้อ่านกันจะได้ไม่เบื่อ หวังว่าข้อมูลสาระนี้จะสร้างกำลังใจของผู้ปฏิบัิติให้มั่นคง มั่นใจว่าผลการปฏิบัติของท่านผู้อ่านไม่ได้สูญเปล่า สามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองและส่วนรวมได้เมื่อถึงเวลาอันควร จึงได้โพสไว้ที่ห้องอภิญา-สมาธิ (แต่พึงระลึกไว้ว่าวิชาอาคมไม่ใช่ทางหลุดพ้น รู้ได้แต่อย่าหลง) หากโพสผิดห้องย้ายให้ด้วยครับ
    -------------------------------------------------------------------------------
    ช่วงที่ 1 สงครามเวียดนาม
    [​IMG]
    ใน สงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน "ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า
    1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน
    2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้
    3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว

    4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ........ทหารไทย
    [​IMG]
    ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกอง กำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้ายและการทารุณเชลยโดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตานามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมงทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพและบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุสดุดีวีรกรรมของทหารไทย ครั้งนี้ 1 อาทิตย์ต่อมาผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนามยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน

    เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทยที่ปกปัก รักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้เรื่องราวเหล่าแด่ท่านผู้ชนะเหล่าชนเสือ พรานไทยนักรบชุดดำ
    [​IMG]
    เพิ่มเติม หลวงพ่อมี หลวงงปู่ทิม หลวงพ่อเมี้ยน สามทหารเสือแ่ห่งบางบาล ศิษย์รุ่นสุดท้ายหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
    เกจิในตำนาน(จาด จง คง อี๋ ) กองทัพสยามทหารผีแห่งสงครามอินโดจีน

    ที่มา thaiairsoftgun.com
    ------------------------------------------------------------------------
    ช่วงที่ 2 สงครามอินโดจีน
    บทความจาก ... อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟัง นะครับ
    อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร

    เวทมนตร์.. คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว

    เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง

    พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี...ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน

    ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว

    ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ

    พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว

    ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น
    เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด

    มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์

    จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อ เนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ

    เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ

    การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย

    หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที

    เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี...อันนี้พิสูจน์ กันชัดๆอีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่

    การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน

    เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง

    หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น สูตร โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง

    ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี...เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยง...คงกระพัน

    ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความ..เหนียวแบบไร้เทียมทาน...หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ

    เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่

    หลวงพ่อ ชวน (โอภาสี)
    หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพัง
    หลวงพ่อจาด
    และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก

    credit:thaifighterclub
    copy ข้อความมาจากคุณ sillyfools43 และ siamzone จาก jokergameth
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  2. Apinya1102

    Apinya1102 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +11
    พออ่านแล้ว เหมือนเห็นภาพในอดีตค่ะ

    นึกถึงวีรบุรุษที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง ยิ่งรักประเทศไทยมากขึ้น:cool::cool:
     
  3. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    นี่ไง ทำให้ประเทศไทย อยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้

    แหม อ่านแล้วของขึ้น ถ้ามีสงครามเมื่อไหร่

    ข้าน้อยอยากทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองบ้าง :cool:
     
  4. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    จริงครับ ของขลังใช้ได้จริง แต่ต้องฉลาดใช้ครับ ที่รบเวียดนามตายๆกัน ไม่มีอะไรมาก ก็วิ่งออกจากบังเกอร์จะเข้าไปตะลุมบอลตัวเองหนังเหนียว โดนอาร์พีจีลูกเดียวตัวแตกครับ คนเก่าคนแก่จะรู้ดีว่า มีของดี ก็ใช่ว่าจะคุ้มได้ทั้งตัว โดนปืนใหญ่ก็ตาย โดนปืนยิงกะบาลก็กระโหลกแตกตาย เหยียบระเบิดก็ขาด มันเป็นธรรมดาครับ สมัยก่อนได้เปรียบหน่อย อาวุธหนักไม่ค่อยมี มีแต่อาวุธประจำกาย อย่างมากก็ปืนครก แต่สมัยนี้ เครื่องบินทิ้งลูกเดียวหาเศษร่างกายไม่ได้เลย

    พูดถึงเรื่องอินโดจีน ผมมีเสื้อยันต์หลวงปู่จาด อยู่ผืนหนึ่ง และก็มีตะกรุดอะไรไม่รู้ของตา ที่ทวดเอาให้ เพราะสมัยนั้นเค้าแจกพวกตำรวจ ทหาร ยิ่งพวกที่ต้องไปรบที่เชียงตุงด้วย ทุกวันนี้เหรอครับ หนูกัดขาดเป็นรูนิดนึง ไม่เคยเจอปืน ไม่เคยเจอดาบ ไม่เคยเจอระเบิด ใช้มาสองรุ่น ไม่มีใครเป็นอะไร แบบนี้ดีกว่าคงกะพันหรือเปล่าครับ เพราะคลาดเหตุการณ์ตลอด แต่ปัญหาคือ มีพวกนี้ อยู่ไม่สุขครับ ไม่รุ่งเรือง นี้คือเหตุผลที่ว่าพอถึงเวลาปกติเค้าก็เอาไปเก็บ ไม่มีใครเอามาใส่เป็นวรรคเป็นเวรหรอกครับ ไม่มีประโยชน์

    พูดถึงทหาร พวกที่ไปรบหนักๆ ทั้งในลาว ในเวียดนาม พวกที่ฆ่าคนมามาก เราจะรู้ถึงความทุกข์ที่ฝังในใจเค้าเลย ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีปมที่ฝังอยู่ในใจ และคนที่เคยผ่านสมรภูมิมา ยิ่งคนแก่ๆ เวลาเล่าเรื่องเก่าๆจะเล่าแบบนิ่งๆ และเหมือนไม่อยากจะเล่าเลย แต่พวกคนรุ่นหลังนี้แหละที่เห่อแหนกันทั่วหน้า ตาผมเสียไปแล้ว ตาข้างบ้านที่เคยไปเกาหลี ก็เสียไปแล้ว ทั้งลุงทั้งอา ที่เคยอยู่ในเหตุการเขาค้อ เนิน 1428 ทุกคนต่างไม่อยากพูดถึงมัน ลุงที่ไปเวียดนาม 43 ศพที่ฆ่า ทุกวันนี้แค่ฆ่าปลาทำอาหาร ก็ทำไม่ลง มันต่างกันลิปลับกับคนหนุ่มที่ต่างตื่นเต้น และคิดว่าดี พวกเค้าทิ้งของทั้งหลายหมด และตอนนี้มันก็มาตกอยู่กับผม และผมก็ไม่อยากจะใช้มันเหมือนคนก่อนๆ คงจะเก็บไว้แค่เป็นอนุสรณ์ เท่านั้น เวลามันเปลี่ยนไปแล้วล่ะครับ เราไม่ได้รบกับใครแบบประชิดตัวแบบนั้นแล้ว .................. ทุกวันนี้ยังไม่เห็นตัวเราก็ตายแล้ว..............จะทำงัยให้คนกินดีอยู่ดี มีไมตรีต่อกันดีกว่า

    ไม่ได้จะแย้งอะไรเจ้าของกระทู้นะครับ แค่อยากจะเล่าเฉยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  5. punyawat

    punyawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +183
    เท่!!! :cool::cool::cool:
     
  6. ฅนโคกว่าน

    ฅนโคกว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    795
    ค่าพลัง:
    +2,767
    ผมก็เคยคิดเคยอยากได้ อยากเป็นจอมขมังเวทย์กับเขาเหมือนกับครับ
    แต่ตอนนี้ขอแค่สวดมนต์หรืออัตถคาถาบางบทที่ทำให้ใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน
    และคุ้มครองเวลาขับรถหรือมอไซค์ไม่ให้มีอันตรายก็พอครับ
    (เตือนใจระวังอย่าไปชนใคร และระวังไม่ให้ใครมาชนเราได้)
    คนมันยังไม่ถึงเวลาตาย ต่อให้เผชิญอะไรที่หนักหนาสาหัสยังไง มันก็ไม่ตาย
     
  7. aces

    aces เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    193
    ค่าพลัง:
    +587
    ผมอยากได้ครับของแบบนี้
    เพราะมีเพื่อนผมทำหน้าที่อยู่ที่ภาคใต้
    และไม่แน่ ผมอาจจะไปร่วมวงด้วย

    ทหารผ่านศึกหลายคนก็สอนผมมาครับ
    เวลาจะยิงฝ่ายตรงข้าม อย่าไปคิดอะไรทั้งนั้น เช่น คนนั้นคนนี้ก็ลูกคน พ่อคน
    นอกจากคิดทางพวกยุทธวิธี มีสติอยู่ตลอดเวลา
    ส่วนเรื่องจะมาทำใจว่าได้ฆ่าคนไปแล้วนั้น
    ในยามสงบค่อยไปนั่งคิด ไม่สบายใจก็หาเข้าวัดเข้าวาเอา

    ถ้าถึงเวลามันจำเป็นจริงๆก็คงต้องยิงครับ

    ส่วนตอนนี้ผมอยากได้ เพราะชีวิตผมอยู่ดีๆก็ชอบไปเจอตอ
    ขวางผลประโยชน์คนจะโกงกินโดยไม่ตั้งใจ
    ในอนาคตถ้ามีต้องดวลปืนบ้างกันผมก็ไม่แปลกใจอะไร

    และผมก็ไม่รู้ว่าชาติปางก่อนไปทำอะไรมา
    เวลาเจอคนเลว คนที่โกงแบบหนักๆ ไม่ว่าเจอเองหรือได้ยินเรื่องราวมา
    ผมแทบอยู่เฉยๆไม่ได้ ความรู้สึกผมมันรู้สึกว่า อยากจะยิงพวกให้มันตายๆไปให้หมด
    ตั้งแต่เป็นเด็กเลยนะครับ จนตอนนี้ก็ยังคงเป็นอยู่ แต่เริ่มน้อยลงเพราะหัดนั่งทำสมาธิ
     
  8. canopus

    canopus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2009
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +531
    :cool: อนุโมทนาครับ อธิบายได้ดีมากครับ
    ตอนเด็กผมก็ชอบนะเรื่องอิทธิฤิทธิ์อภิญญาเวทย์มนตร์คาถา
    แต่ตอนนี้ผ่านวัยมากขึ้น เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ทั้งสิ้น มีแต่อนิจจังทุกขังอนัตตาทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนไปตามทางแห่งกรรม ความสนใจเรื่องพวกนี้เลยลดลงไปเยอะ ทุกวันนี้สนใจแต่อยากจะให้กิเลสหมดไปจากใจให้มากที่สุดเท่านั้น อยากหลุดพ้นการเวียนว่ายวนเวียนเสียที...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2011
  9. upupza

    upupza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +85
    เมื่อก่อนผมก็อยากเป็นจอมขมังเวทย์ เน้นคาถาอาคม หาอาจารย์เก่งๆ ล้วนแต่เป็นอวิชา จนได้มาบวชปฏิบัติธรรม 1 พรรษา ทำให้เริ่มสนใจพวกคาถาอาคมน้อยลง หันไปเน้นคาถาที่เกี่ยวกับพุทธคุณ ดีกว่าเน้นไปทางสายดำครับ ยังไงมันก็ไม่พ้นความตายเก่งแค่ไหนก็ตาม
     
  10. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    บางครั้งหรือทุกครั้งต้องทำแม้ไม่ใช่หน้าที่

    เพื่อ...........................................
     
  11. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ผมเมื่อก่อนก็อยากเป็นจอมขมังเวทย์ แต่โครตกลัวผี ผู้ใหญ่เลยบอกว่าเรียนคาถาไม่ได้เพราะกลัวผี ต้องไปอยู่ป่าช้าบ้าง เมรุเผาศพบ้าง ผมกลัวก็เลยไม่มีโอกาสเรียน พอมาทุกวันนี้ดีใจจังที่ไม่ได้เรียนอาคม ป่านนี้คงบ้าไปแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...