"ภูฏาน"ตัวอย่างวิถีชีวิตของคนในยุค"ชาววิไล"?

"ภูฏาน"ตัวอย่างวิถีชีวิตของคนในยุค"ชาววิไล"?​

​

​

​

​

​

​

​

เมื่อความสุขในชีวิตของคนเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทองอีกต่อไป หมายถึง ความสุขของประชาชนสำคัญกว่าผลผลิตมวลรวมหรือรายได้รวมของประเทศนั่นเอง นับเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด ในการนำประเทศภูฏานสู่ความสุขมวลรวมประชาชาติในทุกวันนี้ ...​

ประชาชนชาวภูฏานนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตันตรยาน หรือบ้างก็เรียกว่า วัชรยาน)75% ศาสนาฮินดู 24% ศาสนาอิสลาม 0.7% และ ศาสนาคริสต์ 0.3%

ในสมัยศตวรรษที่ 17 นักบวช ซับดุง นาวัง นำเยล (Zhabdrung Ngawang Namgyal) ได้รวบรวมภูฏานให้เป็นปึกแผ่นและก่อตั้งเป็นประเทศขึ้น และในปีค.ศ.1651 นักบวชซับดุงได้ริเริ่มการบริหารประเทศแบบสองระบบ คือ แยกเป็น ฝ่ายฆราวาสและฝ่ายสงฆ์ ภูฏานใช้ระบบการปกครองดังกล่าวมาเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1907 พระคณะที่ปรึกษาแห่งรัฐ ผู้ปกครองจากมณฑลต่าง ๆ ตลอดจนตัวแทนประชาชนได้มารวมตัวกันที่เมืองพูนาคา และทำการเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ อูเก็น วังชุก (Ugyen Wangchuck) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปกครองเมืองตองซา (Trongsa) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของภูฏาน

โดยดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์แรกแห่งราชวงศ์วังชุก (Wangchuck) เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่นของพระองค์ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ปกครองเมืองตองซา ทรงมีลักษณะความเป็นผู้นำและเคร่งศาสนาซึ่งมีความตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ราชวงศ์วังชุกปกครองประเทศภูฏานมาจนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyal Wangchuck) ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.2006 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุกภูฏานจัดตั้งการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.2008 มีพรรคการเมืองสองพรรค

ที่มา http://www.globaltourplanner.com/bhutan/about-bhutan.html

 

อยากให้ประเทศไทยกลับไปเป็นแบบนี้บ้างจังเลย

 

อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้บ้างจังครับ ในวิถีชีวิตที่พอเพียง

 

เรากำลังตกอยู่ในลัทธิทุนนิยม ต้องอาศัยกิเลส เป็นพื้นฐาน ลูกหลานเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น ตอนนี้มันฝังรากแล้ว เงินเพียงไม่กี่ร้อยก็สามารถซื้อพวกเค้าได้ ภาครัฐก็ไม่ส่งเสริมความพอเพียงอย่างจริงจังรวมทั้งวิชาศาสนาประวัติศาสตร์ด้วย ทำกันเพียงเอาหน้า อนาคตประเทศ ท่านใดที่รู้แล้วตื่นแล้วช่วยกันนะครับ

 

ประเทศไทยเรา ก็ทางภาคเหนือ เช่น จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย ลำพูน ตาก บางอำเภอ บางตำบล บางหมู่บ้าน คล้าย ๆ ภูฏานเหมือนกันนะครับ

 

อยากให้เมืองไทยเป็นแบบนั้นจัง แต่เมืองไทยคงกู่ไม่กลับแล้วหล่ะค่ะ

 

ไม่ต้องคิดหรือช่วยทำให้ประเทศเราเป็นแบบนี้ สิ่งแรกเลยก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ได้ต้องเริ่มทำที่ตัวของเราเองก่อนเมื่อเริ่มรู้หลักและชินกับการเป็นเช่นนี้ค่อยเริ่มให้ลูกและคนของเราที่เราสามารถสั่งและสอนเขาได้ให้เห็นผลที่คุณได้รับจากการปฏิบัติตนเช่นชาวภูฏาณ จะได้รับความสงบสุขทั้งภายนอกและภายในตามมาเป็นอัตโนมัตครับ

 

ชอบประเทศนี้มานานแล้วเพราะวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเค้าน่าสนใจมาก ขอบคุณค่ะที่นำเสนอเรื่องราวดีๆ แบบนี้

 

Anumo..tana..satu..naka.

 

คนเราไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใด แต่ว่าใจนั้นหมกมุ่นฝักใฝ่แสวงหา แต่วัตุเพียงเพื่อเอามาสนองความต้องการของร่างกาย โดยคิดว่ามันจะนำความสุขมาให้ แต่พอไดรับแล้วกลับเพิ่มภาระมากขึ้นไปอีก ที่สำคัญ กลับยังไม่รู้สึกอีกว่า นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่จะนำความสุขมาให้.
***สิ่งที่จะนำความสุขจริงๆนั้น มันเป็นนามธรรม มันเป็นอาหารทางใจ มันเป็นอริยะทรัพย์***คนที่เขารู้จักอาหารชนิดนี้ เขาหากันได้เขาหากันเป็น*** อย่าไปห่วงคนอื่นเขา**พระท่านสอนเอาไว้ว่า**รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดี-ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน**

 

ถ้าผมมีอยู่10ล้าน ผมจะขอโอนสัญชาติไปอยู่ที่นั้นจริงๆฝันมานานแล้ว กับวิถีชีวิตแบบนี้ความสุขของประชาชนสำคัญกว่าผลผลิตมวลรวมหรือรายได้รวมของประเทศนั่นเอง นับเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด ในการนำประเทศภูฏานสู่ความสุขมวลรวมประชาชาติในทุกวันนี้ ...

 

คน ภูฏาน ก็อยากมาอยู่ทีเมืองไทยเหมือนกัน เจ้าชาย เจ้าหญิง ก็ยังมาเรียน ที่เมืองไทย และเคยบอกไว้ว่าชอบเมืองไทย
" จงพอใจและภูมิใจในสิ่งที่ตนมี "

 

ชอบจังเลยค่ะ ผู้คนดูมีความสุข ประเทศที่สงบ ร่มเย็น ไม่มีโรคภัยทั้งทางกายทางใจเบียดเบียน...ชอบจังเลย อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้บ้าง แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว T^T

 

โลกที่ถูกออกแบบโดย หมู่คณะยิว ในปัจจุบัน
ประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่ ยิว คนนึงคิด concept ขึ้นมา
สังคมนิยม ก็มี ยิว อีกคนนึง คิด concept ขึ้นมา

สงคราม กับหนี้สิน คือ กลยุทธ การปกครองโลก..
ต้องคงความขัดแย้งทั่วโลกเอ<wbr>าไว้ ด้วยการสร้าง ขั้วการเมือง ๒ ขั้ว ๒ สีเสื้อ ในประเทศต่าง ๆ
ต่อมา ก็มี ยิว ที่เป็นเจ้าของ ธนาคาร คอยหนุนหลังให้ รัฐบาล กู้เงิน ยิว ไป ทำสงคราม ลัทธิการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล

ยิว เป็นต้นเหตุแห่งหายะนะทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน
เริ่มต้นประมาณ ๑๐๐ ปีก่อน .. ในตอนที่ เมกา ยอม ให้มี ธนาคารกลาง สหรัฐฯ ซึ่งบริหาร โดยคณะ นายธนาคาร ยิว
เปิดโอกาส ให้ต่อมา ทำให้ ทุกคนเป็นหนี้เป็นสิน ร้ายแรงที่สุด คือ รัฐบาล
ดอกเบี้ย เงินกู้ คือตัว ทำลายเศรษฐกิจ
เพราะเจ้าหนี้ ยิว ไม่เคยผลิตคุณค่าให้กับระบบ แต่เป็นฝ่ายดูดมาสะสมที่ตนเองจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ ภาษี ซึ่งต้องเอาไปชำระดอกเบี้ยให้ ยิว

ยิว อยู่เหนือการเมือง การศาสนา เป็นคณะผู้ปกครองโลกตัวจริง ต่อให้ ประเทศประชาธิปไตยอย่าง เมกา ..แท้ที่จริง ยิว อาจจะเป็น เจ้าของ ทั้ง ๒ พรรคการเมือง ที่ดูประหนึ่งว่า จะไม่ลงรอยกัน และหั้นหั่นกันอยู่ตลอดเวลา.. แต่หลังม่าน อาจไม่เป็น อย่างที่เห็น มันเป็นเพียงฉากละคร กลยุทธในการปกครอง ประชาชน.. เพราะปรากฏว่า ผู้นำระดับสูงใน เมกา ไม่ว่าจากฝ่ายไหน มักเข้าเป็นสมาชิก สมาคมทางการเมือง&เศรษฐกิจ เดียวกันเสมอ.. และทุก รัฐบาล ล้วนทำประโยชน์ให้ กลุ่มธนาคาร ยิว ทั้งสิ้น..

พิษ คอรรัปชัน เชิงนโยบาย เช่นนี้ ก่อให้เกิด สงครามล้มตายนับร้อยล้านชีวิต ทั่วโลก
ทำให้ธรรมชาติวิบัติ สังคมวิบัติ ทั่วโลก
ทำให้รัฐบาล เมกา ยากจนเป็นหนี้เป็นสินมากที่สุดในโลก
ในขณะที่ กลุ่มนายธนาคารยิว ที่อาศัยแผ่นดิน เมกา กลับรวยมากที่สุดในโลก

 

หลังภัยนี้ไงคะ...

ในหลวงบอกให้เรา ใช้ วิถี เศรษกิจพอเพียงค่ะ...


เรามาเริ่มกันใหม่เถอะค่ะ

เราเลิกเดินหนีตัวเองกันเถอะ

 

​

 

นับว่าเป็นประเทศใหม่ที่น่าอยู่ทีเดียว แต่เราคนไทยก็สามารถทำให้ประเทศชาติของเราน่าอยู่ได้ ด้วยความสามัคคีกัน ช่วยกันดำเนินตามรอยที่พ่อหลวงได้ทรงแนะแนวทางไว้ให้ และที่ผมอดจะกล่าวถึงไม่ได้นั่นคือ แนวคิดและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องมองไกลครับ ทุุกสิ่งเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ดังพระราชดำรัสในหลวงตอนหนึ่งที่ว่า...

" … ขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน
มีความสงบและทำงานตั้งอธิษฐาน ตั้งปณิธาน
ในทางนี้ ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพอกิน
ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่มีความความพออยู่พอกิน มีความสงบ
เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้
เราก็จะยอดยิ่งยวดได้ …
ฉะนั้นถ้าทุกท่านซึ่งถือว่าเป็นผู้มีความคิดและมีอิทธิพล
มีพลังที่จะทำให้ผู้อื่น ซึ่งมีความคิดเหมือนกัน
ช่วยกันรักษาส่วนรวมให้อยู่ดีกินดีพอสมควร ขอย้ำพอควร
พออยู่พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้จากเราไปได้
ก็จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ถาวรที่จะมีคุณค่าอยู่ตลอดกาล "
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนพรรษา 23 ธันวาคม 2542 ​

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานตลอดไป​