วุ้นในลูกตาเสื่อม คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน!!

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Karnta, 27 กันยายน 2011.

  1. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    [​IMG]

    คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ (นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน?)

    อาการก็คือ !
    คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดกต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)
    สาเหตุของโรคนี้คือ !
    'การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ! ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)

    ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก ?
    ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่
    แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) (จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ)
    การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ
    แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน ! สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ
    รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อย ๆมักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ

    [​IMG]

    ภาพแสดงของจอประสาทตาที่หลุดลอกออกมาแยกชั้นออกจากส่วนหลังของลูกตา

    สรุปก็คือ
    1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'
    2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย
    3. การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '
    4. การปรับจอภาพที่! มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย' (คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
    5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกิน
    ระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)

    ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสาร ที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ?
    คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่าทำไมขนาดของจอคอมคุณที่ใช้ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง

    ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดอาการรุนแรงเพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่า คุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

    ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า

    ‘คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหามูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่านอะไรก้อตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่หนังสือบนเนตคุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิมลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะเพื่อสุขภาพตา’
    ปกติที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)

    คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ

    ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก

    คนที่มีสายตาสั้นมากๆ
    เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง
    เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา
    เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก
    คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง
    คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก

    คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป

    การป้องกัน

    จากที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง

    การเห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ

    แต่ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือเปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ

    การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์

    จากการที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนี้

    1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว

    2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา

    3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก

    4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย

    5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ

    6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย

    7. กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว

    8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ

    9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น

    การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป

    [​IMG]


    ต่อไปเป็นท่าการบริหารสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

    [​IMG]

    credit Fwdder.com - วุ้นในลูกตาเสื่อม คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน!! 1 - โพสโดย ปู่เย็น
     
  2. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,843
    ขอบคุณมากเนื้อหานี้ มีประโยชน์มากค่ะ
     
  3. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    ___/|\___ ขอบคุณที่นำมาเผยแผ่....ขออนุญาตนำส่งต่อไปนะครับ
     
  4. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ขอบคุณครับ เเต่ตาผมเป็นเเบบนี้อยู่ ไม่รู้เกิดจากความผิดปรกติของดวงตารึเปล่า รบกวนช่วยเเนะันําด้วยครับ คือ มันไม่เกิดถี่ๆ นานๆเกิดครั้งหนึ่ง วันนี้ก็เพิ่งจะเกิดไป คือ อยู่ดีๆผมจะเ้ห็นสีทอง คือออกเเนวเป็นเส้นๆสีทอง หลายๆเส้นในตา คือเขาจะลอยอยู่ เวลาเห็นทุกครั้งก็จะกระจัดกระจายกันไป คือประมาณไม่ 10 กว่าเส้นขึ้นไปก็เกือบๆ 10 เส้น จะเห็นอยู่พักหนึ่งประมาณ 10 กว่าวินาทีเเล้วก็จะหายไป นานๆจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งครับ อันนี้เป็นอาการของดวงตาหรืออะไรครับ ? ใครทราบ หรือเคยเป็นอาการนี้มาก่อนช่วยเเนะนําด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  5. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    ลองไปหาคุณหมอตรวจดูอาการดีกว่านะค่ะ เพื่อเป็นอะไรเราจะได้รู้แต่เนิ่นๆ จะได้รีบรักษาค่ะ ของเรามีอาการแบบเห็นเป็นจุดดำๆสองสามจุดลอยไปลอยมา เมื่อก่อนคิดว่าเป็นนิมิตเสียที่เกิดจากการนั่งเพ่งเทียน แล้วต่อมาก็เห็นแสงสว่างคล้ายๆแสงแฟลชทางหางตา(ใจคิดว่า โอ้!!อาจจะเป็นปรากฎการณ์แปลกที่เกิดจากการนั่งสมาธิ อิอิ ตาเราป่วยนี่เอง) เมื่อก่อนเป็นบ่อยค่ะ แล้วก็จะปวดหัว แต่มาสังเกตว่าเกิดจากการนอนน้อยแล้วก็เครียดด้วย ยังไม่ได้ไปหาหมอแต่อาการดีขึ้นมากแล้วเดียวนี้ไม่เห็นจุดดำๆแล้ว ส่วนแสงแฟลชก็หายไปแล้วค่ะ
    ขอให้โชคดีนะค่ะ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
     
  6. ChaiG130457

    ChaiG130457 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
  7. daeng007

    daeng007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +84
    คารวะ ๑ จอก.....................
     
  8. wainkam

    wainkam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    757
    ค่าพลัง:
    +881
    อนุโมทนา สาธุครับ
    ผมเป็นอยุ่เลย - -' ทำอาชีพด้านนี้ซะด้วย Y_Y
     
  9. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    ขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้วุ้นในตาเริ่มจะไปเหมือนกัน
    ทำไงได้ข้อมูลงานวิจัยเดี๋ยวนี้มาเป็น PDF file
    แล้วเราก็ห่วงโลกร้อนไม่ยอมพริ้นท์ออกมา อ่านเอา
    ในจอคอมนั่นแหละ ตอนนี้เลยต้องยอมรับผลของมัน
    แต่แปลกนะคะ อ่านหนังสือในจอคอม นอกจากปวดตา
    มากกว่าแล้ว ยังจดจำข้อมูลยากกว่าอ่านหนังสือจากเล่ม
    มิน่าพวกนักธุรกิจที่ทำร้านหนังสือให้สัมภาษณ์ว่าเค้า
    ไม่กลัว e-book มาแย่งตลาดหรอก เพราะการอ่านแบบนั้น
    ให้ความรู้สึกที่ต่างกัน, เออ..มันก็ต่างกันจริงๆ
     
  10. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ต้องขอโทษกับข้อความข้างบนด้วยที่ผมบอกว่า ผมเห็นเป็นเส้นๆสีทองครับ คือจริงๆ มันเ็ป็นจุดๆสีทอง ขนาดประมาณเหมือนดาวเเต่เป็นสีทองครับ จะว่าเป็นเส้นก็ไม่น่าจะใช่ เอาเป็นว่าเป็นจุดๆขนาดดาวสีทองเเล้วกันครับ ใครพอจะรู้บ้างครับ เเต่คิดว่าตาคงจะผิดปกติมากกว่า
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ขอบคุณมากนะคะ เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากค่ะ
     
  12. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    ขอบคุณสำหรับความรู้ สาระดีๆครับ
     
  13. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    Thank you. For good information. Anumo..tana...satu..naka.
     
  14. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    ขอบคุณมาก ๆ ครับ มีสาระและมีประโยชน์ดีมาก ๆ ครับ
     
  15. อนิจจตา

    อนิจจตา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +1
    มีภัยอยู่ใกล้ๆนี่เอง..ขอบคุณที่ให้ความรู้ค่ะ
     
  16. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    บทความของกระทู้นี้ด้านบน ผมเป็นคนเขียนเองครับ แพร่หลายไปในโลกอินเตอร์เนต จนไม่รู้ที่มาว่าผมเป็นคนเขียนเอง
    ผมเขียนตั้งแต่ต้นจนมาจบที่บรรทัดนี้คือ

    ‘คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหามูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่านอะไรก้อตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่หนังสือบนเนตคุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิมลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะเพื่อสุขภาพตา’

    หลังจากบรรทัดนี้ไป ผมก็ไม่ทราบว่าใครมาเขียนต่อเติมเข้าไปอีก เข้าใจว่าน่าจะเป็นคุณหมอโรคตา

    ปัจจุบันผมเป็นโรคต้อหิน ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเอง เพื่อเตือนใจนักเล่นเนต เล่นคอม
    ถ้าคุณอ่านหนังสือ หรือ เล่นเนต เล่นคอม อะไรก็ตามที่ต้องอ่าน ต้องดู ต้องเพ่ง เมื่อคุณเงยหน้าขึ้น มองไปไกลๆ
    แล้วสายตาไม่สามารถตอบโต้ในการโฟกัสภาพได้ในทันที หรือ ต้องรอในการจับภาพนานๆ
    ให้คุณรู้ไว้ว่า สายตาคุณกำลังน่าเป็นห่วงแล้วครับ

    ผมได้รู้จักหมอท่านนึง ในการรักษาโรคต้อหิน และจอประสาทตาเสื่อม นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
    หมอท่านนี้ ท่านรักษาโรคต้อหินด้วยวิธีการ "นวดลูกตา" (มีหมอที่รักษาด้วยวิธีนี้เพียงท่านเดียวในประเทศไทย)
    นวดลูกตา ลดความดันภายในลูกตาลง แล้วทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทตามากขึ้น
    ใครที่เป็นโรคตา ก็ควรจะลองไปหาหมอท่านนี้ดูนะครับ อยู่ที่ รพ.เอกชัย (ต้องโทรนัดเวลา ระบุชื่อหมอให้ถูกคนนะครับ มีหมอตาหลายท่าน)
    โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคต้อหิน กับ โรคจอประสาทตาเสื่อม ควรจะต้องไปรีบหาหมอให้เร็วที่สุด

    ผมได้นำแผ่นพับของทาง รพ.เอกชัย และตารางการทำงานของหมอ มาให้ท่านได้ดูกัน
    ควรจะเซฟเอาไว้ หรือจดเบอร์โทรเอาไว้ เผื่อตัวเองมารู้ทีหลังว่าเป็นโรคนี้ หรือ มีญาติๆที่เป็นโรคตา ก็จะได้ไปหาหมอท่านนี้กัน

    เห็นในรูปมั้ยครับว่า เป็นรูปเด็กชายคนนึงเล่นคอม แล้วพยายามเพ่งจอคอมพิวเตอร์
    นี่คือความจริงครับที่ว่า โรคทางตา เพิ่มขึ้นตามความเจริญของโลกไซเบอร์ (มีผลการวิจัยของญี่ปุ่นถึงเรื่องนี้)
    เด็กสมัยนี้เป็นโรคตา กันตั้งแต่อายุน้อยๆ ความดันในลูกตาสูง ตั้งแต่อายุน้อยๆ
    เพราะเมื่อความเจริญทางคอมพิวเตอร์ไปถึงภูมิภาคใด ก็จะทำให้เด็กในประเทศนั้นๆ เล่นคอมกันตั้งแต่เด็ก

    อย่างประเทศไทยสมัยก่อน คนที่เสี่ยงเป็นโรคนี้คือ ช่างเจียรไนเพชรพลอย เพราะต้องใช้สายตาจิกดูมุมเล็กๆของเหลี่ยมเพชร
    หรือสมัยเมื่อ20ปีก่อน คนที่เป็นโรคนี้ ก็อาจจะเป็นมากอยู่ในกลุ่มของพวกเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะคอมยังไม่แพร่หลาย
    พอถัดมาในสมัยนี้ เมื่อคอมพิวเตอร์แทบจะมีทุกบ้าน และคนเข้าถึงโลกอินเตอร์เนตได้ง่าย หรือ เล่นเกมส์ผ่านเนตได้ง่าย
    เด็กเหล่านั้น เล่นคอมกันหามรุ่งหามค่ำ โดยไม่คิดว่า พอให้หลังอีกสิบปี ตัวเองอาจจะเป็นโรคทางตาร้ายแรง
    เป็นภัยเงียบชนิดนึงที่แฝงมากับความเจริญทางเทคโนโลยี ซึ่งทุกคนควรจะตระหนักในเรื่องนี้

    การอ่านบนคอม PC หรือ โน๊ตบุ๊ค อาจจะอันตรายมากกว่า การอ่านหนังสือบนแทปเล็ตทั้งหลาย เช่น ipad
    เพราะipad เราสามารถใช้แขนยกขยับปรับระยะในการมองเห็นได้ ลูกตาทำงานน้อยกว่า การอ่านจึงง่าย และปลอดภัยกว่าอ่านบน PC
    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่าน จงปราศจากโรคทางตา กันทุกท่านนะครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2011
  17. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    มีความรู้อีกอย่างนึงที่อยากจะฝากบอกกับทุกท่านนะครับ

    สมมติว่า ทุกท่านมีความเสื่อมของลูกตาเท่ากันหมด (สมมติเริ่มที่อายุ 40ปี)

    สายตามักจะมีปัญหา ถ้าไม่สายตาสั้นลง ก็อาจจะเป็นโรค เช่นโรคต้อ อย่างใดอย่างนึง
    หรืออาจจะไม่เป็นเลย (โชคดีไป)

    แต่สมมติว่าถ้ามีอาการทางตา อย่างใดอย่างนึงก็ตาม สิ่งที่คุณจะรู้สึกก็คือ
    จะรู้สึกเวียนหัว มึนหัวได้ง่าย (อาจจะพาลทำให้หงุดหงิด หรือ สมาธิในการทำสิ่งต่างๆ ด้อยถอยลง)

    นั่นเพราะว่า สมองของคนเรานั้น ใช้หมดไปกับการวิเคราะห์ภาพทาง "ตา" เป็นเสียส่วนมาก
    ถึง 80% ของประสิทธิภาพสมอง

    ถ้าคนๆนั้น มีการมองเห็นที่เปลี่ยนไป ไม่ชัดเจน สับสนพร่าเบลอ สมองย่อมได้รับข้อมูลที่เบลอๆ เข้าไปด้วย
    ยิ่งทำให้สมองมีภาระหนักในการวิเคราะห์ภาพ

    และคนที่มีปัญหาทางสายตา มักจะจับภาพและปรับโฟกัสไม่รวดเร็วเหมือนเดิม
    เรามักจะได้ยินเสมอๆว่า เวลาเราพาญาติผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุ ไปในที่ๆคนเยอะๆ
    พลุ่กพล่าน หรือมีรถราวิ่งกันขวักไข่ว
    แล้ว ญาติสูงอายุของเรา มักจะบ่นว่าเวียนหัว

    นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า สายตาปรับภาพโพกัส จับภาพวัตถุไม่ทัน จึงเกิดการเวียนหัว
    สมองรับข้อมูลทางตาเข้าไปแบบสับสน

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกข้อนึงครับ

    ถ้าสายอากาศทีวีที่บ้านคุณเสียหรือขัดข้อง แล้วภาพบนจอทีวีเลื่อนขึ้นไปบ่อยๆ
    ถ้าคุณนั่งมองทีวีนั้น แม้คุณจะพยายามทำไม่สนใจการเลื่อนของภาพนั้นก็ตาม

    แต่สัญชาติญาณในการมองเห็นของเราจะตอบโต้ต่อสิ่งเร้าอัตโนมัติ
    และพยายามจะจดจำการเคลื่อนไหวนั้นไว้ เพื่อมาวิเคราะห์
    (ความเคยชินที่จะต้องวิเคราะห์ภาพใดๆ ก็ตามที่อยู่ตรงหน้า เข้าสู่สมอง)

    จะมีผลให้ซักพักไม่นาน คุณจะเริ่มมึน ปวดตา ปวดหัว ครับ

    และคนเป็นโรคทางสายตานั้น จะมีปัญหากับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

    มีหมอท่านนึง ท่านพูดไปยิ่งกว่านั้นอีกครับว่า (คนละท่านกับหมอ สมเกียรติ)
    เมื่อสมองของคนเราใช้งานหนักหมดไปกับการวิเคราะห์ภาพจากการมองเห็นในแต่ละวัน ถึง 80%
    และคนๆนั้นเผอิญมีปัญหาทางสายตา จึงมีปัญหาในการจับโฟกัสภาพ (ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม)
    สมองจึงทำงานหนัก และรวนไปรวนมาอยู่ตลอด เพราะได้รับข้อมูลที่ส่งมาจากลูกตาที่ไม่ปกติ
    การทำงานของสมอง, การสั่งการของสมอง หรือ การสั่งการฮอร์โมนต่างๆในการทำงานของร่างกาย จึงผิดเพี้ยนไปด้วย

    โรคภัยลึกลับบางอย่างเช่น ไมเกรน,และโรคที่เกิดจากความเครียดทั้งหลาย
    เช่น โรคกระเพาะ,โรคกรดไหลย้อน,เนื้องอก,มะเร็ง
    หรือโรคที่หาสาเหตุไม่เจอทั้งหลาย อาจจะเริ่มมาจากความผิดปกติในการมองเห็นของคนๆนั้นเอง ก็เป็นได้ครับ

    อันนี้ฟังหูไว้หู นะครับ เพราะยังไม่มีผลรายงานยืนยันถึงสาเหตุต่างๆเหล่านี้ (แต่ผมคิดว่าจริง)

    แต่ยังงัยๆ ก็ตาม ที่แน่ๆ ก็คือ คุณจะเวียนหัวง่ายกว่าคนสายตาปกติแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2011
  18. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    ขอบคุณอีกหนค่ะ คุณ ironman
     
  19. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึงครับว่า.......

    คนเรานั้นเมื่อใช้งานอวัยวะส่วนใด ถ้าเกิดเหนื่อย ถ้าเกิดล้า ถ้าเกิดเจ็บ
    เราก็มักจะ "หยุดการใช้งาน" อวัยวะส่วนนั้นไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    เช่น ถ้าเจ็บป่วยตรงขา เราก็ใส่เฝือก นั่งรถเข็น
    หรือ ถ้าเจ็บป่วยตรงแขน เราก็ใส่เฝือก หรือ คล้องผ้าพยุงแขน (ไม่รู้เค้าเรียกอะไร)คล้องคอไว้
    เป็นการ "หยุดการใช้งาน" อวัยวะส่วนนั้นไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง รอให้มันซ่อมแซมตัวเอง

    แต่! ลูกตาของคนเรานั้น เราลืมตาใช้งานมันติดต่อกันมาตั้งแต่เกิด
    แต่กลับไม่เคยคิดที่จะพักการใช้งานมันอย่างจริงจังเลยซักครั้ง มันทำงานหนักแทบตลอดเวลา เกือบเหมือนหัวใจของเรา
    ในวันๆหนึ่ง คุณโฟกัสจับภาพกลับไป-กลับมา ไม่รู้กี่พันครั้งต่อวัน ทั้งๆที่มันเป็นแค่กล้ามเนื้อเล็กๆมาประกอบกัน
    พอเวลาคุณปวดตาขึ้นมา คุณก็แค่นั่งพัก หรือนอนพัก หรือเลิกอ่าน เลิกเล่นคอมไปซักวันสองวัน

    คุณอาจจะคิดว่า นี่คือการเว้นวรรคพักรักษาตัวเอง ให้ลูกตากลับคืนปกติ

    แต่ความจริงก็คือ คุณไม่ได้หยุดการใช้งานลูกตาอย่างสิ้นเชิง หรือน้อยลงกว่าเดิมเท่าใดนัก
    พอตื่นเช้าขึ้นมา คุณก็ลืมตา ไปทำงาน ทำนู่นทำนี่ เผลอๆ ยกหนังสือการ์ตูนมาอ่าน
    หรือ เผลอๆไปนั่งหน้าจอคอมไม่รู้ตัวอีกแล้ว

    ความจริงการพักของลูกตา เพื่อให้ลูกตาผ่อนคลายซ่อมแซมตัวเองนั้น
    ควรจะหยุดพักการใช้งาน คือ หลับตา พักการมองเห็นไปซักระยะ หยุดการใช้งานสายตา
    อาจจะเป็นวัน หรือสองวัน หรือเป็นอาทิตย์ "เมื่อมีการเจ็บป่วยของลูกตา"

    ไม่ใช่พอพักซักแป๊ปนึง หรือ เว้นการอ่านการ์ตูนไปวันนึง แล้วก็กลับมาอ่านการ์ตูนทั้งคืนใหม่
    หลงคิดว่า พักแค่นั้นก็คงเพียงพอกับการซ่อมแซม

    "สิ่งของใดๆก็ตาม ถ้าการซ่อมแซม ไม่ทันกับการใช้งาน ของสิ่งนั้นจะเสื่อมกินทุนตัวเองไปเรื่อยๆ"

    "จนในที่สุดความเสื่อมนั้นจะสะสมมากจนทำให้เกิดโรค"

    โรคทางตา หรือโรคความเสื่อมของร่างกายไม่ว่าจะจุดไหนก็ตาม มักจะเกิดจากสาเหตุนี้
    เพราะร่างกายคนเรามีสมรรถภาพในการซ่อมแซมตนเอง ตามอายุ ตามวัย
    ยิ่งคุณแก่ลง มีอายุมากขึ้นๆ การซ่อมแซมจะยิ่งช้าลง มีประสิทธิภาพน้อยลง
    นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณอายุมาก คุณยิ่งต้องการพักผ่อน หรือต้องพักฟื้นนานกว่าปกติ นานกว่าคนหนุ่มสาว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2011
  20. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ผมเคยอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ ถึงเรื่องคนไข้โรคตาคนนึง ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อมาหาหมอ นพ.สมเกียรติ
    ฝรั่งคนนี้ เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่หมดทางรักษา หมอตาที่ประเทศอื่นๆ บอกว่าไร้ทางรักษา นับถอยหลังรอวันเวลาตาบอดภายใน 6 เดือน
    ไปหาหมอประเทศอื่นๆมาจนทั่ว จนได้มาเจอหมอ สมเกียรติ จึงเข้ารับการรักษา
    จากเดิมที่การมองเห็นเหลือแค่ 30% พอรักษากับหมอสมเกียรติ การมองเห็นจึงเพิ่มขึ้นเป็น 70%
    ผมตัดข่าวนี้เก็บไว้ ว่าจะแสกนลงคอม แล้วเอามาแปะให้คนอื่นๆอ่าน แต่เก็บรักษาไม่ดี จนมันขาดรุ่งริ่ง เลยไม่ได้เอามาลงให้ดูกัน
    แต่จำได้ว่า เป็นข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชน


    Somkiat Reserch เวปของหมอ สมเกียรติ
    มีเรื่องราวน่าสนใจให้อ่านมากมาย เข้าไปอ่านดูกันนะครับ

    แต่วิธีการรักษาโดยการนวดลูกตานั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์ มีการท้วงติงและคัดค้านเกิดขึ้น
    อ่านได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ http://www.tddf.or.th/tddf/prevention/readart.php?id=00113&disid=04

    อ่านแล้วก็พิจารณาตัดสินใจกันดูนะครับ

    แต่สำหรับคนที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นโรคไม่มีทางรักษานั้น ผมคิดว่าควรจะลองรักษาตามวิธีของ หมอสมเกียรติ ดูนะครับ
    เพราะว่ายังงัยๆ ก็มีแต่ได้ กับเท่าทุน ที่พึ่งสุดท้าย แม้ฟางเส้นเล็กๆ ก็ต้องคว้าเอาไว้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...