พระองคุลีมาล กับ 999 ศพ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย toomdoi, 18 พฤษภาคม 2010.

  1. toomdoi

    toomdoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +839
    [​IMG]

    ในอดีตชาตินานโพ้นทีเดียว พระองคุลีมาล ได้ถือกำเนิดเป็น “เต่าใหญ่” อยู่ในทะเลและมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ความใหญ่ของเต่าตัวนี้ มีขนาดไม่เล็กไปกว่าปลาวาฬ โบราณาจารย์ท่านเรียกเต่าชนิดนี้ว่า “เต่าเรือน” คือ ตัวใหญ่เท่าเรือน เป็นเต่าใหญ่แต่ใจบุญ ด้วยมีนิสัยที่ไม่ดุร้าย ทำร้ายใคร มักช่วยเหลือผู้คนที่ตกอยู่ในอันตรายจากเรืออับปางให้พ้นภัยเสมอ

    เต่าใหญ่อดีตชาติพระองคุลีมาล ก็เวียนว่ายหากินอยู่ในท้องทะเลตามปกติอยู่ชั่วนาตาปี จนอยู่มาวันหนึ่ง พบเรือประมงลำหนึ่งเกิดอับปางลง ผู้คนในเรือต่างก็ลอยคอ แหวกว่ายพยุงตัวเพื่อไม่ให้จมน้ำ ต่างก็หมดแรงเมื่อยล้า จะตายมิตายแหล่ ด้วยจิตแห่งความเมตตา เต่าใหญ่ตัวนั้นก็ว่ายเข้าไป เพื่อให้บรรดาชาวประมงเหล่านั้น ซึ่งคาดว่ามีประมาณ ๖ – ๗ คนได้พากันเกาะกระดองเต่า ปีนขึ้นมาบนหลังเต่า จนครบทุกคน และเต่านั้นก็ว่ายน้ำเข้าฝั่ง พาคน เหล่านั้นขึ้นบกให้พ้นภัย

    แต่ด้วยเคราะห์กรรมของเต่านั้น ที่อาจจะมีเวรมีกรรมผูกพันกับชาวประมงที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ตามมาส่งผล ทำให้ชาวประมงเหล่านั้นเห็นผิดเป็นชอบ เกิดความโลภ ไหน ๆ ก็ไม่ได้ปลาแล้ว ฆ่าเต่าเอาเนื้อไปขายก็ยังดี ด้วยความคิดชั่วช้าขาดเสียซึ่งความกตัญญูรู้คุณเต่าที่ได้ช่วยชีวิตตนไว้ เขาเหล่านั้นก็พากันฆ่าเต่า แล้วชำแหละเนื้อเอาไปขายให้คนในหมู่บ้านนั้น ซึ่งมีอยู่หลายครัวเรือน ทุกครัวเรือนต่างก็พากันซื้อเนื้อเต่าไปกินกัน ด้วยเป็นของแปลก หายาก และมีความเชื่อที่ว่า เต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน หากใครได้กินเนื้อเต่าแล้ว จะพากันอายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

    พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเล่าว่า คนในหมู่บ้านนั้น มีด้วยกันทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ คนพอดี ทุกคนเมื่อได้เนื้อเต่าไปแล้ว ก็พากันนำไปปรุงอาหารแบ่งปันกันกินในครอบครัว แต่มีอยู่เพียงคนเดียว เป็นเด็กหญิงอายุเพียง ๙ ขวบ ที่ไม่ยอมกินเนื้อเต่านั้น แม้พ่อแม่จะบังคับให้กินอย่างไร เธอก็คายออกมาจนหมดสิ้น เพราะเธอสงสารเต่าตัวนั้น อาจด้วยจิตวิญญาณที่ทำไว้ร่วมกันแต่อดีตชาติกับเต่านั่นเอง ด้วยบุพกรรมอันนี้แหละ ที่ทำให้ชาตินี้ เต่าใหญ่ได้กลับชาติมาเกิดเป็น “องคุลีมาล”

    หลังจากสิ้นพระดำรัสเล่าเรื่องราวแต่อดีตชาติของพระองคุลีมาลจบแล้ว ทรงประทานพุทธโอวาท ตอนหนึ่ง ความว่า “บาปกรรมที่บุคคลทำแล้ว ย่อมละได้เสียด้วยกุศลกรรม บุคคลเช่นนั้นย่อมยังโลกให้สว่าง เหมือนดวงจันทร์ที่พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น”

    ที่มา Phornphon - Phornphon - พระองคุลีมาล ทำไมท่านต้องสังหารคนถึง ๙๙๙ คน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 สิงหาคม 2011
  2. มรรคา

    มรรคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +101
    นี่คือกรรมซินะที่ทำให้ท่านต้องมาฆ่าคนที่กินเนื้อท่านเมื่อครั้งเป็นเต่าเรือน ส่วนเด็กที่ไม่กินคงจะมาเกิดเป็นมารดาของท่าน
    กรรม มุนา วตตีโลโก
    สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม
    สาธุเจ้าของกระทู้สำหรับบทความครับ
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ กราบอนุโมทนากับธรรมทานด้วยนะครับ
    ผมเองก็นึกว่าแค่ชาติเดียวที่ผูกเวรกันมา
    " ชาติที่แล้วองคุลีมาลเกิดเป็นควายป่าเกเร คน ๙๙๙ เกิดเป็นชาวบ้าน เหตุเกิดจากควายป่าเกเรมาทำร้ายสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านทั้ง ๙๙๙ คน ชาวบ้านทั้ง ๙๙๙ คนเลยออกอุบายฆ่าควายเกเร โดยทำคอกล่อควายเกเรให้เข้ามาแล้วชาวบ้านทั้ง ๙๙๙ ก็เลยรุมฆ่าควายเกเร ควายเกเรอธิฐานว่าขอให้ได้ฆ่าชาวบ้านทั้ง ๙๙๙ คนคืนบ้าง ......."
     
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ น่าสนใจดี

    รบกวนเจ้าของกระทู้ใส่ที่มาให้ด้วยครับ เดี๋ยวผมจะนำไปทำกระทู้แนะนำให้ครับ
     
  5. radha

    radha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +414
    anumothana sathu.... kha.
    ไม่ทราบว่าท่านใดมี CD เรื่องนี้บ้างมั๊ยคะ.. อยากดูน่ะค่ะ
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ครั้งหนึ่งพระองคุลีมาลเคยตั้งจิตปรารถนาไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์แล้วคราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้าคราวหนึ่งท่านได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวนา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเดินตากฝนผ่านมายังโรงนาแล้วเกิดความสงสารและเลื้อมใสจึงก่อไฟผิงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าผิงไฟแล้วหายหนาวกลับมากำลังแข็งแรง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอาการดีขึ้นจึงเกิดปีติโสมนัสบุญครั้งนั้นส่งผลให้ท่านเกิดมามีกำลังกายแข็งแรงเท่าช้าง ๗ เชือกในทุกชาติ ความแข็งแรงดังกล่าวมานี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดในชาตินี้แล้ว ในชาติที่เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสีทรงเสวยเนื้อมนุษย์เป็นอาหารจนมีชื่อเรียกว่า“ โปริสาท”แปลว่า“ คนกินคน ”ในศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร อยู่มาวันหนึ่งพระภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานโจรองคุลีมาลให้หมดพยศร้ายกลายเป็นดีขึ้นในพระพุทธศาสนาได้

    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ทรงสดับสนทนาของพระภิกษุเหล่านั้น จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏีไปประทับ ณ ธรรมสภาแล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสทนากันถึงเรื่องอะไร” เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตได้ทรมานองคุลีมาลให้หมดพยศร้ายให้กลายมาเป็นดีไม่เฉพาะแต่ในบัดนี้เท่านั้น การที่ตถาคตทรมานให้สิ้นในบัดนี้เป็นการณ์ที่ไม่สู้จะอัศจรรย์นัก เพราะเหตุว่าตถาคตได้บรรลุพระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณแล้ว ส่วนครั้งที่ตถาคตได้เคยทรมานองคุลีมาลให้หมดพยศร้ายในอดีตชาตินั้น นับเป็นการอัศจรรย์ยิ่ง” ครั้นตรัสดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงนิ่งเฉยอยู่

    พระภิกษุทั้งหลายต้องการจะฟังเรื่องในอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระ จึงพร้อมกันกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องอดีตชาติมาตรัสเล่า

    พระผู้มีพระภาคเจ้าเล่าตรัสถึงเรื่องของพระองค์ที่เคยทรงบังเกิดเป็นพระเจ้ามหาสุตโสมได้ทรงทรมานพระยาโปริสาทซึ่งเป็นอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระ

    ในอดีตกาลพระเจ้ามหาสุตโสมผู้ทรงเป็นราชโอรสของพระเจ้าโกรพย์กษัตริย์เมืองอินทปัต เมื่อทรงเจริญวัยได้ทรงเสด็จไปทรงศึกษาที่เมืองตักศิลาพร้อมกับพระเจ้าพรหมทัตพระราชโอรสของพระเจ้ากาสีกษัตริย์เมืองพาราณสี และทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิญาณเป็นสหายกัน

    พระเจ้ามหาสุตโสมได้ทรงเป็นหัวหน้าศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีพระราชกุมารทั้งหมดถึง ๑๐๑ พระองค์ด้วยกัน เมื่อทรงศึกษาจบแล้ว ต่างก็เสด็จแยกย้ายกันกลับไปเสวยราชสืบสันตติวงศ์ในบ้านเมืองของแต่ละพระองค์ๆ

    ในบรรดากษัตริย์ทั้งหมด มีพระเจ้าพรหมทัตทรงมีการเสวยที่แปลกคือ จะต้องเสวยเนื้อปิ้งเป็นประจำทุกวันขาดไม่ได้ บังเอิญวันหนึ่งพนักงานเครื่องต้นหาซื้อเนื้อไม่ได้ จึงไปเฉือนเอาเนื้อคนที่ตายใหม่ ๆ มาจากป่าช้ามาปิ้งนำขึ้นถวาย

    พระเจ้าพรหมทัตเสวยแล้วทรงรู้สึกซาบซ่านไปทั่วเส้นเอ็นทั้ง ๗ พันเหตุที่เป็นดังนี้เพราะเคยเกิดเป็นยักษ์มาหลายชาติ จึงรับสั่งถามเจ้าพนักงานเครื้องต้นจนได้ความจริงว่าเป็นเนื้อมนุษย์ จึงตรัสสั่งให้เจ้าพนักงานหาเนื้อมนุษย์มาปิ้งถวายทุกวันโดยตรัสให้ฆ่านักโทษในเรือนจำจนในที่สุดนักโทษในเรือนจำก็หมดไปแล้วรับสั่งให้นำถุงทรัพย์ไปวางหลอกล่อไว้ถ้าใครจับถุงทรัพย์ที่วางดักเอาไว้เพราะคิดว่าของที่ผู้อื่นทำตกหล่นไว้ก็จะถูกฆ่า ครั้นกระทำนานเข้าเกิดข่าวลืออื้อฉาว กระทำไม่เป็นผลจึงรับสั่งให้ดักฆ่าคนในเวลาวิกาลเที้ยงคืนต่อไป

    เมื่อบุคคลที่ถูกฆ่าตายหายสูญหายไปมากพวกพ่อแม่พี่น้องลูกหลานจึงพากันไปกราบบังคมทูลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าพรหมทัตผู้ทรงเป็นต้นเหตุแต่พระองค์ไม่สนพระทัย ประชมชนเหล่านั้นจึงได้พากันไปร้องทุกข์แก่กาฬหัตถีเสนาบดีๆ รับจะช่วยจัดการให้

    ต่อมากาฬหัตถีเสนาบดีจึงส่งเจ้าหน้าที่ให้คอยเฝ้าสืบจับดูผู้ร้ายฆ่าคนให้ได้แล้วในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับหญิงแม่ครัวคนหนึ่งกำลังแล่เนื้อคนตายใส่ในกระเช้า จึงนำมามอบแก่กาฬหัตถีเสนาบดีๆ ได้ถามคาดคั้นจนหญิงนั้นยอมรับว่า จะนำไปถวายแด่พระราชา จึงสั่งกำชับหญิงนั้นให้เข้าไปแถลงเรื่องนี้ในที่เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวในวันพรุ่งนี้เช้า

    ครั้นรุ่งเช้ากาฬหัตถีเสนาบดีจึงนัดประชุมคณะอำมาตย์และชาวพระนครแล้วเอากระเช้าเนื้อผูกติดคอคนครัวนำเข้าสู่พระราชวัง

    พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรทางช่องพระแกล ทรงเห็นพ่อครัวถูกคุมตัวมา ก็ทรงแน่พระทัยว่า เรื่องของเราปรากฏชัดออกมาแล้วแต่พยายามทรงดำรงพระสติไว้ให้มั่นไม่สะทกสะท้าน เมื่อเสนาบดีกราบบังคมทูลถามก็ตรัสรับสารภาพแล้วกาฬหัตถีเสนาบดีจึงกราบทูลห้าม แต่ท้าวเธอทรงปฏิเสธว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ทั้ง ๆ ที่เสนาบดีและพระราชาต่างฝ่ายยกเอาเรื่องอดีตมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งเป็นตัวอย่างให้มองเห็นถึงความพินาศ

    ในที่สุดพระเจ้าพรหมทัตตรัสปฏิเสธว่าอดไม่ได้แม้จะถูกเนรเทศก็ยอม แต่ตรัสขอดาบ ๑ เล่มภาชนะ ๑ ใบกระเช้า ๑ใบ กับพ่อครัวเครื่องต้น ๑ คนกาฬหัตถีเสนาบดีและพวกชาวเมืองยินดีมอบให้ตามที่ตรัสขอแล้วเนรเทศเสียจากบ้านเมือง

    พระเจ้าพรหมทัตกับพ่อครัวออกจากเมืองไปพักอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่งคอยดักฆ่าคนเดินทางที่ผ่านไปมา แล้วนำมาให้พ่อครัวทำการต้มกินด้วยกัน เวลาพระเจ้าพรหมทัตจะทรงจับมนุษย์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงขึ้นว่าเราเป็นมนุษย์กินคนชื่อ “ โปริสาท ”

    มาวันหนึ่งพระยาโปริสาทหาฆ่าคนทำอาหารไม่ได้ จึงได้ฆ่าพ่อครัวเครื่องต้นนั้นทำอาหารและต่อมามีข่าวเลื่องลือว่าพระยาโปริสาทกินคนได้กระจายไปทั่วชมพูทวีป

    ครั้งนั้นมีพ่อค้าเกวียนคนหนึ่งนำกองเกียน๕๐๐เล่มไปค้าขายแต่พอจะเข้าสู่ป่าปากดงนึกกลัวพระยาโปริสาทจึงว่าจ้างพวกที่อยู่ปากป่าดงด้วยเงิน ๑,๐๐๐กหาปณะเพื่อให้ช่วยส่งข้ามพ้นดงไป

    พวกที่อยู่ปากป่าดงตกลงและได้ชักชวนพวกพ้องไปด้วยกันหลายคนพร้อมทั้งเตรียมอาวุธครบมือ โดยให้กองเกวียนไปข้างหน้า พวกตนตามไปข้างหลัง ส่วนหัวหน้าพ่อค้านั่งไปบนยานน้อยเทียมด้วยโคเผือก มีพวกคุ้มกันอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง

    ครั้นพระยาโปริสาทขึ้นบนต้นไม้คอยตรวจดูอยู่ พอเห็นหัวหน้าพ่อค้าให้นึกอยากกินจนน้ำลายไหลพอหัวหน้าพ่อค้าเข้ามาใกล้จึงลงจากต้นไม้ร้องตะโกนว่า“เราคือพระยาโปริสาทๆๆ ”แล้วเกว่งดาบวิ่งรี่เข้าจับหัวหน้าพ่อค้านั้นแบกไป

    พวกรับจ้างได้ไล่ติดตามไป และบุรุษผู้กล้าแข็งคนหนึ่งวิ่งไปทันพระยาโปริสาทเห็นจวนตัวจึงกระโดดข้ามรั้วแห่งหนึ่ง ถึงคราวเคราะห์ร้อยของพระยาโปริสาท เท้าเหยียบเอาตอไม้ตะเคียนจนทะลุถึงหลังเท้าเลือดไหลโทรม เมื่อเห็นว่าหนีไม่พ้นจึงปล่อยหัวหน้าพ่อค้าเพื่อหนีเอาตัวรอดก่อน พวกคุ้มกันจึงได้หัวหน้าพ่อค้ากลับมายังกองเกวียน

    ฝ่านพระยาโปริสาทกลับไปที่พักของตนแล้วได้บนต่อเทวดาว่า“ ถ้าช่วยทำแผลที่เท้าให้หายได้ภายใน ๗ วัน จะเอาเลือดกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาล้างต้นไทรของท่านเอาไส้กษัตริย์เหล่านั้นวงเป็นสายสิญจน์ และจะเอาเนื้อกษัตริย์เหล่านั้นบวงสรวงท่าน”หลังจากบนแล้ว ๗ วันก็ไม่ได้ออกไปหาอาหารกินเลย อดอาหารจนกายซูบผอม เป็นเหตุให้แผลหายภายใน๗ วัน พระยาปริสาทเข้าใจว่าหายด้วยอำนาจของเทวดาแล้วออกไปหากินคนอีกจนมีกำลังแข็งแรงดีได้ถือเอาดาบออกจากต้นไทรไปหวังจะจับกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาแก้บนเทวดา เผอิญไปพบยักษ์สหายเก่าเข้า จึงได้ขอเรียนมนต์เพื่อช่วยให้วิ่งเร็วและมีกำลังมาก

    เพราะฉนั้นพระพญาโปริสาทจึงสามารถจับกษัตริย์ในชมพูทวีบมาได้ ๑๐๐ พระองค์ ภายในเวลาเพียง ๗วัน ยังคงเหลือแต่พระเจ้ามหาสุตโสม ที่เว้นไว้เพราะยังนึกถึงบุญคุณที่เคยแนะนำสมัยเรียนอยู่ที่เมืองตักศิลาด้วยกัน อีกอย่างหนึ่งทรงเห็นว่า ควรเหลือไว้เป็นพืชพันธุ์ของกษัตริย์ต่อไปแล้วพระยาโปริสาทก็จัดการเจาะมือกษัตริย์ทั้งหมดร้อยเชือกแขวนไว้ที่กิ่งไทร พอให้ปลายเท้าจรดถึงพื้นดินเท้านั้น แล้วก่อไฟเตรียมแหลนเพื่อจะเสียบกษัตริย์เหล่านั้นย่างแก้บนรุกขเทวดา

    รุกขเทวดารู้สึกสลดใจแต่ไม่อาจห้ามได้ จึงขึ้นไปบอกแก่ท้าวจาตุมหาราชๆ ก็ไม่อาจห้ามได้จึงได้ขึ้นไปหาพระอินทร์ๆ ตรัสว่า “ ถึงตัวเราก็ห้ามไม่ได้ ๆ แต่ได้ตรัสอุบายให้ว่า “ ท่านจงแปลงเป็นสมณะเดินผ่านหน้าพระยาโปริสาทไป เมื่อพระยาโปริสาทไต่ถามท่าน ๆ จงกลายร่างเป็นเทวดาแล้วบอกให้ทราบว่า ท่านเป็นเทวดาสิงอยู่ที่ต้นไทรผู้ที่ท่านจะบวงสรวงนั้นแต่เราไม่พอใจการเซ่นสรวงของท่านผู้กล่าวเท็จ เพราะบนไว้ว่าจะนำกษัตริย์๑๐๑ พระองค์มาแก้บนแต่ท่านนำมาเพียง ๑๐๐พระองค์เท่านั้นเอง ถ้าหากท่านไม่ไปนำพระเจ้าสุตโสมมา การบวงสรวงนี้นับว่าใช้ไม่ได้เมื่อพระยาโปริสาทรับปากว่าจะนำพระเจ้าสุตโสมมา ท่านจงเข้าไปในต้นไทรตามเดิม แล้วจากนั้นพระเจ้ามหาสุตโสมจักทรมานพระยาโปริสาทให้ละพยศร้ายทั้งจะช่วยชีวิตของกระษัตริย์ทั้ง ๑๐๐ พระองค์เหล่านั้นด้วยตลอดกระทั้งคนอื่นๆอีกด้วย ”

    เมื่อรุกขเทวดารับราชโองการแล้วจึงรีบลงมาปฏิบัติตามทุกประการทันทีฝ่ายพระยาโปริสาทรับว่า จะไปนำพระเจ้ามหาสุตโสมมา แล้วไปคอยดักอยู่ในสระโบกขรณี สำหรับสรงของพระเจ้าสุตโสมในตอนกลางคืน

    พระเจ้ามหาสุตโสมพร้อมด้วยจตุรงคเสนาเสด็จยาตราออกจากพระนครได้พบกับอานันทพราหมณ์ผู้นำคาถาอันมีค่า ๑๐๐ กหาปณะมาจากเมืองตักกศิลาเพื่อแสดงถวายพระองค์ ๆ รับสั่งว่า รอให้เสด็จกลับเสียก่อนจึงจะฟังแล้วเลยเสด็จไปยังพระราชอุทยาน โดยมีพวกพลโยธาแวดล้อมอย่างกวดขันพอได้เวลาพระเจ้ามหาสุตโสมจึงเสด็จลงสรงสนานในสระโบกขรณีแล้วเสด็จขึ้นมาประทับมงคลศิลาอาสน์

    ขณะที่พวกเจ้าพนักงานเครื่องต้นจะน้อมเครื่องทรงเข้าไปถวาย พระยาโปริสาทได้ส่งเสียงร้องขึ้นว่า “เราคือ พระยาโปริสาทๆๆ” แล้วกระโดดขึ้นจากสระ วิ่งตรงเข้าไปจับที่เท้าของพระเจ้ามหาสุตโสมยกขึ้นบ่าแบกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครจะสามารถไล่ตามทัน

    ครั้นไปได้ไกลประมาณ ๓ โยชน์ พระยาโปริสาทก็ค่อยๆเดินไป แต่สังเกตเห็นว่าน้ำพระเนตรของพระเจ้ามหาสุตโสมตกลงมาถูกอกของตนด้วยเข้าใจว่า พระเจ้ามหาสุตโสมทรงกรรแสง จึงทูลถามเหตุที่ทรงกรรแสง

    พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสว่า “ เหตุที่ร้องให้มิใช่กลัวตาย แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ยินคาถาอันมีค่า ๑๐๐ กหาปณะที่นัดไว้กับอานันทพราหมณ์ต้องการจะขออนุญาตกลับไปฟังคาถานั้นแล้วจะกลับมาให้ท่านกิน”แต่พระยาโปริสาทไม่เชื่อพระองค์จึงต้องชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งตรัสคำสาบานพระยาโปริสาทจึงอนุญาตให้พระเจ้าสุตโสมกลับไปฟังถาคาที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้

    เมื่อพระเจ้ามหาสุตโสมเสด็จกลับมาแล้วจึงได้ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกพลโยธาฟังแล้วเสด็จเข้าสู่พระนครพอเสด็จถึงพระนครมีพระบรมราชโองการให้อานันทพราหมณ์เข้าเฝ้ากล่าวคาถาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงสดับพอพระองค์ทรงสดับจบแล้วทรงเลื่อมใสได้บูชาด้วยพระราชทรัพย์ ๔,๐๐๐ ตำลึงพร้อมกับยวดยานพาหนะแก่อานันทพราหมณ์ แล้วเสด็จเข้าเฝ้าพระชนกชนนี ๆทรงกริ้วว่า ไม่ควรบูชาด้วยพระราชทรัพย์มากปานนั้น จึงทูลว่าถ้าทรงเสียดายพระราชทรัพย์ก็ดีแล้วเพราะกระหม่อมได้ปฏิญาณไว้ว่าจะกลับไปให้พระยาโปริสาทฆ่ากินเป็นอาหาร

    พระชนกชนนีทรงเสียพระตกทัยทรงห้ามและทรงรับอาสาจะยกทัพไปจับพระยาโปริสาท แต่พระเจ้ามหาสุตโสมทรงเล่าเรื่องให้ทรงสดับโดยตลอดแล้วทูลลาพระชนกชนนีไปแต่ลำพัง ไม่ทรงยอมให้ใครติดตามไปด้วยเลย

    เช้าวันนั้นพระยาโปริสาทคิดว่า“ถึงพระเจ้ามหาสุตโสมสหายเก่าของเราจะมาหรือไม่มาถึงเทวดาจะลงโทษเราอย่างไรก็ช่างเราจะบูชาเทวดาให้เสร็จเสียที ”

    ในทันใดนั้นเอง พระเจ้ามหาสุตโสมได้เสด็จมาถึง พระยาโปริสาทดีใจยิ่งนัก จึงถามว่า “ท่านฟังคาถามาแล้วหรือ” พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสตอบว่า “เราได้ฟังมาแล้ว และได้บูชาพรามณ์ ทั้งได้จัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้วเชิญท่านกินเราเถิด”

    พระยาโปริสาทเห็นพระเจ้าสุตโสมไม่ทรงหวาดกลัว จึงสำคัญว่าคงเป็นเพราะพระคาถานั้นเอง “พระเจ้ามหาสุตโสมจึงมิได้ประหวั่นหวาดกลัวต่อความตายที่อยู่ข้างหน้าเราจักต้องขอฟังคาถาบ้าง” แล้วจึงขอให้พระเจ้ามหาสุตโสมทรงแสดงให้ฟัง

    แต่พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสปฏิเสธว่าจะไม่แสดงแก่คนประพฤติไม่ชอบธรรม แล้วทรงบอกให้พระยาโปริสาทกินพระองค์เสีย

    พระยาโปริสาทไม่กล้ากินพระเจ้ามหาสุตโสม เพราะกลัวแผ่นดินสูบจึงทูลให้พระเจ้ามหาสุตโสมแสดงคาถาทั้ง๔ ให้ฟัง และเมื่อได้ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงขอถวายพร๔ อย่าง ให้พระเจ้าสุตโสมทรงเลือกตามพระราชประสงค์

    พระเจ้ามหาสุตโสมทรงขอพร ๔ ข้อ คือ

    ๑ ขอให้อายุยืนได้ ๑๐๐ ปี โดยปราศจากโรคภัย

    ๒ ขออย่าได้กินพระเจ้าแผ่นดินในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เลย

    ๓ จงปล่อยพระเจ้าแผ่นดินเหล่านี้ กลับไปยังประเทศของพระองค์

    ๔ ขออย่ากินเนื้อมนุษย์อีกต่อไป

    พระยาโปริสาทยินดีถวายเฉพาะ ๓ ข้อข้างต้น ส่วนข้อที่ ๔ไม่ยอมถวายให้ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แต่พระเจ้ามหาสุตโสมไม่ทรงยินยอม แล้วทรงแสดงธรรมให้พระยาโปริสาทฟังอีก พระยาโปริสาทจึงยอมถวายพรข้อที่ ๔ และให้พระยาโปริสาทรักษาศีล๕ ทั้งให้ปล่อยกษัตริย์ทั้งหลายกลับไป

    พระเจ้ามหาสุตโสมทรงพาพระยาโปริสาทแวะที่เมืองพาราณสีของพระยาโปริสาทก่อนแต่พอไปถึงเมือง นายประตูรีบปิดประตูเสียก่อนด้วยความกลัว พระเจ้ามหาสุตโสม จึงทรงชี้แจงให้ทราบว่าบัดนี้พระยาโปริสาทหรือพระเจ้าพรหมทัต ได้กลับเป็นคนดีแล้ว ขอได้เปิดประตูเถิด ในทันใดนั้นประตูเมืองก็ถูกเปิดออกพระเจ้ามหาสุตโสมพร้อมด้วยอำมาตย์ ๒ -๓คน จึงเสด็จเข้าไปทรงชี้แจงให้ชาวเมืองและพระราชโอรสของพระยาโปริสาททราบโดยตลอดแล้วอัญเชิญพระยาโปริสาท หรือพระเจ้าพรหมทัตขึ้นเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสีสืบต่อไป

    ที่มา http://www.tteen.net/view.php?time=20040622134103
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2010
  7. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนากับคุณถิ่นธรรมด้วยครับ

    เนื้อหาน่าสนใจดีครับ ต่อเนื่องกับโพสต์แรกด้วย ยังไงผมรอเจ้าของกระทู้แจ้งที่มาของกระทู้ก่อน แล้วจะทำกระทู้แนะนำครับ ผมว่ามีอีกหลายคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องราวของพระองคุลีมาลครับ
     
  8. toomdoi

    toomdoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +839
  9. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    นักปราชญ์ในพระพุทธศาสนาหลายท่านกล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะมาเกิดเป็นองคุลีมาล ท่านได้เกิดเป็นพญายมราชครับ เช่นของ อ.เสถียร โพธนันทะ ท่านแสดงธรรมไว้ว่า

    --------------------------------------------------------------
    องคุลีมาลตอนที่จะถูกพระพุทธเจ้าทรมานให้กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธเจ้าท่านสะกดองคุลีมาลให้ระลึกชาติ องคุลีมาลถูกสะกด ชาติก่อนองคุลีมาลเกิดเป็นพญายมราชแล้วก็เบื่อหน่ายเหลือเกิน อธิษฐานใจบอกว่าอย่าเลย การทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาบาปโทษของสัตว์นรกน่าเบื่อหน่าย ทำมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ถ้ากระไรขอให้ชาติหน้าได้เกิดทันเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ได้เฝ้าพระองค์ ให้ได้สดับธรรมของพระองค์ แล้วให้ได้รู้เห็นธรรมของพระองค์ด้วยเถิด
    พญายมราชอธิษฐานอย่างนี้ พอหมดบุญลงไป ก็มาเกิดเป็นองคุลีมาล มาเกิดเป็น อหิงสกกุมาร เพราะฉะนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานองคุลีมาลในป่านั้น พระพุทธเจ้าได้เข้าสมาบัติแล้วก็สะกดองคุลีมาลให้องคุลีมาลระลึกชาติเก่าของตัวได้ว่า ชาติเก่าเราเกิดเป็นพญายมราช แล้วทำหน้าที่ตัดสินสัตว์นรกอย่างนั้น ๆ แล้วก็เบื่อหน่ายในหน้าที่ของตัว จนกระทั่งในที่สุดกลับมาเกิดเป็นตัวเรา ณ. บัดนี้ พอพระพุทธเจ้าคลายสะกด องคุลีมาลก็เลยเชื่อแล้ว บุญบาปมี เชื่อแล้ว นรกสวรรค์มีจริง แล้วเลิกเชื่ออเหตุกวาทะ อกิริยาวาทะ เกิดมีโลกียสัมมาทิฏฐิขึ้นในขณะนั้น พอพระพุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถา องคุลีมาลก็ได้โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ เป็นอรหันตบุคคลขึ้นในขณะนั้นเอง นี่เพราะฉะนั้นข้อแรกชาติอนุสรณญาณนั้นเกิดจากอำนาจสะกดของผู้มีฤทธิ์ทำให้เราระลึกชาติได้ ข้อที่ 1

    ที่มา
     
  10. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขออนุโมทนาในเนื้อหาต่างๆ นี้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ
     
  11. patchara2

    patchara2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +258
    ควายป่า

    [​IMG]

    ช่วยเพิ่มเติมครับ ย้อนหลังจากสมัยพุทธกาลไปพันปีเศษ

    มีควายป่า เป็นควายโทนขนาดใหญ่หากินอยู่ตัวเดียวตามลำพัง เดินแถะแระเล็มหญ้าไปเรื่อยๆ

    หากินด้วยคามสบายใจ และที่เจ้าควายตัวนี้ ชอบใจเป็นที่สุด

    ก็คือพืชผลของชาวบ้าน พอได้กินที่ไร ก็จะเพลินอยุ่นั่น

    ชาวบ้านก็พยายามไล่ แต่ก็ไม่กล้ามากนัก เพราะตัวมันใหญ่มาก เจ้าควายโทนตัวนี้ก็จะแวะเวียนมาอยู่ร่ำไป

    ชาวบ้านจึงรวมตัว วางแผนกลอุบาย ที่จะกำจัดเจ้าควายป่าตัวนี้ไห้จงได้

    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว จึงได้สร้างคอกขนาดใหญ่ ที่ปรายท้ายหมู่บ้าน แล้วทำซองเป็นทางเข้าไว้

    อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าควายป่านี้ ก็แวะเวียนมากินพืชผลของชาาวบ้านอีกจนได้

    พอชาวบ้านได้เห็นการเคลื่อนไหวของเจ้าควายป่า ก็ส่งข่าวบอกต่อกัน

    แล้วก็รวมกลุ่มกันมาเป็นหมู่คณะใหญ่ เกือบจะ 1000คน ก็ได้ห้อมล้อม ตีฆ้อง ร้องป่าว

    ไล้ต้อนไห้เจ้าควายป่า ไปในทิศทาง ที่พวกตนทำกับดักไว้

    เจ้าควายป่าพอได้ยินเสียงอึกกะทึก ครึกโครม มาจากทุกทิศ ทุกทางก็ตกใจวิ่งเตลิดไปในเส้นทาง

    ที่ชาวบ้านได้ตีกรอบไว้ วิ่งเข้าซอง เข้าคอกไป พอเข้าไปปัป คนที่รออยู่

    ก็เอาไม้ขนาดใหญ่ วางปิด ทำเป็นประตู ปิดทางเข้าออก เจ้าควายป่าก็วิ่ง วนไป วนมา หาทางออก

    อยู่ในนั้น พวกชาวบ้านพอมาถึง ก็ล้อมกรงขัง หรือคอก ทุกคนในที่นั้น

    ต่างก็ หยิบจับอะไรได้ ก็เหวี่ยงขว้าง มีมีด มีหอก มีหลาว หิน สารพัดอย่าง

    กุ่มรุม ทำร้าย เจ้าควายป่า อย่างโกรธแค้น บ้าคลั่ง

    เจ้าควายป่า เลือดโทรมกาย ไหลนองไปทั่วร่าง ด้วยศาตราวุธ นานาชนิด

    ที่มาจากทุกทิศ ทุกทาง ก่อนจะสิ้นใจ เจ้าความป่าลืมตา มองหมู่คนที่รุมทำร้าย

    ในใจก็ตั้งจิต คิดว่า พวกมึงหลายคน รุมฆ่ากูตัวเดียว พวกมึงรุมกูแต่ผู้เดียว เกิดไปชาติใดก็ตาม

    ถ้ากูได้เจอกับพวกมึงอีก กูจะฆ่าพวกมึงไห้หมด!!

    ....และในที่นั้น มีผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ด้วย ยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วย แต่เธอ ไม่ได้

    ทำร้ายเจ้าความยป่า แม้แต่คิด เธอก็ไม่เคยที่จะคิด!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2011
  12. patchara2

    patchara2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +258
    แรงพยาบาท

    พอหลังจากชาตินั้น ต่างคน ต่างตาย พอตายแล้ว ก็ไปเสวยกรรมของแต่ละคน แต่ละตน

    ที่ทำกันมา แล้วก็ไห้บังเอิญ พอชาติที่ สมัยพุทธกาล ทุกคนก็มาเกิดร่วมกัน ในยุคสมัย

    เดียวกันอีก ชาวบ้านก็มาเกิด เป็นชาวบ้าน อยู่ในหลายเขตแคว้น ส่วนเจ้าควายป่า

    ที่มีพละกำลัง ก็มาเกิดในตรกูลพราหมณ์ เป็นบุตรพราหมณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2011
  13. patchara2

    patchara2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +258
    หมดกรรม เข้าสู่ร่มสู่ร่มกาสาวพัสตร์

    [​IMG]

    พระองคุลีมาลเถระ

    ...องคุลิมาล เป็นบุตรพราหมณ์ใน นครสาวัตถี บิดามีอาชีพรับราชการเป็นปุโรหิตในราชสำนักพระเจ้าปเสนทิโกศล มารดาชื่อ นางมันตานีพรหมณี ท่านเกิดเวลากลางคืนเกิดประกฎการณ์มหัศจรรย์ขึ้นคือ ศาสตราวุธยุปโธปกรณ์ในบ้าน และพระคลังแสงเกิดเปลวแสงสว่างแผ่รังสีบริเวณกว้าง ผู้เป็นพ่อได้ดูฤกษ์ยามและดูดาวบนท้องฟ้าปรากฏว่า ถึงเวลาตกฟาก ของบุตรนั้นเป็นโจรฤกษ์ ผู้เกิดในฤกษ์นี้ย่อมเป็นโจรจึงรีบเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลถึงฤกษ์และปรากฎการณ์ ให้พระราชาฟังและทูลให้ท่านฆ่าบุตรของตนเพื่อไม่ให้ทำความเดือดร้อนแก่ประชาชนในอนาคต แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่เชื่อและบอกให้ดูแลบุตรของของตนดี ท่านปุโรหิตจึงแก้เคล็ดให้ชื่อ อะหิงสก หมายถึง เด็กชายผู้ไม่เบียดเบียนใคร โดยเลี้ยงไม่ให้เห็นเหตุจูงใจที่จะเป็นโจร อะหิงสกโตเป็นหนุ่มและไม่มีแววที่จะเป็นโจร และได้ไปเรียนมหาวิทยาลัย ตักสิลา นครตักศิลาได้เรียนกับอาจารย์ ทิศาปาโมกข์ อะหิงสกตั้งใจเรียนและเข้าใจเนื้อหาที่เรียนเร็ว กว่าศิษย์รุ่นเดียวกันดังนั้นเวลาศิษย์คนอื่นถูกว่ากล่าวตักเตือน อาจารย์มักจะยกย่อง อะหิงสกเป็นตัวอย่าง ทำให้ศิษย์คนอื่นอิจฉา ทำอุบายแกล้งอะหิงสก อะหิงสกเวลาเรียนจากทฤษฎีแล้วชอบนำมาปฎิบัติทดลอง ศิษย์คนอื่นจึงฟ้องอาจารย์ว่าอะหิงสกคิดว่าตนฉลาดและคิดจะกำจัดอาจารย์ออกไป ครั้งแรกอาจารย์ไม่เชื่อ พอศิษย์คนอื่นฟ้องมากๆเข้าก็เชื่ออย่างสนิทใจอาจารย์เรียกอะหิงสกมาพบบอกให้อหิงสกไปฆ่าคน 1000 คนเพื่อนำมาประกอบการสอน วิชาวิษณุศาสตร์ และบอกว่าถ้าไม่มีนิ้วมืออาจารย์ก็ไม่อาจสอนได้ อะหิงสกไม่พอใจเพราะตนมาจากตระกูลหราหมณ์ไม่เคยฆ่าคนแต่เพราะอยากเรียนวิชานี้มากจึงออกไปฆ่าคน อาจารย์ก็คิดว่ากว่าอะหิงสกจะฆ่าคนครบก็คงถูกฆ่าไปเสียก่อน วิชาวิษณุศาสตร์เป็นวิชาที่พูดถึงองค์ประกอบของสรรพสิ่ง ว่าประกอบด้วยอณูทั้งหลาย แยกแยะออกมาแล้วก็จะของสภาพสรรพสิ่งนั้นเป็นนสิ่งหนึ่งทำให้อะหิงสกอยากพิสูจน์ เขาเตรียมอาวุธที่จะฆ่าคน ไปยังป่ารกและดักปล้นฆ่าคนที่ผ่านมา ฆ่าไปเรื่อยและไม่ได้จดบันทึกไว้และก็ลืมไม่รู้ว่าตนฆ่าคนได้เท่าใด จึงตัดนิ้วคนที่ถูกฆ่ามาคล้องคอทำให้เป็นนที่หวาดกลัวของชาวบ้านและพวกพ่อค้าไม่มีใครกล้าเดินทางไปค้าขายชาวบ้านเรียก อะหิงสก ว่า องคุลิมาล แปลว่าผู้ที่มีนิ้วเป็นสร้อยคอองคุริมาลได้ฆ่าคนจนนับนิ้วมือที่คอได้ 999 นิ้ว เหลืออีกนิ้วเดียวก็จะครบ
    1000 คน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ระดมพลปราบองคุลิมาล ปุโรหิตก็เกรงกลัวภัยแก่บุตรตนเอง จึงปรึกษากับนางมันตาณีตกลงให้นางมันตาณีออกไปพบบุตร บอกให้บุตรรู้ตัวและจะได้หนีเอาตัวรอด ความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรนั้นช่างบริสุทธิ์นัก ถึงลูกจะชั่วช้าสักปานใดบิดามารดาก็ยังรักและห่วงไม่เสื่อมคลาย ก่อนที่มารดาจะออกไปพบกับองคุลิมาลพระพุทธเจ้าได้ตรวจดูสัตว์โลก ผู้ใดมีนิสัยแห่งการรู้ธรรมะบ้าง ก็ทรงพบองคุลิมาลมีอุปนิสัยแห่งอรหันต์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเป็นพระธุระ องคุลิมาลก็จะมาตุฆาต(ฆ่าแม่ตนเอง) จึงเสด็จไปพบองคุลิมาล เมื่อพบองคุลิมาล ก็ปรี่หวังจะพระองค์ไล่เท่าไรก็ไล่ไม่ทันจนเกิดความเหนื่อยล้า ร้องตะโกน
    ให้พระศาสดาหยุด พระองค็ตรัสว่า เราหยุดแล้ว แต่ท่านที่ยังไม่หยุด องคุลิมาลก็กล่าวว่าท่านเป็นสมณะ ท่านพูดเท็จ ท่านยังไม่หยุดก็บอกว่าหยุด พระองค์ตรัสตอบว่า เราหยุดทำความชั่ว อันเป็นผลให้เป็นทุกข์ แต่ท่านที่ยังไม่หยุด พระสุรเสียงพระศาสดาทำให้องคุลิมาลได้สตินึกถึงความชั่วที่ตนทำมา และเปลื้องศาสตราวุธ พวงองคุรี ไว้ที่ซอกเขา และเข้าเฝ้าพระศาสดา ฟังพระธรรมเทศนาพอจบพระธรรมเทศนาก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปนาวัดเชตะวันวิหาร ท่านองคุลิมาลได้บิณฑบาตในนครสาวัตถี ประชาชนพบเห็นก็เกิดความหวาดกลัว วิ่งหนีกันอลหม่าน ไม่มีใครถวายอาหารให้ท่านเลยแม้เต่ทัพพีเดียว พระองคุลิมาลเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมเคร่งครัด แต่จิตของท่านไม่มีสมาธิ เพราะเหตุการณ์ที่ท่านฆ่าคนมาปรากฏเฉพาะหน้าตลอดเวลา พระบรมศาสดาได้สั่งสอนว่า

    [​IMG]

    ...ไม่ควรระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณากรรมที่ เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ปัจจุบันพระองคุริมาลได้ปฎิบิติตามที่ทรงแนะนำไม่นานท่านก็เป็นพระอรหันต์ ภิกษุสนทนากันว่า ท่านองคุลิมาลท่านฆ่าคนมามากมายเห็นปานนั้นยังบรรลุพระอรหันต์ได้อยู่หรือพระพุทธเจ้าตรัสกับพระภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลาย ผ่านมาองคุลิมาลไม่ได้มีกัลยาณมิตรแม้สักคนเดียวจึงได้ทำบาปขนาดนั้น ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย เป็นผู้ไม่ประมาท บาปกรรมเหล่านั้นบุตรของเราละแล้วด้วยกุศลกรรม แล้วตรัสคาถา บุคคลใดละบาปกรรมที่ตนทำไว้แล้ว บุคคลนั้นย่อมทำให้โลกนี้สว่างเหมือน ดวงจันทร์พ้นแล้วจากเมฆหมอก ท่านองคุลิมาลมีความเชี่นวชาญเรื่องน้ำมนต์ ให้หญิงมีครรภ์คลอดบุตรง่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2011
  14. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    อนุโมทนา และ ขอบคุณ จขกท ค่ะ
    เมื่อก่อนเคยนึกตำหนิกรรมขององคุลีมาลไว้บ้าง
    เพราะเราไม่รู้ไง ว่าต้นเรื่องเป็นมาอย่างไร ตอนนี้
    ก็ได้ทราบบุพกรรมของท่านแล้ว ถึงได้รู้ว่าเราไม่
    ควรนึกว่าใคร เพราะกฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2011
  15. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    ทราบซึ้งมากครับ ขอบพระคุณในธรรมทานนี้ครับ
     
  16. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    ขอบคุณมากครับ
    เรามาใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกันเถอะครับ
     
  17. phukaew

    phukaew Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +48
    ขออนุโมทนาค่ะ...เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรจริงๆ ดั่งคำของพระพุทธองค์นะคะ
     
  18. tharushnu

    tharushnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อนุโมทนาบุญทุกประการครับ...สาธุ
    _____________________________________________

    <iframe src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FBuddhaPhothiyan&amp;width=500&amp;colorscheme=light&amp;show_faces=true&amp;border_color&amp;stream=true&amp;header=true&amp;height=427" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:500px; height:427px;" allowTransparency="true"></iframe>
     
  19. วิหก

    วิหก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +4
    โมทนาในธรรมทานด้วยครับ สนุก มาก ๆ เลย ได้ความรู้เยอะ
    สาธุ........ๆ
     
  20. มัศนียา

    มัศนียา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +1
    สาธุค่ะ
    -------
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    สรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย

     

แชร์หน้านี้

Loading...