บำบัดความเครียดด้วยสมาธิ รักษาโรคด้วยตำราสมุนไพร

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย KWANPAT, 23 เมษายน 2011.

  1. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อากาศชื้น มีผลกับธาตุดิน เกี่ยวข้องกับเรื่องของม้าม กระเพาะอาหาร
    อากาศเย็น มีผลกับธาตุน้ำ เกี่ยวข้องกับไต กระเพาะปัสสาวะ
    อากาศแห้ง มีผลกับธาตุลม เกี่ยวข้องกับปอด ลำไส้ใหญ่
    อากาศร้อน มีผลกับธาตุไฟ เีกี่ยวข้องกับหัวใจ ลำไส้เล็ก ระบบหลอดเืลือด
    ระบบความร้อนในร่างกาย
    ลมแรง มีผลกับธาตุไม้ เกียวข้องกับตับ ถุงน้ำีดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2011
  2. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขมิ้นชัน

    -ใช้่กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบด
    เป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูล
    เพื่อความสะดวกแก่การกิน

    ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณหลายประการดังนี้

    -ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ , ซี , อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกัน
    ทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ

    -สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร

    -ช่วยย่อยอาหาร

    -ทำความสะอาดให้ลำไส้

    -เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ

    -ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ

    -สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง

    -กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้ว
    สะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง

    -ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดีรองลงมา
    จากการกินหัวปลี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • turmeric.jpg
      turmeric.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.8 KB
      เปิดดู:
      39
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2011
  3. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา

    -กินตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงาน
    ในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงประเด็นที่ต้องการจะบำรุงหรือ
    แก้ไขฟื้นฟูของระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น
    จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหา
    หลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินใน
    จำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ

    กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร

    ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง
    หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอม
    น่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อย
    ไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน

    กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้

    จะได้ผลตรงกับอวัยวะส่วนนั้น

    -เวลา 03.00-05.00 น. ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด
    ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก
    และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

    -เวลา 05.00-07.00 น. ช่วยแก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่าย
    มาเป็นเวลานาน ใ้หกินขมิ้นชันในเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาท
    ของลำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัว
    เพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่
    มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหาให้กิน
    ขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้
    จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น
    ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร เพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชัน
    จะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก็สพิษ
    ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

    -เวลา 07.00-09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการ
    กินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง
    ป้องกันความจำเสื่อม

    -เวลา 09.00-11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก
    อ้วยเกินไปผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเก๊าต์ ลดอาการ
    เบาหวาน

    -เวลา 11.00-13.00 น. ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือไม่มีก็กินขมิ้นชัน
    เวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไป
    ทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึง
    เพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป

     
  4. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    -เวลา 13.00-15.00 น. ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย
    เพราะมีไขมันเกาะลำไส้ ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วย
    แล้วสะสมกัน ทำให้เกิดแก๊ศ และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้
    ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และขมิ้นชั้น จะช่วยล้างลำไส้เล็ก
    ได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี12
    เพื่อส่งไปเลี้่ยงสมองต่อไป

    -เวลา 15.00-17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหา
    เรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะ
    ปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการ
    ขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้ กินเหลือเลยเวลา จากช่วงนี้จนไปถึงการกิน
    ก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า
    จะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น การกินขมิ้นชันมาก จะช่วยขับไล่ไรฝุ่น
    ที่ผิวหนังไม่ไห้เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินในปริมาณมาก

    การกินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตราฐาน
    และสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมี ไม่มีสเตอรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความ
    ร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้
    ปลอดภัยและสบายใจ

    ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว ( ไม่เต็ม )
    ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่

    -ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ แล้วไปผ่านปอดช่วย
    ดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปอด

    -ผ่านม้าน ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย

    -ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

    -ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลในลำไส้

    -ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ

    ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาด ก็จะไปเชื่อมให้
    และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้ง
    โดยการขับถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย
    หรือกินน้ำลูกสำรอง เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง

    -คนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรัง
    บางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ

    -คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจาก
    การกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือกินน้ำน้อย ท้งธาตุเบาและธาตุหนัก
    ไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาท
    ลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้ข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
    ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว กลับมาถ่ายได้อย่างปกติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1287923198.jpg
      1287923198.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.9 KB
      เปิดดู:
      42
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  5. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    กระชาย

    -เปรียบเทียบกระชาย คือ โสมของไทย คือ ราชาแห่งสมุนไพร

    กระชายปั่นคั้นน้ำ น้ำกระชายมีวิตามิน ซี บี1 , บี3 , บี6
    และแคลเซียม

    *ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่เปราะบาง

    *ช่วยบำรุงตับไตให้แข็งแรง ดูแลระบบมดลูก รังไข่
    กระเพาะปัสสาวะ ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง

    *ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง เต้นสม่ำเสมอ
    ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น

    *ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไธรอยด์ ต่อมใต้สมอง
    ต่อมหมวกไต และตับอ่อน เมื่อต่อมไธรอยด์ปกติดีจะไม่เป็น
    โรคคอพอก และยังมีส่วนในการช่วยลดกรดยูริค

    *ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง คือ แอสโตรเจน และฮอร์โมน
    เพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน ซึ่งมีอยู่ร่างกายของทุกคน ไม่ว่าผู้ชาย
    หรือผู้หญิง ถ้าผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงในตัวมากเกินไปก็อาจจะเป็น
    มะเร็งเต้านม หรือมีน้อยไปก็อาจจะเป็นมะเร็งปากมดลูก ส่วนผู้ชายนั้น
    กระชายจะช่วบควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต

    *ช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนกลางคืนดีขึ้น
    ถ้ากินคู่กับใบบัวบก จะบำรุงสมองได้โดยตรงต้องกินเป็นประจำ เพื่อป้องกัน
    ความจำเสื่อม

    *ปรับความดันโลหิตให้พอดี ไม่ให้สูงมากหรือต่ำเกินไป

    *ดื่มน้ำกระชายเป็นประจำ ช่วยให้เส้นผมไม่หงอกก่อนวัย
    เล็บมือ เล็บเท้า แข็งแรง

    *ช่วยขับน้ำคาวปลา สตรีหลังคลอดบุตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  6. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ในน้ำกระชายมีอาหารอยู่ 2 กลุ่ม

    1.กลุ่มละลายในน้ำ
    2.กลุ่มที่ละลายในไขมัน

    เมื่อกินน้ำกระชายเข้าไปแล้ว ในกระเพาะเรามีน้ำ มีไขมัน
    และจุลินทรีย์ สองกลุ่มจะแยกกันทำหน้าที่ของมันเอง
    ตัวจุลินทรีย์ในกระเพาะจะทำให้เกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา
    เพื่อทำหน้าที่สกัดตัวยากลุ่มที่ละลายในน้ำออกมาจากน้ำ
    กระชายได้เอง ส่วนกลุ่มที่ละลายในไขมันก็ทำงานของเขาเอง
    คนปกติดื่มน้ำกระชายเพื่อบำรุงเอาไว้ จะช่วยป้องกันไม่ให้
    เป็นโรคไต ผู้ชายป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากโต ผู้หญิงป้องกัน
    ไม่ให้เป็นมดลูกโต

    ในน้ำกระชาย 1 แก้ว มีคุณค่าสูงกว่านม 1 แก้ว หลายๆ เท่า
    ถ้าให้เด็กได้ดื่มกินเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้มี
    โครงสร้างที่แข็งแรงดื่มคู่กับมะม่วงสุก โดยวิธีปั่นก็ยิ่งดี
    ต้องการให้หวานเติมน้ำผึ้งได้ ปั่นกระชายแล้วให้เก็บน้ำ
    กระชายใส่ขวดแช่เย็นไว้เป็นหัวเชื้อได้หลายวัน เวลาจะทำ
    เครื่องดื่มก็นำหัวเชื้อกระชายมาเจือจางในน้ำ จะเติมดอก
    อัญชัญก็ได้หรือเติมน้ำผลไม้ปั่นอื่นๆ อีกหลายอย่างแล้ว
    แต่จะดัดแปลง ไม่มีอะไรตายตัว ขอให้ทำให้อร่อยและกินได้

    วิธีทำ

    -นำกระชายมาล้างน้ำเกลือ ให้สะอาดประมาณ 1 ขีด
    -หั่นกระชายเป็นแว่นเล็กๆ ใส่เครื่องปั่นแล้วเติมน้ำ 3 แก้ว
    -ปั่นให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ ทิ้งกากไป (ห้ามกินกาก)
    -ใช้น้ำเป็นหัวเชื้อใส่ขวดเก็บในตู้เย็นได้หลายวัน
    -เวลาจะใช้ดื่มก็เทใส่แก้วแล้วเติมน้ำสะอาดให้เจือจาง
    -เติมน้ำตาล เกลือ ปรับรสชาติตามใจชอบ
     
  7. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น

    -ในช่วงเวลา 05.00- 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่
    ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้ว ปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00-09.00 น.
    ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหารแล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจาก
    ลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกดูดซึมอีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่
    เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่า โดยอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งมีความ
    ร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็ยได้นานกว่า
    เพราะฉะนั้นแก็สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด
    เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วน
    ของร่างกายไหลผ่าน สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง
    ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

    * ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาด ไปเลี้ยงหัวใจ
    หัวใจอ่อนล้า ไม่สดชื่น

    * มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับ
    ออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่นแต่คนอื่นได้กลิ่น

    * ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา
    05.00-07.00 น. นานๆ
    เข้าเป็นระยะเวลาหลายๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง
    และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้
    รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว

    * ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น จะเป็นริดสีดวงทวาร

    วิธีแก้

    -พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
    ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่

    -ควรกินข้าวเช้าทุกวัน ระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.
     
  8. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า

    -การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย
    ที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำ
    ไม่เห็นจำเป็นอะไรเลย

    -อาหารมื้อเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสาร
    อาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้า
    ของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจนเป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้่ยงสมอง
    ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนส่งขึ้นเลี้ยงสมอง
    เพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี1
    และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรกิน สูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง
    มะนาว และกล้วย 1 ลูก

    สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย

    * กระดูกคอข้อที่หนึ่ง เคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือ เส้นเลือดที่ไป
    เลี้ยงสมอง

    * กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วเกิดไขมันเกาะตัวเหนียวสะสม
    ในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เพราะระบบดูดซึมเสีย
    และถุงน้ำดีข้น

    * มีพยาธิในลำไส้ พยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย

    * การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลืิอดไม่เลี้ยงสมอง

    - ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
    จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คอ อักเสบง่าย
    นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อยๆ
    ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส
    เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า
    กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท่า
    หลังเท้า วิตกกังวล อาจมีอาการทีละอย่าง หรืออย่างพร้อมกัน
    สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง อยู่กันคนละส่วน
    แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียวที่ควบคุมกันไหลเวียนของเลือดทั้งสามส่วน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  9. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าน้อยได้น้อย

    -วันข้างหน้าก็จะมีหินปูนมาเกาะที่สมองส่วนหน้า แล้วจะมี
    อาการนอนไม่หลับ เป็นเหตุให้ ตาเป็นต้อ จอประสาทตา
    เริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย เป็นฝ้า หน้าดำ

    เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้น้อย

    -จะมีอาการ ง่วงนอนบ่อย หรือง่วงนอนทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัว
    ปวดส้นเท้า ขี้โมโห ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ต่อไปวันข้างหน้า
    ความจำจะเสื่อม เริ่มจำไม่ค่อยได้ แต่ความจำระยะยาว คือ
    เรื่องเก่าๆ ยังจำได้ ส่วนความจำระยะสั้น คือ เรื่องใหม่ๆ ในปัจจุบัน
    จะจำไม่ค่อยได้ หลงๆ ลืมๆ พูดวนไปวนมา ความจำจะเสื่อมลงเรื่อยๆ

    เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังได้น้อย


    -จะมีอาการ แขนขาไม่ค่อยมีแรง เดินไม่ค่อยไหว ตอนตื่นนอนบางครั้ง
    จะมีอาการแขนขาตาย ขยับตัวไม่ค่อยได้
     
  10. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สมองเสื่อม

    -สาเหตุอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะกินอาหาร
    ผัดน้ำมันเป็นประจำติดต่อกันหลายปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้
    ทำให้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ได้

    วิธีดูแลสมอง

    1.ขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.

    2.กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น. เพื่อให้เลือดรับสารอาหาร
    ไปเลี้ยงสมอง และกินโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ระหว่างเวลา
    13.00-15.00 น. เพื่อเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี12 แล้วส่ง
    ไปบำรุงสมอง

    3.ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำชงชา

    4.ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทธาจีน ใช้ดื่มน้ำ
    เพื่อล้างหลอดเลือดเป็นประจำ

    5.กินน้ำกระชาย แล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะส่งบำรุงสมอง
    ได้โดยตรง และผลไม้ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้่ที่บำรุงสมองได้ดีมาก
    หรือคื่นฉ่าย เม็ดบัว ลูกแปะก้วย

    6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก่อนกินอาหารอะไรเข้าไปบำรุง
    ให้นึกถึงว่าลำไส้เราได้ล้างบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่เคยล้าง
    ควรใช้สูตรมะละกอดิบต้มน้ำแล้ว นำน้ำร้อนนั้นมาชงชา
    ดื่มล้างลำไส้เป็นประจำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • index2.jpg
      index2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.1 KB
      เปิดดู:
      314
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  11. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิธีกดนิ้วเพื่อให้เลือดเลี้ยงสมองป้องกันสมองเสื่อม

    1.ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้ 2 ครั้ง
    2.ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง 1 ครั้ง
    3.ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วนาง 3 ครั้ง
    4.ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วก้อย 4 ครั้ง

    แล้วทำกลับ โดยมากดที่นิ้วนาง 3 ครั้ง

    กดที่นิ้วกลาง 1 ครั้ง
    กดที้นิ้วชี้ 2 ครั้ง

    -เป็นการจบเท่ากับ 1 ชุด รวมเป็น 1 ชุด พอเริ่มชุดที่ 2 ให้กด
    นิ้วกลาง 1 ครั้ง ต่อไปเลย ทำอย่างนี้ให้ได้ 50 ชุดต่อวัน

    -ความสัมพันธ์ของสมองกับปลายนิ้วมือ จะเกิดพลังครบวงจร
    ของเขาเอง เป็นการกระตุ้นให้หลั่งสาร เอนโดรฟิน

    -ฝึกการหายใจเข้าอย่างช้าๆ ให้พุงป่องออก แล้วหายใจออก
    ให้พุงยุบลง ( หายใจลึกๆ ) เป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมอง
    ที่คุมโปรแกรมความจำที่ดีงามในอดีต หรือปัจจุบัน และเป็นการเพิ่ม
    ออกซิเจนให้ปอดกับสมอง

    -ในทางตรงกันข้าม ถ้าหายใจถี่ๆ ตื้นๆ เร็วๆ จะเป็นการกระตุ้นเซลล์
    สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องไม่ดีเอาไว้ให้ออกมาใช้งาน จึงควรฝึกหายใจช้าๆ
    เพื่อกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆ ออกมาใช้งาน เป็นวิธีป้องกัน
    สมองเสื่อมได้อีกวิธีหนึ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • index4.jpg
      index4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.2 KB
      เปิดดู:
      41
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  12. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    กระเจี้ยบพุทธาจีน

    -คือ การนำเอากระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสดก็ได้ มาต้มรวมกับพุทราแห้ง
    ใช้พุทธาจีนหรือพุทธาป่า ( พุทธาไทย ) ก็ได้เพื่อทำเครื่องดื่ม

    ประโยชน์

    -ช่วยล้างไขมันในเลือดที่มีมากเกินไป เมื่อไขมันถูกล้างออกไปเรื่อยๆ
    โดยการกินน้ำกระเจี๊ยบ+พุทธาจีน ผนังหลอดเลือดก็จะยืดหยุ่น
    บีบตัวและขยายตัว เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น
    บีบตัวหรือขยายตัวตามจังหวัดการเต้นของหัวใจ ให้สูบฉีดเลือดไป
    เลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยไม่มีไขมันมาขัดขวาง พวกเส้นเลือด
    ขอดก็จะพอทุเลาลงได้ แล้วยังช่วยให้เส้นเลือดแข็งแรง ไม่เปราะแตกง่าย

    -ไม่ควรต้มกระเจี๊ยบกินเดี่ยวๆ เป็นเวลานานๆ เพราะจะทำให้ไตเสื่อม
    จึงต้องมีพุทธาจีนตากแห้งผสมลงไปเป็นตัวแก้ และยังช่วยบำรุงไต
    ไปพร้อมๆ กัน

    -ไม่ควรเติมน้ำตาลให้หวานเกินไป

    วิธีทำ

    -เตรียมกระเจี๊ยบ 1 กำมือ
    -พุทราจีนแห้ง 1 กำมือ
    -ล้างน้ำให้สะอาด บีบพุทธาจีนให้แตก ใส่รวมกันลงภาชนะ

    เติมน้ำเปล่า 2 ลิตร ต้มให้เดือดสักพักหนึ่ง แล้วยกลง
    เทกรองเนื้อออกให้เหลือแต่น้ำ เติมน้ำตาลแล้วชิม
    ถ้าไม่เติมน้ำตาล ใช้ใบหญ้าหวานหรือลำไยตากแห้งแทนน้ำตาล
    จะได้ความหวานจากธรรมชาติที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
    ทำเก็บใส่ขวดแช่เย็นเอาไว้ดื่มได้หลายวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.5 KB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  13. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    รางจืด
    ล้างน้ำตาลในเลือด

    -กินของหวานมากๆทุกวัน จนเกินความต้องการของร่ายกาย
    น้ำตาลในร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
    ไปเกาะผนังหลอดเลือด เกิดเป็นขนเล็กๆ ตามผนังหลอดเลือด

    โดยปกติหลอดเลือดต้องสะอาด เรียบ และโล่ง เลือดจึงไหลเวียน
    ได้ดี แต่้ำน้ำตาลที่สะสมในเลือดมาก ทำให้หลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
    เมื่อเวลาอากาศเปลี่ยนจะไม่สบาย เช่น อากาศร้อนหลอดเลือด
    ก็ไม่ขยายตัว อากาศเย็นหลอดเลือดก็ไม่หดตัีว เป็นสาเหตุทำให้
    ปวดหัว ถ้าคนที่หลอดเลือดสะอาด ยืดหยุ่นดี เลือดจะไหลเวียน
    ได้สะดวก

    * ควรงดกินน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย
    * กินน้ำรางจืด เพื่อล้างน้ำตาลในเลือด
    * กินใบมะยมสด หรือต้มรากเตยกินน้ำ ก็ช่วยฟื้นฟู
    ตับอ่อน เมื่อตับอ่อนแข็งแรง การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นเอง
    ( ต้องกินเป็นประจำ )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  14. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ชามะละกอ
    มะละกอดิบ ต้มน้ำชงชา ล้างไขมันในลำไส้

    - คือ การนำเอามะละกอดิบมาปอกเปลือก แล้วหั่นเนื้อมะละกอใส่หม้อ
    เติมน้ำ ต้มให้เดือดแล้วตักเนื้อมะละกอออกไป เอาเฉพาะน้ำมาใช้ชงชา
    เพื่อดื่มแทนชาทั่วไป

    ประโยชน์

    -เมื่อดื่มชามะละกอแล้ว จะเป็นการล้างลำไส้ โดยไม่ต้องสวนทวาร
    ช่วยล้างระบบดูดซึม คือ ล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ อันเนื่องมาจาก
    การกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้
    เป็นกาวเหนียว จึงเกิดการขัดขวางการดูดซึมอาหาร และวิตามินที่
    เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

    -เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี หรือดูดซึมไม่ได้ เวลากินอาหารก็จะได้แค่อิ่ม
    แต่ไม่ได้สารอาหาร เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้า ความเจ็บป่วยก็จะเข้า
    มาเยือน เมื่อร่างกายปกติ ไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง
    เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี

    สูตรชามะละกอ

    * มะละกอดิบไม่อ่อนเกินไปครึ่งลูก

    * ชาเขียว หรือชาจีน หรือชาใบหม่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง

    วิธีทำ

    ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นแบบชิ้นฟัก ไม่ถึงครึ่งลูก
    ( ประมาณ 3 กำมือ ) ใส่หม้อเติมน้ำ 3 ลิตร ตั้งไฟ จะเติมดอกเก๊กฮวย
    ใบเตย หรือรากเตย ก็ใส่ลงไปพร้อมกับมะละกอดิบ พอน้ำเริ่มเดือดได้
    สัก 3 นาที ก็ยกลงไ้ด้ อย่าต้มมะละกอจนเนื้อเละ ต่อไปก็ตักมะละกอ
    และดอกเก๊กฮวยออกให้เหลือแต่น้ำ เอาน้ำร้อนที่เหลือทั้งหมดนั้นไปชงชา
    ใส่ใบชาประมาณครึ่งกำมือ มากหรือน้อยตามความต้องการ ( ห้ามแช่ใบชา
    เกิน 5 นาที เพราะถ้าเกิน 5 นาที สารแทนนินของใบชาจะออกมาจากใบชา
    กินแล้วทำให้ต้องผูก นอนไม่หลับ ) แล้วกรองเอากากใบชาทิ้งไปทั้งหมด
    ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น หรือเย็นก็ดื่มได้เลย หรือจะบรรจุขวดเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้
    เก็บได้ประมาณ 3 วัน

    -สารของมะละกอ จะเกิดการถักทอกับสารของใบชา ทำให้ช่วยย่อยไขมัน
    และล้างไขมันออกจากผนังลำไส้ ควรดื่มเพื่อล้างเป็นประจำ ดื่มแทนน้ำได้
    เมื่อล้างลำไส้แล้ว ก็ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อไปบำรุงร่างกายด้วย
    ถ้าหลีกเลี่ยงอาหารผัดน้ำมันไม่ค่อยได้ ก็กินเท่าที่จำเป็น คือ กินให้น้อยลง
    แล้วกินชามะละกอไปล้างลำไส้ทุกวัน เมื่อมีเวลาว่าง

    -การทำชามะละกอกิน เพื่อล้างลำไส้ให้ได้ประโยชน์ ที่จริงแล้วไม่ควรเติม
    น้ำตาล กินของหวานหรือชาเติมน้ำตาล มันจะกลายเป็นไขมันฝ่ายร้ายได้
    หรือมื้อไหนที่เรากินไขมัน เช่น เนื้อติดมัน ก็ไม่ควรกินของหวานตามเข้าไป
    ควรกินกระเทียมเป็นตัวลดโคเลสเตอรอล แล้วก็กลับมากินชามะละกอ
    เพื่อล้างไขมันในลำไส้ออกไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  15. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ล้างลำไส้เล็ก

    ประโยชน์

    -ล้างไขมันในลำไส้ ทำให้ระบบดูดซึมดี ตัวจุลินทรีย์ที่เกิดในโยเกิต
    จะช่วยย่อยไขมันจากนม และกินความหวานจากน้ำผึ้งเพื่อสร้าง
    และเลี้ยงตัวจุลินทรีย์เองให้เติบโต เมื่อกินโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
    เข้าไป นอกจากจะล้างลำไส้แล้ว ยังมีไขมันฝ่ายดีและจุลินทรีย์ที่มี
    ประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้ากินเวลา 13.00+15.00 น. จะไปช่วยย่อยขยะ
    ในลำไส้เล็ก เพื่อเปลี่ยนขยะให้เป็น บี 12 ส่งไปเลี้ยงสมองได้ดีมาก
    กินตอนเช้าจะลดความอ้วน เกินตอนบ่ายล้างลำไส้เล็ก กินตอนเย็นจะอ้วน
    (เวลาไหนก็ได้แล้วแต่สะดวก )

    *ถ้าไม่กินนำ้ผึ้ง ก็ใช้น้ำอ้อยแทนก็ได้ และถ้าไม่มีมะนาวก็ใช้น้ำส้มคั้น
    หรือส้มจี๊ดแทน จะได้วิตามินซี จากผลไม้โดยตรง

    *คนที่เป็นเบาหวานกินได้ เพราะจุลินทรีย์จะกินความหวานจากน้ำผึ้งก่อน
    เมื่อผสมโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว เสร็จแล้ว ควรตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง
    ( 15-30 นาที ) เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ขยายตัวก่อนแล้วจึงดื่ม
    ถ้ากินในปริมาณ 500 ซีซี จะช่วยล้างถึงลำไส้ใหญ่ได้

    *เด็กินแล้วจะช่วยย่อย ทำให้อารมณ์ดี บำรุงสมองได้ดี

    สูตร

    -โยเกิตรสธรรมชาติ ครึ่งถ้วย นมสด 1 แก้ว ( 1 กล่อง = 250 ซีซี )
    น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ มะนาวครึ่งลูก สูตรไม่ตายตัวสามารถปรับได้
    ตามใจชอบ


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    เห็ดสามอย่างล้างสารพิษในร่างกาย

    ประโยชน์

    -เมื่อนำเห็ดสามอย่างขึ้นไป มาปรุงอาหารทานทั้งเนื้อและน้ำต้มเห็ด
    สามารถล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ
    -ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้นเป็นเซลล์มะเร็ง

    เห็ดชนิดเดียว จะมีประโยชน์ยังไม่มากเท่ากับเห็ด 3 อย่างมารวมกัน
    หรือ 3 อย่างขึ้นไป เห็ดที่นำมาใช้ คือ เห็ดที่กินได้ เช่น เห็ดหูหนูดำ
    เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง
    ล้างน้ำให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร

    โปรตีนในเห็ด 3 อย่าง

    -เมื่อนำมารวมกันประกอบอาหารแล้ว จะได้โปรตีนจากเห็ด ที่ร่างกายดูดซึม
    ไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโน
    ที่บำรุงสมอง ปรับสมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง
    ขจัดสารพิษ แต่ถ้าคนที่เป็นมะเร็งแล้ว กินได้แต่อย่าคิดหวังอะไร ควรไปให้
    แพทย์รักษาดีที่สุด อาหารตัวอื่นที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีก็มีมากมาย
    เช่น กระเจี๊ยบเขียว ลูกหม่อน ผัก และผลไม้ ที่ควรกินป้องกันไว้
    น้ำต้มเห็ด 3 อย่าง ใช้ทำเป็นน้ำซุปปรุงอาหารก็ได้ แต่ไม่ควรนำเห็ด 3 อย่าง
    ใช้ทำเป็นน้ำซุปปรุงอาหารก็ได้ แต่ไม่ควรนำเห็ด 3 อย่างไปผัดน้ำมัน
    ถ้าจะผัดควรใช้กะทิเป็นไขมันที่ละลายในน้ำได้ และกะทิมีโคเลสเตอรอล
    ฝ่ายดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ลูกสำรอง หรือพุงทลาย

    -เป็นอาหารที่ดับร้อนในได้เร็วกว่าสมุนไพรตัวอื่น อาหารแก้ร้อนใน
    หมายถึง อาหารอะไรที่กินเข้าไปแล้วดูดซึมไขมันได้จัดว่าเป็นอาหาร
    แก้ร้อนในลูกสำรองเป็นตัวดูดซับไขมันที่หน้าท้อง จึงเรียกอีกชื่อว่า
    พุงทลาย คือ พุงคนเราที่มีไขมันเกาะรอบๆสะดือ แล้วมีไขมันรุ่นใหม่
    เข้ามาก็จะเกาะติดเพิ่มเข้าไปอีก การกินสำรอง จะไปช่วยดูดซับไขมัน
    อุ้มไขมัน เพื่อให้ขับถ่ายออกมา ถ้ากินตอนเช้าจะช่วยลดหน้าท้องได้

    เวลาที่เหมาะสมแก่การกินลูกสำรอง


    03.00 ช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรง
    05.00 ช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ให้บริหาร
    07.00 ช่วยรักษาและเคลือบกระเพาะอาหาร
    09.00 ช่วยให้ม้ามดูดซึมความชื้น ดูดซับไขมันในลำไส้
    และกระเพาะอาหาร กินเวลานี้จะช่วยลดหน้าท้อง
    บ่ายถึงเย็น ช่วยบำรุงไตให้แข็งแรง และได้แพคตินไปสมานแผล
    19.00 กินคู่กับน้ำดอกคำฝอย ช่วยลดไขมันในเลือด
    ก่อนนอน ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า ปัจจุบันมีที่ทำแบบสำเร็จรูป
    พร้อมรับประทานมีจำหน่ายอยู่ทั่วไป

    วิธีทำ

    น้ำลูกสำรองมาแช่น้ำอุ่นตั้งทิ้งไว้ รอจนลูกสำรองพองตัวจนเต็มที่
    ต่อจากนั้นคัดเมล็ด เปลือก กากออกทิ้งไป ให้เหลือแต่เนื้อ
    ของลูกสำรอง แล้วนำเนื้อลูกสำรองไปใส่หม้อเติมน้ำให้ท่วมขึ้นมา
    สักข้อนิ้วมือ ต้มให้เดือด ใส่น้ำตาลทรายให้หวานเล็กน้อย
    ยกลงจากเตา ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วบรรจะขวดแช่ในตู้เย็น เก็บไว้ทาน
    ได้ประมาณ 3 วัน

    สูตรแก้ริดสีดวงทวาร

    1.ใช้มะระจีนลูกเล็กหรือใหญ่ก็ได้ 1 ลูก นำมาคว้านใส้ออกแล้วปั่น
    หรือตำคั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา
    ดื่มตอน 05.00-07.00 น. จะหายเร็ว ให้กินประมาณ 5-7 วัน

    2.ใช้กล้วยหอมสุก ( ไม่ต้องปอกเปลือก ) หั่นเป็นแผ่นๆ ใส่หม้อ
    เติมน้ำพอท่วมกล้วย ตั้งไฟเคี่ยวให้เดือด ก็ใส่น้ำตาลกรวดลงไป
    ใช้กินแต่น้ำ หรือจะกินเนื้อด้วยก็ได้

    3.กินกล้วยหอมสุก ( ปอกเปลือก) ตอนเย็น 2 ลูก ก่อนอาหาร
    ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร การป้องกันริดสีดวงทวารระยะยาว
    ควรกินขมิ้นชันวันละ 6 แคปซูล ระหว่างเวลา 05.00 น.
    ขมิ้นชันจะช่วยให้ไม่เป็นริดสีดวงทวารไม่เป็นมะเร็งลำไส้
    เพราะจะช่วยให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัว และขับถ่ายระหว่าง
    เวลา 05.00-07.00 น. เป็นประจำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ว่างเมื่อไรจะมาเขียนเพิ่มเติมค่ะ
     
  19. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    อนุโมทนาด้วยค่ะ ได้ประโยชน์มากมาย

    ติดตาม ตลอดค่ะ
     
  20. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    โมทนาบุญด้วยเช่นกันค่ะ
    ขอให้ท่านและครอบครัวเป็นผู้เจริญ
    ด้วยทางโลกและทางธรรมค่ะ

    denceerabbit_jump
     

แชร์หน้านี้

Loading...