กฎของกรรม หรือของอริยสัจนั่นแหละตัวเดียวกัน พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คนหลงเงา, 14 กันยายน 2011.

  1. คนหลงเงา

    คนหลงเงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +541
    กฎของกรรม หรือของอริยสัจนั่นแหละตัวเดียวกัน

    พระพุทธเจ้าองค์ปฐม<O:p</O:p
    .............................
    <O:p</O:p
    ปกติผมไม่เข้าใจเรื่อง "กฎของกรรม หรือของอริยสัจนั่นแหละตัวเดียวกัน" นี้มาก่อนเลยจนมาได้อ่านพระพุทธธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง พระธรรม ชุด กฎของกรรม หรือของอริยสัจนั่นแหละตัวเดียวกัน ในตอนนี้มีข้อความประทับใจผมอีกมากเช่นบุคคลใดยังไม่รู้จักเหตุของกรรม ก็รังแต่จักโทษคนอื่นเขาอยู่ร่ำไป,อยากเรียนรู้อริยสัจ ก็จงศึกษากฎของกรรมเข้าไว้ กรรมเป็นของเที่ยง,ถ้าไม่ฝืนความจริงเสียอย่างเดียว จิตก็สงบ,พิจารณากฎของกรรมตามความเป็นจริงแล้ว จักได้ชื่อว่าเข้าถึงอริยสัจ สามารถตัดสังโยชน์ได้ง่าย,อย่าให้อารมณ์จิตของตนเองหลอกตนเองได้เป็นต้น พระธรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าองค์ปฐมท่านทรงพระเมตตาแสดงไว้น่าอ่าน เมื่ออ่านเข้าใจแล้ว ทุกถ้อยคำที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวควรแก่การพิจารณาและปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง แม้การปฏิบัติตามนั้นจะยากสักเพียงใด มันก็คุ้มค่าแก่การเพียรพยายาม......ผมนำพระธรรมชุดนี้มาจากหนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ พฤษภาคมตอน ๕ ที่รวบรวมโดยคุณหมอสมศักดิ์ สืบสงวน....ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านนะครับ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ..................................<O:p</O:p

    ถ้าอยากพ้นทุกข์ ก็จงหมั่นปริปุจฉา
    <O:p</O:p


    <O:p</O:p


    <O:p</O:p

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. อุเทศ แปลว่าเรื่อง ปริ แปลว่ารวม หรืออุปสรรค ปุจฉา แปลว่าคำถาม เหมือนกับที่คุณหมอเคยพูดว่า ให้ลองถามตนเองดูซิว่า
    <O:p</O:p
    ก) กินอาหารทำไม ตอบ เพราะความหิวเป็นทุกข์
    <O:p</O:p
    ข) กินเพื่ออะไรตอบ เพื่อบรรเทาทุกข์ กันตาย
    <O:p</O:p
    ค) กินแล้วเป็นอย่างไรตอบ อิ่ม แต่อิ่มชั่วคราว หรือพ้นทุกข์ชั่วคราว เพราะความอิ่มไม่เที่ยง เหตุเพราะโลกไม่เที่ยง, ขันธโลกก็ไม่เที่ยง
    <O:p</O:p
    ๒. หากเข้าใจหลัก ก็ถามตนเองไปเรื่อยๆปัญญาเกิดจากการพิจารณา จากอายตนะสัมผัสทั้ง ๖ (นอก ๖ และใน ๖) กระทบกัน
    <O:p</O:p
    ๓. ผู้ฉลาดจึงมองทุกสิ่งในโลกเป็นธรรมได้หมดพิจารณาเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา
    <O:p</O:p
    ๔. อารมณ์ใดเกิดขึ้นกับจิต จงหมั่นสอบจิต คือตั้งคำถามแก่จิตให้ค้นคว้าหาคำตอบว่า อารมณ์นั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นธรรมในศีล-สมาธิ-ปัญญา หรือธรรมในโลกธรรม หากพวกเจ้าเข้าใจปริปุจฉาจริงและทำให้ได้ตามนั้น ก็จักได้ประโยชน์มหาศาลจากหลักของธรรมปฏิบัตินี้ และจักสามารถแยกแยะสาระทางธรรมออกมาได้จากสาระทางโลก
    <O:p</O:p
    ๕. สาระทางธรรม คือ แก่นสารอันสามารถนำจิตของตนให้พ้นจากความทุกข์ได้ สาระทางโลก คือความไม่เที่ยงทั้งมวล ประโยชน์ทางโลกที่แท้จริงไม่มี (เพราะมันไม่เที่ยง) ยึดถืออันใดมาเป็นแก่นสารไม่ได้ แต่นั่นแหละจักพ้นโลกได้ก็จักต้องพิจารณาโลกให้เห็นตามความเป็นจริง จึงจักเข้าถึงธรรมได้
    <O:p</O:p
    ๖. โลกที่อยู่กับตัวเรา (เราคือจิต) คือ ขันธโลกนี่แหละ (คือ ร่างกาย หรือขันธ์ ๕) โลกภายในนี้ ถ้าหากศึกษาได้ถ่องแท้แล้ว จักเข้าใจโลกภายนอกได้เฉกเช่นเดียวกัน<O:p</O:p

    <O:p</O:p



    ธรรมคืออารมณ์ที่เกิดแก่จิต จิตนั้นคือตัวเรา
    <O:p</O:p

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ต่อจากเรื่องปริปุจฉาไว้ ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. ธรรมคืออารมณ์ที่เกิดแก่จิตจิตรู้จักโลกพอ ธรรมที่เป็นสาระย่อมเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง ธรรมที่เกิดจักไม่เจืออารมณ์ติดโลก ความหวั่นไหวในโลกธรรม ๘ ก็จักลดน้อยลงไปตามลำดับจนในที่สุดหมดเชื้อ คือ ธรรมนั้นพ้นโลกไปได้อย่างถาวร เป็นโลกุตรธรรมเบื้องสูง คือ ถึงธรรมวิมุติอยู่ในจิต คือตัวเราที่แท้จริงนี่แหละ
    <O:p</O:p
    ๒. เปลือกของโลกที่ห่อหุ้มหมดไปเปลือกเทวดา เปลือกนางฟ้า เปลือกพรหมก็ไม่มี สำหรับจิตดวงนี้ เพราะอวิชชาหมด สักกายทิฏฐิหมด จิตนั้นคือตัวเรา ก็ถึงซึ่งความเป็นสุข คือ พระวิสุทธิเทพ ผู้พ้นวัฏฏะสงสารอย่างถาวร
    <O:p</O:p
    ๓. อนึ่งที่เจ้า (เพื่อนผม) ลังเล ไม่แน่ใจว่า ก่อนเกิดเจ้ามาจากไหนนั้น เมื่อคุณหมอถาม จิตแรกที่เจ้าตอบว่า ดุสิต ไฉนจึงไม่เชื่อตามนั้นเล่า (ตอบพระองค์ว่า ต้องกราบขอขมา เพราะไปจำสัญญาเก่าๆ จากครูฝึก มโนมยิทธิว่า ได้ไปเจอท่านปู่ ท่านย่าพระอินทร์ เลยเหมาคิดเอาเองว่าตนมาจากดาวดึงส์)
    <O:p</O:p
    ๔. เจ้าเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต หาใช่ดาวดึงส์ไม่ เทวดา - นางฟ้าทุกชั้นต่างมีสิทธิ์พบกับพระอินทร์ท่านได้ ทีหลังอย่าลังเลอย่างนี้อีกนะ (ก็นึกสงสัยต่อไปว่า เมื่อลงมาจากชั้นดุสิต ทำไมจึงเกิดมาเป็นผู้หญิง)
    <O:p</O:p
    ๕. นั่นเป็นกฎของกรรมอย่างหนึ่ง และเป็นเกณฑ์บังคับอย่างหนึ่งถ้าเจ้าลงมาเป็นผู้ชายนิสัยเยี่ยงนี้นะหรือ จักมีโอกาสบำเพ็ญเพียรเข้าถึงพระนิพพานได้ อย่าว่าแต่สวรรค์เลย มุทะลุดุดันอย่างนี้ ถ้าเป็นผู้ชายก็ฆ่าคนตาย จักต้องลงนรกเสียมากกว่า
    <O:p</O:p
    ๖. เจ้าดูแต่พระสูตร มนุษย์ผู้หญิงยังขึ้นไปเป็นเทวดาชั้นดุสิตได้(เปสการีธิดา)แล้วไฉนเทวดาชั้นดุสิตจักจุติลงมาเป็นมนุษย์ผู้หญิงไม่ได้ เทวดาชั้นดุสิตนั้นส่วนใหญ่บำเพ็ญเพียรเพื่อพระโพธิญาณ หรือเพื่อเป็นพระพุทธบิดา หรือพระพุทธมารดา หรือเพื่อต่อบารมีอันจักให้ถึงซึ่งความเป็น พระอริยเจ้าที่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด คือ พระอรหันต์เทวดาชั้นนั้นจึงมีสิทธิ์เลือกเพศ เลือกสถานที่ลงมาจุติเพื่อความเหมาะสมในการบำเพ็ญบุญบารมี ตามที่ตนตั้งจิตอธิษฐานไว้นั้นๆ ซึ่งก็ต่างกับมุมของความชั่ว คือ กฎของกรรมในด้านอกุศล ซึ่งบังคับให้สัตว์ผู้ทำชั่วละเมิดศีล ละเมิดธรรม ต้องไปจุติในอบายภูมิ ๔ ตามวาระกฎของกรรมนั้นๆ<O:p</O:p

    <O:p</O:p



    กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ
    <O:p</O:p

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ ใครทำเช่นใด ย่อมได้เช่นนั้นพวกเจ้าได้ศึกษาครบรอบวงจร เห็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ย่อมรู้ว่ากฎของกรรมทั้งดี - ทั้งเลว เกิดขึ้นแก่ชีวิตได้ เพราะการจุติมานับอเนกชาติที่นับไม่ถ้วน แล้วความมีอวิชชาเข้าครอบงำจิตให้มีความประพฤติผิด หลงผิดก่อกรรมทางด้านกาย - วาจา - ใจมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน
    <O:p</O:p
    ๒. โมหะ-โทสะ-ราคะครอบงำจิตอยู่มันบงการอยู่อย่างนี้ จนมาถึงบัดนี้ยังหาที่สิ้นสุดแห่งการหมดกรรมมิได้ นี่เพราะอันใด จักโทษใครได้เล่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุบุคคลใดยังไม่รู้จักเหตุของกรรม ก็รังแต่จักโทษคนอื่นเขาอยู่ร่ำไป ลืมโทษจิตของตนเอง ที่สร้างกรรมทางกาย-วาจา-ใจมานับครั้งไม่ถ้วน อันผ่านมา (ในอดีต) นี่ช่างเป็นผู้โง่เสียนี่กระไร
    <O:p</O:p
    ๓. อยากเรียนรู้อริยสัจ ก็จงศึกษากฎของกรรมเข้าไว้ กรรมเป็นของเที่ยง ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ใครทำใครได้ทั้งนั้น ถ้าเข้าใจได้ จิตก็จักสงบได้ ไม่ฝืนกฎของกรรม และจักไม่เดือดร้อนกับกรรมของใคร หรือแม้กระทั่งกฎของกรรม ที่เข้ามาเล่นงานตนเองก็จักไม่เดือดร้อน
    <O:p</O:p
    ๔. ถ้าไม่ฝืนความจริงเสียอย่างเดียว จิตก็สงบ วางอารมณ์ยอมรับกฎของกรรมได้ หากทำได้ก็เรียกว่าเข้าถึงอริยสัจ จักพ้นทุกข์ได้ก็ที่ตรงนี้ ลองซ้อมๆ ดู ได้บ้างชั่วขณะก็ยังดี ดีกว่ามานั่งหนักใจในกรรมของชาวบ้าน และมานั่งหนักใจในกรรมของตนเอง
    <O:p</O:p
    ๕. กฎของกรรม หรือของอริยสัจนั่นแหละตัวเดียวกัน ให้รู้ว่าโลกนี้เป็นทุกข์ โลกนี้ไม่เที่ยงยึดถืออันใดมิได้ ให้รู้ว่ากฎของกรรมเกิดขึ้นมาได้ เพราะเรายึดถือทุกข์
    <O:p</O:p
    ๖. ไฟโมหะ - โทสะ - ราคะ มันแผดเผาจิตของเราให้เกิดทุกข์เราติดอยู่ในทุกข์นั้นด้วยอวิชชา คือ ไม่รู้จริง ก็ทำกรรมให้เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ที่เกาะยึดนั้นๆ
    <O:p</O:p
    ๗. นั่นเพราะเหตุในอดีตไม่รู้จักปล่อยวาง จึงทำความเดือดร้อนให้กับตนเองและบุคคลอื่น ๆ ทั่วไปรอบด้าน จึงเป็นกรรมให้ตัวเราเองต้องชดใช้ในปัจจุบันนี้
    <O:p</O:p
    ๘. พวกเจ้าจักต้องใช้ปัญญา พิจารณากฎของกรรมตามความเป็นจริงจักได้เห็นอารมณ์ของการเกาะเกี่ยวสังโยชน์ทุกตัว เป็นเหตุให้เกิดกรรมทั้งกาย - วาจา - ใจ และเป็นเหตุนำมาแห่งความทุกข์
    <O:p</O:p
    ๙. บุคคลใดใช้ปัญญาพิจารณากฎของกรรมตามความเป็นจริงแล้ว จักได้ชื่อว่าเข้าถึงอริยสัจ สามารถตัดสังโยชน์ได้ง่ายด้วยรู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งทุกข์นั้นๆ
    <O:p</O:p
    ๑๐. มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม อันเกิดแต่การเกาะติดสังโยชน์นั้น ๆ ล้วนแต่สร้างความทุกข์ให้แก่ตนเองทั้งสิ้น พิจารณาจุดนี้ให้ดี ๆ แล้วจักวางอารมณ์ให้ เป็น สังขารุเบกขาญาณได้<O:p</O:p

    <O:p</O:p



    พ้นทุกข์ได้หรือไม่ อยู่ที่อารมณ์จิตของตนนี่แหละ
    <O:p</O:p

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. อย่าสนใจในกรรมของบุคคลอื่น ให้มากไปกว่าการที่จักพยายามละกิเลสให้หมดไปจากจิตของตนเอง
    <O:p</O:p
    ๒. ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า การอยู่ในโลกนี้เป็นทุกข์หาสุขจริง ๆ มิได้ ไม่ว่าชีวิตของเรา หรือชีวิตของใคร หากชีวิตนั้นทรงอยู่ในโลกทั้ง ๓ นี้ไซร้ หาสุขจริง ๆ ยังมิได้
    <O:p</O:p
    ๓. อย่าให้อารมณ์จิตของตนเองหลอกตนเองได้เพราะการจักพ้นทุกข์ได้หรือไม่ ให้ดูสังโยชน์เป็นเครื่องร้อยรัดดวงจิตเป็นสำคัญ อย่าปฏิบัติโดยไม่รู้จักเครื่องกำหนด
    <O:p</O:p
    ๔. ไม่ต้องไปติดสถานที่ - เวลา - บุคคลทั่วไป ให้กำหนดรู้อารมณ์ของจิตตนสถานเดียวเท่านั้นเป็นพอ เพราะธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ทุกสิ่งสำเร็จที่ใจ พ้นทุกข์ได้หรือไม่ ก็อยู่ที่รู้อารมณ์จิตของตนนี่แหละ
    <O:p</O:p
    ๕. อย่าไปตำหนิการปฏิบัติของใคร เพราะบำเพ็ญบารมีธรรมได้ถึงไหน ก็รู้ได้แค่นั้น ธรรมเป็น ปัจจัตตัง พวกเจ้าก็รู้อยู่แล้ว เพียงแค่อย่าเผลอใจเผลอปากไปตำหนิใครเท่านั้นเป็นพอ
    <O:p</O:p
    ๖. การติหลวงพี่ ว่าเลว เพราะท่านพูดว่า อยู่วัดใหญ่โต แต่ท่านไม่ได้อะไรเลย ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อท่านให้พระธรรมวันละ ๔ เวลาทุกวันควรคิดในแง่ดีว่าท่านไม่หลงตนเอง เพราะท่านยังตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการยังไม่ได้หมด จะคิดว่าตนดีหรือได้ดีได้อย่างไร หากไปติท่านก็แสดงว่าเจ้าลืมตัว คิดว่าตนเองดีแล้ว ทางที่ดีเจ้าควรติตนเองที่ไปสนใจจริยาของผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็ยังตัดสังโยชน์ได้ไม่หมด
    <O:p</O:p
    ๗. ท่านผู้รู้จักประมาณตน ย่อมมีความไม่ประมาทอยู่ในตัวต่อไปถ้าท่านไม่ละความเพียรเสียอย่างเดียว ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ย่อมเป็นไปได้ไม่ยากบุตรของตถาคตทุกคน พึงรู้จักประมาณตนเอาไว้เสมอ อย่าตั้งจิตอยู่ในความประมาท และอย่าพึงละความเพียร บุตรของตถาคตเหล่านั้น ก็พึงถึงความเป็นพระอริยเจ้า พ้นทุกข์ได้ เข้าถึงพระนิพพานได้โดยไม่ยากเย็น เอาล่ะ อย่าตำหนิใครอีกนะ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    ..............................
    <O:p</O:p
    ที่มาของข้อมูล<O:p</O:p
    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ พฤษภาคมตอน ๕<O:p</O:p
    หนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น ทุกเล่ม<O:p</O:p
    หาข้อมูลศึกษาได้จาก.......<O:p</O:p
    http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html<O:p></O:p>
    ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือหลวงพ่อในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    .....................................
    <O:p</O:p
     
  2. หมี พลเสน

    หมี พลเสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +358
    ข้าพเจ้าโมทนาบุญด้วยครับ ขอให้ผลบุญนี้ช่วยส่งผลให้ข้าพเ<wbr>จ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติป<wbr>ัจจุบันด้วย เถิด และถ้าหากว่าชาตินี้ข้าพเจ้าไม่<wbr>ถึง พระนิพพานเพียงไร เกิดใหม่ชาติใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าไปอบายภูมิ อย่าไปเป็นเปรต อย่าไปเป็นอสูรกาย อย่าตกนรก อย่างน้อยที่สุดขอให้เป็นมนุษย์<wbr>ที่มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนกาย ร้อนใจ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท้า ข้าเจ้าเข้าสู่พระนิพพานเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2011
  4. ทศสึ

    ทศสึ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +313
    .....

    ขออนุญาตไปเผยแพร่ต่อ ทุกๆบทความเลยนะคับ โมทนาบุญทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงนิพพาน ซึ่งกันและกัน ครับ สาธุ
     
  5. สน2550

    สน2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +280
    อนุโมทนา สาธุ
    คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมที่นำมาเผยแผ่ ขอน้อมคำสอนสู่ใจครับ และถ้ามีโอกาสขออนุญาตนำคำสอนที่เก็บบันทึกไว้ไปเผยแพร่ต่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...